Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

ย้อนดูสถิติ 10 ปีอุบัติเหตุทางอากาศกองทัพ-ตำรวจ เกิดเหตุ 52 ครั้ง ตาย 59

$
0
0

สถิติอุบัติเหตุทางอากาศของกองทัพและตำรวจย้อนหลังไป 10 ปี พบจำนวนอุบัติเหตุ 52 ครั้ง ตาย 59 เจ็บ 46 เฮลิคอปเตอร์อุบัติเหตุบ่อยสุด รองลงมาเป็นเครื่องบิน กองทัพบกมีผู้เสียชีวิตมากสุดที่ 44 ราย

เมื่อ 12 ก.ค. 2561 พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางไปยังวัดดงสวอง ต.เขาสามยอด อ.เมืองลพบุรีเพื่อเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพนายทหารที่เสียชีวิตสามนายจากเหตุการณ์เครื่องบินลาดตระเวนตกที่ จ.แม่ฮ่องสอน

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. เมื่อเครื่องบินเล็ก ทบ. CESSNA 182 ที่เป็นเครื่องบินลาดตระเวนของกองทัพบกขาดการติดต่อจากหอบังคับการบินที่ จ.แม่ฮ่องสอนเมื่อเวลาประมาณ 10.56 น. โดยในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง กำลังพลชุดค้นหาได้ติดตามค้นหาจนเข้าถึงจุดที่เครื่องตก และพบว่ามีผู้เสียชีวิตสามนาย ได้แก่ ร.ท.นฤพล พุกทอง ร.ท.วิโรจน์ แตงกระโทก และ ร.ท.เขมราช ดวงแก้ว มีผู้บาดเจ็บหนึ่งนาย ได้แก่ จ.ส.อ.ชัชชนันท์ เขื่อนแก้ว ทั้งนี้ สาเหตุที่เครื่องบินตกนั้นยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ

อุบัติเหตุทางการบินของกองทัพและตำรวจปรากฏบนหน้าข่าวอยู่เป็นระยะๆ จากการค้นหาพบว่า ในช่วงปี 2551-2561 ที่ผ่านมามามีอุบัติเหตุทางอากาศของกองทัพและตำรวจทั้งสิ้น 52 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 59 ราย บาดเจ็บ 46 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท/สังกัดกองทัพบกกองทัพเรือกองทัพอากาศตำรวจรวม
เฮลิคอปเตอร์1615426
เครื่องบิน2121-24
เรือเหาะ2---2
เจ็บ21116846
ตาย44-15-59
รวมจำนวนอุบัติเหตุ52    

 

ว/ด/ป

ประเภท

สังกัด

พฤติการณ์

5 ก.ค. 2561

เครื่องบินตรวจการกองทัพบกรุ่น U 17

กองทัพบก

ตกที่แม่ฮ่องสอนระหว่างเส้นทางเมืองสามหมอก-ดอยไตแลง เขตปางมะผ้า บริเวณบ้านห้วยผึ้ง จ.แม่ฮ่องสอน เสียชีวิต 3 เจ็บ 1

22 พ.ค. 2561

เครื่องบินฝึก

กองทัพอากาศ

ตก อ.สามเงา จ.ตาก นักบินเสียชีวิตหนึ่งนาย บาดเจ็บสาหัสหนึ่งนาย

10 ต.ค. 2560

เครื่องบินแบบ BT-67 หรือเครื่องบินแบบดาโกต้า

กองทัพอากาศ

ไถลออกนอกรันเวย์ขณะฝึกบิน นักบินสองนายไม่บาดเจ็บ

10 มิ.ย. 2560

เครื่องบิน NAX-1

กองทัพเรือ

ลงจอดฉุกเฉินนอกชายฝั่ง บางส่วนจมน้ำ นักบินบาดเจ็บหนึ่งนาย

14 ม.ค. 2560

เครื่องบินขับไล่ ยาส39ซี กริพเพน

กองทัพอากาศ

ตกระหว่างการแสดงทางอากาศในวันเด็กที่ฐานทัพอากาศหาดใหญ่ นักบินเสียชีวิตหนึ่งนาย

16 ก.ย. 2559

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพบก

กระแทกพื้นและเพลิงลุกไหม้ที่ฐานทัพพิเศษ จ.นราธิวาส บาดเจ็บ 4 นาย

25 ส.ค. 2559

ฮ. Bell 212

ตำรวจ

ลงจอดแบบฉุกเฉินในป่าบริเวณ อ.ธารโต จ.ยะลา บาดเจ็บสาหัส 4 นาย

14 ส.ค. 2559

ฮ. UH 72A ลาโคต้า

กองทัพบก

ชนกับหน้าผาบนดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ เสียชีวิต 5 นาย

25 มิ.ย. 2559

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพอากาศ

หายจากจอเรดาร์ขณะอยู่บริเวณเขาชะเมาและเขาวงกต จ.จันทบุรี พบซากอีกครั้งในหุบเขา เสียชีวิต 3 นาย

15 มิย 2559

ฮ. UH 1H HUEY

กองทัพบก

ตกกระแทกพื้นระหว่างลงจอดที่ดอยหัวม้า จ.แม่ฮ่องสอน ไม่มีผู้บาดเจ็บ

15 ต.ค. 2558

ฮ. Bell 205A

ตำรวจ

ลงจอดฉุกเฉินในป่ากล้วยใกล้ ต.แม่จันทร์ จ.ตาก หลังจากเครื่องยนตร์ขัดข้อง ไม่มีผู้บาดเจ็บ

26 มิ.ย. 2558

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพอากาศ

ลงจอดฉุกเฉิน ต.หนองไฮ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ไม่มีผู้บาดเจ็บ

24 มิ.ย. 2558

เครื่องบินขับไล่ GD F-16A ADF

กองทัพอากาศ

เครื่องติดแล้วดับ พุ่งแล้วไหลลงคูน้ำ นักบินดีดตัวออกมาได้

20 มี.ค. 2558

เครื่องบินลำเลียง Basler BT-67

กองทัพอากาศ

ยางแตกขณะลงจอดแล้วไถลออกจากรันเวย์ เครื่องบินกลับมาใช้งานได้ในวันเดียวกัน ไม่มีผู้บาดเจ็บ

20 ก.พ. 2558

เครื่องบินขับไล่ GD F-16A AF

กองทัพอากาศ

ตกที่ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ขณะฝึกยิงมิสไซล์ นักบินเสียชีวิต 1 นาย

29 ม.ค. 2558

ฮ. Bell 212

กองทัพบก

ลงจอดฉุกเฉินที่โรงเรียนใน จ.อ่างทองและ จ. กาญจนบุรี เนื่องจากเครื่องยนตร์ขัดข้อง ไม่มีผู้บาดเจ็บ

27 ม.ค. 2558

เครื่องบินลำเลียง Basler BT-67

กองทัพอากาศ

วิ่งออกนอกรันเวย์ขณะลงจอดที่ จ.ลพบุรี ไ่ม่มีผู้บาดเจ็บ

20 ม.ค. 2558

เครื่องบินลำเลียง Basler BT-67

กองทัพอากาศ

ไถลออกนอกรันเวย์ที่ จ.ลพบุรี ไม่มีผู้บาดเจ็บ

21 ธ.ค. 2557

ฮ. Jet Ranger

กองทัพบก

ตกที่ อ.เมือง จ.ยะลา เนื่องจากสาพอากาศไม่ดี บาดเจ็บ 4 นาย

17 พ.ย. 2557

ฮ. Bell 212

กองทัพบก

ตกและถูกทำลายด้วยไฟในป่ายางที่ ต.ท่าวังทอง เสียชีวิต 9 นาย

13 พ.ย. 2557

ฮ. Bell UH-1H

ตำรวจ

ตกจากความสูง 10-20 ม. หลังขึ้นบินจากจุดจอด ผู้โดยสาร (พยาบาล) บาดเจ็บ 2 ราย

5 ก.ย.

เรือเหาะ sky dragon

กองทัพบก

ลงจอดฉุุกเฉินที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ไม่มีผู้บาดเจ็บ

14 มี.ค. 2557

เครื่องบินฝึก Aero L-39ZA

กองทัพอากาศ

ไถลออกจากรันเวย์ระหว่างลงจอดฉุกเฉิน ลูกเรือ 2 คนไม่บาดเจ็บ

19 ก.พ. 2557

เครื่องบินฝึก CT/4E

กองทัพอากาศ

ลงจอดฉุกเฉินแถวกำแพงแสน ลูกเรือ 2 คนไม่บาดเจ็บ

3 ก.พ. 2557

ฮ. Schweizer TH-300C

กองทัพบก

ลุกไหม้และถูกทำลายขณะลงจอดที่ จ.นครศรีธรรมราช

13 ธ.ค. 2556

เครื่องบินโจมตี-ธุรการ Fairchild AU-23A

กองทัพอากาศ

ได้รับรายงานอุบัติเหตุ

9 ต.ค. 2556

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพบก

ตกลงในคลองน้ำ ต.เทพา จ.สงขลา หลังบินชนสายไฟฟ้าแรงสูงขณะบินตรวจสอบอาคารส่งไฟฟ้าแรงสูงระห่าง จ.ปัตตานีและสาม อ. ของจ.สงขลา ลูกเรือบาดเจ็บ 1 คนจากทั้งหมด 10 คน

27 ส.ค. 2556

เครื่องบินฝึก Aero L-39ZA

กองทัพอากาศ

รังเพลิงระเบิดขณะพยายามแก้ปัญหากระสุนติดขัดที่สนามบินอู่ตะเภา เสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 3

20 ก.ค. 2556

เครื่องบินโจมตี-ธุรการ AU-23A

กองทัพอากาศ

ได้รับรายงานการตก

17 มิ.ย. 2556

ฮ. UH-1H

กองทัพบก

ตกในสระน้ำบริเวณ อ.บ้านนา จ.นครนายก หลังจากใบพัดส่วนหางติดขัด ลูกเรือบาดเจ็บ 5 จากทั้งหมด 8 คน

13 ธ.ค. 2555

เรือเหาะ Aeros 40D Airship

กองทัพบก

ได้รับความเสียหายที่ จ.ปัตตานี

30 เม.ย. 2555

เครื่องบินเล็ก ATR-72

กองทัพอากาศ

ลื่นออกจากรันเวย์ขณะลงจอดที่บังกลาเทศขณะฝึกบินจากกรุงเทพฯ ไปยังนิวเดลีจากกรุงดักกา บังกลาเทศ ลูกเรือบาดเจ็บ 2 จากทั้งหมด 15 คน

23 มี.ค. 2555

เครื่องบินโจมตี-ธุรการ Fairchild AU-23A

กองทัพอากาศ

ลงจอดฉุกเฉินที่ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี นักบิน 2 นายไม่บาดเจ็บ ช่างบาดเจ็บเล็กน้อย 1 คน

16 ธ.ค. 2554

ฮ. Bell 212

กองทัพเรือ

ใบพัดส่วนหางเสียหายโดยกระสุนปืนกลจากชายแดนกัมพูชาขณะขนส่งอาหารให้ทหารห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 50 ม.

27 ก.ค. 2554

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพอากาศ

ลงจอดฉุกเฉินที่ทุ่งนาใน จ.อุดรธานี ไม่มีผู้บาดเจ็บ

24 ก.ค. 2554

ฮ. Bell 212

กองทัพบก

ใบพัดส่วนหางเสียหาย เสียการควบคุม จากนั้นก็ตกและลุไหม้ใกล้ๆ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานขณะบินปฏิบัติภารกิจรับศพของผู้เสียชีวิตจาก ฮ.แบล็คฮอว์คที่ตกเมื่อ 19 ก.ค. 2554 มีผู้เสียชีวิต 3 บาดเจ็บ 1

19 ก.ค. 2554

ฮ. UH-60L Black Hawk

กองทัพบก

ตกในพม่าหลังข้ามจากชายแดนบริเวณอุทยานฯ แก่งกระจานเนื่องจากอากาศย่ำแย่และมีฝนตกหนัก เสียชีวิต 9 ราย (บินทำภารกิจนำทหารที่เสียชีวิตจากเหตุ ฮ.ตก เมื่อ 16 ก.ค. 2554 ตอนอากาศแย่ ฮ. สองลำที่ฏิบัติภารกิจถอยกลับ)

16 ก.ค. 2554

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพบก

ตกในอุทยานฯ แก่งกระจานขณะลงจอดขณะมีลมพายุ หลังได้รับภารกิจไปรับทหารที่ติดอยู่ ณ ที่หมาย มีผู้เสียชีวิต 5 ราย

2554

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพบก

พบซากห่างจากทิศใต้ของ สปป. ลาว 3 กม. เมื่อ 11 พ.ย. 2554

14 ก.พ. 2554

เครื่องบินขับไล่ GD F-16A ADF 2 ลำ

กองทัพอากาศ

เครื่องบิน F-16 สองลำชนกันกลางอากาศขณะร่วมฝึกซ้อมรบคอบร้า โกลด์ 2554 ที่ จ.ชัยภูมิ นักบินสองคนดีดตัวออกมาได้

11 ม.ค. 2554

ฮ. Bell 205A-1

ตำรวจ

ลงจอดฉุกเฉินที่ทุ่งนา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ขณะสำรวจเส้นทางขบวนเสด็จฯ แต่ลงจอดอย่างรุนแรงและได้รับความเสียหาย มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย

18 ต.ค. 2553

เครื่องบินขับไล่ F-16A

กองทัพอากาศ

ตกขณะบินฝึกบนเส้นทางตาคลีไปเชียงใหม่ เสียชีวิต 1 ราย

17 มิ.ย. 2553

เครื่องบินฝึก CT/4 Airtrainer

กองทัพอากาศ

ตกในทุ่งนาบริเวณ อ.พนมทวน บาดเจ็บ 2 ราย

23 ธ.ค. 2552

เครื่องบินขับไล่ Northrop F-5E

กองทัพอากาศ

ตกที่ จ.อุบลฯ นักบินเสียชีวิต 1 ราย

14 ก.ย. 2552

เครื่องบินขับไล่ GD F-16B

กองทัพอากาศ

ได้รับความเสียหายขณะลงจอด

31 ส.ค. 2552

ฮ. Jet Ranger

กองทัพบก

เครื่องดับขณะบินตรวจวัตถุระเบิดี่ อ.หาดใหญ่ ลงอจอดบริเวณทุ่งนาแล้วล้มกลิ้ง ไม่มีผู้บาดเจ็บ

6 มี.ค. 2552

เครื่องบินโจมตีและลำเลียง Nomad

กองทัพอากาศ

ตกหลังจากบินขึ้นจากโคกกระเทียม จ.ลพบุรี เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย

4 ต.ค. 2551

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพอากาศ

ตกขณะอากาศย่ำแย่และมีลมแรงบริเวณยอดภูกระดึง จ.เลย บาดเจ็บ 3 จาก 5

6 ส.ค. 2551

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพอากาศ

ตกขณะบินขนส่งนายทหารระดับสูงไปประชุมด้านความมั่นคงใน อ.เบตง เสียชีวิต 10 ราย

20 มิ.ย. 2551

ฮ. Bell UH-1H

กองทัพบก

เครื่องยนต์ขัดข้องและตกบริเวณหุบเขาขณะพยายามลงจอดใน จ.ยะลา เสียชีวิต 10 ราย

21 พ.ค. 2551

เครื่องบิน Cessna T-41B หรือ Maule MX-7

กองทัพบก

ตกใน มทบ. 9 จ.กาญจนบุรีหลังบินมาจากศูนย์การบินกองทัพบก จ.ลพบุรี บาดเจ็บสาหัส 3 ราย

23 ม.ค. 2551

ฮ. Schweizer TH-300C

กองทัพบก

ตกในทุ่งนา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษขณะฝึกบิน บาดเจ็บ 2 ราย

ที่มาข่าว: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์สำนักข่าวไทย

ที่มาข้อมูล: Thai Aviation WebsiteไทยรัฐThai PBSมติชน

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 9-15 ก.ค. 2561

$
0
0

เร่งปั้้นอาชีวะอีก 5 ปี ต้องการ 2 ล้านคน/เตือนนายจ้างจัดประชุมคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง/โรงงานผลิตไก่ส่งนอกไฟไหม้ที่โคราชยันจ้างพนักงานทั้ง 500 กว่าคนเหมือนเดิม ขณะที่ผู้บาดเจ็บปลอดภัยทุกคนแล้ว/อธิบดีคุ้มครองสิทธิฯ บินเกาหลีทำบันทึกข้อตกลงคุ้มครองแรงงานกว่าแสนราย กรณีต้องคดีอาญา-ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม

เร่งปั้้นอาชีวะอีก 5 ปี ต้องการ 2 ล้านคน

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการอาชีวะ 4.0 ศักยภาพแห่งอนาคต หรือ TVET 4.0 จัดโดยโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลมีนโยบายให้เร่งผลิตและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาทั้งปริมาณและคุณภาพเพื่อให้ตรงกับความต้องการในสาขาการผลิตต่างๆ โดยเฉพาะใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve และประเทศไทย 4.0 ซึ่งจะต้องเน้นทั้งความรู้ในด้านทักษะวิชาชีพ ที่ต้องผ่านการเรียนรู้ ฝึกประสบการณ์การทำงานจริงกับเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย ตรงนี้จะต้องร่วมมือกับผู้ประกอบทุกภาคส่วนในการมาร่วมจัดการศึกษา ซึ่งทำให้นักศึกษาที่เรียนจบการศึกษาสามารถทำได้งานทันทีโดยไม่ต้องไปผ่านการฝึกอบรมใหม่ 

พล.อ.อ.ประจิน กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีแรงงานประมาณ 35-40 ล้านคน แต่พบว่าแรงงานที่จบอาชีวศึกษาและมีทักษะวิชาชีพ ประมาณ 6-8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน ร้อยละ 15 เท่านั้น ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแรงงานทักษะฝีมือมากถึง ร้อยละ 40-50 เพราะฉะนั้น เรายังมีช่างเทคนิคที่มีทักษะวิชาชีพน้อยเกินไปจึงต้องเร่งสปีดในการผลิต ที่ต้องให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ ซึ่งถ้ารอเพียงการผลิตในระบบการศึกษาคงไม่เพียงพอและไม่ทันกับความต้องการของประเทศที่ จึงต้องสร้างเครือข่ายร่วมกันพัฒนาแรงงานที่มีอยู่ให้มีทักษะเพิ่มขึ้น ซึ่งภายในระยะเวลา 5 ปีความต้องการแรงงานทักษะวิชาชีพของประเทศอยู่ที่ 2 ล้านคน

“การร่วมมือกันสร้างและผลิตกำลังคนต้องอาศัยการร่วมมือทั้งภาคการศึกษาและผู้ประกอบการซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่ทำให้เกิดการทำงานที่เป็นภาพใหญ่ ดังนั้น ผู้บริหารวิทยาลัยจะไม่ใช่แค่บริหารสถานศึกษา หรือดูแค่หลักสูตร แต่ต้องสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครอง ภาคประกอบการในการร่วมขับเคลื่อน สร้างกำลังคน ตรงนี้จะช่วยให้การผลิตกำลังคนเพื่อพัฒนาประเทศและตอบสนองความต้องการของกลุ่ม S-Curve ของประเทศประสบความสำเร็จ”รองนายกฯ กล่าว

ด้าน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาฯ กอศ.) กล่าวว่า สอศ.เร่งดำเนินการผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งภาพรวมแนวโน้มดีขึ้น โดยในปีการศึกษา 2561 สัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 39.70 และสายสามัญ ร้อยละ 60.30 ขณะที่ตามนโยบายรัฐบาลต้องการเพิ่มสัดส่วนสายอาชีพและสามัญอยู่ที่ 50:50 ซึ่ง สอศ. กำลังเร่งสร้างความเข้าใจและแรงจูงใจเพื่อเพิ่มผู้เรียนสายอาชีพมากขึ้น ขณะที่ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่ภายใน 5 ปี ต้องการกำลังคนจำนวน 2 ล้านคน อยู่ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของรัฐบาล เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งแต่ละภูมิภาคจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน อย่างกลุ่มพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ก็จะมีความต้องการกำลังคนกลุ่มอุตสาหกรรม

“ภายใน 5 ปีนี้จะต้องผลิตกำลังคนให้ได้ตามความต้องการของรัฐบาล และการดำเนินการจะมีการผลิตใน 2  ระบบ คือ การเรียนในระบบ ที่ผลิตกำลังคนได้ปีละ 2 แสนคน และหลักสูตรระยะสั้น ซึ่งหลักสูตรระยะสั้นสามารถผลิตกำลังคนได้ถึง 1.2 ล้านคนต่อปี ซึ่งก็จะพยายามเร่งดำเนินเพิ่มผู้เรียนมากขึ้น และการพัฒนาเชิงคุณภาพได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงโครงการ “Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต” ในการร่วมกันพัฒนาทักษะครูและนักเรียนอาชีวะอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาค โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558  ซึ่งทำได้กว่า 2 แสนคนแล้วและคงจะมีความร่วมมือกันต่อไป”เลขาฯ กอศ. กล่าว

นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า โครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต เป็นการทำงานร่วมกับ 7 องค์กรภาครัฐ ตามแนวนโยบาย “รัฐร่วมเอกชน” ในระยะเวลา 5 ปี(2558-2563) ภายใต้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท มุ่งตอบโจทย์ความต้องการแรงงานของผู้ประกอบการ และพัฒนาขีดความสามารถของเยาวชน โดยนำกระบวนการสอนรูปแบบสะเต็ม (STEM) ไปสู่ระบบการศึกษาทั้งสายสามัญและสายอาชีพครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งพลังคนสาขาสะเต็มจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เข้าสู่ปีที่ 4 ของโครงการได้ขับเคลื่อนงาน 3 ส่วน คือ การจัดตั้งศูนย์สะเต็มในโรงเรียนมัธยมศึกษา 12 แห่ง,การจัดตั้งศูนย์การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ หรือ TVET Hub จำนวน 6 ศูนย์ทั่วประเทศเพื่ออบรมพัฒนาครู แรงงานนักเรียนอาชีวะเป้าหมายเพื่อผลิตช่างเทคนิคในกลุ่มอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ แปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมพลังงาน เป็นต้น และการสร้างการเรียนรู้ ความร่วมมือในการพัฒนาการเรียนรู้สะเต็มและอาชีวศึกษา โดยขณะนี้มีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 9 แสนคน

“หัวใจสำคัญในการผลิตช่างเทคนิคที่มีศักยภาพ คือ การเพิ่มและเติม 2S คือ STEM และ SKILLs หมายถึง การเพิ่มองค์ความรู้ด้านสะเต็ม และเติมทักษะวิชาชีพให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่แก่ครูอาชีวะเพื่อนำไปถ่ายทอดและผลิตช่างเทคนิครุ่นใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องมีตรรกะการคิด คำนวณ วิเคราะห์ และ สื่อสาร ได้หลายภาษา รวมถึงมีภาวะผู้นำและทักษะการเข้าสังคมควบคู่ทักษะการควบคุมเครื่องจักรกลสมัยใหม่” นายอาทิตย์ กล่าว

ที่มา: ไทยโพสต์, 14/7/2561

เตือนนายจ้างจัดประชุมคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายลูกจ้างที่มาจากการเลือกตั้งอย่างน้อย 5 คน มีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษา เสนอแนะ และร่วมหารือกับนายจ้างเพื่อจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้าง

นอกจากนี้กฎหมายยังได้กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่จัดให้มีการประชุมหารือกับคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการอย่างน้อย 3 เดือนต่อหนึ่งครั้ง หรือเมื่อกรรมการฯ เกินครึ่งหนึ่งหรือสหภาพแรงงานร้องขอโดยมีเหตุผลอันสมควร ทั้งนี้หากไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 14/7/2561

โรงงานผลิตไก่ส่งนอกไฟไหม้ที่โคราชยันจ้างพนักงานทั้ง 500 กว่าคนเหมือนเดิม ขณะที่ผู้บาดเจ็บปลอดภัยทุกคนแล้ว

ความคืบหน้า กรณีที่เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา เกิดเหตุไฟไหม้โรงงาน แวนการ์ด ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ภายในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี ต.หนองบัวศาลา อ.เมือง จ.นครราชสีมา  ซึ่งไฟได้ลุกไหม้จนทำให้อาคารผลิตอาหารประเภทไก่ เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ พังเสียหายหมดทั้งหลัง ส่งผลให้พนักงานที่ทำงานอยู่ในโรงงานกว่า 500 คน ไม่มีที่ทำงานนั้น

นายปรีชา อินทรชาธร จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดเหตุไฟไหม้โรงงาน แวนการ์ด ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตนเองก็รู้สึกเป็นห่วงพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ จึงได้ได้สอบถามไปยังโรงงานฯ และได้รับการยืนยันจากโรงงานแล้วว่า ทางโรงงานยังจ้างพนักงานทั้งหมดเหมือนเดิม

โดยระหว่างที่โรงงานปรับปรุงอาคารผลิตอาหารส่งออก ซึ่งคาดว่าประมาณ 2-3 เดือน ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเยียวยาพนักงานทั้งหมดอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ หลังจากที่ปรับปรุงอาคารเสร็จแล้ว ก็พร้อมที่จะให้พนักงานทั้งหมดเข้ามาทำงานได้ตามปกติ ส่วนพนักงานคนใดที่จะลาออกไป ก็จะได้รับเงินประกันการว่างงาน 3 เดือน ตามกฎหมาย โดยช่วงที่ว่างงานทางสำนักงานจัดหางานจังหวัด ก็จะหาตำแหน่งงานว่างมาให้เลือก เพื่อที่จะสมัครเข้าทำงานใหม่ได้ทันที นายปรีชาฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับพนักงานที่วิ่งหนีตาย จนเกิดการล้มเหยียบกันได้รับบาดเจ็บหลายสิบรายนั้น ขณะนี้ทุกคนปลอดภัยดีแล้ว ยังเหลือเพียง 6 ราย ประกอบไปด้วย เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 2 ราย และพนักงานโรงงาน 4 ราย ที่สำลักควันไฟ นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และโรงพยาบาล ป.แพทย์ ซึ่งทั้งหมดอาการปลอดภัยแล้ว คาดว่าจะสามารถกลับบ้านได้ภายในวันนี้ (13 ก.ค. 2561)

ส่วนสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 3 กำลังเก็บรวบรวมหลักฐาน พร้อมทั้งอยู่ระหว่างสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งคาดว่าจะทราบสาเหตุที่แท้จริงภายในสัปดาห์หน้า

ที่มา: คมชัดลึก, 13/7/2561

อธิบดีคุ้มครองสิทธิฯ บินเกาหลีทำบันทึกข้อตกลงคุ้มครองแรงงานกว่าแสนราย กรณีต้องคดีอาญา-ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2561 น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม  กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานชาวไทยเดินทางไปทำงานในประเทศเกาหลีมากกว่าแสนคน ตนจึงเดินทางไปทำบันทึกข้อตกลงกับอธิบดีแรงงานของสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อขอให้มีการคุ้มครองแรงงานไทยในกรณีที่มีปัญหาต้องคดีอาญาหรือตกเป็นเหยื่อถูกทำร้ายร่างกาย ควรได้รับการเยียวยาตามกฎหมายของประเทศเกาหลี เช่นเดียวกับคนเกาหลีที่เดินทางมาทำงานในประเทศไทยก็จะได้รับการดูแลตามกฎหมายของไทยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม กฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ จะให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้ที่เข้าเมืองโดยถูกต้องเท่านั้น

น.ส.ปิติกาญจน์ กล่าวถึงการเสนอให้องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เพิกถอนรายชื่อบุคคลสูญหายในประเทศไทยจาก 82 รายชื่อ เหลือ 78 รายชื่อ ว่า คณะทำงานสหประชาติว่าด้วยการบังคับหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ( WG). ระบุว่ายูเอ็นไม่จำเป็นต้องเพิกถอนรายชื่อ เพราะคณะทำงานอาจเก็บรายชื่อไว้ก่อน เมื่อญาติของผู้สูญหายแสดงความประสงค์ว่าไม่ติดใจสงสัยแล้ว จึงจะเพิกถอนรายชื่อ

ทั้งนี้ผู้ที่ถูกระบุในบัญชีรายชื่อผู้สูญหายจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 35 ซึ่งติดตามตัวพบจำนวน 4 ราย โดย 2 รายยังมีชีวิตอยู่และอีก 2 ราย เสียชีวิตหลังผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้วถึง 10 ปี จึงต้องให้ญาติแสดงความจำนงว่าไม่ติดใจสงสัย ส่วนรายชื่อบุคคลสูญหายที่เหลือจำนวนหนึ่งเป็นผู้สูญหายจากการประกาศสงครามกับยาเสพติด ปี 2546 จำนวน 38 ราย. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนเผ่าในพื้นที่ภาคเหนือ

ที่ผ่านมากรมคุ้มครองสิทธิฯได้ลงพื้นที่พบปะครอบครัวของผู้สูญหาย โดยญาติไม่ได้ติดใจสงสัย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ปรากฏในคำสั่งศาล ส่วนที่เหลือเป็นผู้สูญหายจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าญาติจะไม่ติดใจหรือข้องใจกับการหายตัวไปของคนในครอบครัว แต่กรมคุ้มครองสิทธิฯยังต้องลงพื้นที่เพื่อให้ญาติยืนยันเจตนาเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนเสนอให้ยูเอ็นเพิกถอนจากบัญชีรายชื่อ

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 12/7/2561

ย้ำแรงงานต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงานผิด กม.ฟันนายจ้างไปแล้ว 115 ราย

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน ได้บูรณาการปราบปรามแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย  โดยจัดชุดปฏิบัติการ 113 ทีม ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ที่ออกตรวจตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมและดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย หลังปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) กันอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้  ดังนั้น จึงขอแนะนำนายจ้างว่าหากยังมีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่กับตนเองโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ให้รีบส่งกลับประเทศโดยด่วน อย่าจ้างต่ออีกเป็นอันขาด เพราะมีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องถูกดำเนินคดีมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวก็จะมีความผิด มีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างจำเป็นจะต้องจ้างแรงงานต่างด้าว สามารถจ้างได้แต่ต้องเป็นแรงงานที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีใบอนุญาตทำงานจากกรมการจัดหางานเท่านั้น โดยแรงงาน 3 สัญชาติคือ เมียนมา ลาว กัมพูชา สามารถเข้ามาทำงานได้ตามระบบ MOU

ด้านนายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขณะนี้ชุดปฏิบัติการทั้ง 113 ชุด ได้ตรวจสอบนายจ้าง/สถานประกอบการไปแล้วจำนวน 1,248 ราย/แห่ง จับกุมดำเนินคดีไปแล้ว 115 ราย/แห่ง ขณะที่ตรวจสอบแรงงานต่างด้าวไปแล้วจำนวน 24,943 คน จับกุมดำเนินคดีไปแล้ว 641 คน ส่วนใหญ่เป็นเมียนมา 347 คน รองลงมาเป็นกัมพูชา 187 คน ลาว 55 คน เวียดนาม 34 คน และอื่นๆ 18 คน ตามลำดับ ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นคนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายหรือพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือโทร.0 2354 1729  สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทร. สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ที่มา: ข่าวสด, 12/7/2561

เพลิงไหม้โรงงานแปรรูปไก่ส่งออก โคราช คนงานวิ่งหนีอลหม่าน คาดเสียหายนับสิบล้าน

เมื่อเวลาประมาณ 10.40 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 2561 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารภายในโรงงานของบริษัท แวนการ์ด ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ภายในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี ต.หนองบัวศาลา อ.นครราชสีมา จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแปรรูปอาหารสัตว์ส่งออกต่างประเทศ เช่น ไก่ย่าง ไก่ทอด และไก่แช่แข็ง เป็นต้น

โดยต้นเพลิงเกิดขึ้นบริเวณภายในห้องย่างไก่ของอาคารฝ่ายผลิต ซึ่งขณะเกิดเหตุมีพนักงานกำลังทำงานอยู่ภายในอาคารโรงงานหลายร้อยคน พนักงานทั้งหมดจึงพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดออกมาจากอาคารอย่างอลหม่าน เบื้องต้นมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสำลักควันไฟรวม 4 ราย ล่าสุดทั้งหมดอาการปลอดภัยแล้ว

ซึ่งในเวลาต่อมา นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ นายอำเภอเมืองนครราชสีมา ได้เดินทางไปตรวจสอบโรงงานที่เกิดเหตุ พร้อมสั่งการให้ระดมเจ้าหน้าที่และรถดับเพลิงจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้เคียงรวมกว่า 20 คัน เข้าฉีดน้ำควบคุมเพลิง ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง จึงสามารถควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดได้ เบื้องต้นคาดว่ามูลค่าความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้หลายสิบล้านบาท

นางช้อย กรอบกระโทก พนักงานฝ่ายผลิตของโรงงานที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนกำลังทำงานย่างไก่อยู่ภายในอาคาร ทันใดนั้นตนก็เห็นควันไฟพวยพุ่งอยู่บริเวณด้านบนหลังคาเพดาน ทำให้พนักงานที่ทำงานอยู่รีบพากันวิ่งหนีออกจากอาคาร จากนั้นไม่นานเปลวไฟก็ได้โหมลุกลามไหม้อย่างรุนแรง โชคดีที่ตนและพนักงานคนอื่นๆ วิ่งหนีออกมาได้ทัน

นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ นายอำเภอเมืองนครราชสีมา เปิดเผยว่า สาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากระบบเครื่องจักรภายในโรงงานมีปัญหา หรือไม่ก็เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งขณะเกิดเหตุมีพนักงานที่กำลังทำงานเห็นกลุ่มควันไฟ ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมจึงรีบตัดระบบไฟฟ้าและระบบแก๊สภายในโรงงานทั้งหมด ก่อนจะรีบเคลื่อนย้ายพนักงานทั้งหมดออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานว่าขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้มีคนงานทำงานอยู่ภายในโรงงานกว่า 400 คน และมีรายงานผู้ที่สำลักควันไฟหลายคน แต่โชคดีที่คนงานทั้งหมดปลอดภัย ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงชีวิต

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 12/7/2561

กสร.เน้นคุณภาพพนักงานตรวจแรงงาน แก้ปัญหาค้ามนุษย์

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้กลไกสำคัญประการหนึ่งในการดำเนินการดังกล่าวคือพนักงานตรวจแรงงาน ซึ่งทำหน้าที่ในการกำกับดูแลให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กสร.ได้จัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฏหมายแก่พนักงานตรวจแรงงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจในกฏหมายที่เกี่ยวข้อง แนวทางการสอบข้อเท็จจริงและการเขียนคำสั่ง รวมถึงเทคนิคและจิตวิทยาในการสร้างความรู้และความเข้าใจกับนายจ้าง ลูกจ้าง ในการปฏิบัติตามสิทธิ หน้าที่ที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้การดำเนินการในการคุ้มครองแรงงานเกิดผลสัมฤทธิ์ และส่งผลให้การดำเนินการและป้องกันและแก้ไขการค้ามนุษย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายอนันต์ชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมพนักงานตรวจแรงงานเชิงคุณภาพในครั้งนี้ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 14 กรกฎาคม 2561 โดยมีพนักงานตรวจแรงงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคเข้ารับการอบรม จำนวน 50 คน ทั้งนี้ กสร.ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุดสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว กรมสุขภาพจิต มาร่วมให้ความความรู้แก่พนักงานตรวจแรงงานในครั้งนี้ด้วย

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ,12/7/2561

จิตแพทย์-นักจิตวิทยา-พยาบาลจิตเวช บุกสธ. ร้องโครงสร้างใหม่ ถูกลดอัตราแต่งานเพิ่ม

วันที่ 9 ก.ค. 2561 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) สมาพันธ์สหวิชาชีพทางจิตเวช ยาเสพติด สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.) ประกอบด้วยจิตแพทย์ พยาบาลจิตเวชและนักจิตวิทยา รวมตัวเรียกร้องขอให้ผู้บริหารสธ.เห็นใจ และปรับโครงสร้างสร้างอัตรากำลังกลุ่มงานจิตเวชอย่างเป็นธรรม เพราะกระทบขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสังกัด สธ. ทุกระดับ

นพ.สุเมธ ฉายศิริกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมสาขาจิตเวช ร.พ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากกรอบโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาล่าสุดนั้น พบว่าไม่มีกรอบกำลังกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชน(รพช.) ทำให้ผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่ต้องได้รับการรักษาขาดคนดูแลต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเราพยายามดูแลคนไข้ตามบริบทของรพช. ตามอัตรากำลังที่มีอยู่ โดยดูแลตั้งแต่ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ป่วยวิตกกังวล ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือผู้ป่วยยาเสพติด ผู้ป่วยฆ่าตัวตาย ซึ่งดำเนินการโดยพยาบาลจิตเวช

แต่ปัจจุบันสิ่งที่ สธ. ออกโครงสร้างอัตรากำลังกลับไม่มีกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ทำให้ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานสูญเสียไป จากกรอบอัตรากำลังใหม่นั้น ทำให้มีการเอางานจิตเวชออกไป ส่งผลให้ผู้ป่วยจิตเวชขาดคนดูแลเพียงพอ ทั้งๆที่เป็นกลุ่มงานที่อ่อนไหว ซึ่งที่ผ่านมาเรามีพยาบาลจิตเวชดูแลคนไข้อยู่ แต่ล่าสุดกลับให้ไปทำอย่างอื่น กระทรวงกำลังจะลอยแพคนไข้จิตเวชและยาเสพติด

“จริงๆ กระทรวงตั้งคณะทำงานเรื่องกรอบอัตรากำลังตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2561 ซึ่งเราได้เสนอไปยังกองทรัพยากรบุคคลตั้งแต่ 10 เมษายน 2561 แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับไม่ได้รับการพิจารณา แปลว่างานที่พวกเราทำมาตลอดไม่ได้เดินหน้าต่อ พวกเราจึงต้องมาเรียกร้องว่า เพราะอะไรการทำงานของเรา จึงไม่ได้รับการดำเนินงานต่อ เพราะอะไร มีการดึงเรื่องหรือไม่ หรือไปขัดใคร การมาครั้งนี้จึงมาทวงถามและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ว่า เราจะทำงานอย่างไรต่อไป และพวกเราจะได้รับการดูแลอย่างไร ซึ่งขณะนี้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ ขณะที่โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป(รพศ./รพท.) ก็ได้รับผลกระทบ เพราะลดอัตรากำลังลงเช่นกัน ยกตัวอย่าง โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี มีจิตแพทย์ 5 คน กรอบโครงสร้างใหม่ให้มี 3 คน ส่วนอีก 2 คนก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน หรือพยาบาลจิตเวช ก็ถูกลดอัตรากำลัง และย้ายให้ไปทำส่วนอื่นๆ ทั้งๆที่ภาระงานด้านนี้เยอะ และพวกเขาก็เรียนมาด้านนี้” นพ.สุเมธ กล่าว

นพ.สุเมธ กล่าวว่า พวกเราต้องการให้กระทรวงเห็นความสำคัญ อย่าลอยแพพวกเรา และเร่งดำเนินการอย่างเป็นธรรมที่สุด ซึ่งหากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ในอีก 1-2 เดือน พวกเราจะมาทวงถามอีก

ด้านพญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องที่มีการเรียกร้องจริงๆแล้วอยู่ในแผนจัดทำอัตรากำลังที่มีการประกาศไปตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2560 ซึ่งทำความเข้าใจ และกำหนดว่าเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม ให้แต่ละร.พ.ดำเนินการจัดคนลงกรอบตามที่ประกาศ แต่มีบางหน้างานที่ไม่พอเหมาะกับกำลังคนที่มีอยู่จึงมีการเสนอขึ้นมาใหม่ กลุ่มงานจิตเวชก็เป็นกลุ่มงานหนึ่งที่เสนอมาตั้งแต่การประกาศกรอบครั้งแรก มีคณะทำงานร่วมกันตลอด ซึ่งเวลางวดเข้ามาแล้ว

รองปลัดสธ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ คงเป็นธรรมชาติที่พอเปลี่ยนโครงสร้างใหม่อาจจะกระทบกับการปฏิบัติงานบ้าง แน่นอนว่ากลุ่มงานจิตเวชเดินหน้ามาได้ไกล สามารถสร้างคนทำงานลงไปครอบคลุมถึงระดับชุมชน ซึ่งมีหลายขนาด ตั้งแต่ระดับ 10-120 เตียง แต่ในแต่ละระดับก็ไม่สามารถทำให้มีกรอบเหมือนกันทั้งหมด ซึ่งโดยข้อเสนอต้องการให้แยกกลุ่มงานชัดเจน จึงมี 2 แนวทางที่คิดไว้คือ ร.พ.ขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะมีกรอบอัตรากำลังที่สามารถเกลี่ยกันได้ แต่รพ.ขนาดเล็กต้องพิจารณาหลายอย่าง ทั้งเรื่องจำนวนคนทำงาน และความก้าวหน้าของคนทำงานด้วย ต้องออกแบบแล้วในที่สุดทุกคนได้ประโยชน์

“ดังนั้นเราจะค่อยๆ ไล่ดูทีละระดับของร.พ.ชุมชน ตั้งแต่ขนาดใหญ่ ลงไปขนาดเล็กเพื่อให้ออกแบบได้พอเหมาะกับขนาดของร.พ. ซึ่งจริงๆ คณะทำงานทำเสร็จแล้ว เพียงแต่มีห้วงเวลาว่าช่วงเดือนมิถุนายน –กรกฎาคม เราดำเนินการให้คน 4 แสน บุคลากรทุกวิชาชีพกว่า 4 แสนคนลงไปอยู่ในกรอบให้เรียบร้อย เพื่อมาเกลี่ยกรอบอีกในเดือนสิงหาคม ถ้าร.พ.ใหญ่การแยกคนลงแต่ละร่องงานไม่ยาก แต่ร.พ.ขนาดเล็ก การแยกคนออกไปหลายๆ กล่อง จะมีปัญหาอีกแบบ แต่ยืนยันว่าร.พ.ชุมชนขนาดเล็ก เราเขียนเนื้องานไว้ ไม่ได้แปลว่าเอางานจิตเวชออกไปจากรพ.” รองปลัดสธ. กล่าว และว่า สำหรับปัญหากรอบอัตรากำลังในภาพรวมทุกวิชาชีพนั้นขาดแคลนระดับหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งอยากได้ความก้าวหน้าในการทำงาน กระทรวงก็ต้องบริหารค่อนข้างมาก อย่างวิชาชีพพยาบาลก็กำลังบริการกรอบอัตรากำลังที่เพิ่งได้มาใหม่ ปัจจุบันพยาบาลในกระทรวงมีประมาณ 9.8 หมื่นคน เป็นพยาบาลจิตเวชประมาณ 1.5 พันคน

ที่มา: ข่าวสด, 9/7/2561

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อนอกตีข่าวชาวจีนไม่พอใจทางการไทยแสดงออก 'ปัดความรับผิดชอบ'กรณีเรือนักท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ต

$
0
0
สื่อซีเอ็นเอ็นจากสหรัฐฯ รายงานว่าในขณะที่ทั่วโลกให้ความสนใจกับการช่วยเหลือเด็ก 12 คนและครูฟุตบอลที่ติดอยู่ในถ้ำ ชาวจีนก็แสดงความไม่พอใจต่อทางการไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีวิธีการจัดการกับเหตุเรือท่องเที่ยวจมที่ภูเก็ต 2 ลำเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ราย รวมถึงไม่พอใจคำกล่าวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ชาวจีนมองว่าเป็นการพยายามปัดความรับผิดชอบ

 
 
เหตุการณ์เรือล่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมาใกล้กับเกาะภูเก็ต เหตุเกิดกับเรือ 2 ลำที่ขนนักท่องเที่ยวชาวจีนมากกว่า 120 คนอับปางและจมลงไปในทะเลหลังมีพายุหนักขณะที่เรือกำลังออกจากเกาะ มีนักท่องเที่ยวอีกหลายคนที่ยังคงสูญหายหลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ โดนที่สื่อซีเอ็นรายงานว่าชาวจีนแสดงความไม่พอใจในการจัดการปัญหานี้ของทางการไทย
 
สิ่งที่ทำให้จีนไม่พอใจอย่างหนักคือคำพูดของรองนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่พูดให้สัมภาษณ์ในเชิงกล่าวโทษว่าความผิดพลาดมาจากผู้จัดการทัวร์ชาวจีนเอง ในวิดีโอการให้สัมภาษณ์ของประวิตร ที่มีการแพร่กระจายไปทั่วพร้อมทั้งมีการทำซับไตเติลภาษาจีนมีการพูดว่าอุบัติเหตุในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ชาวจีนกระทำต่อชาวจีนด้วยกันเองและบอกว่าพวกเขาฝ่าฝืนคำเตือนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง รวมถึงพูดในเชิงปัดความรับผิดชอบให้เป็นของกลุ่มนักท่องเที่ยวเอง
 
เรื่องนี้ทำให้ชาวจีนตามโซเชียลมีเดียและหนังสือพิมพ์ของทางการจีนโต้ตอบความคิดเห็นของประวิตร พวกเขาแสดงความไม่พอใจอย่างมากและเรียกร้องให้มีการขอโทษโดยด่วน สื่อไชนาเดลีของทางการจีนระบุว่าความคิดเห็นของประวิตร "ยั่วโมโหและไร้ความรับผิดชอบ"รวมถึงระบุอีกว่าถึงแม้สิ่งที่ประวิตรพูดจะเป็นความจริง แต่รัฐบาลไทยเองก็ไม่สามารถสลัดความรับผิดชอบในการการันตีความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวออกไปได้
 
ทั้งนี้ยังมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีนเว่ยป๋อที่โพสต์ข้อความอ้างอิงจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รายใดเลยที่เตือนไม่ให้พวกเขาแล่นเรือออกจากฝั่งก่อนเชิญกับสภาพอากาศเลวร้ายในทะเล นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามในกรณีที่มีคนบอกว่าลูกเรือไทยทิ้งเรือและผู้โดยสารคนอื่นๆ หลังจากน้ำเข้ามาในเรือ นอกจากนี้ยังมีบางคนบอกว่าผู้รอดชีวิตกับครอบครัวผู้ประสบภัยที่เดินทางมาจากจีนต่างก็เผชิญกับความเคร่งครัดเกินไปและระบบราชการที่ทำให้ล่าช้าในขั้นตอนการระบุตัวญาติผู้เสียชีวิต
 
เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจถึงขั้นทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีนที่มีชื่อเสียงบางคนโพสต์ในทำนองว่า "เดี๋ยวนี้จีนจะถูกข่มเหงรังแกกันง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ ชีวิตของชาวจีนจะปล่อยให้ถูกเหยียบย่ำอย่างไม่สนใจใยดีเช่นนี้น่ะหรือ"ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีนแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากการติดอยู่ในถ่ำ แต่สำหรับเขาแล้วคงไม่อยากเดินทางมาไทยอีก
 
ชาวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยในปีที่แล้วมีสถิติจากทางการไทยระบุว่ามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเกือบ 10 ล้านคน
 
กระแสการต่อต้านเช่นนี้ทำให้รัฐบาลทหารไทยดูจะมีท่าทีอ่อนลงและพยายามควบคุมไม่ความเสียหายลุกลามไปมากกว่านี้ โดยสถานทูตไทยในกรุงปักกิ่งแถลงเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่่ผ่านมาว่าคำพูดของประวิตรอาจจะสร้างความบอบช้ำทางใจให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยและผู้นำทหารของไทยขอแสดงความเสียใจต่อนักท่องเที่ยวในเหตุการณ์ อีกทั้งยังบอกอีกว่าจะ "ปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ให้ดีที่สุด"และ "จะทำงานร่วมกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแบบเดิมขึ้นอีก"
 
ซีเอ็นเอ็นตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากที่สถานทูตไทยออกแถลงการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลจีนก็เริ่มพยายามกลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากในประเทศตัวเองด้วยการโต้แย้งว่าพวกเขากำลังมีปฏิบัติการร่วมกับไทยในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย และกล่าวเน้นว่านายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ จันทร์โอชา ได้เข้าเยี่ยมนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว อีกทั้งยังบอกว่า "ตำรวจไทยกำลังค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุเพื่อหาว่าฝ่ายใดกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุครั้งนี้และจะต้องนำมารับผิดชอบแบบไม่มีการยอมปล่อยไปง่ายๆ"
 
ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นรภัทร ปลอดทอง ให้สัมภาษณ์ต่อซีเอ็นเอ็นว่าทีมของทางการจีนกำลังทำงานร่วมกับทางการไทยในภารกิจกู้ภัยเรือล่มและปฏิเสธจะแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวของประวิตร
 
ถึงจะมีการพยายามแก้ภาพลักษณ์ แต่เหตุที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ชาวจีนบางส่วนมองไทยเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการแสดงออกแบบปัดความรับผิดชอบของรองนายกรัฐมนตรี
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Anger in China over Thailand's handling of deadly boat accident, CNN, 11-07-2018
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมโรงแรมภาคใต้ระบุมีการยกเลิกจองห้องพักแล้ว 7,300 กว่าห้อง

$
0
0
นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ระบุท่องเที่ยวภูเก็ตได้รับผลกระทบหนักจากเหตุเรือล่ม ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตกว่า 47 ราย พบมีการทยอยยกเลิกจองห้องพักแล้ว 7,300 กว่าห้อง หนักกว่าที่ผู้ประกอบการคาดไว้ จี้หน่วยงานรัฐเร่งเรียกความเชื่อมั่นกลับโดยด่วน

 
MGR Online รายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมาว่าจากกรณีเกิดเหตุเรือฟีนิกซ์ล่ม ที่เกาะเฮ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 47 ราย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตแล้ว เนื่องจากการนักท่องเที่ยวจีนขาดความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดภูเก็ตโดยเฉพาะมาตรการบังคับใช้กฎหมายในการอนุญาตเรือออกจากท่าเรือ
 
นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ เปิดเผยถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต ว่า ในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรมจังหวัดภูเก็ตได้เฝ้าติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้มีการสำรวจการยกเลิกการจองห้องพักล่วงหน้าของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งขณะนี้มีโรงแรมที่ได้รับผลกระทบตอบกลับมาแล้ว 19 แห่ง มีการยกเลิกการจองห้องพักในเดือน ก.ค.ถึง ส.ค. นี้แล้ว 7,300 กว่าห้อง ซึ่งโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตมีมากกว่า 2,000 แห่ง ห้องพักกว่า 100,000 ห้อง ส่วนโรงแรมที่เหลือกำลังทยอยส่งข้อมูลเข้ามา
 
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มากกว่าที่ทางผู้ประกอบการโรงแรมคาดไว้ในตอนแรก ที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่ 10-15% เท่านั้น เพราะนักท่องเที่ยวจีนจะจองห้องพักในระยะสั้นๆ ทั้งนี้นอกจากนักท่องเที่ยวจีนไม่มั่นใจในมาตรการด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเลของไทย และยังอยู่ในอารมณ์โกรธเคืองกับคำพูดบางคำพูด ที่มีการแชร์ข้อมูลกันในโซเชียลของจีน จึงยังไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต ทำให้มีการยกเลิกการจองห้องพัก” นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวและว่า
 
ในเรื่องนี้เราจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของมาตรการความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเล และร่วมกันดูแลนักท่องเที่ยวรวมถึงญาติของผู้เสียชีวิตให้ดีที่สุด ซึ่งทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดูแลนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของการดูแลห้องพัก รถรับส่ง ไกด์ อย่างดีที่สุด 
 
นายกสมาคมโงแรมไทยภาคใต้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของภูเก็ตในครั้งนี้น่าจะยาวไปจนถึงเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีชั่นของภูเก็ต จะได้นักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก เมื่อจีนหายไปจำนวนมาก เกรงกันว่าจะมีการแข่งกันลดราคาค่าห้องพักและค่าทัวร์ต่างๆ ไม่ยากจะให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
 
เพื่อไทยแนะรัฐบาลระวังประเด็นอ่อนไหว
 
เว็บไซต์บ้านเมืองรายงานว่านายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วสังคมออนไลน์ประเทศจีน จากคำให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีไทย ที่ตอบคำถามสื่อในกรณีเหตุเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มใน จ.ภูเก็ต มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ราย ว่า การให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ผู้แทนรัฐบาลต้องระมัดระวัง การไปพูดในลักษณะที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าใจได้ว่า เป็นคำพูดที่ดูไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบของรัฐบาล อาจทำให้นักท่องเที่ยวและประชาชนชาวจีนไม่พอใจได้ และขณะนี้ได้เกิดเป็นกระแสต่อต้านในโลกโซเชียลจีน ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นถล่มประเทศไทยอย่างหนัก จนมีการยกเลิกการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วกว่า 15% สูญเสียรายได้ไปกว่า 42,000 ล้านบาท 
 
การให้สัมภาษณ์ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถือเป็นความเห็นของผู้แทนรัฐบาลไทยโดยชอบธรรมหรือไม่ คนไทยถือว่าพี่น้องประชาชนชาวจีนและประชาชนทุกชาติทุกภาษา เมื่อมาท่องเที่ยวประเทศไทย รัฐบาลและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องดูแลความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่พึงประสงค์ต้องดูแลเยียวยาภายใต้กรอบกฎหมายโดยเสมอภาคและทันท่วงที พรรคเพื่อไทยรู้สึกเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น และต้องไปตรวจสอบว่าเป็นความบกพร่องของการควบคุมความปลอดภัยที่ยังไม่รัดกุมพอหรือไม่ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางการไทย ที่จะต้องมีการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน 
 
การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนชาวจีน หลังแห่ยกเลิกทัวร์ หวั่นกระทบความเชื่อมั่นนั้น ประชาชนไม่มั่นใจว่าเป็นการแก้ปัญหาที่อาจล่าช้าหรือตรงจุดหรือไม่ และบุคคลที่ควรสั่งการให้แก้ไขในสถานการณ์นี้ควบคู่ไปพร้อมกันควรจะเป็นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นที่พูดจนทำให้สถานการณ์บานปลายเสียหายหรือไม่
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมการปกครองแจงขอสัญชาติ 4 คนทีมหมูป่าอะคาเดมี ใช้หลักเกณฑ์ปกติ

$
0
0
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อมูลอย่างละเอียดกรณี 4 หมู่ป่าอะคาเดมี “ด.ช.มงคล-ด.ช.อดุลย์-นายพรชัย-โค้ชเอก” ขอสัญชาติไทย ระบุกระบวนการทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และใช้ปฎิบัติเหมือนกันทุกคนที่ขอสัญชาติไทย 

 
สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่ากรมการปกครองเป็นหน่ายงานรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องการพิจารณาให้สัญชาติไทยกับบุตรของชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยกระบวนการ และการดำเนินการทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 ธ.ค. 2559 
 
ทั้งนี้จากรายงานล่าสุดกรณีทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี จำนวน 13 คน พบว่าไม่มีสัญชาติไทย 4 คน โดยเป็นเด็ก 3 คน และผู้ฝึกสอน 1 คน ประกอบด้วย ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม เกิดวันที่ 10 เม.ย. 2548 อายุ 13 ปี ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน เกิดวันที่ 21 มิ.ย. 2547 อายุ 14 ปี นายพรชัย คำหลวง เกิดวันที่ 3 ก.ย. 2545 อายุ 16 ปี และนายเอกพล จันทะวงศ์ หรือโค้ชเอก อายุ 25 ปี สาเหตุที่บุคคลทั้ง 4 คนไม่ได้สัญชาติไทยเนื่องจากมีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ซึ่งข้อมูลที่ตรวจพบปรากฏว่าทั้ง 4 คนไม่ได้แจ้งการเกิดไม่มีสูติบัตร 
 
ในส่วนของเด็ก 3 คนได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนราษฎรในกลุ่มบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามมติ ครม. วันที่ 18 ม.ค. 2548 โดยมีเลขประจำตัว 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 0 ขณะที่โค้ชเอก มีหนังสือรับรองการเกิดของโรงพยาบาลแม่สาย แต่ไม่ได้แจ้งเกิดและไม่ได้จัดทำทะเบียนราษฎรจึงไม่มีเลขประจำตัว 13 หลัก 
 
อย่างไรก็ตามการขอสัญชาติไทยของทั้ง 4 คน จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 โดยจากข้อมูลที่ได้รับ แม้บิดามารดาของทั้ง 4 คนไม่ใช่คนสัญชาติไทย แต่ทั้ง 4 คนเกิดในดินแดนประเทศไทย ดังนั้นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทย ได้แก่ สูติบัตรหรือใบเกิด หรือหนังสือรับรองการเกิดที่ นายทะเบียนออกให้ เรียกว่า ท.ร.20/1 จึงเป็นสิ่งสำคัญ 
 
ขณะนี้ประเด็นการขอสัญชาติไทยของทั้ง 4 คน จึงต้องเริ่มต้นด้วยการพิสูจน์ว่าพวกเขาเกิดในประเทศไทย และเมื่อได้รับสูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิดจากนายทะเบียนแล้ว จึงเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นขอมีสัญชาติไทยต่อไป
 
จากข้อมูลในแบบสำรวจเพื่อจัดทำทะเบียนราษฎรของ ด.ช.มงคล  ด.ช.อดุลย์ และนายพรชัย ระบุว่าทั้งสามคนเกิดที่ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ดังนั้น บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ต้องยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอ (นายอำเภอ) หรือนายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาล (ปลัดเทศบาล) แห่งท้องที่ที่เด็กเกิด เพื่อขอให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองการเกิดตามแบบ ท.ร.20/1 ให้ โดยพยานหลักฐานสำคัญที่จะต้องใช้ได้แก่ บุคคลที่รู้เห็นการเกิด อาจเป็นหมอตำแย ญาติ เพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น
 
อธิบดีกรมการปกครองกล่าวว่าเมื่อพิจารณาจากอายุของเด็กแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องพยานรับรอง ส่วนกรณีของโค้ชเอกเนื่องจากมีหนังสือรับรองจากโรงพยาบาลแม่สาย จึงสามารถยื่นเรื่องขอแจ้งการเกิดได้ที่เทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อนายทะเบียนออกสูติบัตรให้แล้ว ก็จะกำหนดให้เลขประจำตัว 13 หลักและเพิ่มชื่อเข้าในเอกสารทะเบียนราษฎร 
 
สำหรับขั้นตอนต่อไป หลัง ทั้ง 4 คนมีสูติบัตรหรือใบเกิด หรือหนังสือรับรองการเกิด แล้ว ก็คือการยื่นคำขอมีสัญชาติไทย โดยกรณีของเด็กชายมงคล  เด็กชายอดุลย์ และนายพรชัย ถ้าเกิดในประเทศไทยจะเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 7 ทวิ วรรคสอง ฯลฯ ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้สัญชาติไทยได้ตามหลักเกณฑ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 ธ.ค. 2559   
 
กรณีของ ด.ช.มงคล และนายพรชัย จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 1) ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ทางราชการได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้ และมีเลขประจำตัว 13 หลัก เช่น ชาวเขา ชาวไทยใหญ่ ไทยลื้อ เป็นต้น บิดาหรือมารดาต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปีนับถึงวันที่บุตรยื่นคำขอมีสัญชาติไทย เด็กจะได้รับสัญชาติไทย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามารดาของเด็กชายมงคล และนายพรชัย เป็นชาวไทยลื้อหรือชาวไทยใหญ่ที่มีทะเบียนประวัติไว้แล้ว
 
ขณะที่ข้อมูลของ ด.ช.อดุลย์ ไม่ปรากฏทะเบียนของบิดามารดา และทราบเบื้องต้นว่า ด.ช.อดุลย์ อยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของคริสตจักร บิดามารดาทอดทิ้งไปตั้งแต่เล็ก จึงจะเข้าเงื่อนไขตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 2) ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยแต่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง หรือไม่ปรากฏบิดามารดา เด็กต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 10 ปี และจะต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นคนที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง ซึ่งจะขอเอกสารดังกล่าวได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เด็กก็จะสามารถขอมีสัญชาติไทยได้
 
ขณะที่โค้ชเอกก็จะเข้าตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 3) ที่ระบุว่าถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวที่มิใช่ชนกลุ่มน้อย เด็กจะต้องเรียนหนังสือในประเทศไทยจนจบปริญญาตรี แล้วเอาหลักฐานปริญญาบัตรและผลการเรียนไปยื่นขอสัญชาติไทย ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบอำนาจให้นายอำเภอเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอสัญชาติมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอมีสัญชาติมีอายุเกินกว่า 18 ปี 
 
นอกจากนี้ยังมีหลักเกณฑ์เพิ่มเติมถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยด้วยก่อนวันที่ 26 ก.พ. 2535 การขอสัญชาติไทยสามารถดำเนินการได้อีกช่องทางหนึ่ง ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดคุณสมบัติว่าผู้ขอจะต้องมีหลักฐานการเกิด มีเลขประจำตัว 13 หลัก มีความประพฤติดี หรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม และอาศัยอยู่ติดต่อกันในประเทศไทย โดยกฎหมายให้อำนาจนายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าบิดาของโค้ชเอกเป็นชาวไทยลื้อที่เกิดในประเทศไทยจริงตามที่เป็นข่าวถึงแม้จะเสียชีวิตแล้วก็ตามโค้ชเอกก็สามารถขอมีสัญชาติไทยตามช่องทางนี้ได้ 
 
สำหรับระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการรับคำขอมีสัญชาติไทยพร้อมพยานหลักฐานครบถ้วน จนถึงการพิจารณาอนุมัติของนายอำเภอ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่ว่าด้วยเหตุใด สามารถขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 30 วัน เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 120 วัน 
 
ทั้งนี้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยยืนยัน หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการใช้ปฏิบัติกับทุกคนที่มีปัญหาและข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกันมิได้กำหนดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์กับเด็กทีมหมูป่าอะคาเดมี หรือบุคคลอื่นใดหรือกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โฆษก ทบ.แจง 'คลิปพลทหารเลี้ยงไก่'เป็นลักษณะการไหว้วานให้ทำ

$
0
0
โฆษกกองทัพบก (ทบ.) แจงกรณีคลิปพลทหารตัดพ้อเรื่องการเลี้ยงไก่ ระบุเบื้องต้นพบเป็นการดำเนินการส่วนบุคคลในบ้านพักราชการที่ด้านหลังเลี้ยงไก่เป็นงานอดิเรก ช่วยดูแลไปด้วยในลักษณะไหว้วาน ต้นสังกัดกำลังตรวจสอบ

 
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ชี้แจงกรณีทหารกองประจำการ เผยเเพร่คลิปตัดพ้อเรื่องการเลี้ยงไก่ โดยระบุว่าจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าเป็นการดำเนินการส่วนบุคคลในบ้านพักราชการของหน่วยที่ผู้เข้าพักใช้พื้นที่ด้านหลังเลี้ยงไก่เป็นงานอดิเรก ซึ่งคงได้มีการมอบหมายให้ทหารที่ดูแลบ้านพักของหน่วยช่วยดูแลไปด้วยในลักษณะไหว้วาน
 
สำหรับกรณีนี้ทางหน่วยคงหารายละเอียดหรือข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ถ้าพบมีการปฏิบัติต่อกันไม่ค่อยเหมาะสมจริงโดยเฉพาะเรื่องการใช้วาจาต่อกัน ทางหน่วยก็คงต้องมีว่ากล่าวตักเตือนกัน
 
"โดยทั่วไปการจะมอบหมายไหว้วานให้ทหารที่ดูแลบ้านพักช่วยทำสำหรับงานบางลักษณะบางประเภท นอกเหนือจากงานหน้าที่หลักที่จะต้องดูแลบ้านพักราชการแล้ว กรณีมีงานเพิ่มเติมอื่นๆ หรืออาจเป็นงานนอกหน้าที่หลักเสริมมา อาจต้องพิจารณาคำนึงถึงเรื่องของน้ำใจและความสมัครใจเป็นสำคัญ เชื่อว่าทางหน่วยคงจะได้ทำความเข้าใจกับกำลังพลทุกระดับ"พ.อ.วินธัยกล่าว
 
โฆษกกระทรวงกลาโหมยังไม่เห็นคลิปพลทหารโอดนายใช้เลี้ยงไก่
 
ด้าน สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ว่าพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์ Youtube เผยแพร่คลิปที่มีคนอ้างว่าเป็นพลทหารที่ศูนย์การทหารราบที่ 2 ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ออกมาเปิดเผยว่า สมัครมาเป็นทหาร แต่สุดท้ายต้องมาเลี้ยงไก่ให้นาย และยังโดนต่อว่า และ ตบหน้า เพียงเพราะไก่ป่วย ว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดและยังไม่ได้เห็นคลิปดังกล่าว แต่เรื่องใดที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องหยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งหากตนได้เห็นคลิปแล้ว จะดำเนินการส่งให้ทางกองทัพบกตรวจสอบอีกครั้ง
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.อนุมัติสิทธิประโยชน์ยา-วัคซีน 3 รายการ เริ่มปี 2562

$
0
0
บอร์ด สปสช.อนุมัติปี 2562 เพิ่มวัคซีน-ยา 3 รายการ บรรจุสิทธิประโยชน์ใหม่บัตรทอง ทั้งวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี, ยาป้องกันการถ่ายทอด HIV แม่สู่ลูกในกลุ่มหญิงอายุครรภ์มาก และยารักษาโรคหลอดเลือดดำในจอตาอุดตัน ผลประเมินคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ไม่เป็นภาระงบประมาณ ขยายครอบคลุมการรักษาและบริการสุขภาพที่จำเป็น

 
 
15 ก.ค. 2561 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 โดยมี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ได้เห็นชอบเพิ่มสิทธิประโยชน์ยาและวัคซีน บรรจุเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 3 รายการ ในปีงบประมาณ 2562 ตามข้อเสนอคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ 1.วัคซีนรวม คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี และโรคจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี (Haemophilus influenzae type b) 2.ยาราลทิกราเวียร์ (Raltegravir) เพื่อขยายการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก และ 3.ยาบีวาซิซูแมบ (Bevacizumab) เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดดำในจอตาอุดตัน
 
ทั้งนี้ในส่วนวัคซีนรวม คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี และโรคจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี (DTP-HB-Hib) เพื่อป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ติดเชื้อในกระแสเลือด, ปอดอักเสบ ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ, เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและฝีในสมองที่เกิดจากเชื้อไวรัสฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยจากการศึกษาพบว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เพราะทำให้มีคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อให้จำนวนปีที่มีสุขภาวะเพิ่มขึ้น (Incremental Cost Effectiveness Ratio: ICER) ที่ราคา 148.51 บาท/โดส และจากการต่อรองราคาวัคซีนโดยคณะทำงานต่อรองราคาวัคซีน DTP-HB-Hib ได้ราคาลดลงอยู่ที่ 47 บาท/โดส หรือคิดเป็น 141 บาท/คอร์ส คิดเป็นงบประมาณรวม 3 กองทุนหลักประกันสุขภาพ ทั้งสวัสดิการข้าราชการ, ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นจำนวน 15.98 ล้านบาท แต่สามารถลดจำนวนผู้ป่วย และช่วยประหยัดงบค่ารักษาพยาบาลได้เฉพาะในส่วนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่สูงถึง 73.27 ล้านบาท/ปี จึงมีความคุ้มค่า
 
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่าส่วนการขยายสิทธิประโยชน์ยาราลทิกราเวียร์นั้น เนื่องจากในหญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มาก การใช้ยาเดิมเพื่อลดอัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะมีประสิทธิผลต่ำ แต่หากใช้ยาราลเท็คกราเวียร์ทดแทนจะทำให้การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อมีประสิทธิผลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้จากการคาดการณ์หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องรับยาราลทิกราเวียร์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีจำนวน 693 ราย อัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะลดลงอยู่ที่ 27 ราย หรือร้อยละ 3.9 ซึ่งในกรณีที่ใช้ยาเดิมป้องกัน อัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะอยู่ที่ 53 ราย หรือร้อยละ 7.6 หรือ โดยมีค่าใช้จ่ายยาอยู่ที่ 6,792.80-10,189.20 บาท/คน/คอร์ส เมื่อคำนวณงบประมาณโดยรวมทั้งหมด เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 5.12-7.47 ล้านบาท โดยเรื่องผลการศึกษาความคุ้มค่านั้นมีอยู่แล้ว เพราะเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 
 
สำหรับยาบีวาซิซูแมบ เป็นการเพิ่มข้อบ่งชี้เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดดำในจอตาอุดตันในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจากข้อมูลความชุกของโรคตามอุบัติการณ์ที่แท้จริง แต่ละปีมีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาและได้รับยาบีวาซิซูแมบอยู่ที่ 10,800 ราย ได้รับการฉีดยาบีวาซิซูแมบยาเฉลี่ย 4 ครั้ง/คน/ปี ค่าใช้จ่ายยาอยู่ที่ 606.33 บาท/โดส หรือ 2,425.32 บาท/คอร์ส คิดเป็นค่าใช้จ่ายโดยรวม 26.19 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์โดยดูข้อมูลการเบิกจ่ายจริงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบประมาณที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมจะอยู่ที่ 4.49 ล้านบาท (จากข้อมูลบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) - 20.17 ล้านบาท (จากข้อมูลความชุกของโรค) เป็นค่าใช้จ่ายที่รับได้เมื่อเปรียบเทียบการเข้าถึงการรักษาที่ครอบคลุมเพิ่มขึ้นให้กับผู้ป่วย
 
“ยาและวัคซีนทั้ง 3 รายการที่เพิ่มใหม่นี้ เริ่มในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งการเพิ่มสิทธิประโยชน์ยาและวัคซีนภายใต้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องผ่านความเห็นชอบ ทั้งจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ และอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขฯ และอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนฯ ของ สปสช. ก่อนนำเสนอต่อบอร์ด สปสช.เพื่อพิจารณาอนุมัติ ทำให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลและผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งอุบัติการณ์และภาระโรค ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของยาและวัคซีน ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ภาระงบประมาณ รวมถึงความพร้อมหน่วยบริการ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทำให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตรียมคลอดต้นแบบการเรียนการสอนเอาตัวรอดจากสถานการณ์ฉุกเฉิน

$
0
0
สพฉ.ผนึกภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐและเอกชนหลากหลายองค์กรเตรียมคลอดต้นแบบการเรียนการสอนเด็กๆ ให้เรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากจากเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินและสถานการณ์ฉุกเฉิน 7 เรื่อง อาทิ การเอาตัวรอดจากการจมน้ำ ไฟไหม้ การเรียนรู้การทำ CPR การใช้งานเครื่อง AED และการสังเกตอาการหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน หัวใจขาดเลือดรวมถึงการฝึกการขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 เชื่อจะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้เด็กจากการเจ็บป่วยฉุกเฉินได้

 
 
15 ก.ค. 2561 เหตุการณ์ที่นักฟุตบอลเเละโค้ช ทีมหมูป่าอะคาเดมีเเม่สาย กว่า 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนจังหวัดเชียงรายทำให้เรื่องการเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติสำหรับเด็กๆ และเยาวชนได้กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีการพูดถึงกันในสังคมตอนนี้ ล่าสุด นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เรื่องการสอนให้เด็กๆ ของเราเตรียมการรับมือกับการเจ็บป่วยฉุกเฉินต่าง ๆ รวมถึงการสอนให้เขารู้ถึงวิธีในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นที่เราควรมีการบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนที่ชัดเจนเพราะเราไม่สามารถรู้เลยว่าเด็กๆ ของเราจะพบเจอกับเหตุการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ทางภัยพิบัติที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เคยจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากหลากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิต่างๆ รวมถึงหน่วยงานของรัฐบาลหลากหลายองค์กรรวมถึงกระทรวงศึกษาธิการเพื่อช่วยกันสร้างร่างหลักสูตรการการเรียนการสอนเด็กๆ ให้รู้จักการเอาตัวรอดจากเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งหลังจากที่เราระดมความคิดเห็นผ่านการทำ work shop กับหลากหลายหน่วยงานพวกเราก็ได้คลอดร่างคู่มือต้นแบบออกมา 7 เรื่องเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาและวิธีปฏิบัติจากการเจ็บป่วยฉุกเฉินและภัยพิบัติต่างๆ
 
รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าวว่า ซึ่งเจ็ดหลักสูตร 7 เรื่องประกอบด้วย 1. การเรียนรู้การเอาตัวรอดจากจากการเดินเท้าทั้งบนฟุตบาธ ทางเดิน หรือแม้กระทั่งการข้ามถนน ซึ่งเด็ก ๆจะต้องเรียนรู้เรื่องราวของการเดินเท้าหรือข้ามถนนอย่างปลอดภัยเพื่อให้ตนเองปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนนั้นจะเหมาะสมหรับเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ขึ้นไป นอกจากนี้ยังจะมีแนวทางในการขับขี่รถอย่างปลอดภัยที่จะใช้สอนเด็กในวัยมัธยมอีกด้วย ส่วนเรื่องที่ 2. คือหลักสูตรที่จะให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และรับมือกับโรคจิตเวชซึ่งก็คือการเตรียมการรับมือกับเรื่องของภาวะซึมเศร้าและภาวะเครียดที่เราจะพบเห็นเด็กๆ เครียดซึมเศร้าและฆ่าตัวตายเยอะ ดังนั้นเด็กๆ ควรได้เรียนรู้วิธีในการสังเกตตนเองเฝ้าระวังตนเองและหากทางออกให้กับตนเองในอาการเหล่านี้ได้ ถ้าเข้าได้เรียนรู้ผ่านหลักสูตรของเรา
 
3.หลักสูตรเรื่องการเตรียมพร้อมในการรับมือกับภาวะโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ซึ่งเด็กๆ ของเราจะต้องเรียนรู้อาการเบื้องต้นของโรคว่าโรคหลอดเลือดสมองอาการที่ทำให้เกิดภาวะฉุกเฉินเช่นปากเบี้ยวแขนขาอ่อนแรงเขาจะต้องช่วยเหลือตนเองอย่างไร หรือช่วยเหลือคนที่มีอาการเหล่านี้ได้อย่างไรและเขาควรได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์กี่ชั่วโมงเด็กๆ ต้องรู้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ในบทเรียนนี้ บทเรียนที่ 4.คือการเรียนรู้อาการของโรคภาวะหัวใจขาดเลือดซึ่งในบทเรียนก็สอนให้เด็กๆ สังเกตอาการของผู้ที่เป็นโรคนี้เช่นหากเด็กๆเจ็บหน้าอกใจสั่นเหมือนจะเป็นลมเขาจะต้องรู้ว่าอาการเหล่านี้เข้าข่ายโรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ก็เขาจะเรียกคนให้มาช่วยได้อย่างไร และเด็กเขาจะได้เรียนรู้เรื่องการแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 ด้วย
 
หลักสูตรที่ 5.เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินจากเหตุอัคคีภัยและเหตุอุทกภัยในทุกๆ กรณีด้วยเหตุอัคคีภัยก็คือเด็กๆ สามารถที่จะเรียนรู้การเอาตัวรอดจากการเหตุการณ์ไฟไหม้ต่างๆ ได้ และในส่วนของอุทกภัยก็คือเด็กๆ จะต้องเอาตัวรอดจากการจมน้ำในทุกๆ กรณีให้ได้ เขาจะต้องเรียนรู้หลักการในการช่วยเหลือคนที่ถูกต้องเช่นการตะโกนโยนยื่น และเขาจะต้องฝึกลอยตัวในน้ำเพื่อรอความช่วยเหลือได้หากเขาตกน้ำหรือจมน้ำ โดยหลักสูตรที่เรารวมกันออกแบบทุกอันจะสอนให้เด็กๆ เอาตัวรอดจากเหตุการณ์เหล่านี้และแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 เป็นได้ 6.หลักสูตรเรื่องการเรียนการสอบเกี่ยวกับการทำ CPR หรือการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นต้น เด็กๆจะต้องเรียนรู้วิธีในการทำ CPR ให้เป็นทุกคน และเขาสามารถที่จะช่วยผู้อื่นด้วยการทำ CPR ได้ และ 7.หลักสูตรเรื่องการเรียนรู้การใช้งานเครื่อง AED เบื้องต้น ซึ่งเด็กๆ ทุกคนจะต้องเรียนรู้เรื่องการใช้งานเครื่อง AED ให้เป็น นี่คือสิ่งที่เรากำลังพยายามผลักดันกับหลายหน่วยงานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งขณะนี้เนื้อหาทั้งหมดเราทำเกือบเสร็จแล้วเหลือแค่การออกแบบสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเด็กๆ ในแต่ละวัยและแต่ละชั้นเรียนเท่านั้นเอง 
 
นพ.ไพโรจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนเรื่องของการท่องเที่ยวในแถบภูเขา ทะเล หรือป่าอุทยานจะต้องจัดให้มีองค์ความรู้เช่นกัน เพราะโดยส่วนตัวของนักเรียนเองหรือประชาชนที่จะเข้าไปในพื้นที่ก็ไม่สามารถคาดคิดได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นการสอนให้เขามีเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็นในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ การเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ต้องเรียนรู้และปฏิบัติตัวทั้งการป้องกันและแก้ไขเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ตั้งแต่ในโอกาสแรก เช่นหากเด็กๆ ไปท่องเที่ยวทางน้ำเด็กๆ ก็ต้องรู้วิธีสวมเสื้อชูชีพ ต้องรู้คุณสมบัติของชุดชูชีพว่ามันช่วยเขาได้อย่างไร และในส่วนของการปีนเขาหรือการไปเที่ยวถ้ำ เด็กๆ จะต้องรู้ว่าสามสิ่งที่จำเป็นมากคือ เรื่องของไฟฉายที่ให้แสง นกหวีดที่ทำให้เกิดเสียงได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือเชือกและการใช้เชือกก็จะมีความสำคัญที่จะช่วยเหลือเขาได้ในหลายลักษณะ
 
“เมื่อเด็กๆ ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ในบทเรียน เด็กๆ ก็จะมีความรู้และจะสามารถเตรียมวางแผนการเดินทางของเขาเอง และจะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินจนสามารถช่วยเหลือตนเองและคนอื่นได้ที่สำคัญที่สุดคือเด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องการขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 ได้อีกด้วยนั่นเอง” รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินกล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเศรษฐศาสตร์แนะเก็บภาษีลาภลอยต้องสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ

$
0
0
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลเตรียมเก็บภาษีลาภลอย ต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การขยายฐานรายได้ภาษี

 
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
 
15 ก.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลเตรียมเก็บภาษีลาภลอยว่าการเก็บภาษีลาภลอยต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การขยายฐานรายได้ภาษี มีการจัดเก็บภาษีตามประโยชน์จากการลงทุนของรัฐที่ได้รับอย่างเป็นธรรม ในเบื้องตันจะมีการจัดเก็บภาษีลาภลอยจากบุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดิน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท และ พื้นที่จัดเก็บภาษีกำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมีสูงสุดไม่เกิน 5 กิโลเมตรรอบโครงการ 
 
สัดส่วนภาษีต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณ 17-18% เศรษฐกิจนอกระบบมีขนาดใหญ่ มีฐานภาษีแคบ ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบภาษี ผู้ที่เสียภาษีอยู่ต้องแบกรับภาระมากเกินไป การเก็บภาษีลาภลอยจะช่วยสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจเพราะเป็นการจัดเก็บภาษีจากผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการลงทุนต่างๆของรัฐ สังคมไทยนั้นอาจจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อภาครัฐในการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้ไม่สูงนัก จึงไม่เอื้อให้ประชาชนยินดีจ่ายภาษีมากนัก ทั้งที่การเสียภาษีเป็นหน้าที่และผู้จ่ายภาษีมีส่วนสำคัญในการร่วมพัฒนาประเทศ
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลควรทำประมาณการรายได้จากภาษีลาภลอยเพื่อสามารถวางแผนงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ดีขึ้น โดยสามารถลดการกู้เงินในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น โครงการระบบราง ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ เป็นต้น หน่วยงานจัดเก็บภาษีควรดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รายได้จากภาษีลาภลอยควรแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง มอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อใช้บำรุงรักษาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในพื้นที่ อีกส่วนหนึ่ง เก็บรายได้เข้ารัฐบาลกลางเพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการพัฒนา เพื่อให้ความความเจริญทางเศรษฐกิจและการพัฒนากระจายตัวไปยังพื้นที่ชนบท ไม่กระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล 
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าภายใต้โลกาภิวัตน์ไร้พรมแดน การใช้มาตรการภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำมีข้อจำกัดมากขึ้น การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจจึงต้องมุ่งไปที่การใช้มาตรการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการ การผ่านกฎหมายภาษีมรดก รัฐบาลก็แทบจะเก็บภาษีไม่ค่อยได้เพราะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปต่างประเทศ อย่างล่าสุด รัฐบาลก็ต้องอนุมัติในหลักการร่างกฎหมายทรัสต์เพื่อจัดการทรัพย์สินเพื่อช่วยลดการนำทรัพย์สินออกไปบริหารจัดการนอกประเทศ รัฐบาลควรให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเพื่อทำให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบ หากมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็ไม่ต้องเสียภาษี หากมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน รัฐสามารถดูแลสวัสดิการกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยนี้โดยนำเอามาตรการรายจ่ายด้านสวัสดิการมาผูกกับระบบภาษีได้ด้วย เมื่อมีฐานข้อมูลตรงนี้ก็จะสามารถใช้มาตรการเงินโอนเพื่อผู้มีรายได้น้อย (Negative Income Tax) ได้ มาตรการนี้จะสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ในเวลาที่มีรายได้น้อยยากจน ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีจะได้รับเงินโอนช่วยเหลือ ในอนาคตเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเข้าเกณฑ์การเสียภาษีก็จะเข้าสู่ระบบเสียภาษีโดยอัตโนมัติ การมีรายได้ของคนไทยอย่างชัดเจนทำให้การจัดสวัสดิการและการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
นอกจากนี้รัฐควรไปศึกษาการปฏิรูปภาษีให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย เนื่องจากธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและบริการ ระบบการชำระเงินเกิดขึ้นในโลกออนไลน์และเว็บไซต์ซึ่งก่อให้เกิดความไม่ชัดเจนในการจัดเก็บภาษีและบางครั้งก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้จากความซับซ้อนของธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลเหล่านี้ และ การจะแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับโลกที่ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ รัฐควรศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการลดความเป็นระบบราชการของกรมจัดเก็บภาษี โดยปรับเปลี่ยนสู่การเป็น องค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ (Semi-Autonomous Revenue Agency) 
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สธ. เตรียมความพร้อมร่างกายและจิตใจทีมหมูป่าให้พร้อมกลับบ้าน

$
0
0

เผยทีมแพทย์จิตแพทย์สหวิชาชีพโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลรักษาทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชให้พร้อมกลับบ้าน วันนี้สภาพร่างกายดีขึ้นตามลำดับ เตรียมความพร้อมด้านจิตใจให้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนร้องไห้เขียนแสดงความรู้สึกขอบคุณบนภาพวาดของนาวาตรีสมานและสัญญาว่าจะเป็นคนดี

 
 
15 ก.ค. 2561 เพจโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์รายงานว่า นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าได้รับรายงานจากนายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ภายหลังจากที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจนักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมีและโค้ช ซึ่งพบว่าทุกคนมีสภาพร่างกายดีขึ้นตามลำดับ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่พบเชื้อโรคติดต่ออุบัติใหม่ ทีมแพทย์ได้มีการปรับห้องให้มีความเหมาะสม พร้อมให้ญาติเข้าเยี่ยมดูแลใกล้ชิด
 
อาการล่าสุดเช้าวันนี้ กลุ่มที่ 1 จำนวน 4 คน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. 2561 อาการทั่วไปปกติ ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ปกติ สำหรับ 2 รายที่มีปัญหาปอดติดเชื้ออาการดีขึ้น ให้ยาปฏิชีวนะครบ 7 วันแล้ว กลุ่มที่ 2 จำนวน 4 คน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2561 อาการโดยรวมดี สัญญาณชีพปกติ ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ปกติ รอให้ยาปฏิชีวนะครบ 7 วัน และกลุ่มที่ 3 จำนวน 5 คน เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 2561 อาการทั่วไปปกติ ไม่มีไข้แล้ว รายที่มีอาการหูอื้อดีขึ้น รอให้ยาปฏิชีวนะครบ 7 วัน
 
นพ.เจษฎา กล่าวต่อว่าสำหรับการดูแลด้านจิตใจ เมื่อวานนี้ (14 ก.ค. 2561) แพทย์พิจารณาแล้วว่าสภาพร่างกายของน้อง ๆ นักฟุตบอลและโค้ชแข็งแรงขึ้น สภาพจิตใจดีขึ้น จึงได้ตัดสินใจให้ญาติแจ้งข่าวการเสียชีวิตของนาวาตรีสมาน กุนัน ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ซึ่งทุกคนร้องไห้และแสดงความเสียใจ โดยเขียนความรู้สึกลงบนภาพวาดของนาวาตรีสมาน ร่วมกันยืนไว้อาลัย กล่าวขอบคุณและสัญญาว่าจะเป็นคนดี ซึ่ง พล.ต.วุฒิไชย อิศระ แพทย์ใหญ่กองทัพภาค 3 ได้กล่าวกับผู้ประสบภัยในฐานะตัวแทนทหารว่าถือเป็นภารกิจเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรี
 
นอกจากนี้ทีมจิตแพทย์นักจิตวิทยาสหวิชาชีพของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้วางแผนการดูแลต่อเนื่อง เช่น การสื่อสารในครอบครัว การทำกลุ่มเตรียมความพร้อมก่อนกลับบ้าน การประสานงานกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อติดตามผลในระบบโรงเรียน เพื่อให้ทุกคนมีสภาพจิตใจพร้อมที่จะกลับไปดำเนินชีวิตที่บ้าน โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล ซึ่งราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทยได้มีข้อเสนอแนะสิ่งที่ควรและไม่ควรทำสำหรับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งสื่อมวลชน ตัวน้อง ๆ และโค้ชทีมหมูป่า ครอบครัว โรงเรียนชุมชน และสังคม
 
“เข้าใจว่าทุกคนมีความเป็นห่วงและหวังดี ไม่อยากให้มีการตำหนิหรือกล่าวโทษใคร ขอให้ใช้ช่วงเวลานี้ในการช่วยเหลือหรือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้เป็นช่วงเวลาที่ดีงามของคนทั้งประเทศ” นพ.เจษฎา กล่าว 
 
ททท.ออกคลิป 30 วินาที ขอบคุณประชาคมโลกแทนคนไทยทั้งประเทศ ช่วย 13 ชีวิตหมูป่าติดถ้ำหลวง
 
 
สำนักข่าวไทยรายงานว่านายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ททท.ได้ทำการผลิตคลิปวีดิโอความยาว 30 วินาที เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี ที่ถ้ำหลวง จ.เชียงราย เพื่อขอบคุณประชาคมโลกที่แสดงน้ำใจในการช่วยเหลือเด็กๆและโค้ช จนออกมาจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย โดยจะนำเสนอผ่านเครือข่ายทั่วโลกของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในช่วงระหว่างเดือน ก.ค. นี้ไปจนถึงเดือน ส.ค.

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับต่างชาติงมหอยเขตอภัยทานคูเมืองเชียงใหม่

$
0
0
เทศกิจ-ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ จับบุคคลต่างชาติลักลอบจับสัตว์น้ำในเขตอภัยทานรอบคูเมือง เข้มตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติและสถานประกอบการ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

 
 
15 ก.ค. 2561 เพจสำนักงานเทศกิจเทศบาลนครเชียงใหม่ รายงานว่าเมื่อเวลา 15.10 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 2561 เจ้าหน้าที่เทศกิจแขวงศรีวิชัยพร้อมรถสายตรวจ 701 และนิติกร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ กรณีบุคคลต่างชาติลักลอบจับสัตว์น้ำในเขตอภัยทานรอบคูเมือง บริเวณคูเมืองด้านในหน้าร้านณรงค์หีบศพ ถนนอารักษ์ โดยผู้กระทำความผิดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ทำการจับกุมและแจ้งให้ทางเทศกิจเข้าร่วมลงบันทึกประจำวัน ที่ สภ. เมืองเชียงใหม่ ส่วนเรื่องคดีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองจะเป็นคนดำเนินการเอง
 
เข้มตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติและสถานประกอบการ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
 
 
 
 
 
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่านายธรรศณัฏฐ์ นุชแสงพลี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมายให้นางสาวบุญญาพร ไชยพรหม นักวิชาการแรงงานชำนาญการ ตรวจบูรณาการร่วมกับ กอ.รมน. ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 กองร้อยรักษาดินแดน จ.เชียงใหม่ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เพื่อปราบปรามแรงงานต่างชาติที่ลักลอบทำงานผิดกฎหมายและนายจ้างที่รับคนต่างชาติไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ โดยยึดแนวปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 101/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 โดยได้ตรวจสถานประกอบกิจการจำนวน 3 แห่ง จากการตรวจสอบและคัดกรองเบื้องต้น ไม่พบการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างชาติ และไม่พบพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ ซึ่งพนักงานตรวจแรงงานได้ชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของนายจ้าง ลูกจ้าง ตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3.1 แสนบาทชาวกะเหรี่ยงทำโลกร้อน สุดท้ายศาลฎีกาสั่งยก

$
0
0

กรมอุทยานแห่งชาติฯ ฟ้องชาวกะเหรี่ยงปลูกข้าว 3 ไร่ 2 งาน เรียกค่าเสียหาย 3.1 แสนบาท สุดท้ายศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมสั่งยกค่าเสียหาย ชี้ผู้ฟ้องใช้งานวิจัยเก่า ไม่ได้เก็บข้อมูลจากพื้นที่เกิดเหตุจริง และเชื่อว่าป่าสามารถกลับมาฟื้นฟูด้วยตนเองได้ ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาชี้ชุมชนบ้านป่าผากตั้งมาหลายร้อยปี พื้นที่พิพาทกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นไร่หมุนเวียนดั้งเดิมของชุมชน ผ่านมา 11 ปีฟื้นตัวกลายเป็นป่าแล้ว

ชาวบ้านกะเหรี่ยงจำเลยทั้ง 3 คน

ป่าฟื้นตามธรรมชาติเป็นป่าสมบูรณ์เมื่อ 12 ส.ค. 2559

หนึ่งในจำเลยถ่ายรูปคู่กับพื้นที่ทำข้าวไร่ในปี 2548 ปัจจุบันฟื้นฟูกลายเป็นป่าไม้แล้ว

กรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอมรเทพ ศุภกรสกุล นางมะลิ งามยิ่ง และนางมะและหยิ่ง งามยิ่ง ชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ที่เข้าไปหยอดปลูกข้าวไร่เป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา ซึ่งเป็นพื้นที่ป่า อันเป็นการทำลายป่า ทำให้เสื่อมสภาพทรัพยากรธรรมชาติ ล่าสุดคดีดังกล่าวซึ่งฟ้องมาตั้งแต่ปี 2548 มาถึงศาลฎีกาแล้ว

โดยเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม คดีที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ เรียกร้องต่อศาลฎีกาซึ่งเรียกกันว่าคดีโลกร้อนได้แก่  มูลค่าเนื้อไม้และความเพิ่มพูนไร่ละ 60,024 บาทต่อปี  มูลค่าของป่าไร่ละ 232.25 บาทต่อปี  มูลค่าของธาตุอาหารในดินไร่ละ 767.97 บาทต่อปี  การปลูกป่าและทำนุบำรุงป่าไร่ละ 7,220 บาทต่อปี  และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 18 พฤษภาคม 2548  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 310,474.12 บาท

ศาลฎีกาแผนกสิ่งแวดล้อมเห็นว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) ต้องนำสืบถึงความเสียหายตามจำนวนเงินที่ฟ้อง โดยสำรวจและเก็บข้อมูลทั้งไม้และดินจากป่าที่เกิดเหตุ การใช้แบบจำลองค่าเสียหายที่ไม่ตรงกับสภาพป่า การไม่เก็บข้อมูลทั้งไม้และดิน และการอ้างงานวิจัยตั้งแต่ปี 2519 และ 2535 เป็นงานวิจัยเก่า เนื่องจากคดีเกิดปี 2548 ซึ่งหลังจากงานวิจัยหลายปี ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ป่าที่เกิดเหตุเสียหายตามฟ้อง ประกอบกับนายสุรพงษ์ กองจันทึก จากศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าสำรวจที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 พบว่า ขณะที่เข้าไปสำรวจป่ามีสภาพสมบูรณ์แล้ว

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษา และให้ยกฎีกาของโจทก์ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) เนื่องจากฟังไม่ขึ้น  ซึ่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 มีว่า “อุปกรณ์ในการกระทำผิดที่ยึดได้มีเพียง มีด 2 เล่ม ไม้สำหรับหยอดข้าว 1 อัน  แสดงว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ร้ายแรงมากนัก  และพื้นที่ซึ่งถูกบุกรุกก็มีเพียง 3 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา  การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมชดใช้แก่โจทก์เป็นเงิน 37,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดนั้น  นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว”

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาเปิดเผยว่า หมู่บ้านป่าผากที่ชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นจำเลยทั้งสามคนอาศัยอยู่ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ตั้งมาหลายร้อยปีแล้ว  จำเลยทั้งสามก็เกิดและอาศัยทำกินในพื้นที่นี้ตลอดมา พื้นที่พิพาทเป็นไร่หมุนเวียนดั้งเดิมของชุมชน  ชาวบ้านทั้งสามเข้าไปปลูกข้าวไร่ไว้รับประทานเองตามวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นไร่หมุนเวียนใช้พื้นที่เพียง 3 ไร่ ตนเข้าไปดูพื้นที่เกิดเหตุในปี 2559 ซึ่งหลังจากเหตุเกิด 11 ปี  พบว่าป่าได้ฟื้นสภาพตามธรรมชาติเป็นป่าสมบูรณ์  ไม่พบร่องรอยความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติแต่อย่างใด เป็นการยืนยันว่าไร่หมุนเวียนเป็นการรักษาป่าและสภาพแวดล้อม ซึ่งมีการศึกษาวิจัยรองรับจำนวนมาก  จนกระทรวงวัฒนธรรมประกาศให้ไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติในปี 2546

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เอฟทีเอ ว็อทช์'ปฏิเสธคำเชิญประชุมทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลง CPTPP

$
0
0
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ปฏิเสธคำเชิญประชุมกลุ่มย่อยเพื่อพิจารณาข้อบทด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) เกรงเข้าไปร่วมประชุมแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจถูกเหมารวมว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ แล้ว 

 
 
15 ก.ค. 2561 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ระบุว่าตามที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเพื่อพิจารณาข้อบทด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) กับหน่วยงานภาครัฐ-ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 16 ก.ค. 2561 นี้
       
ทางกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ในฐานะภาคประชาสังคมที่ติดตามการเจรจาการค้าเสรีที่จะมีผลกระทบต่อสังคมไทยในด้านต่างๆ ขอแสดงความขอบคุณที่ได้เชิญให้เรามีส่วนร่วมในการพิจารณาครั้งนี้ 
      
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์พิจารณาแล้วว่าเรายังไม่เห็นความตั้งใจและจริงใจของรัฐบาล คสช.ในการที่จะใช้ข้อมูลความรู้และความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆประกอบการพิจารณาเข้าร่วมความตกลง CPTPP มากพอ มีเพียงให้ทุกหน่วยงานรัฐเดินหน้าเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นเข้าสู่ความตกลงฯ ที่เจรจาเสร็จสิ้นแล้ว ตามคำสั่งของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรีที่ระบุให้เข้าร่วมให้ได้ในสิ้นปีนี้ และท่าทีของผู้บริหากระทรวงพาณิชย์ทั้งรัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วย และปลัดกระทรวงที่ได้กล่าวต่อหน้าการประชุมหน่วยงานรัฐที่ให้เดินหน้าตามนโยบายดังกล่าว ทำให้ทางกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์เกรงว่า การเข้าไปร่วมประชุมแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจถูกเหมารวมว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ แล้ว ซึ่งนั่นไม่อาจยอมรับได้
      
สำหรับข้อบททรัพย์สินทางปัญญาในความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) นั้น แม้จะมีการละไว้หลายประเด็นอ่อนไหว เมื่อสหรัฐฯถอนตัวออกไปจากความตกลงฯ แต่ยังคงมีประเด็นที่จะกระทบต่อการเข้าถึงยาของประชาชน และส่งผลกระทบต่อหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องความเชื่อมโยงของระบบทรัพย์สินทางปัญญากับการขึ้นทะเบียนยาหรือที่เรียกว่า Patent Linkage, การบังคับใช้กฎหมาย หรือ Enforcement  ซึ่งเกินไปกว่าความตกลงทริปส์ในองค์การการค้าโลก นอกจากนี้ยังมีบทที่นอกเหนือจากบททรัพย์สินทางปัญญาแต่มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ใช้ชื่ออย่างดูดีว่า บทว่าด้วยความโปร่งใส (Transparency) ความสอดคล้องกันของระเบียบ (Regulatory Coherence) บทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Government Procurement) บทว่าด้วยรัฐวิสาหกิจ (State Owned Enterprises) และบทที่ว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุน (Investment and ISDS)  ล้วนแล้วแต่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการจัดซื้อและคัดเลือกยา รวมทั้งต่อรองราคายา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดมากพอ ซึ่งในที่สุดอาจจะพบว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านต่างๆในระยะยาวจะมีผลเสียหายรุนแรงมากกว่าผลประโยชน์ที่กลุ่มทุนไทยจะได้รับในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็เป็นได้
      
ดังนั้นแม้ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะมีความตั้งใจและจริงใจในการจัดการประชุมเพื่อพิจารณาข้อบทและการเตรียมพร้อม ก็ยังไม่อาจทำให้ภาคประชาสังคมมั่นใจได้ในภาวะอำนาจที่นิยมเช่นนี้ว่า ข้อห่วงใยที่มีหลักฐานของภาคสังคมจะถูกรับฟังและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาล คสช. ต้องการเร่งให้เห็นผลทางเศรษฐกิจระยะสั้นๆ และเพื่อเอาใจกลุ่มทุนไทยและต่างชาติดังที่ปรากฏในการออกนโยบายตลอด 4 ปีนี้
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จ่อฟันโทษวินัยนายทหารใช้พลทหารเลี้ยงไก่-ทุบตี พบมีมูล

$
0
0
โฆษก ทบ. ระบุผลสอบนายทหารใช้พลทหารเลี้ยงไก่-ทุบตี พบมีมูล ใช้งานกำลังพลอย่างไม่เหมาะสม ทางหน่วยดำเนินการด้านวินัยกับนายทหารคนดังกล่าวแล้ว ส่วนพลทหารที่เลี้ยงไก่ปัจจุบันได้ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กองร้อยโดยไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด

 
15 ก.ค. 2561 สืบเนื่องจากกรณีที่พลทหารรายหนึ่ง อัดคลิปความยาว 11 นาที เปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ หลังต้องการมารับใช้ชาติ ที่กองพันทหารราบที่ 2 ศูนย์การทหารราบ (ค่ายธนะรัชต์) อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ถูกส่งมาให้เลี้ยงไก่นับร้อย ถูกตบหน้า ตี ด่าพ่อล่อแม่สารพัด หากดูแลไก่ไม่ดี (อ่านเพิ่มเติม: โฆษก ทบ.แจง 'คลิปพลทหารเลี้ยงไก่'เป็นลักษณะการไหว้วานให้ทำ)
 
ล่าสุดมีความคืบหน้า เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานเมื่อเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2561 พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีนี้อีกครั้งว่าจากการตรวจสอบพบว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของหน่วย และได้มีการสอบสวนโดยละเอียดแล้ว พบว่ามีการใช้งานกำลังพลอย่างไม่เหมาะสม ทางหน่วยจึงพิจารณาดำเนินการทางด้านวินัยกับกำลังพลนายทหารคนดังกล่าว สำหรับพลทหารคนดังกล่าวปัจจุบันได้ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กองร้อยแล้วโดยไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ชอว์น จาง'นักศึกษาชาวจีนผู้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม เปิดโปง 'ค่ายกักกันฯ'รัฐบาลจีน

$
0
0
สื่อโกลบแอนด์เมลนำเสนอเรื่องของชอว์น จาง นักศึกษาด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งบริติชโคลัมเบีย ผู้ที่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนโดยเฉพาะพื้นที่ทิเบตและซินเจียง เขาเป็นคนที่จริงจังกับเรื่องการสืบสวนเกี่ยวกับ "ค่ายกักกันปลูกฝังความเชื่อใหม่"ในซินเจียงโดยใช้ภาพถ่ายผ่านดาวเทียม อะไรทำให้เขาสนใจเรื่องค่ายกักกันนี้

 

 
15 ก.ค. 2561 "ค่ายกักกันปลูกฝังความเชื่อใหม่"เป็นค่ายที่ทางการจีนจับประชาชนในซินเจียงโดยเฉพาะชาวมุสลิมรวมนับแสนคนเข้าปลูกฝังความเชื่อทางการเมืองใหม่ โดยถึงแม้ทางการจีนจะอ้างว่าระบบดังกล่าวนี้เป็น "การฝึกอบรมทักษะวิชาชีพ"แต่นักวิจารณ์ก็มองว่ามันเหมือนกับ "เรือนจำทหาร"มากกว่า และหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องนี้คือนักศึกษาอายุ 28 ปี ชื่อ ชอว์น จาง เขาเกิดในประเทศจีนและปัจจุบันศึกษาอยู่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียจากโครงการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย (legal-aid)
 
จากภาพถ่ายดาวเทียมที่จางศึกษาแสดงให้เห็นว่าสภาพของค่ายกักกันฯ มีการวางรั้วลวดหนามและมีหอคอยเฝ้ายามตั้งอยู่รอบๆ การค้นหาสถานกักกันเหล่านี้กลายเป็นโครงการส่วนตัวของจาง มันทำให้เขาสามารถค้นพบแหล่งที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นค่ายกักกันได้แล้ว 21 แหล่ง แค่ในเดือน ก.ค. เดือนเดียวก็พบแหล่งต้องสงสัยถึง 6 แหล่ง โดยที่จางมองว่าแหล่งกักกันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนที่น่าเป็นห่วงในจีน
 
ในจีนมีความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวจีนเชื้อสายฮั่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศกับชนกลุ่มน้อยมุสลิมชาวอุยกูร์มานานแล้ว ความไม่ลงรอยนี้แตกหักในเหตุการณ์จลาจลปี 2552 หลังจากนั้นทางการจีนก็มักจะโทษเหตุก่อการร้ายในประเทศว่าเป็นฝีมือชาวอุยกูร์ ขณะเดียวกันก็มีชาวอุยกูร์หลายร้อยคนที่ไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิส
 
อย่างไรก็ตามจางมองว่าค่ายกักกันปลูกฝังความเชื่อของจีนเป็นความพยายามควบคุมพื้นที่ซินเจียงให้ได้เต็มรูปแบบ โดยอาศัยการลบล้างวัฒนธรรม ลบล้างอัตลักษณ์ และดูดกลืนชาวอุยกูร์
 
ดาร์เรน บายเลอร์ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ศึกษาเรื่องของมณฑลซินเจียงกล่าวถึงโครงการของจางว่าเป็นข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือมากและช่วยให้เห็นแผนการสร้างค่ายกักกันของรัฐบาลจีนในมุมกว้างได้ และจากที่บายเลอร์มองเห็นการสร้างค่ายกักกันจำนวนมากนี้เองทำให้เขาวิเคราะห์ได้ว่าโครงการปรับทัศนคติชาวอุยกูร์นี้เป็นสิ่งที่มีการวางแผนและจัดการมาเป็นระบบมาก บายเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าแต่ละค่ายกักกันมีการออกแบบตำแหน่งที่ตั้งสิ่งก่อสร้างต่างๆ คล้ายคลึงกันแบบที่ดูเหมือนวางแผนมาแล้วจากส่วนกลาง นอกจากนี้ยังเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีประชากรชาวอุยกูร์ราวร้อยละ 10 ที่ถูกจับเข้าค่ายกักกัน
 
ก่อนหน้าที่จะทำโครงการนี้จางเคยเป็นนักศึกษาวิชาวรรณกรรมจีนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมีดีกรีปริญญาโทจากสาขาวิชาเอเชียตะวันออกศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัสในเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เขาวางเส้นทางอาชีพของตัวเองเอาไว้ว่าอยากเป็นนักวิชาการ การถกเถียงอภิปรายกับเพื่อนร่วมห้องและการได้ชมสารคดีการปราบปรามผู้ชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินทำให้เขามีแนวคิดการเมืองที่แหลมคมมากขึ้น นอกจากนี้จางยังสนใจแถลงการณ์กฎบัตร 08 ของนักวิชาการและนักสิทธิมนุษยชนในจีนที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบอำนาจนิยมของรัฐบาลจีน รวมถึงสนใจกรณีนักกิจกรรมรางวัลโนเบลหลิวเสี่ยวโปด้วย
 
จางบอกว่าเขาหวังว่าการเรียนด้านกฎหมายจะทำให้เขามีเครื่องมือในการไขว่คว้าความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ตัวเขาเองไม่เรียกตัวเองว่าเป็นนักกิจกรรมแต่ข้อเขียนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของเขาในโลกออนไลน์ก็ทำให้ทางการจีนเข้ามาสอบสวนเขา เช่นในปี 2555 ตำรวจลับของจีนสอบสวนจางเกี่ยวกับทวิตเตอร์ที่เขาโพสต์เกี่ยวกับการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในจีนช่วงปี 2554
 
นอกจากตำรวจจีนยังเคยติดต่อหาพ่อแม่ของจางในช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลังจากที่จางโพสต์ภาพธงทิเบตในทวิตเตอร์และโซเชียลมีเดียจีนเว่ยป๋อ โดยตำรวจจีนเรียกร้องให้เขาลบเนื้อหารูปภาพดังกล่าวทิ้ง หลังจากที่เขาไม่ยอมทางการจีนก็โน้มน้าวให้เพื่อนพ่อของจางซึ่งเป็นพนักงานรัฐฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อพูดกับพ่อของจางแทน พ่อของจางถูกถ่ายภาพเก็บไว้ในการพบปะครั้งนั้นและถูกขอให้ลงนามในเอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่พูดคุยกัน ตำรวจยังเคยติดต่อกับพ่อแม่ของจางอีกครั้งหลังจากที่เขาโพสต์ภาพของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในแบบที่ดูไม่สง่า รวมถึงมีการระงับบัญชีผู้ใช้เว่ยป๋อของเขาสองบัญชีในปีนี้
 
ถึงแม้ว่าจางจะไม่ได้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากรัฐบาลจีนในช่วงที่เขาอยู่ในมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในแคนาดา แต่เขาก็เข้าใจว่าโครงการสืบค้นเรื่องค่ายกักกันของจีนทำให้เขามีความเสี่ยง และนั่นทำให้จางบอกว่าเขาไม่อยากกลับไปจีนถ้าไม่ได้เดินทางไปด้วยหนังสือเดินทางของแคนาดา และเขาต้องการลงทะเบียนเป็นผู้อาศัยถาวรของแคนาดาในอีกไม่นานนี้
 
ขณะที่ทางการจีนปฏิเสธการมีอยู่ของของค่ายกักกันฯ สื่อของรัฐบาลก็เขียนถึงเรื่องการแพร่กระจายโฆษณาชวนเชื่อของอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์และความสำเร็จในโครงการของพวกเขาอย่างจริงจัง
 
สาเหตุที่จางต้องการสืบค้นเรื่องค่ายกักกันเหล่านี้มีแรงจูงใจมาจากการที่เขาต้องการหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมจากคำบอกเล่าของผู้ถูกจับกุมเข้าสถานกักกันเหล่านี้หรือจากปากคำญาติของพวกเขา จางยังหวังว่าประชาคมโลกจะกดดันจีนให้หยุดค่ายกักกันเหล่านี้ โดยทูตแคนาดามีการพูดถึงประเด็นนี้ต่อจีนและในที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติแล้ว
 
 
เรียบเรียงจาก
 
UBC student uses satellite images to track suspected Chinese re-education centres where Uyghurs imprisoned, The Globe and Mail, 09-07-2018
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #218 สำรวจชีวิตไพร่ผ่านขุนศึก-ข้าบดินทร์

$
0
0

สำรวจภาพความเป็นไพร่ และระบบไพร่ ที่นำเสนอผ่านนวนิยาย "ขุนศึก"และ "ข้าบดินทร์"ที่ถูกนำมาสร้างทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยนอกจากจะนำเสนอชีวิตของไพร่ช่วงอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ขุนศึก) และรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 3 (ข้าบดินทร์) แล้ว ผู้ประพันธ์ยังพยายามสอดแทรกสำนึกความเป็นชาติด้วย

โดยชีวิตของทั้ง "เสมา"ในขุนศึก และ "เหม"ในข้าบดินทร์ ต่างผ่านช่วงอุปสรรค กรณีของข้าบดินทร์ ครอบครัวของ "เหม"ถูกลงโทษจนต้องลงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ตัวเอกของทั้ง 2 เรื่องก็ต่อสู้จนได้ความดีความชอบและได้เลื่อนยศเลื่อนบรรดาศักดิ์ในที่สุด อย่างไรก็ตามนวนิยายยังคงเน้นการนำเสนอ "ไพร่หลวง"ที่ขึ้นตรงกับรัฐ มากกว่าจะพูดถึงชีวิต "ไพร่สม"ที่สังกัดมูลนาย ซึ่งต้องแบ่งเวลาให้การรับใช้มูลนายกับทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ทั้งหมดนี้ติดตามได้ในหมายเหตุประเพทไทย พบกับประภาภูมิ เอี่ยมสม และศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โวยใช้งบไทยนิยมยั่งยืน "ปลูกป่าไผ่"ทับที่ทำกินชาวกะเหรี่ยงท่าสองยาง

$
0
0

ชาวบ้าน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ร้องเรียนถูกอำเภอสั่ง "ปลูกป่าไผ่"ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน แต่หลายบ้านกลับ "ปลูกป่าไผ่"ทับไร่หมุนเวียนที่ชาวบ้านปลูกข้าวไร่ต้นกล้าสูงเป็นคืบ ทั้งนี้เริ่มต้นเป็นโครงการเสริมอาชีพของอำเภอ ใช้"งบไทยนิยม"หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ตั้งเป้าปลูกป่าไผ่ 3,000 ต้นต่อ 1 หมู่บ้าน ครอบคลุมทั้งอำเภอรวม 67 หมู่บ้าน แต่ปลูกแล้วลูกบ้าน-ผู้ใหญ่บ้านเกิดขัดแย้งกันหลายหมู่บ้านเพราะกลายเป็นการทวงคืนผืนป่า-ไล่ที่ทำกิน

15 ก.ค. 2561 กรณีราชการใช้งบจากโครงการไทยนิยมยั่งยืนปลูกป่าไผ่ ทับไร่หมุนเวียนชาวกะเหรี่ยง ถูกเปิดเผยโดยนายชาลี ตรีสุรผลกุล ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จ.ตาก (สกน.จังหวัดตาก) เปิดเผยว่า ช่วงสายวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ผู้ใหญ่บ้านแม่วะหลวง ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก นำชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เข้าไปปลูกป่าทับพื้นที่ไร่หมุนเวียน ที่มีต้นข้าวขึ้นสูงกว่าคืบหนึ่งแล้ว โดยบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีชาวบ้านทำกินอย่างน้อย 7 ครอบครัว และเป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ยังทราบว่า ก่อนหน้านี้มีพื้นที่ไร่หมุนเวียนหลายหมู่บ้านในตำบลเดียวกัน ได้ถูกปลูกป่าทับที่ไปแล้วเช่นเดียวกัน

ภาพกล้าไผ่ "โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม"ที่ปลูกลงไปในที่ทำกินของชาวบ้านที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก จะเห็นว่าข้าวไร่ที่ชาวบ้านปลูกเริ่มโตแล้ว

ภาพกล้าไผ่ที่ปลูกทับลงไปในไร่ข้าวของชาวบ้านใน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

จากการสอบถามชาวบ้านบ้านแม่วะหลวงต่างบอกว่า “ผู้นำชุมชนแจ้งแก่ชาวบ้านเพียงว่าเป็นโครงการปลูกป่าของ อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก ซึ่งนายอำเภอได้มีคำสั่งให้ผู้ใหญ่บ้านต้องดำเนินการ แต่ไม่ทราบว่าปลูกเพื่ออะไร และพื้นที่ดังกล่าวจะถูกยึดไปด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ก่อนดำเนินการปลูกยังไม่มีการสอบถามหรือขอความยินยอมแต่อย่างใด” สำหรับชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ที่ถูกปลูกป่าทับนั้นกล่าวว่า “รู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมและล้วนอยู่ภายในเขตพื้นที่โฉนดชุมชน ที่ได้รับการคุ้มครองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน (ฉบับแก้ไข) พ.ศ. 2555 นอกจากนี้เมื่อชาวบ้านทราบว่าเป็นโครงการที่สั่งการโดยนายอำเภอ ต่างก็เกิดความกลัวและไม่กล้าออกมาโต้แย้งคัดค้าน”

มีผู้นำชุมชนหลายคน ให้ข้อมูลว่าก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนมิถุนายน นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอท่าสองยาง ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไปปลูกป่าที่หมู่บ้านปอเคลอะเด หมู่ 5 ซึ่งอยู่ในเขต ต.แม่วะหลวงเช่นเดียวกัน เป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียนเก่า ไม่ใช่พื้นที่บุกรุกใหม่ ที่ชาวบ้านปลูกข้าวจนขึ้นสูงกว่าคืบหนึ่งแล้ว ซึ่งนับแต่ปลูกเสร็จจนถึงขณะนี้ ในหมู่บ้านปอเคลอะเด เกิดความขัดแย้งกันอย่างมาก

ส่วนหมู่บ้านอื่นๆ ในตำบลแม่วะหลวงนั้น นายอำเภอได้สั่งให้ผู้ใหญ่บ้านไปดำเนินการปลูกกันเอง โดยกำหนดว่าต้องเป็นพื้นที่ทำกินปัจจุบันเท่านั้น และนายอำเภอจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเร็วๆ นี้ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านต้องเร่งดำเนินการ

ตัวอย่างแปลงปลูกไผ่ "โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปีงบประมาณ 2561"ระบุว่าปลูกเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561 ใน "พื้นที่่ป่าเสื่อมโทรม"หมู่ที่ 5 ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก โดย อบต.แม่วงหลวง โดยมีกล้าไผ่ที่ล้อมรั้ว และระบุชื่อผู้ปลูกคือ ประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอท่าสองยาง

 

แปลงปลูกไผ่ "โครงการณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม"พื้นที่หมู่ที่ 2 บ้านแม่สลิดหลวง ต.แม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ระบุว่าเป็นการปลูกโดย "ร่วมกับหน่วยงานราชการ ประชาชนและจิตอาสาตำบลแม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก"

นอกจากนี้ยังมีแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลเพิ่มว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะ ต.แม่วะหลวงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ครอบคลุมทั้งอำเภอ เป็นโครงการที่นายอำเภอต้องการทวงพื้นที่ แต่การปลูกในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่โล่ง ในป่าเขาก็ไม่ปลูก ดังนั้นเราจะเห็นว่าเป็นการปลูกในพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน โดยให้แต่ละหมู่บ้านไปหาพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้ถนน มองเห็นได้ชัด เขาเรียกว่า สวมรองเท้าให้ดอย สวมหมวกให้ภูเขา โดยใช้งบโครงการไทยนิยมยั่งยืน 200,000 บาทที่รัฐบาลให้มา”

จากการสอบถามผู้ใหญ่บ้านใน อ.ท่าสองยาง รายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า นายอำเภอได้ชี้แจงในที่ประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านว่า จะให้ทุกหมู่บ้านในพื้นที่ อ.ท่าสองยาง ปลูกต้นไม้ไผ่เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ โดยอำเภอได้จัดต้นกล้าให้หมู่บ้านละ 3,000 ต้น กำหนดพื้นที่ปลูกอย่างน้อยหมู่บ้านละ 50 ไร่ ขึ้นไป โดยให้เหตุผลว่า ในระยะยาวชาวบ้านจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งในวันดังกล่าวยังได้นำวิทยากรจากที่อื่นมาพูดถึงประโยชน์ของไม้ไผ่อีกด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าพื้นที่ที่ปลูกไปแล้วนั้นให้เป็นของชุมชน โดยให้เจ้าของที่ดูแลรักษาไว้และสามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ห้ามไม่ให้แผ้วถางทำประโยชน์อย่างอื่น พอตอนจะลงมือปลูกจริงๆ ชาวบ้านก็กล่าวหาว่าผู้ใหญ่บ้านไปยึดที่ทำกินของเขาไปให้อำเภอปลูกป่า ตอนนี้ปลูกเสร็จไปหลายหมู่บ้านแล้ว และเกิดความขัดแย้งในหมู่บ้านกันอย่างรุนแรง     

ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่ง บอกว่า จุดที่ปลูกนั้นนายอำเภอเป็นผู้ลงพื้นที่ไปชี้ให้ปลูก โดยได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปจับพิกัด GPS ไว้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะลงมือปลูกนั้น ตนได้ทักท้วงนายอำเภอแล้ว ว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่ชาวบ้านได้ทำมาแต่เดิม หากปลูกชาวบ้านจะได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งตนได้เสนอให้ไปปลูกในจุดอื่นที่ตนเองได้ขอเจ้าของที่ดินและเขาก็ยินยอมให้ปลูกแล้ว แต่นายอำเภอก็ยืนยันว่าให้ปลูกที่เดิม โดยบอกเพียงว่า "เพราะเป็นเขาหัวโล้น” นอกจากนี้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งยังได้บอกว่า “ตอนนี้รู้สึกกังวลมาก เนื่องจากเจ้าของที่ไม่ยินยอมให้ปลูก และเมื่อดูเงื่อนไขของทางอำเภอแล้วก็เหมือนเป็นการยึดที่ดินทำกินของเขาไปเลย”

เมื่อถามว่าเป็นโครงการอะไร ผู้ใหญ่บ้านหลายหมู่บ้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ใช้งบประมาณจาก “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” ซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้หมู่บ้านละ 200,000 บาท โดยในรายละเอียดอย่างอื่นนั้นผู้นำชุมชนไม่ทราบ เมื่อถึงเวลาทางอำเภอก็นำกล้าต้นไผ่และปุ๋ยมากระจายให้แต่ละหมู่ที่

โครงการนี้มีผลกระทบต่อชาวบ้านกระจายไปทั้งอำเภอ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ตำบล 67 หมู่บ้าน ชาวบ้านในท้องที่ ต.แม่วะหลวง จึงได้เริ่มปรึกษาหารือกันแก้ไขปัญหาและขอความชัดเจนจากทางอำเภอ หากการปลูกป่าทับที่ครั้งนี้เป็นการยึดที่ดินทำกิน ก็จำเป็นต้องดำเนินการร้องเรียนไปยังรัฐบาลต่อไป เนื่องจากรัฐบาลนี้ได้ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน

สำหรับข้อมูลทางการปกครอง อ.ท่าสองยาง เป็นอำเภอตอนเหนือสุดของ จ.ตาก ประกอบดว้ย 6 ตำบล 67 หมู่บ้าน เดิมมีฐานะเป็นกิ่งอำเภออยู่ในเขตการปกครองของ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ต่อมาโอนมาขึ้นกับ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ พ.ศ. 2497 และยกฐานะเป็นอำเภอตั้งแต่ พ.ศ. 2501

ทั้งนี้ สกน.จังหวัดตาก ยังได้ทำหนังสือร้องเรียนลงวันที่ 11 ก.ค. 61 เรื่อง ขอให้ตรวจสอบโครงการปลูกป่าอำเภอท่าสองยาง โดยเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ทำสำเนาถึง ผอ.กอ.รมน. จังหวัดตาก, สหพันธุ์เกษตรกรภาคเหนือ รวมทั้งร้องเรียนผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฝรั่งเศสแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 กรมสุขภาพจิตระบุยอดโทรปรึกษาเรื่องพนันพุ่ง

$
0
0
'ฝรั่งเศส'แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 หลังเอาชนะโครเอเชีย 4-2 ด้านกรมสุขภาพจิตเผยสถิติสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เลิกพนัน ช่วงฟุตบอลโลกยอดคนโทรปรึกษาพุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงปกติ 2 เท่าตัว 30% ติดพนันบอล ตำรวจแถลงก่อนนัดชิงจับกุมเว็บพนัน 26 เว็บไซต์ ดำเนินคดี ผู้ต้องหา 65 ราย ปิดกั้นเว็บพนันที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ 400 เว็บ อายัดทรัพย์กว่า 70 ล้าน

 
 
15 ก.ค. 2561 ผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 (2018 FIFA World Cup) นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสกับทีมชาติโครเอเชีย ที่สนามกีฬาลุจนีกี กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ท่ามกลางผู้เข้าชมการแข่งขัน 78,011 คน ปรากฎว่าทีมชาติฝรั่งเศสเอาชนะไปได้ด้วยประตู 4-2
 
โดยทีมชาติฝรั่งเศสได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของทีมชาติโครเอเชียโดยนายมาริโอ แมนซูคิซ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าอายุ 32 ปี ในนาทีที่ 18, การยิงลูกที่จุดโทษของนายอองตวน กรีซมันน์ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าอายุ 27 ปี ในนาทีที่ 38, นายปอล ป๊อกบา ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางอายุ 25 ปี ในนาทีที่ 59 และนายคีเลียน เอ็มบัปเป้ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า ในนาทีที่ 65
 
ส่วนทีมชาติโครเอเชียได้ประตูจากนายอิวาน เปริซิช ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางอายุ 29 ปี ในนาทีที่ 28 และนายแมนซูคิซ แก้ตัวได้หนึ่งลูกหลังทำเข้าประตูตัวเอง ในนาทีที่ 69
 
สายด่วนสุขภาพจิต 1323 เลิกพนัน ช่วงฟุตบอลโลกยอดคนโทรปรึกษาพุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงปกติ 2 เท่าตัว
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่านาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตให้สัมภาษณ์ว่าช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงพนันบอลได้สูง คอบอลจะมีการเชียร์ทีมที่ตัวเอง ชื่นชอบและลุ้นผลการแข่งขันกันอย่างสนุกตื่นเต้นและเร้าใจจึงมีแนวโน้มที่จะถูกชักจูงเข้าสู่วงจรการพนันได้ง่าย 
 
ทั้งนี้กรมสุขภาพจิตได้เปิดสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ให้บริการปรึกษาผู้ที่อยากเลิกเล่นการพนัน ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถปรึกษาทางระบบออนไลน์ได้ด้วย ที่เฟสบุ๊คสายด่วนสุขภาพจิต 1323-เลิกพนัน ในช่วงเวลา 14.30 – 22.30 น. รวมทั้งเปิดให้บริการปรึกษาเลิกพนันที่โรงพยาบาลจิตเวชทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 19 แห่งทั่วประเทศทั้งนี้ สถิติสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เลิกพนันในเดือน มิ.ย. 2561 ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มแข่งฟุตบอลโลกวันที่ 15 - 30 มิ.ย. 2561  มีผู้มาขอรับการปรึกษาอยากเลิกพนันโดยตรงรวม 24 ครั้ง มากกว่าช่วงปกติ 2 เท่าตัว โดยพบว่าร้อยละ 30 เป็นปัญหาติดพนันบอลทั้งโต๊ะบอลและออนไลน์ ส่วนที่เหลือติดเล่นพนันออนไลน์ทั่วไป
 
ตำรวจแถลงกวาดล้างพนันบอลออนไลน์
 
สำนักข่าวไทยรายงานก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศว่า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงผลกวาดล้างปราบปรามลักลอบเล่นการพนันออนไลน์และทายผลฟุตบอลโลก ซึ่งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธรภาค 7, 8 และ 9 เปิดยุทธการโค่นล้มโครงข่ายพนันออนไลน์ จับกุมเว็บพนัน 26 เว็บไซต์ ดำเนินคดีผู้ต้องหา 65 ราย ในข้อหาจัดให้มีการเล่นโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันออนไลน์ นอกจากนี้ยังปิดกั้นเว็บพนันที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ 400 เว็บ อายัดทรัพย์กว่า 70 ล้าน โดยที่เชียงรายมีเงินหมุนเวียนกว่า 50 ล้านบาท และยึดจานส่งสัญญาณ 184 จาน เสาติดตั้ง 32 เสา ใน อ.แม่สาย ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กอ.รมน.แจงกรณีศาลจังหวัดปัตตานี สั่งประหารชีวิตจำเลยคดี ลอบยิงทหารพรานเสียชีวิต

$
0
0

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงกรณีศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาประหารชีวิต 'อิบรอเฮม' จำเลยคดีลอบยิงทหารพรานเสียชีวิต ย้ำยังมีสิทธิในการยื่นขออุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายได้กำหนดไว้

 
16 ก.ค. 2561 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) รายงานว่า เมื่อเวลา 9.00 น. พ.อ.ธนาวีร์  สุวรรณรัตน์ รองโฆษกกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจงกรณีศาลจังหวัดปัตตานี มีคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิต อิบรอเฮม สุไหงบารู ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง โดยมีรายละเอียดดังนี้
 
1. ตามที่พนักงานอัยการ เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง อิบรอเฮม สุไหงบารู ในความผิดคดี ลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพราน 2208 เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2556 พื้นที่ บ้านกอตอรานอ หมู่ที่ 1 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี  ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 1 นาย และคดีอื่นๆ ตามหมาย  ป.วิอาญา จำนวน  3 หมายนั้น เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2561 ศาลชั้นต้นจังหวัดปัตตานี ได้มีคำพิพากษาตัดสิน ประหารชีวิต อิบรอเฮม สุไหงบารู
 
2. พฤติกรรม อิบรอเฮม สุไหงบารู ได้เคยก่อคดี มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 3 หมาย คือ กรณียิงพระสงฆ์และราษฎร เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 7 ราย ในพื้นที่ ต.แม่ลาน อ.แม่ลาน 
จังหวัดปัตตานี เมื่อ 13 ก.พ. 2557 กรณีปล้นชิงทรัพย์รถยนต์ ในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก เมื่อ 1 ส.ค. 2556 และกรณียิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 2208 เสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 1 นาย ในพื้นที่ ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อ 12 ก.ย. 2556 
 
3. จากพฤติกรรมที่ปรากฏของจำเลยที่ได้ก่อเหตุถึง 3 คดี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับความเสียหาย โดยในห้วงที่ผ่านมาส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องได้ให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่ครอบครัวของผู้สูญเสียดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้กระทำความผิด  ก็จะต้องถูกลงโทษ ซึ่งผลคำพิพากษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของศาล ซึ่งได้พิจารณาตามพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล  พยานวัตถุ และพยานแวดล้อม ที่ทำให้ศาลเชื่อว่า จำเลยกระทำความผิดจริง จึงมีคำสั่งพิพากษาลงโทษดังกล่าว
 
อย่างไรก็ตาม จำเลยยังมีสิทธิในการยื่นขออุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายได้กำหนดไว้
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สมัชชาคนจน'จ่อร้อง รบ.แก้ปัญหา 'ยาฆ่าหญ้า-ค่าครองชีพ-บัตรทอง-สิทธิแรงงาน'พรุ่งนี้

$
0
0

สมัชชาคนจนเตรียมเข้ายื่นหนังสือที่ทำเนียบฯ พรุ่งนี้ ร้องแก้ปัญหานำเข้าสารเคมีอันตราย ราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้น กระทบค่าครองชีพ ปัญหาสวัสดิการรักษาพยาบาลจากระบบบัตรทอง และปัญหาด้านแรงงาน ที่คนงานที่ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมมากขึ้น

16 ก.ค.2561 เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'สมัชชาคนจน'แจ้งว่า พรุ่งนี้ (17 ก.ค.61)  เวลา 10.30 น. ตัวแทนสมัชชาคนจน จะเดินทางยื่นหนังสือเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล คสช. ผ่านนโยบาย และออกประกาศคำสั่งต่างๆ ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ. เดิม) บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

สำหรับปัญหาดังกล่าวประกอบด้วย 4 ประเด็นคือ 

1. การนำเข้าสารเคมีอันตราย โดยเฉพาะ พาราควอต (ยาฆ่าหญ้า)เพื่อใช้ในภาคการเกษตร ที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย ให้ยังสามารถใช้ได้ในประเทศไทย ทั้งที่เกิดผลกระทบขึ้นมากมายต่อชีวิตเกษตรกร และผู้บริโภคประชาชนทั่วไป ทั้งเสียชีวิต และสะสมปนเปื้อนตกค้าง ในสภาพแวดล้อม และอาหารที่ทุกคนบริโภค จึงขอให้พิจารณาการจำกัดหรือยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 รายการ คือ พาราควอต คลอไพริฟอส และไกลโฟเซต

2. ราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนแพงขึ้นทุกวัน ในขณะที่รายได้ของประชากร กลับไม่ได้มากตาม ทำให้คนไทยต้องจนลง จากเงินในกระเป๋าที่ต้องจ่ายไปเป็นค่าเชื้อเพลิงพลังงาน และจากปัญหาความไม่โปร่งใสในแวดวงธุรกิจพลังงาน

3. ปัญหาสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล จากระบบบัตรทอง ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีความพยายามจะปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าว โดยผิดไปจากเจตนารมณ์เบื้องต้นที่ต้องการให้เกิดระบบสวัสดิการและความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ในด้านการดูแลรักษาพยาบาล เพื่อให้เกิดเป็นระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทยทุกคน โดยจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคนที่ใช้ระบบบัตรทอง โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนคนยากจน ที่จะถูกเลือกปฏิบัติสงเคราะห์อย่างไม่เป็นธรรม เกิดเป็นความเหลื่อมล้ำในด้านการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาล

4. ปัญหาด้านแรงงาน ที่ปัจจุบันมีจำนวนคนงานที่ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมมากขึ้น โดยที่หน่วยงานของรัฐไม่สามารถเข้าไปดูแลช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที กลับปล่อยให้บรรดาคนงานที่ถูกปิดงานเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต้องเผชิญชะตากรรมโดยลำพัง โดยรัฐได้กำหนดนโยบายต่างๆ ที่ให้สิทธินักลงทุนมากขึ้นแทบทุกด้าน แต่สิทธิด้านแรงงานกลับไม่ได้รับการเหลียวแล แก้ไข

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live