Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

พา 4 เยาวชนหมูป่าออกจากถ้ำหลวงวันที่ 2 รวมช่วยได้แล้ว 8 ราย (9 ก.ค. 20.19 น.)

$
0
0

ความคืบหน้าปฏิบัติการเคลื่อนย้ายเยาวชนและโค้ช "ทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย"ซึ่งดำเนินการมาในวันที่ 2 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. วันนี้ (9 ก.ค.) นั้น

'ณรงค์ศักดิ์'ยืนยันวันที่ 2 ช่วยได้อีก 4 ราย
รวมเยาวชนออกจากถ้ำแล้ว 8 ราย

การแถลงข่าวของ ศอร. เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 9 ก.ค. 61 (ที่มา: เพจ PR.Chiangrai ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

ล่าสุดเมื่อเวลา 21.30 น.  ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะ ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย (ศอร.) แถลงข่าวที่ อบต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ยืนยันว่าปฏิบัติการช่วยเหลือในวันที่ 2 นั้น ทีมกู้ภัยได้ช่วยเหลือเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย 4 ราย

เยาวชนทั้งหมดปลอดภัยดีมีสติ โดยถูกส่งตัวทางเฮลิคอปเตอร์ไปที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์แล้ว ทำให้จนถึงปฏิบัติการรอบ 2 มีเยาวชนได้รับความช่วยเหลือออกจากถ้ำแล้วรวม 8 ราย เหลืออีก 5 รายอยู่ที่จุดเนินนมสาว ห่างจากปากถ้ำประมาณ 4.3 กม.

วันนี้เริ่มปฏิบัติการเวลา 11.00 น. ช่วยเหลือเยาวชนคนที่ 4 ถึง รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์เมื่อเวลา 20.00 น. เศษ เมื่อเทียบกับปฏิบัติการวันแรกถือว่าใช้เวลาปฏิบัติการเร็วขึ้น 2 ชั่วโมง

เพจ Thai NavySEAL ยืนยัน 2 วันช่วยได้แล้วรวม 8 ราย

เมื่อเวลา 20.19 น. เพจ Thai NavySEAL แจ้งว่าในรอบ 2 วันนี้ช่วยเหลือเยาวชนได้แล้ว 8 ราย

ทั้งนี้ทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่าอะคาเดมีแม่สายและโค้ชรวม 13 คน ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน โดยทีมกู้ภัยพบตัว 13 เยาวชนและโค้ช เมื่อเวลา 21.38 น. คืนวันที่ 2 กรกฎาคม มีการเตรียมแผนเคลื่อนย้าย และปฏิบัติการเคลื่อนย้ายวันแรกเมื่อ 8 กรกฎาคม โดยสามารถช่วยเหลือเยาวชนได้ 4 คน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม สามารถช่วยเหลือได้อีก 4 คน รวมเป็น 8 คนดังกล่าว (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)

 

ผบ.ศอร.เผยปฏิบัติการรอบ 2 เริ่มเมื่อ 11.00 น.

การแถลงข่าวของศูนย์อำนวยการร่วมฯ (ศอร.) ที่ อบต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 9 ก.ค. เวลา 14.55 น. (ที่มาของภาพ: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)

ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางวัน ตั้งแต่เวลา 14.55 น. วันนี้ (9 ก.ค.) ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะ ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย (ศอร.) แถลงข่าวที่ อบต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ยืนยันว่าปฏิบัติการช่วยเหลือเยาวชนรอบที่ 2 เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 11.00 น.

โดยในการแถลงข่าว ตามที่เผยแพร่ในเฟสบุ๊คไลฟ์เพจ PR.Chiangrai ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายพล.ต.ต. ชูรัตน์ ปานเหง้า รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กำชับกรณีสื่อมวลชนไม่ให้ละเมิดข้อตกลงในการรายงานสด ช่วงเวลาที่มีการปฏิบัติงานจริง รวมทั้งห้ามใช้โดรน เพราะอยู่ในเส้นทางแนวการบิน แม้ว่าเฮลิคอปเตอร์ยังจอดอยู่ก็ตาม นอกจากนี้ยังเตือนกรณีที่มีการดักฟังสัญญาณวิทยุเจ้าหน้าที่

อย่างไรก็ตามกรณีพาดพิงการดักฟังสัญญาณวิทยุนั้น ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ชี้แจงว่า "ทีมข่าวไม่เคยดักฟังวิทยุหรือการสื่อสารของราชการอย่างที่มีผู้กล่าวอ้าง เสียงที่ปรากฎในข่าวมาจากวิทยุเครือข่ายเครื่องสีแดงที่ประชาชนฟังได้ทั่วไป รวมทั้ง ถ่ายทอดผ่านแอพพลิเคชั่น Zello โดยผู้พูดคืออาจารย์พลสิงห์ แสนสุข ประธานศูนย์พญาอินทรี ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลข่าวสาร (ว.8) ที่ประชาชนเข้าถึงได้ปกติ"อย่างไรก็ตามได้ขออภัยต่อความไม่สบายใจ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ด้านณรงค์ศักดิ์ ในฐานะ ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วมฯ ระบุว่าได้เริ่มปฏิบัติการลำเลียงเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สายออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นครั้งที่ 2 โดยเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 11.00 น. โดยเริ่มปฏิบัติการเร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4-5 ชั่วโมง จากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลา 20 ชั่วโมงหลังจบปฏิบัติการครั้งที่ 1 เนื่องจากหลังปฏิบัติการเสร็จต้องตรวจเช็คอุปกรณ์ให้พร้อม ต้องวางถังอากาศและอุปกรณ์ช่วยเหลือภายในถ้ำ ดึงเชือกให้ตึงเพื่อให้เยาวชนใช้ในการดึงตัว

ขณะที่ทีมช่วยเหลือยังเป็นหน่วยปฏิบัติการบูรณาการนานาชาติชุดเดิม มีการสับเปลี่ยนกำลังบางส่วนที่อาจจะอ่อนล้า โดยเป็นการปฏิบัติการต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ และเร็วต้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ฝนที่ตกลงมาไม่กระทบต่อปฏิบัติการ เพราะเบี่ยงทางน้ำแล้ว และการระบายน้ำยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

ด้านกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมปัองกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุด้วยว่าการสูบน้ำเป็นไปตามความต้องการของหน่วยค้นหา ระดับน้ำภายในถ้ำลดลงตามแผน และมีการวางระบบสูบน้ำสำรองไว้ในถ้ำ

ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อเยาวชนกลุ่มแรก 4 ราย ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากถ้ำ โดยณรงค์ศักดิ์ยืนยันเพียงแต่ว่าทั้ง 4 คนมีสุขภาพดี เฝ้าระวังอาการที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ แต่ยังต้องแยกจากผู้ปกครองและผู้ใกล้ชิด เนื่องจากยังกังวลเรื่องการติดเชื้อ ขณะที่ทีมแพทย์พิจารณาว่าจะให้ญาติเข้าเยี่ยมระยะไกลผ่านกระจกได้หรือไม่

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทนายเบญจรัตน์'เข้าพบพนักงานสอบสวน หลัง 'ศรีวราห์'ฟ้องหมิ่นประมาทฯ

$
0
0

ทนายเบญจรัตน์ เตรียมเข้าพบพนักงานสอบสวนรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว หลัง 'พล.ต.อ.ศรีวราห์'ฟ้องหมิ่นประมาทฯ เหตุให้ข่าว 'ครูแขก'จ่อฟ้องกลับคณะตำรวจ หลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่นปี 53

ซ้าย ทนายเบญจรัตน์ มีเทียน, ขวา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
 
9 ก.ค.2561 ความคืบหน้าคดีที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แจ้งความเอาผิด เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความของ อัมพร ใจก้อน หรือครูแขก อายุ 59 ปี ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ภายหลังให้ข่าวกับประชาไทว่าจะไปฟ้องคดีคณะตำรวจซึ่งเคยดำเนินคดีของครูแขก รวม 12 คน รวมถึง พล.ต.อ.ศรีวราห์ ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ หลังจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่นปี 53 ที่ อัมพร ตกเป็นจำเลยนั้น
 
ล่าสุดวันนี้ (9 ก.ค.61) เบญจรัตน์ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนที่ สน.ปากคลองสาน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่จะให้การพร้อมรวบรวมหลักฐานส่งพนักงานสอบสวน และให้พนักงานสอบสวนสอบเพิ่มพยานอีกหลายปากในนัดหน้าคือวันที่ 3 ส.ค.61 
 
 
เบญจรัตน์ ยืนยันว่า ไม่มีประเด็นไหนที่ตนได้ใส่ร้าย ที่ตนพูดนั้นต้องการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายว่าจะให้ร้ายคนใดคนหนึ่ง เพราะ พล.ต.อ.ศรีวราห์ เป็นหัวหน้า  อยากให้กำชับตำรวจทั่วประเทศ ให้ทำงานให้ดีเพื่อไม่ให้ต้องมีแพะในกระบวนการยุติธรรม เป็นความรู้สึกของตน และเป็นความรู้สึกที่ถ่ายทอดมาจากครูแขกที่เขายืนยันว่าเขาเป็นแพะและยืนยันว่าจะฟ้องคดีนี้ เพื่อต้องการให้ตำรวจทำงานดีขึ้น ไม่ต้องการให้จับคนบริสุทธ์ไปติดคุกประมาณนี้ พร้อมยืนยันอีกว่าตนไม่มีเหตุโกรธเคืองกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ มาก่อน   
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อญี่ปุ่นตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยท่องเที่ยวในไทยกรณีถ้ำหลวงและเรือล่มที่ภูเก็ต

$
0
0

สื่อญี่ปุ่น นิกเคอิ เอเชียน รีวิว ตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในเมืองไทยหลังกรมอุทยานฯ ออกมาระบุว่ามาตรการความปลอดภัยการเข้าถ้ำมีความผิดพลาด ทำให้นักฟุตบอลทีมหมูป่าติดอยู่ในถ้ำหลวง ตลอดจนเหตุเรือท่องเที่ยวล่มปริศนาจนมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 41 คน ที่ จ.ภูเก็ต

ภาพการขนย้ายผู้เสียชีวิตกรณีเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต (ที่มา:สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์)

เมื่อ 7 ก.ค. สื่อนิกเคอิ เอเชียน รีวิวของญี่ปุ่น ตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในประเทศไทยจากเหตุการณ์ทีมฟุตบอลหมูป่าที่เข้าไปติดในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน และเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวฟีนิกซ์ล่มที่ จ.ภูเก็ต

หลังจากทีมหมูป่าเข้าไปติดอยู่ในถ้ำ ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ ระบุว่าทางกรมฯ ได้สั่งปิดการท่องเที่ยวถ้ำจำนวน 169 แห่ง จนกว่าจะมีการประเมินความปลอดภัยช่วงฤดูฝน นอกจากนั้นยังระบุว่าต่อไปจะต้องมีการลงทะเบียนผู้เข้า-ออกถ้ำในเขตอุทยานฯ และวนอุทยานฯ

หลังจากทีมหมูป่าเข้าไปติดในถ้ำ ธัญญาได้ออกมายอมรับว่ามีความผิดพลาดในมาตรการความปลอดภัยที่ถ้ำหลวง โดยป้ายเตือนหน้าทางเข้าถ้ำเขียนเตือนว่านักท่องเที่ยวไม่ควรเข้าไปในถ้ำในช่วงเดือน ก.ค.-พ.ย. แต่เด็กๆ และโค้ชเข้าไปในถ้ำในวันที่ 23 มิ.ย. ก่อนที่ฝนจะตกหนักและทำให้เกิดน้ำท่วมถ้ำจนทำให้ทีมหมูป่าติดอยู่ข้างในและต้องถอยร่นลึกเข้าไปในถ้ำ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กล่าวเมื่อวันอังคารที่แล้วว่าว่าถ้ำหลวงได้โด่งดังไปทั่วโลก และจะเป็นทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญต่อไป ในขณะที่ทีมหมูป่ายังคงอยู่ในถ้ำ ตามมาด้วยการเสียชีวิตของ จ.อ.สมาน กุนัน ทหารนอกราชการ จบหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือหน่วยซีล รุ่นที่ 30 เจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุฝ่ายรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ท่าอากาศสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างการดำเนินการลำเลียงถังออกซิเจนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในถ้ำหลวงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

นอกจากนั้น ในช่วงเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ก็มีกรณีเรือนักท่องเที่ยว ‘ฟีนิกซ์’ ล่มที่ จ.ภูเก็ตเมื่อ 5 ก.ค. ที่มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 41 คน สูญหาย 15 คนโดยสาเหตุของการออกเรือในวันที่มีมรสุมและการล่มยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน ในวันเดียวกันนั้นก็ยังมีเรือยอชต์ ‘เซเรนเนตต้า’ ล่มที่เกาะไม้ท่อน และคู่สามีภรรยาชาวรัสเซียที่หายไประหว่างขี่เจ็ตสกีบนน่านน้ำภูเก็ตซึ่งภายหลังผู้โดยสารเรือเซเรนเน็ตต้า และสามีภรรยาชาวรัสเซียก็ถูกช่วยชีวิตไว้แล้ว ยิ่งเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดความกังวลกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย

ภาคการท่องเที่ยวมีขนาดเศรษฐกิจนับเป็นสัดส่วนร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี นอกจากนั้นยังเป็นภาคส่วนที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนิกเคอิให้เหตุผลว่าเกิดขึ้นจากการมีสายการบินต้นทุนต่ำและรายได้ที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องความปลอดภัยก็เป็นประเด็นที่สามารถฉุดกระแสการท่องเที่ยวที่พุ่งสูงขึ้นมา ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดในโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอันดับให้ไทยอยู่ที่สองของประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนสูงที่สุดในโลก โดยมีอัตราส่วนการเสียชีวิตอยู่ที่ 36.2 รายต่อคน 1 แสนคน นับเฉลี่ยเป็น 24,000 รายต่อปี และ 66 รายต่อวัน โดยร้อยละ 73 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สองล้อและสามล้อ

กราฟิกแสดงอัตราส่วนการเสียชีวิตบนท้องถนนของไทย (ที่มา: WHO)

นอกจากนั้น อุบัติเหตุที่เกิดกับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ในปีนี้ สถิติของศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนรายงานว่า ในปี 2561 มีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนแล้ว 8,695 ราย เทียบกับปี 2560 ที่มีจำนวน 15,453 และปี 2559 ที่มี 9,815 ราย

เมื่อปีที่แล้วก็มีนักท่องเที่ยวหญิงชาวเบลเยียม เอลิส ดาลมานจ์ เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี สื่อเดอะมิเรอร์ของสหราชอาณาจักรได้รวบรวมมาว่าเป็นการเสียชีวิตของชาวต่างชาติรายที่เจ็ดบนเกาะเต่าในรอบสามปี (2557-2560)

แปลและเรียบเรียงจาก

Nikkei Asian Review, The Bangkok Insight, ข่าวสด, WHO

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดโปงหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เคยเสนอกองทัพใช้กฎอัยการศึก-ทำรัฐประหารตัวเอง

$
0
0

ส.ส.พรรครัฐบาลของเกาหลีใต้เปิดโปงเอกสารที่เสนอโดย ผบ.หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ในรัฐบาลชุดก่อน ที่จ้องปราบผู้ประท้วงต่อต้าน ปธน.ปักกึนเฮ หากผู้ชุมนุมไม่พอใจหากศาลรัฐธรรมนูญอุ้มปักกึนเฮ-ไม่ยอมถอดถอนตามมติรัฐสภา ให้เตรียมประกาศกฎอัยการศึกในกรุงโซล ส่งทหาร 4 กองพลน้อยควบคุมพื้นที่สำคัญรวมทั้งเกาะยออิโดที่ตั้งรัฐสภา อย่างไรก็ตามไม่มีการใช้แผนประกาศกฎอัยการศึกที่ว่าเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินถอดถอนปักกึนเฮตามมติรัฐสภา

ภาพประกอบ (ซ้าย) ทหารเกาหลีใต้สวนสนามในกรุงโซลในโอกาสครบรอบ 65 ปีก่อตั้งกองทัพเมื่อเดือนตุลาคมปี 2556 (ขวา) ส่วนหนึ่งของเอกสาร "Wartime Martial Law and Joint Action Plan"และผู้เสนอคือ ชอฮุนชอน (Cho Hyun-chon) อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการรักษาความมั่นคง (DSC) ผู้เสนอแผนประกาศกฎอัยการศึก (ที่มา: MBC/hani.co.kr/Wikipedia)

เอกสาร "กฎอัยการศึกยามศึกสงครามและแผนปฏิบัติการร่วม" (Wartime Martial Law and Joint Action Plan) ของหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ที่ ส.ส. พรรครัฐบาลเกาหลีนำมาเปิดเผย โดยในเอกสารระบุถึงมาตรการประกาศกฎอัยการศึกในกรุงโซล หากผู้ชุมนุมไม่ยอมรับผลตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวางแผนส่งทหารจำนวน 3 กองพลน้อยเข้าควบคุมจตุรัสกวางฮามุนและ 1 กองพลน้อยยึดเกาะยออิโดกลางแม่น้ำฮันซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภา (ที่มา: hani.co.kr)

ชอฮุนชอน (Cho Hyun-chon) อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการรักษาความมั่นคง (DSC) ผู้เสนอแผนประกาศกฎอัยการศึก (ที่มา: Wikipedia)

 

9 ก.ค. 2561 สำนักข่าว Hankyoreh จากเกาหลีใต้รายงานว่ามีการเปิดโปงเอกสารของกองบัญชาการรักษาความมั่นคง (DSC) หน่วยงานสืบราชการลับที่ขึ้นกับกองทัพเกาหลีใต้ ระบุว่าหน่วยงานนี้เคยพิจารณาจะประกาศกฎอัยการศึกและรัฐประหารตัวเองในช่วงวิกฤตการเมืองต้นปี 2560 ถ้าหากผู้ชุมนุมยังคงปักหลักชุมนุมต่อต้านประธานาธิบดีปักกึนเฉที่มีเรื่องอื้อฉาวในตอนนั้นต่อไปแม้ว่าศาลปฏิเสธจะถอดถอนปาร์กกึนฮเยออกจากตำแหน่ง

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามแผนของหน่วยข่าวกรองก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถอดถอนปักกึนเฮตามมติรัฐสภา ส่งผลให้ไม่เกิดการทำรัฐประหารตามแผนไปด้วย

เอกสารดังกล่าวนี้มีชื่อว่า "กฎอัยการศึกยามศึกสงครามและแผนปฏิบัติการร่วม" (Wartime Martial Law and Joint Action Plan) ผู้ที่นำเอกสารออกมาเผยแพร่คือ อีช็อลฮุย ส.ส.พรรคประชาธิปไตยเกาหลี พรรครัฐบาลปัจจุบันที่ชนะเลือกตั้งหลังปักกึนเฮพ้นจากตำแหน่ง

เอกสารยังระบุถึงแผนการรายละเอียดในการแต่งตั้งโยกย้ายทหารผู้บัญชาการกลาโหมมาเป็นผู้บัญชาการกองรักษาการณ์และพิจารณาตัวเลือกว่าจะมี "คำสั่งรักษาการ"หรือไม่ถ้าหากผู้ประท้วงจำนวนมากพยายามบุกเข้าไปในตัวอาคารทำเนียบประธานาธิบดี

โดยผู้เสนอคือ ชอฮุนชอน (Cho Hyun-chon) ผู้บัญชาการกองบัญชาการรักษาความมั่นคง (DSC) ในสมัยนั้น โดยเสนอต่อ ฮันมินกู (Han Min-goo) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในยุคนั้น โดยเอกสารยังระบุถึงการเสนอให้ยกระดับกฎอัยการศึกเป็นระดับภาวะฉุกเฉินถ้าหากสถานการณ์ประท้วงหนักขึ้นและมอบหมายให้ทหารหลายกองพลน้อยประจำตามจุดประท้วงที่ต่างๆ

นอกจากนี้เอกสารยังประเมินสถานการณ์บนความเป็นไปได้ว่าถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญไม่ยอมรับมติถอดถอนปักกึนเฮจากรัฐสภา ผู้ประท้วงจะก่อความวุ่นวายมากขึ้น ทำให้ ผบ.กองบัญชาการรักษาความมั่นคง (DSC) พยายามหาความเห็นชอบจากกระทรวงกลาโหมและเสนาธิการกองทัพในการเคลื่อนกำลังพล 3 กองพลน้อย ยึดจัตุรัสกวางฮามุน และอีก 1 กองพลน้อยยึดเกาะยออิโด ที่ตั้งอาคารรับสภา

ซึ่งตามกฎหมายเกาหลีใต้แล้วไม่สามารถสั่งการเคลื่อนกำลังพลจำนวนมากขนาดนี้ได้ถ้าหากไม่มีการรับรองจากกระทรวงกลาโหม และเสนาธิการกองทัพก็ไม่สามารถสั่งการเคลื่อนพลเองได้

มีการตั้งข้อสังเกตว่าข้อเสนอของ ผบ.กองบัญชาการรักษาความมั่นคง (DSC) ในเอกสารชุดที่ถูกเปิดโปงนี้มีกระบวนการคล้ายคลึงกับสมัย ผบ.กองบัญชาการรักษาความมั่นคงในอดีตคือ ช็อนดูฮวาน (Chun Doo-hwan) ที่ก่อการรัฐประหารโดยกลุ่มสมรู้ร่วมคิดของเหล่าทหารที่ชื่อ "ฮานาเฮว"ในวันที่ 12 ธ.ค. 2522

อีช็อลฮุย ส.ส.พรรครัฐบาลปัจจุบัน ผู้เปิดเผยเอกสารนี้ยังกล่าววิจารณ์กองทัพในยุคของปักกึนเฮว่าพวกเขาไม่เพียงแทรกแซงทางการเมืองอย่างผิดกฎหมายและสอดแนมประชาชนเท่านั้น  ผบ.หน่วยงานความมั่นคงยังวางแผนก่อการรัฐประหารยึดอำนาจกลายเป็นรัฐบาลทหาร โดยเขาเสนอว่าจะต้องปฏิรูปกองบัญชาการรักษาความมั่นคงอย่างสิ้นเชิง

เรียบเรียงจาก

Military considered martial law if constitutional court rejected Park’s impeachment in 2017, Hankyoreh, 06-07-2018

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพจ พนง.สอบสวนหญิง ชี้ให้ห้องสืบสวนติดกล้องฯ ต้องให้งบประมาณด้วย

$
0
0

ที่มาภาพประกอบจากหนังสั้นเรื่องห้องสอบสวนหมายเลขศูนย์ (อ้างใน BKK Clear)

12 ก.ค. 2561 จาก ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 12 ก.ค. 2561 นี้ ได้มีการระบุเกี่ยวกับการนำอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงมาใช้ในกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนี้

“มาตรา 13/1 ในการจับหรือค้น ให้เจ้าพนักงานผู้จับหรือค้นจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้ เว้นแต่เป็นกรณีเร่งด่วนหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันไม่อาจดำเนินการได้ก็ให้เจ้าพนักงานนั้นบันทึกเหตุดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานในบันทึกการจับหรือบันทึกการค้น แล้วแต่กรณี”

และ

มาตรา 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 136 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

“มาตรา 136 การถามคำให้การหรือสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีที่มีข้อหาความผิดซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้ เว้นแต่เป็นกรณีเร่งด่วนหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันไม่อาจดำเนินการได้ ก็ให้พนักงานสอบสวนนั้นบันทึกเหตุดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานในสำนวนการสอบสวน”

 

ต่อกรณี เพจพนักงานสอบสวนหญิงได้ระบุในวันที่ 10 ก.ค. 2561 ว่าหากบังคับใช้ตามกฎหมายใหม่ ก็ควรจะให้งบประมาณค่าทำห้องและค่าอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงให้มีพร้อมทุกทีในทุกสถานีตำรวจ 1,482 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งห้องบันทึกภาพและเสียง อย่างน้อยค่าใช้จ่ายต่อห้องประมาณ 100,000 บาท เมื่อคำนวณคร่าวๆ ในการของบประมาณกระทรวงยุติธรรม (กองทุนยุติธรรม) มาอุดหนุนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 100,000 x 1,482 = 148,200,000 เท่านั้นเอง แต่ก็อย่าลืมอุดหนุนแผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงที่ต้องส่งให้ศาลเป็นพยานหลักฐานซึ่งเป็นวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้หมดไปด้วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปสช.ให้โควต้าผ่าตาต้อกระจก 1.2 แสนดวง เตรียมแผนอนาคตต้องไม่ตาบอดจากต้อกระจก

$
0
0
มติ สปสช. วางเป้าช่วยเหลือผู้ที่ตาบอด หรือมองเห็นเลือนรางจากตาต้อกระจก ให้ได้รับการผ่าตัดเพื่อให้กลับมามองเห็นได้อย่างเดิม เป้าสูงสุดภายในปี 63 ต้องไม่มีผู้ป่วยตาบอดจากตาต้อกระจกในไทยอีกต่อไป

9 ก.ค.2561 นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ ในฐานะประธานคณะทำงานเกี่ยวกับตาต้อกระจก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันสำหรับผู้ป่วยตาต้อกระจกถือเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศมานาน โดยขณะนี้ยังมีประชาชนที่ตาบอดจากตาต้อกระจกจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม มติของ สปสช. ที่ร่วมดำเนินการกับกระทรวงสาธารณสุข เห็นตรงกันคือต้องเกิดเป้าหมายเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ตาบอด หรือมองเห็นเลือนรางจากตาต้อกระจก ให้ได้รับการผ่าตัดเพื่อให้กลับมามองเห็นได้อย่างเดิม ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคือภายในปี 2563 จะต้องไม่มีผู้ป่วยตาบอดจากตาต้อกระจกในประเทศไทยอีกต่อไป เพื่อเพิ่มคุณภาพในการใช้ชีวิตของประชาชน 

นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดโควต้าการผ่าตัดในปี 2561 โดย สปสช.สามารถผ่าตัดตาต้อกระจกทั้งสำหรับผู้ที่ตาบอดและมองเห็นเลือนรางในจำนวน 120,000 ดวงตา ซึ่งจะกระจายโควต้าไปยังเขตบริการสุขภาพทุกแห่งทั่วประเทศ ตามผลสำรวจประชากรที่ต้องได้รับการผ่าตัดตามสิทธิประโยชน์ 

“เราแบ่งเป็นการผ่าตัด 100,000 ดวงตาให้กับเขตบริการสุขภาพทั่วประเทศ ขณะที่อีก 20,000 ดวงตาจะกันเอาไว้ในส่วนกลาง เพื่อเป็นโควต้าสำรองให้กับผู้ป่วยแต่ละเขตบริการสุขภาพที่ต้องการผ่าตัดเพิ่มเติม” นพ.สุพรรณ กล่าว 

นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า ในส่วนของโรงพยาบาลที่ผ่าตัดตาต้อกระจกนั้น สปสช.จะมีอัตราเหมาจ่ายค่าผ่าตัดให้ตั้งแต่5,000-9,000 บาท ซึ่งความแตกต่างจะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการผ่าตัด 

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากพบว่าเป้าหมายแรกสำเร็จแล้ว คือไม่ให้มีคนตาบอดจากตาต้อกระจกในประเทศไทยอีกต่อไป ก็จะเป็นขั้นตอนการพัฒนาโดยการอบรมแพทย์ให้เชี่ยวชาญด้านจักษุ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการฝึกอบรมแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับทั้งในส่วนตำบล อำเภอ เพื่อให้ได้แพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญกลับไปอยู่ในพื้นที่เขตบริการสุขภาพ และช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่ และเมื่อสำเร็จแล้วแผนการอนาคตคือนำสิทธิประโยชน์ผ่าตัดตาต้อกระจกเข้าสู่ระบบบริการปกติต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตัวแทนสหรัฐฯ ขวางมติ-ข่มขู่ตัวแทนประเทศหนุนเด็กกินนมแม่บนเวทีนานาชาติ

$
0
0

ตัวแทนสหรัฐฯ ขวางมตินานาชาติที่ให้เด็กดื่มนมแม่ในที่ประชุมขององค์การอนามัยโลก (WHO)  ทั้งยังข่มขู่ตัวแทนประเทศที่สนับสนุนข้อเสนอจนผู้แทนรัสเซียต้องเข้ามาแก้เกม หลายกลุ่มมองว่าการขัดขวางดังกล่าวเป็นความพยายามปกป้องอุตสาหกรรมนมผงยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ที่โยงใยกับรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์

ภาพคุณแม่ระหว่างฝึกให้นมเด็ก (ที่มา: UNICEF Ukraine)

10 ก.ค. 2561 ในการประชุมประจำปีขององค์การอนามัยโลก (WHO) มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ เผชิญหน้ากับนานาประเทศ นั่นคือประเด็นที่สหรัฐฯ คัดค้านมติของประเทศอื่นๆ ที่ส่งเสริมการให้นมแม่ในเด็กและจำกัดการโฆษณาสรรพคุณของนมอื่นๆ ที่ใช้แทนนมแม่เกินจริงหลังจากที่มีงานวิจัยออกมาหลายงานวิจัยระบุว่านมแม่เป็นนมที่ดีที่สุขภาพเด็กที่สุด

เดิมทีแล้วมีการคาดการณ์ว่ามติเรื่องนมแม่นี้จะผ่านร่างได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าตัวแทนที่เข้าประชุมจากสหรัฐฯ ก็คัดค้านเรียกร้องให้แก้ภาษาในร่างมตินี้โดยนำวลีที่ว่า "คุ้มครอง ส่งเสริม และสนับสนุนการให้นมแม่ (protect, promote and support breast-feeding)"ออก ซึ่งเป็นไปได้ว่าน่าจะเพราะต้องการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มบรรษัทธุรกิจนมผง

นิตยสารไทม์รายงานว่า เมื่อการคัดค้านไม่สำเร็จ ตัวแทนจากสหรัฐฯ ได้หันมาใช้วิธีการขู่ประเทศอื่น เช่น ขู่เอกวาดอร์ที่วางแผนเสนอมตินี้ว่าถ้าพวกเขาไม่ยกเลิกข้อเสนอนี้สหรัฐฯ จะ ลงโทษพวกเขาด้วยการปรับมาตรการทางการค้าและลดความช่วยเหลือทางทหารในการปราบปรามความรุนแรงจากแกงค์อาชญากรรม ทำให้ตัวแทนจากเอกวาดอร์และผู้รณรงค์ด้านสุขภาวะมีความยากลำบากในการหาผู้สนับสนุนรายอื่นๆ ต่อมตินี้ การข่มขู่เช่นนี้ได้รับการยืนยันจากตัวแทนคนอื่นๆ ที่ขอสงวนไม่ออกนามเนื่องจากกลัวการตอบโต้จากสหรัฐฯ

แพตตี รันดัลล์ ผู้อำนวยการนโยบายของกลุ่มรณรงค์เรื่องนมแม่ 'เบบีมิลค์แอ็คชัน'กล่าวว่า สิ่งที่ตัวแทนสหรัฐฯ ทำถือเป็นการขู่กรรโชกหรือแบล็กเมล์ เหมือนว่าสหรัฐฯ กำลังจับหลายประเทศในโลกเป็นตัวประกันเพื่อพยายามยับยั้งมติที่จะออกมาคุ้มครองสุขภาพเด็กอ่อน

ทางการเอกวาดอร์กล่าวถึงการขู่ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ว่าเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึง "พวกเราไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องที่ดูเป็นประเด็นเล็กๆ อย่างการให้นมเด็กจะกระตุ้นให้เกิดการโต้ตอบอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ได้"

เรื่องนี้ทำให้ตัวแทนจากรัสเซียเข้ามานำเสนอมาตรการข้างต้นในท้ายที่สุด โดยไม่ถูกตอบโต้จากสหรัฐฯ ตัวแทนจากรัสเซียกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้อยากเล่นบทฮีโร่พวกเขาแค่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดที่ประเทศใหญ่ๆ พยายามบีบเค้นประเทศเล็กๆ ในประเด็นที่มีความสำคัญกับทั้งโลก

สุดท้ายแล้ว ร่างมติดังกล่าวก็มีข้อความแบบเดิมแทบจะทั้งหมด ยกเว้นแต่ว่ามีข้อความส่วนหนึ่งถูกตัดออกไปคือข้อความที่ระบุให้ประเทศสมาชิกพยายามยับยั้ง "การโฆษณาอย่างไม่เหมาะสมเกี่ยวกับอาหารสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก (inappropriate promotion of foods for infants and young children,)"โดยกลุ่มเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ 'มัมส์ไรส์ซิง'กล่าวว่า การแสดงออกของตัวแทนสหรัฐฯ ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องประหลาดและน่าอับอาย

วารสารแลนเซตเคยนำเสนอผลการศึกษาเมื่อปี 2559 ว่าการให้นมแม่จะช่วยชีวิตเด็กได้ 823,000 ราย และช่วยชีวิตแม่ 20,000 ราย ต่อปี นอกจากนี้ยังจะลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจำนวน 300,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าหากมีการให้นมแม่กันทุกครัวเรือนและจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจ (economic prospect) สำหรับเด็กด้วย

ตลาดอาหารเด็กทารกเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าถึง 70,000 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนมากผู้ผลิตมักจะเป็นแค่กลุ่มบรรษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่บรรษัทที่มีฐานในสหรัฐฯ และยุโรป สื่อเดอะการ์เดียนระบุว่า หนึ่งในบรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านนี้คือแอบบ็อตนูทรีชัน เคยเป็นผู้บริจาคให้กับพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือน ม.ค. 2560

ลูซี ซัลลิแวน ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรส่งเสริมโภชนาการเด็ก 1,000 Days ระบุว่าการโต้ตอบของสหรัฐฯ ในที่ประชุมนับได้ว่าเป็นประเด็นของ "การสาธารณสุขปะทะกับผลกำไรของเอกชน"โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือคนที่ให้นมลูกจากอกกับชีวิตของเด็ก กับคนที่กลัวจะเสียผลประโยชน์อย่างธุรกิจนมผงเด็กทารก

ข่าวสืบสวนสอบสวนของเดอะการ์เดียนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเผยให้เห็นว่าบรรษัทนมผงสำเร็จรูปใช้วิธีการรุกล้ำในการแก้ไขกฎหมายเพื่อบีบเค้นให้แม่และคนทำงานด้านสาธารณสุขต้องเลือกนมผงแทนการให้นมแม่ มาตรการเช่นนี้ยังมีการนำไปใช้กับกลุ่มประเทศที่ยากจนที่ธุรกิจนมผงจากสหรัฐฯ พยายามจะไปเติบโตที่นั่นด้วย

เรียบเรียงจาก

U.S. Delegates Opposed an International Resolution That Supported Breastfeeding, Fortune, Jul 8, 2018

Trump administration's opposition to breastfeeding resolution sparks outrage, The Guardian, Jul 8, 2018

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รู้จัก 'ไพรมารีโหวต'ที่ร่างมาแต่อาจไม่ได้ใช้ หลังผุด 4 แนวทาง

$
0
0

ทำความเข้าใจระบบไพรมารีโหวตตามกฎหมายพรรคการเมือง หลายพรรคกังวลว่าจะดำเนินการไม่ทันเพราะ คสช.ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง ตอนนี้มี 4 ทางให้เลือก โหวตระดับจังหวัด โหวตระดับภาค ยกเลิกการโหวตในครั้งนี้ หรือหาวิธีการอื่นมาใช้แทน

กลับมาเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอีกครั้งสำหรับเรื่องการทำไพรมารีโหวต (Primary Vote) ซึ่งหมายถึงการดำเนินการให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) หลังจากที่มีข่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ยกร่าง แก้ไขคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 53/2560 ขณะเดียวกันมีรายงานว่า คสช. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ก็ได้ยกร่างแก้ไขคำสั่งดังกล่าว แล้วส่งมาให้ กกต. พิจารณาเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปลดล็อกพรรคการเมือง และการจัดทำไพรมารีโหวต

ร่างทั้งสองฉบับมีเนื้อหาที่เป็นไปในทางเดียวกันคือ ให้พรรคการเมืองสามารถจัดประชุมพรรคการเมืองได้ มีการแก้ไขข้อบังคับในเรื่องการหาสมาชิก ให้ความเห็นกับคณะกรรมการการเลือกตั้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ และสามารถจัดทำไพรมารีโหวตได้ โดยให้กับ กกต. ก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ยังให้อำนาจกับบ กกต. ดำเนินการออกหลักเกณฑ์ และระเบียบต่างๆ ให้สอดคล้องกับ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (กฎหมายผ่านการพิจารณาแล้ว รอลงพระประมาภิไธยและประกาศลงราชกิจจานุเบกษา)

แต่ประเด็นเรื่องการทำไพรมารีโหวตนั้น ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยเวลานี้มีทั้งหมด 4 แนวทางคือ 1.ยืนยันการทำไพรมารีโหวตแบบเดิมเป็นรายจังหวัด 2.เปลี่ยนเป็นการทำไพรมารีโหวตรายภาค 4 ภาค 3.ยกเลิกการทำไพรมารีโหวตในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ และ 4.หาแนวทางอื่นเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทั้งหมดนี่คือการสรุปข้อเรียกร้องจากประชุมเพื่อหารือระหว่าง 74 พรรคการเมือง กับรัฐบาล คสช. โดยผู้ที่เป็นคนตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางใดคือ กกต. 

รู้จักกระบวนการทำไพรมารีโหวต ตามกฎหมายพรรคการเมือง

ภายใต้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ได้กำหนดให้พรรคการเมืองทุกพรรคต้องมีการทำ ‘ไพรมารีโหวต’ โดยกฎหมายพรรคการเมืองบัญญัติให้มีจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 500 คน มาจากระบบแบ่งเขตทั้งหมด 350 ที่นั่ง และระบบบัญชีรายชื่อ 150 ที่นั่ง และการจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตหนึ่งๆ พรรคการเมืองจะต้องมีสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองในจังหวัดนั้น

หากพรรคจะส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตต้องทำอย่างไร

มาตรา 47 กำหนดว่า การที่พรรคการเมืองจะส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในในระบบแบ่งเขตได้ จะต้องมีสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดในเขตเลือกตั้งนั้นๆ และผู้ที่จะลงรับสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองในจังหวัดนั้นๆ

                สำหรับสาขาพรรคการเมือง ตามกฎหมายฉบับใหม่กำหนดให้ ภายในหนึ่งปีหลังจากที่กลุ่มผู้ประสงค์ตั้งพรรคการเมืองได้รับการจดทะเบียน และมีสถานะเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายแล้ว จะตั้งดำเนินการจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง อย่างน้อยภาคละ 1 สาขา โดยในแต่ละสาขาจะต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในในเขตพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งหมดต้องมีสมาชิก 500 คนขึ้นไป ขณะที่การตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดนั้นจะต้องมีสมาชิกในจังหวัดนั้นๆ 100 คนขึ้นไป

 


สำหรับวิธีการสรรหานั้นได้กำหนดไว้ในมาตรา 50 โดย ให้คณะกรรมการสรรหาผู้รับสมัครเลือกตั้ง (ซึ่งจะได้มาจากการประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง โดยการเลือกตั้ง ตามมาตรา 38) ของแต่ละพรรคการเมืองกำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการสมัครเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง และประกาศให้สมาชิกของพรรคทราบ

เมื่อกำหนดเวลารับสมัครแล้ว ให้คณะกรรมการสรรหาฯ ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครในแต่ละเขต แล้วส่งรายชื่อผู้สมัครให้สาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคประจำจังหวัดที่มีพื้นที่รับผิดชอบในเขตเลือกตั้งนั้น

เมื่อสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดได้รับรายชื่อผู้สมัคร ให้จัดประชุมสมาชิกเพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครตามที่คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งมา

การประชุมสาขาพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่า 100 คน หรือการประชุมตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่า 50 คน โดยในการลงคะแนนให้สมาชิกมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้หนึ่งคน และเมื่อลงคะแนนเสร็จแล้วให้นับคะแนนและประกาศผลการนับคะแนน แล้วรายงานรายชื่อผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดสองลำดับแรกให้คณะกรรมการสรรหาฯ

จากนั้นให้คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งรายชื่อผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดของแต่ละเขตเลือกตั้งให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยหากคณะกรรมการบริหารพรรคไม่เห็นชอบ ให้แสดงเหตุผลและให้พิจารณาผู้สมัครซึ่งได้คะแนนในลำดับถัดไปเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในกรณีที่คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่เห็นชอบกับรายชื่อทั้งหมด ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและคณะกรรมการสรรหาฯ ประชุมร่วมกัน หากที่ประชุมร่วมกันมีมติเห็นชอบกับผู้สมัครรายใด ให้เสนอชื่อผู้สมัครรายนั้น

หากพรรคจะส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อต้องทำอย่างไร

มาตรา 48 กำหนดให้การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้พรรคการเมืองจัดทำบัญชีรายชื่อ เพื่อส่งให้สาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด โดยคำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่างๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง โดย กกต. จะเป็นผู้กำหนดอัตราส่วนระหว่างชายและหญิง ซึ่งจะมีการหารือกับพรรคการเมืองต่างๆ ก่อน

สำหรับการสรรหาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อกำหนดไว้ในมาตรา 51  ให้คณะกรรมการสรรหาผู้รับสมัครเลือกตั้ง กำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการเสนอรายชื่อบุคคลเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง และมีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และประกาศให้สมาชิกทราบ

เมื่อกำหนดเวลาเสนอรายชื่อ ให้คณะกรรมการสรรหาฯ ตรวจสอบคุณสมบัติและจัดทำบัญชีรายชื่อไม่เกิน 150 คน โดยคำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่างๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง แล้วส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวไปยังสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด

จากนั้นให้หัวหน้าสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดจัดประชุมเพื่อให้สมาชิกลงคะแนนเลือกตั้งบุคคลในบัญชีรายชื่อ โดยให้สมาชิกลงคะแนนเลือกได้คนละไม่เกิน 15 คน โดยการประชุมสาขาพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่า 100 คน หรือการประชุมตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่า 50 คน เมื่อลงคะแนนเลือกเสร็จสิ้นแล้ว ให้หัวหน้าสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดประกาศผลการนับคะแนน แล้วรายงานไปยังคณะกรรมการสรรหาฯ โดยเร็ว

คณะกรรมการสรรหาฯ จัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยเรียงลำดับตามผลรวมของคะแนนที่ได้รับจากสาขาพรรคการเมืองหรือตัวเทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จากนั้นให้คณะกรรมการสรรหาฯ ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองให้พิจารณาให้ความเห็นชอบ หากคณะกรรมการบริหารพรรค ไม่เห็นชอบให้ดำเนินการใหม่จนกว่าจะได้บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง

เงื่อนไข ข้อจำกัด และปัญหา

สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการ สถาบันพระปกเกล้า เคยให้สัมภาษณ์กับไทยพับลิกาเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2560 ว่า ระบบไพรมารีโหวตนี้ “ยากต่อการปฏิบัติ” และเป็นเงื่อนไขที่ทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคปั่นป่วน ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดใดก็ตาม

“พรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครได้จะมีน้อยมาก เพราะต้องเป็นพรรคที่มีความพร้อมที่จะจัดไพรมารีโหวต เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย แต่ไม่ได้หมายความว่า พรรคที่มีความพร้อมแบบนี้จะไม่เจอกับปัญหา” สติธร กล่าว

สติธร ยกตัวอย่างปัญหาทางเทคนิคที่พรรคการเมืองจะต้องเผชิญ เช่น พรรคเพื่อไทย อาจจะเจอกับปัญหาเรื่อง สาขาพรรค เพราะที่ผ่านมาใช้ระบบศูนย์ประสานงานของพรรค มากกว่าการตั้งสาขาพรรค ก็อาจจะต้องแก้ด้วยการปรับศูนย์ประสานงานให้เป็นสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดก็สามารถทำได้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีสาขาพรรคมาก แต่ก็จะเจอกับปัญหาอื่นแทน เช่นเดียวกับพรรคขนาดกลางและเล็ก ก็จะพบกับปัญหาเช่นกัน จนคาดว่าจะมีพรรคที่มีความพร้อมที่จะจัดเลือกตั้งแบบไพรมารีโหวตไม่เกิน 5 พรรคการเมืองเท่านั้น

ขณะที่สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับพรรคการเมืองที่จดทะเบียนอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว จำนวนสมาชิกพรรคการเมือง หลังจากที่มีการดำเนินการยืนยันสมาชิกพรรคการเมืองลดลงมากกว่าร้อยละ 90 พรรคประชาธิปัตย์ มีจำนวนสมาชิกพรรคเดิมทั้งสิ้น 2,896,109 คน แต่รับการยืนยันกลับมาเพียง 1.3 แสนคน พรรคเพื่อไทย มีสมาชิกพรรคเดิม 134,896 คน แต่สมาชิกพรรคยืนยันประมาณ 1 หมื่นคน พรรคชาติไทยพัฒนาเดิมมีสมาชิก 26,050 คนเหลือ 2,500 คน พรรคภูมิใจไทยเดิมมีสมาชิก 153,095 คน เหลือ 1,800 คน และบางพรรคการเมืองยังมีสมาชิกพรรคไม่เกิน 100 คนในบางจังหวัด

นอกจากนี้พรรคการเมืองทั้งใหม่เก่าต่างมีความกังวลในเรื่องระยะเวลาว่าอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ทัน และกังวลกับระบบไพรมารีโหวตซึ่งมีเงือนไข ข้อจำกัดมาก จนอาจทำให้พรรคไม่สามารถส่งผู้รับสมัครเลือกตั้งได้ ประกอบกับการยังไม่ปลดล็อกให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างเต็มที่ และยังไม่มีการกำหนดเขตเลือกตั้งที่ชัดเจน

ขณะที่ ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2561 ว่า ระบบไพรมารีโหวตที่มีการกำหนดไว้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพรรคการเมือง แต่ยิ่งจะเป็นประโยชน์เพราะจะทำให้พรรคการเมืองมีความเป็นสถาบันมากขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือการไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้

 

เรียงเรียบจาก: iLaw , มติชนออนไลน์ , ประชาชาติธุรกิจ , ไทยพับลิกา , ข่าวสดออนไลน์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีมหมูป่าได้รับความช่วยเหลือจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนครบทั้ง 13 คน (10 ก.ค. 18.47 น.)

$
0
0

เพจ Thai NavySEAL ยืนยันว่าเยาวชนนักฟุตบอลและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี 5 คนที่เหลือ ได้รับการช่วยเหลือออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงรายแล้ว ทำให้ขณะนี้ "ทีมหมูป่า"ทั้ง 13 คนได้รับการช่วยเหลือและอยู่ระหว่างรักษาตัวที่ รพ.ประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย โดยใช้เวลาปฏิบัติการค้นหารวม 18 วัน

ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร: ต้องถอดบทเรียนกู้ภัยถ้ำหลวง เพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนทั้งโลก

เพจซีลยืนยันช่วยเหลือครบทั้ง 13 คน

เมื่อเวลา 18.47 น. ในเพจ Thai NavySEALโพสต์ว่ายืนยันว่าเยาวชนนักฟุตบอลและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สายทั้ง 13 คน ได้รับการช่วยเหลือออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้ว

"หมูป่า 12 ตัว และโค้ช ออกจากถ้ำแล้ว ปลอดภัยทุกคน
เวลานี้รอรับมนุษย์กบ 4 คน ออกมาครับผม
Hooyah"

ก่อนหน้านี้ เพจ Thai NavySEALโพสต์เมื่อเวลา 16.50 น. ระบุว่าเยาวชนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีที่ติดถ้ำได้รับความช่วยเหลือออกมาจากถ้ำตั้งแต่เวลา 16.06 น.

โดยตั้งแต่ช่วงเช้า เวลา 11.50 น. ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.พะเยา ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.) เปิดเผยว่าปฏิบัติการเคลื่อนย้ายเยาวชนที่ติดถ้ำเริ่มขึ้นเป็นวันที่ 3 แล้ว ตั้งแต่เวลา 10.08 น. มีทีมนักดำน้ำ 19 คน โดยจะพาทีมหมูป่าที่เหลือทั้ง 5 คนออกมาทั้งหมด รวมทั้งแพทย์และ จนท.หน่วยซีลที่คอยดูแลที่จุดเนินนมสาว 4 คนด้วย

อนึ่ง "โค้ชเอก"เอกพล จันทะวงษ์ ผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี เป็นหนึ่งในคนที่จะได้รับความช่วยเหลือเป็นกลุ่มสุดท้ายในวันนี้

 

 

ใช้เวลาปฏิบัติการช่วยเหลือรวม 18 วัน

แฟ้มภาพนักฟุตบอล "ทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย"

ทั้งนี้ทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย 12 คน อายุระหว่าง 11-17 ปี และโค้ชอายุ 25 ปี รวม 13 คน  ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน

โดยทีมกู้ภัยปฏิบัติการค้นหาจนพบตัว 13 เยาวชนและโค้ช "ทีมหมูป่า"เมื่อเวลา 21.38 น. คืนวันที่ 2 กรกฎาคม มีการเตรียมแผนเคลื่อนย้าย และปฏิบัติการเคลื่อนย้ายวันแรกเมื่อ 8 กรกฎาคม โดยสามารถช่วยเหลือเยาวชนได้ 4 คน วันที่ 9 กรกฎาคม สามารถช่วยเหลือได้อีก 4 คน และวันที่ 10 กรกฎาคม สามารถช่วยเหลือเยาวชนและโค้ชได้อีก 5 คน รวม 13 คน รวมใช้เวลาปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายนจนถึงวันนี้ (10 ก.ค.) รวม 18 วัน

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ: เส้นทาง-รากฐาน ‘ระบอบรัฐประหาร’ ที่ไม่จีรังแต่วนลูป

$
0
0

คุยกับผู้เขียนหนังสือ 'การเมืองไทยร่วมสมัย'สืบเนื่องจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ 2247/2561 ย้อนดูประวัติศาสตร์การยึดอำนาจ รัฐธรรมนูญหลายเวอร์ชั่นที่แก้การรัฐประหารไม่ได้ ย้อนสู่คำถามพื้นฐาน ใครต้องรับผิดชอบกับโครงสร้างสังคม การเมืองที่ยึดแย่งอำนาจได้ง่ายดายนี้

  • บัณฑิตมองว่าการรัฐประหารว่าเป็นการยึดเอาอำนาจจากคนที่ครองอำนาจอยู่เดิม แล้วตั้งตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
  • วังวนรัฐประหารเริ่มต้นขึ้นหลังปี 2490 เป็นช่วงเวลาที่คนยึดอำนาจขึ้นมาก็ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเขียนใหม่เมื่อมีอำนาจในมือ
  • รัฐธรรมนูญหลายฉบับพยายามแก้ไขการรัฐประหาร ปฏิรูปการเมือง แต่สุดท้ายการรัฐประหารก็วนลูปกลับมาอีกครั้ง
  • การพูดถึงระบอบรัฐประหารเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ปัญหาวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดเพราะทหารฝ่ายเดียว แต่ผู้ศรัทธาอำนาจจากกระบอกปืนเองก็มีส่วน

‘ระบอบรัฐประหาร’ เป็นคำที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กรณีที่จ่าสิบเอกอภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านการปฏิรูปกฎหมาย ฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 7/2557 หลังชูป้ายกระดาษขนาด A4 “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน” เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2557 หนึ่งวันหลัง คสช. เข้ายึดอำนาจ

“จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า ประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 ไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เนื่องจาก คสช. ได้อำนาจการปกครองมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นนี้ศาลอุทธรณ์โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้การกระทำของ คสช. ในเบื้องต้นจะมีลักษณะเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น แต่เมื่อ คสช. เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ไม่มีการต่อต้านขัดขืนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การใดๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน แม้แต่คณะรัฐบาลรักษาการก็ไม่อาจโต้แย้งขัดขวางการยึดอำนาจและบริหารราชการของ คสช. ถือเป็นการใช้กำลังยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามนัยของระบอบแห่งการรัฐประหารได้เป็นผลสำเร็จแล้ว”

(ส่วนหนึ่งของคำพิพากษา อ่านคำพิพากษาตัวเต็มที่นี่)

ศาลอุทธรณ์ตัดสิน ‘อภิชาติ’ ชุมนุมต้านรัฐประหารมีความผิด อ้าง ICCPR ไม่ได้

การสานเสวนาหรือถกเถียงต่อคำสำคัญดังกล่าวบนฐานแนวคิดทางกฎหมายก็เป็นทางหนึ่ง แต่ในแง่การเมืองว่าด้วยแนวคิดการรัฐประหาร ความชอบธรรม รวมถึงปมปัญหาบนเส้นทางของวงจรการยึดอำนาจรัฐไทยที่เกิดแล้วเกิดอีกประหนึ่งว่าตั้งค่าให้เพลย์ลิสต์เล่นเพลงซ้ำวนไปวนมา หรือที่อาจจะรู้จักกันในชื่อ ‘วงจรอุบาทว์’ ก็เป็นเรื่องที่น่าหยิบยกมาพูดอีกครั้งเมื่อสถาบันตุลาการอย่างศาลหยิบพูดถึง ‘ระบอบรัฐประหาร’ ขึ้นมา

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ : ว่าด้วยตุลาการและระบอบแห่งการรัฐประหาร

ประชาไทคุยกับ ผศ.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือ ‘การเมืองไทยร่วมสมัย’ ถึงแนวคิดการสถาปนาอำนาจรัฐ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย กับความพยายามตัดวงจรรัฐประหารจนสุดท้ายรู้ตัวอีกทีก็กลับมายืนที่เดิม ในวันที่การชูป้ายแสดงความเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามในข้อหาท้าทายอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง

ว่าด้วยคอนเซปต์ เส้นทางความคิด และวงจรของการรัฐประหาร

บัณฑิตให้ความหมายของการรัฐประหารว่าเป็นการยึดฉวยเอาอำนาจจากคนที่ครองอำนาจอยู่เดิม แล้วตั้งตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแต่โบราณ แต่การยึดอำนาจค่อยๆ ถูกมองเป็นเรื่องไม่ปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเคลื่อนที่ของอำนาจจากผู้ถือครองคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่ง หรือตามแนวคิดด้านการเมืองการปกครองที่ขยับและ/หรือขยายไปตามเวลา

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ย้อนดูสถิติรัฐประหารทั่วโลกในรอบ 11 ปี พบยังมีความพยายามยึดอำนาจอยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ

“เวลาเราพูดถึงการตั้งรัฐ อำนาจรัฐ การเป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็ต้องเริ่มจากการอธิบายว่าที่มาของรัฐเป็นอย่างไร สมัยโบราณเราก็บอกว่าอำนาจรัฐเป็นเรื่องของการสืบตระกูล พอโลกเปลี่ยนแปลงเราก็เห็นว่ามีอะไรใหม่ๆ มีการพูดถึงอำนาจรัฐที่ไม่ใช่เพียงแค่การแย่งชิงกัน แต่เป็นเรื่องราชวงศ์ที่เมื่อมีอำนาจก็มีการสืบอำนาจในตระกูล เป็นเรื่องเครือญาติ ระบบธรรมเนียมประเพณี จนกระทั่งมันมีความท้าทายของความคิดสมัยใหม่ที่บอกว่าอำนาจรัฐมันเป็นของที่คนจะต้องตกลงกันไม่ใช่ว่าคุณจะมาตั้งรัฐแล้วบริหารตามอำเภอใจ ทฤษฎีจำพวกนี้คือทฤษฎีสัญญาประชาคม ทฤษฎีว่าด้วยการก่ออำนาจรัฐสมัยใหม่ อันนี้ก็เปลี่ยนความรู้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับรัฐว่าใครควรจะมีอำนาจอันนี้คือหลักคิดพื้นฐาน การท้าทายตัวนี้ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่ารัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) คือกษัตริย์มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐธรรมนูญไม่เขียนคือกษัตริย์ไม่มีอำนาจ แล้วเราก็มีระบอบการเมืองที่เรียกว่าสาธารณรัฐ (Republic) คือรัฐซึ่งประชาชนรวมตัวกันเลือกผู้นำ คือไม่มีกษัตริย์ แนวคิดแบบนี้ก็ทำให้เกิดคำถามกับรัฐสมัยใหม่ที่เราเห็นมาในรอบ 100-200 ปี ระบอบการเมืองเก่าๆ มันก็เริ่มสูญหายไป รัฐสืบราชสมบัติก็ลดน้อยลง รัฐที่เป็นอำนาจอธิปไตยสมบูรณ์ยังอยู่ที่กษัตริย์ก็เหลือไม่กี่รัฐถ้ามีก็เป็นรัฐขนาดเล็กมากๆ จำนวนหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นอำนาจของกษัตริย์ถูกจำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ หรือเราจะเรียกว่าเป็นระบอบกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญก็ตามแต่”

บัณฑิตเล่าต่อไปว่าไทยได้รับอิทธิพลทางความคิดเรื่องใครจะเป็นผู้ถืออำนาจแห่งรัฐ หรืออำนาจอธิปไตยเอาไว้ จะเป็นกษัตริย์ ประชาชน หรือใคร ซึ่งเป็นข้อถกเถียงมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เรื่อยมาจนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2475 แต่วงจรอุบาทว์ของการยึดอำนาจอย่างแท้จริงมาเริ่มในช่วงหลัง พ.ศ. 2490

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับเปลี่ยนพระราชประเพณีโบราณในหลายส่วน โดยเฉพาะการที่ทรงเห็นว่าการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาหรือการแช่งน้ำ หรือดื่มน้ำสาบานนั้น แทนที่จะเป็นฝ่ายขุนนางดื่มถวายกษัตริย์แต่ฝ่ายเดียว ก็ทรงให้ดื่มร่วมกันทั้งสองฝ่ายคือพระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชบริพาร”

(ที่มา: บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, การเมืองไทยร่วมสมัย)

“ปี 2475-2490 มันยังไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่าวงจรอุบาทว์ มันยังไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่า วัฏจักรชั่วร้ายของการเมืองไทย เพราะว่าการทำรัฐประหารของพระยาพหลพลพยุหเสนาในปี 2476 ต่อรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็เนื่องมาจากพระยามโนฯ งดใช้รัฐธรรมนูญและปิดสภา คือปิดไม่ให้มีตัวแทนของประชาชนออกมาพูดออกมาทำงาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระยาพหลทำก็คือยึดอำนาจแต่ว่าไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญปี 2475 ฉบับ 10 ธ.ค. 2475 ยังคงอยู่ เป็นการยึดอำนาจเพื่อเปิดใช้รัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ฉีกรัฐธรรมนูญ รัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญคือรัฐประหารปี 2490 ทีนี้คนก็สงสัยว่ารัฐธรรมนูญ 2489 ล่ะ รัฐธรรมนูญ 2489 มันเกิดจากความพยายามที่จะแก้ปัญหาของคณะราษฎร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป. พิบูลสงครามพยายามที่จะอาศัยจังหวะที่เกิดสงคราม อาศัยจังหวะที่คนไม่ค่อยมั่นใจต่อความเปลี่ยนแปลงและความแปรปรวนในสถาบันการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางประเพณี จอมพล ป. ก็ใช้โอกาสนี้ในการสร้างความนิยมของตัวเองให้มาเป็นผู้นำในลักษณะหนึ่งที่เราอาจจะเข้าใจว่าเป็นยุคเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ในยุคนี้ก็มีการเลื่อนการเลือกตั้งเพราะฉะนั้นหมายความว่าจอมพล ป. ได้อำนาจที่ค่อนข้างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อสิ้นสุดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะเห็นว่าคณะราษฎรพยายามจะแก้ปัญหาก็เริ่มจากการแก้รัฐธรรมนูญ พอเริ่มแก้ไปแก้มา กรรมาธิการที่แก้ก็บอกว่าแก้แบบนี้ไม่ไหวร่างใหม่ดีกว่าจึงเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2489 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เองที่แบ่งอำนาจออกเป็นสองส่วนชัดๆ ในส่วนของอำนาจนิติบัญญัติก็คือให้มีวุฒิสภาในสมัยนั้นเรียกว่า พฤฒสภา กับสภาผู้แทนราษฎร คือให้มีสภาผู้ทรงคุณวุฒิกับสภาที่เป็นตัวแทนของประชนทั่วไป ทีนี้ก็กลายมาเป็นต้นแบบของรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอื่นๆ เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญปี 2489 คือจุดเริ่มต้น บังเอิญเกิดกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 สถานะของรัฐบาลปรีดี และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ในเวลาต่อมาก็เกิดสั่นคลอนและถูกรัฐประหารโดยคณะกลุ่มราชครูในปี 2490 ซึ่งกลุ่มนี้ก็ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับชั่วคราวแล้วก็และฉบับถาวรในเวลาต่อมา ซึ่งใช้เพียง 2 ปีก็ฉีกทิ้งแล้วเอาฉบับ 2475 ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาใช้  เราก็จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ปี 2490 ใครก็ตามที่ต้องการยึดอำนาจก็จะฉีกรัฐธรรมนูญแล้วประกาศตัวเองว่าเป็นผู้บริหารประเทศ

ใครมีส่วนรับผิดชอบต่อภาวะรัฐประหารที่ง่ายดายและรัฐธรรมนูญหลายเวอร์ชั่น

บัณฑิตเล่าประวัติศาสตร์การเมืองว่าด้วยเวอร์ชั่นของรัฐธรรมนูญที่ต่อจากปี 2490 เรื่อยมา ตั้งแต่สมัยประชาชนขับไล่เผด็จการแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในยุค 14 ต.ค. 2516 ต่อด้วยการยึดอำนาจของพลเรือเอกสงัด ชลออยู่หลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ตามมาด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2521 ที่ถูกฉีกอีกครั้งหลังรัฐประหารปี 2534 และแทนที่ด้วยฉบับ 2535 ที่ถูกฉีกอีกครั้งหลังเหตุการณ์พฤษภาฯ ทมิฬ ซึ่งถือเป็นจุดจบของประชาธิปไตยครึ่งใบและเริ่มมีการพูดถึงการตัดวัฏจักรของการยึดอำนาจที่บ่อยจนดูยืดยาวเมื่อต้องเขียนเป็นความเรียง แต่ท้ายที่สุดเมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งในปี 2549 และ 2557 ตามมาด้วยสภาวะการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก ก็ต้องวนลูปกลับมาถามคำถามพื้นฐานกันใหม่ว่า ใครกันแน่ที่มีส่วนรับผิดรับชอบ

“(หลังพฤษภาฯ ทมิฬ) ก็บอกว่าอย่างนี้ไม่เอา มันเป็นวงจรอุบาทว์ เป็นวัฏจักรชั่วร้าย ต้องมองการปฏิรูปการเมือง มองช่องทางที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมมีการยึดโยง จึงมีการถกเถียง มีการทำวิจัยกันใหญ่โตเพื่อที่จะหาโครงสร้างทางการเมืองที่เหมาะสมแล้วในที่สุด ก็มีการบอกว่าเพื่อที่จะผ่าทางตันทางการเมืองไทยนั้นต้องแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2535 รัฐธรรมนูญฉบับปี 2535 เขาแก้เพื่อให้มีการเลือกตั้งชั่วคราวแก้เพื่อที่จะให้มีนายกฯ มาจากการเลือกตั้งก็จริงแต่มันยังไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐาน กรรมการการปฏิรูปการเมืองในสมัยนั้นคือการรณรงค์ให้แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 211 (ว่าด้วยหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง”

“ในที่สุดก็เกิดรัฐธรรมนูญปี 2540 คือรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยอย่างมากมายมหาศาล เพราะว่าองค์กรอิสระมีหน่วยทางการเมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หน่วยทางการเมืองเหล่านี้ก็มีพูดถึงแม้กระทั้งเรื่องของการต้านรัฐประหารโดยสันติ สิทธิของประชาชนที่จะมายืนบนถนนต่อต้านรัฐประหารอย่างสันติเป็นสิ่งที่ได้รับการรับรอง แต่อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราพูดกันในกระดาษแต่ความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างที่เราเห็น ถ้าถามว่าในรอบ 80 กว่าปีนี้เราเผชิญกับอะไร คือเราเผชิญกับปัญหาพื้นฐานของการนิยามคำว่าอำนาจอธิปไตย อำนาจของประชาชนแล้วมันถูกสั่นคลอนเพราะอะไร มันถูกสั่นคลอนเพราะหนึ่งคือตัวนักการเมืองเอง มันถูกสั่นคลอนเพราะว่าความมั่นใจจากอำนาจที่มาจากปากกระบอกปืนของคนจำนวนหนึ่งเหมือนกัน จะไปโทษทหารฝ่ายเดียวไม่ได้ แล้วตรงนี้เองก็เป็นจุดที่ทำให้คิดว่าคำอธิบายเกี่ยวกับระบอบรัฐประหารมันค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน

“สิ่งที่เราตั้งคำถามตอนนี้ตกลงเรามีสิทธิต้านรัฐประหารไหม เรามีสิทธิตั้งคำถามกับคณะรัฐประหารที่ถือปืนมายึดอำนาจเราไหม แล้วถ้าเราตั้งคำถามแล้วใครจะคุ้มครองเราซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุด บางท่านบอกว่าผมยังคุ้มครองตัวเองไม่ได้เลยผมจะมาคุ้มครองอะไรคุณ มันก็จะกลับไปหลักพื้นฐานเรื่องความกล้าหาญทางจริยธรรมในวิชาชีพว่า ยามถึงวิกฤติแล้วคุณเอาตัวรอดโดยไม่คำนึงถึงการวิชาชีพหรือเปล่า แล้วคุณเคยคำนึงถึงที่เคยปฏิญาณหรือเคยสัญญาเอาไว้ไหม มันเป็นปัญหาพื้นฐานที่รัฐสมัยใหม่ในโลกเผชิญกันมาแล้วทั้งสิ้น”

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยังอธิบายองค์ประกอบของภาวะยอมรับการยึดอำนาจทั้งในด้านแนวคิดที่รับรองการได้มาซึ่งอำนาจด้วยวิธีใดก็ได้ และโครงสร้างรัฐที่สอดรับกับการยึดอำนาจ ซึ่งเขามองว่าเป็นรากฐานของการรัฐประหารที่ค่อนข้างง่ายดายและเบ็ดเสร็จในไทย

“ในความเป็นจริงทฤษฎีอำนาจเป็นธรรม (แนวคิดว่าคนที่มีอำนาจสามารถบัญชาการได้ ใครมีปืน มีกำลังคนนั้นก็คือคนที่มีอำนาจ[ที่มา:บัณฑิต]) เหมือนกับเป็นทฤษฎีที่มีการยอมรับกันอยู่ แม้กระทั่งฝ่ายซ้ายเองก็ยอมรับว่าอำนาจรัฐนั้นจักมาด้วยปากกระบอกปืน คณะรัฐประหารทุกคณะถ้าไม่มีกองทัพก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นเรื่องการมีกำลังทางกายภาพมันเป็นปัญหาใหญ่ ทีนี้คำถามต่อไปคือว่าใครเป็นคนให้ฉันทานุมัติในการเอากองทัพมาใช้งาน ใครมีอำนาจ ผบ.ทบ. หรือเปล่าหรือจะเป็นคนอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือว่ากำลังพลจำนวนหนึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับการยึดอำนาจ หลายคนบอกว่าประเทศไทยนั้นยึดอำนาจได้ง่ายมาก คุณมีกองพันที่อยู่ในกรุงเทพฯจำนวนหนึ่ง มีนายทหารยศพันเอกจำนวนหนึ่งคุณก็สามารถดึงคนมายึดอำนาจได้แล้ว”

“มันมีสภาวะยกเว้นที่มันเกิดขึ้นหลายๆ อย่างเกิดขึ้นโดยที่ระบบกลไกอำนาจรัฐก็ยอมรับรัฐประหาร มันเกิดสภาวะยกเว้นแม้กระทั่งเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรด้วยว่าการกระทำของคณะรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา เรามีรัฐธรรมนูญที่ยอมรับอำนาจของการรัฐประหารตรงนี้คิดว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เพราะมันไม่มีหลักประกันเลยว่าสิ่งที่คณะรัฐประหารกระทำนั้นมันจะถูกต้องเสมอไป

สิ่งที่บัณฑิตพูดถึงคือมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 โดยเขาเห็นว่าเป็นฐานคติหนึ่งที่ทำให้การยึดอำนาจด้วยกระบอกปืนเป็นไปได้และเป็นที่ยอมรับกัน

บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำ ที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและ การกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ (ที่มา:www.ombudsman.go.th)

“ในขณะที่ทฤษฎีทางการเมืองแบบประชาธิปไตยบอกว่าประชาชนมีอำนาจถ้าประชาชนไม่ยินยอมก็ใช้อำนาจนั้นไม่ได้ คำถามคือคนที่ถือปืนใช้อะไรยึดโยงกับประชาชน ก่อนรัฐประหารปี 2535 คุณสุจินดา คราประยูรบอกว่าถ้ามีไปรษณียบัตรถึงเขา จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ คงประมาณหนึ่งล้านใบแล้วจะก่อรัฐประหารยึดอำนาจ ตอนนั้นคุณทวี ไกรคุปต์ (อดีตหัวหน้าพรรคประชาไทย ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรครวมไทย และพรรคเอกภาพ; ที่มา วิกิพีเดีย) ถึงกับตั้งคำถามว่า ท่าน ผบ.ทบ. ใช้อะไรคิดใช้อะไรพูดซึ่งก็สร้างความตึงเครียดทางการเมืองไปพักหนึ่ง หลายท่านก็บอกไม่ยึด ไม่ปฏิวัติ ไม่รัฐประหาร ถึงคราวก็ลากรถถังลากปืนออกมา คือมันแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน เพราะฉะนั้นทฤษฎีอำนาจคือธรรม ธรรมคืออำนาจคือคนที่มีกำลังทางกายภาพสามารถกดดันข่มขู่ได้”

ประชาธิปไตยไทยเถียงเรื่องรัฐประหารกันยังไม่จบ-แลดูยังไม่เห็นทางออก

ต่อคำถามเรื่องการเอาการเมืองไทยออกจากวังวนรัฐประหาร บัณฑิตเห็นว่าเป็นข้อถกเถียงที่จบแล้วในหลายที่ทั่วโลก แต่ไม่ใช่ที่ไทย เจตนารมณ์ของการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการรัฐประหารเมื่อปี 2540 บัดนี้ตกหายไปภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

“เราเถียงกันในสิ่งที่เขาเถียงจบไปแล้วร้อยปี เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนผ่านสังคมการเมืองเข้าสู่ลักษณะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันน่าเสียดายว่าเราทุบทำลายสถาบันการเมืองจำนวนมากที่เคยเหนี่ยวรั้ง ที่เคยให้สติ นักวิชาการ เพื่อนผม กระทั่งอาจารย์หลายคนก็ติดคดีเพียงแค่ออกมาวิจารณ์การรัฐประหาร เพียงแค่ชูป้าย ซึ่งว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ที่สุดในรอบ 20 มานี้เรายังไปไหนได้ไม่ไกล”

“วิกฤตในรอบนี้ถ้าจะเข้าใจมันต้องไปดูความพยายามที่จะแก้ปัญหาหลังปี 2535 แล้วก็เป็นที่มาของการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมันเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย ภูมิทัศน์การเมืองไทย ช่วงชั้นของคนในสังคม ความเป็นอิสระในทางเศรษฐกิจของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไป การเติบใหญ่ก้าวหน้าทางการศึกษาของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป คุณภาพเหล่านี้ ถ้าเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยยะสำคัญมันก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคือธรรมชาติของระบบการเมืองใดๆ เมื่อเอาสมการนี้ไปใส่ในรัฐธรรมนูญ 40 เราก็จะเห็นได้ว่าช่วงชั้นทางการเมืองไทยมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล”

“สภาพสังคมมันเปลี่ยนไปจนเราไม่สามารถนิยามสังคมได้แบบเดิมอีกต่อไป แต่เรายังมีความนิยามกฎหมายที่ค่อนข้างไม่สอดคล้องต่อสิ่งที่มันควรจะเป็นต่อโลกที่ทันสมัย จุดนี้ถ้ามาดูตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ดูรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มันพยายามจะออกแบบสถาบันการเมืองขึ้นเพื่อแก้ปัญหา เพื่อเหนี่ยวรั้งไม่ให้เกิดปัญหาเดิมๆ เกิดขึ้นอีก คำถามที่มันสำคัญมากอีกชุดหนึ่งคืออะไรที่มันทำให้คนที่เคยสนับสนุนรัฐธรรมนูญ 2540 ออกมาสนับสนุนทหารให้ยึดอำนาจ”

“ตอนเราเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ผมคิดว่าคณะราษฎรต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในอนาคตชะตากรรมของชาติ มีรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับผิดรับชอบแทนที่จะเป็นสถาบันกษัตริย์แล้วคนเหล่านี้ควรจะต้องตรวจสอบได้ในฐานะที่เป็นรัฐบาลของประชาชน แต่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองของสังคมไทยมันเปลี่ยนแปลงไป มันถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆตามมา การปฏิรูปการเมืองที่เราเห็นเมื่อปี 2540 ก็คือพยายามที่จะมิให้เกิดวงจรอุบาทว์ตามมาอีก ความพยายามที่จะป้องกันมิให้นักการเมืองฉวยโอกาสที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน 4 ปีโดยที่ไม่ฟังใครนี่คือเจตนารมณ์ เพราะฉะนั้นเราถึงมีองค์กรอิสระ เราถึงมีการจัดการโน่นนี่นั่นเข้ามา เจตนารมณ์ปี 2540 มันคือความพยายามที่จะแก้ปัญหาตรงนี้

แต่เราก็จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 พยายามกลับไปมากกว่าเดิม ทั้งยุทธศาสตร์ 20 ปีรวมไปถึงระเบียบยิบย่อยอื่นๆ คือมันไม่ได้อยู่เฉพาะในรัฐธรรมนูญ แต่ลงในรายละเอียดแม้กระทั่งวิธีการปฏิบัติราชการในปัจจุบัน ความกลัวการทุจริตอย่างออกหน้าออกตา ผมคิดว่ามันทำให้เราเห็นความไม่ไว้วางใจในสังคมมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันในความไม่ไว้วางใจ เราก็กลับไปฝากความคาดหวังไว้กับอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อำนาจที่เหนือกว่าอำนาจของพลังประชาชน ตรงนี้แหละที่มันจะก่อปัญหาระยะยาว คือภูมิทัศน์มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่อยากจะบอกว่านี่คือประชาธิปไตยครึ่งใบแต่ผมคิดว่ามันย้อนกลับไปเมื่อปี 2500 คือย้อนกลับไป 60 ปี  นิตยสารไทม์ถึงได้นิยามว่านี่คือสฤษดิ์น้อย”

บัณฑิตให้ความเห็นทิ้งท้ายในประเด็นแบบอย่างกลไกอำนาจรัฐที่ต่อต้านหรือปฏิเสธการรัฐประหารว่า อย่างน้อยที่สุดประชาชนต้องมีพื้นที่ในการแสดงออกและตรวจสอบรัฐบาลตามธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย

“ในบางประเทศสถาบันกษัตริย์ก็มีบทบาทอย่างในประเทศสเปน แต่เราคงไม่ต้องไปถึงขั้นนั้น แต่สำคัญที่สุดคือเราควรจะคิดถึงประชาชนมากขึ้นว่ากระดาษแผ่นเดียวมันจะทำลายความมั่นคงของชาติได้อย่างไร ที่ออกมาชูป้าย หรือว่าถ้านักวิชาการบอกว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหารคือมันควรจะเป็นสิ่งที่เราพูดได้หรือเปล่า แล้วยิ่งมีรัฐธรรมนูญปี 2560 แล้วเรายังพูดในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ การกระทำในช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างที่คณะรัฐประหารมีอำนาจอยู่ เราตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้วจะไปตรวจสอบรัฐบาลในอนาคตได้อย่างไร ผมคิดว่าคำถามพื้นๆ เหล่านี้มันจะดันไปที่กลุ่มคนที่มีอำนาจมากกว่า ต่อให้เขาไม่ตอบในเวลานี้หรือต่อให้เขาจะเลื่อนคำตอบของเขาไปเรื่อยๆ แต่ในสักวันเขาก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้ในที่สุดและตรงนั้นก็จะบอกอนาคตการเมืองไทย

คืออย่างน้อยประชาชนทุกคนจะต้องมีพื้นที่ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติถ้าเราทำอะไรที่มันฝืนธรรมชาติระบบการเมืองนั้นก็จะอยู่ไม่ได้ แม้กระทั้งคนที่ไปขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อปี 2557 ทุกวันนี้ก็ยังรอเลือกตั้งยังกลับมาตั้งพรรคการเมือง มันจะมีโครงสร้างการเมืองไหนที่ดีกว่านี้ นั่นแสดงว่าเขาตอบตัวเองได้แล้วว่ามันไม่ดี ที่เป็นอยู่มันไม่ใช่”

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุ้มแน่หรือเจรจา RCEP? บทเรียนการคุ้มครองนักลงทุน (มากกว่าประชาชน)

$
0
0

จับตาก่อนถึงวันประชุมการค้าพหุพาคี 16 ประเทศ RCEP ที่กรุงเทพฯ หวั่นผลประโยชน์นักลงทุน นำหน้าประโยชน์สาธารณะ จับตากลไกระงับข้อพิพาทรัฐ-เอกชน "ISDS"ที่คุ้มครองนักลงทุนข้ามชาติ เอื้อต่อเอกชนมากกว่ารัฐ

"ประเด็นของการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติในข้อตกลง RCEP ที่กำลังเจรจากันอยู่จึงเป็นเรื่องน่าอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยสำหรับสาธารณชนผู้เสียภาษีให้รัฐ เพราะรัฐของท่านเสี่ยงจะถูกฟ้องร้องและต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาลให้เอกชน หากวันดีคืนดีถึงทางแยกที่ต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์เอกชนกับสาธารณชน แล้วรัฐของท่านเลือกอย่างหลัง"

ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (RCEP-The Regional Comprehensive Economic Partnership ) หรืออาร์เซ็ป เป็นการเจรจาการค้าเสรีแบบพหุภาคี ครอบคลุม 16 ประเทศ คือ อาเซียน 10 ประเทศ +  ประเทศคู่ค้าอีก 6 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เริ่มต้นเจรจาอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2556 ตั้งใจจะปิดดีลให้ได้ในปี 2558 แต่ตกลงกันไม่ได้และขยายเวลามาจนปีนี้ เนื่องจากเป็นการเจรจาแบบองค์รวมหรือกรอบกว้าง ‘Comprehensive Agreement’ ครอบคลุมการค้า การบริการ การลงทุน ทำให้การเจรจาคืบหน้าช้า ต้องต่อรองกันหนักเพราะแต่ละประเทศมีความพร้อมในประเด็นต่างๆ แตกต่างกัน โดยอินเดียเป็นหัวเรือใหญ่ที่ยังไม่ยอมลดภาษีเป็นอัตราร้อยละ 0 ในสินค้าจำนวนมาก

อาจต้องกล่าวก่อนว่า การเจรจาการค้ากลุ่มใหญ่ในโลกตอนนี้มีอยู่ 2 ข้อตกลงสำคัญ นำโดย 2 มหาอำนาจ อันหนึ่งคือ TPP (Trans Pacific Partnership) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็น CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) และสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งถอนตัวออกไปเมื่อต้นปีเพราะเปลี่ยนทิศทางไปเน้นการเจรจาแบบทวิภาคี (ประเทศต่อประเทศ) แล้ว อีกอันหนึ่งคือ RCEP มีจีนเป็นพี่เบิ้ม สถานะของประเทศไทยนั้นร่วมการเจรจากับ RCEP มาหลายปีแล้ว และกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะร่วม CPTPP หรือไม่

กล่าวสำหรับขนาดของ RCEP นั้นก็เป็นข้อตกลงฉบับใหม่มาก จำนวนประชากรของ 16 ประเทศที่กำลังเจรจากันอยู่นี้นับเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลก รวมกันแล้วมีขนาดจีดีพีคิดเป็น 29% ของจีดีพีทั้งโลก สมาชิก RCEP มีตั้งแต่ประเทศพัฒนาน้อย กำลังพัฒนาไปจนถึงพัฒนาแล้ว เฉพาะ 3 ประเทศใหญ่อย่างจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญนั้นพบว่า มี GDP รวมกันในปี 2559 สูงถึง 18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือ 77.3% ของ GDP รวมทุกประเทศใน RCEP

ในปี 2559 ไทยมีการค้าขายกับสมาชิก RCEP รวม  2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 59% ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย จึงเป็นตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญและพยายามผลักดันการเจรจาอย่างยิ่ง โดยไทยพยายามผลักดันให้จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าไทย เช่น ประมงแปรรูป (ปลาทูน่า กุ้ง ปลาหมึก) มันสำปะหลังอัดเม็ด น้ำตาลจากอ้อย ข้าว ปิโตรเคมี ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ

ราวต้นปี 2561 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชุติมา บุณยประภัศร ให้สัมภาษณ์ว่า มีการหารือร่วมกันระหว่างอาเซียนกับอินเดียเพื่อผลักดันอินเดียให้หาข้อสรุปในประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้แต่ดูเหมือนยังไม่คืบหน้านัก สมาชิกอาเซียนมีความคาดหวังว่าจะเปิดตลาดลดภาษี 0% ในสินค้า 92% จากรายการสินค้าที่มีการค้าระหว่างกันทั้งหมด แต่สมาชิก RCEP บางประเทศต้องการเปิดตลาดในระดับที่ต่ำกว่านั้น มีบางประเทศเสนอเปิดตลาดเพียง 70-80% เนื่องจากแต่ละประเทศมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจไม่เท่ากัน มีประเด็นที่มีความอ่อนไหวต่างกัน

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (ทีดีอาร์ไอ) ยังประเมินผลประโยชน์ไว้สวยงามว่า หากมีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรลงจนเป็นอัตราร้อยละ 0 โดยไม่มีการยกเว้นรายการสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูง, ลดมาตรการกีดกันการค้าบริการลงจากเดิมร้อยละ 33, ลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรลงจากเดิม ร้อยละ 35 ได้สำเร็จ ประเทศไทยจะได้ประโยชน์วัดเป็นมูลค่าสวัสดิการสังคมเทียบเท่า 27 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยประโยชน์ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มการลงทุนและการเพิ่มเทคโนโลยี GDP จะเพิ่มขึ้น 13.5% การส่งออกเพิ่มขึ้น 14.4% การนำเข้าเพิ่มขึ้น 13.3%

ความคืบหน้าล่าสุดคือ ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการเจรจา RCEP ครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 17-27 กรกฎาคม 2561 ที่กรุงเทพฯ

ความตกลง RCEP ที่ไทยเตรียมเจรจา จะก่อผลกระทบต่อชาวนา ที่ดิน และอาหาร, 20 มิ.ย. 2561

ข้อตกลงการค้าข้ามชาติที่ไทยเจรจา ทำชาวนาสูญเสียการควบคุมเมล็ดพันธุ์, 6 มิ.ย. 2561

(เอกสารประกอบ) RCEP ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค ปล้มสะดมจากชุมชนเพื่อผลกำไร

 

เมื่อการคุ้มครองนักลงทุน นำหน้าประโยชน์สาธารณะ

จากภาพฝันถึงการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีซึ่งจะนำประโยชน์มาให้แก่บรรดาผู้ส่งออกและขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ท่ามกลางฝันดีเหล่านั้น ยังมีประเด็นที่สำคัญในข้อตกลง RCEP ที่อาจเป็นฝันร้ายต่อสาธารณชนด้วย นั่นคือ การคุ้มครองนักลงทุน

ในข้อตกลงการค้าเสรีไม่ว่าทวิภาคีหรือพหุภาคีกับประเทศยักษ์ใหญ่มักมีบทว่าด้วยการคุ้มครองนักลงทุนให้สามารถฟ้องร้องรัฐได้ผ่านกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน หรือ ISDS (investor state dispute settlement) ในข้อตกลง RCEP เองแม้จะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการถึงรายละเอียดการเจรจา แต่ภาคประชาชนไทยก็ออกมาระบุว่า มีเอกสารหลุดรอดออกมาและปรากฏชัดเจนว่ามีเรื่องนี้อยู่

กลไกนี้เป็นมรดกจากยุคอาณานิคม มีการนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปลายทศวรรษ 1950 ปรากฏในสนธิสัญญาหลายฉบับระหว่างรัฐบาลอดีตประเทศอาณานิคม เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแปรรูปทรัพย์สินทางกายภาพของบรรษัทข้ามชาติให้เป็นของรัฐ โดยให้อำนาจบรรษัทในการฟ้องรัฐบาลกับอนุญาโตตุลาการแบบลับ หากรัฐบาลออกฎหมาย นโยบายหรือกฎระเบียบใดที่ขัดขวางการทำธุรกิจของบริษัท

เราพบว่าคดีที่บรรษัทข้ามชาติมีการฟ้องร้องผ่านกลไก ISDS นั้นจำนวนมากเป็นไปเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษี, ขัดขวางนโยบายที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ, ลงโทษรัฐบาลซึ่งจำกัดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา, ลงโทษรัฐบาลที่ยกเลิกการแปรรูปกิจการต่างๆ ให้เป็นเอกชน, รัฐบาลที่อ้างกฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค และเรื่องสารธาณประโยชน์ ที่ละเมิดสิทธิของนักลงทุน

ข้อมูลจาก UNCTAD (ISDS Navigator) พบว่า ปี 2530-2559 มีการฟ้องร้องระหว่างเอกชนกับรัฐต่างๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหากค้นหาว่าบริษัทของประเทศใหญ่ๆ ที่กำลังร่วมเจรจา RCEP ใช้กลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศฟ้องรัฐอื่นใดบ้างแล้วจะพบว่า บริษัทสัญชาติออสเตรเลียฟ้องประเทศอื่น 4 กรณี, บริษัทสัญชาติจีนฟ้องประเทศอื่น 5 กรณี, บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นฟ้องประเทศอื่น 3 กรณี บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ฟ้องประเทศอื่น 4 กรณี เป็นต้น มีทั้งที่ตัดสินเรียบร้อยแล้วและยังดำเนินการอยู่  

ล่าสุดที่เจอกับตัวสดๆ ร้อนๆ คือ กรณีของเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัคราฯ ในจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ที่ถือหุ้นโดยบริษัท Kingsgate ประเทศออสเตรเลีย ได้ยื่นข้อเสนอพิพาท (statement of claim) ต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเมื่อ 31 พ.ค.2561 จากกรณีที่รัฐบาล คสช.ใช้อำนาจหัวหน้า คสช.มาตรา 44  สั่งระงับการดำเนินโครงการเพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนเสียก่อน Kingsgate ยืนยันว่าไทยผิดข้อตกลงว่าด้วยการคุ้มครองนักลงทุนใน FTA ระหว่างไทย-ออสเตรเลียที่เคยลงนามกันไว้แล้วตั้งแต่ปี 2548 และเรียกค่าเสียหายสูงถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาท กระบวนกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้

ที่ผ่านมาเคยเกิดกรณีทำนองนี้หลายกรณี เช่น ปี 2540 รัฐบาลแคนาดาออกคำสั่งห้ามนำเข้าและขนย้ายสารเอ็มเอ็มที เนื่องจากเป็นสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัท เอธิล คอร์พ จากอเมริกา ฟ้องร้องรัฐบาลแคนาดาเรียกค่าชดเชยเป็นเงิน 251 ล้านเหรียญสหรัฐ กรณีจบลงที่รัฐบาลแคนาดายอมประนีประนอม จ่ายค่าชดเชยให้ 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยกเลิกคำสั่งดังกล่าว

ปี 2550 รัฐบาลแอฟริกาใต้ออกกฎหมายสร้างเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจแก่คนผิวดำในประเทศ เพื่อเยียวยาผลร้ายจากนโยบายแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) โดยกำหนดให้บริษัทเหมืองแร่ต้องโอนหุ้นจำนวนหนึ่งให้แก่นักลงทุนผิวดำ ทำให้บริษัท ปีเอโร ฟอเรสติ จากอิตาลี ฟ้องร้องรัฐบาลแอฟริกาใต้ สุดท้ายบริษัทสามารถลดจำนวนหุ้นที่ต้องโอนให้แก่นักลงทุนผิวดำได้เป็นจำนวนมากและยังได้รับใบอนุญาตฉบับใหม่

แน่นอน กระบวนการต่อสู้คดีลักษณะนี้ รัฐอาจแพ้หรือชนะ แต่อย่าลืมว่าแม้รัฐจะชนะคดี ในระหว่างทางก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตัวอย่างเช่นรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องจ่ายงบประมาณ 58 ล้านเหรียญในการต่อสู้คดีเนื่องจากถูกบริษัท fraport ฟ้อง เพราะรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องการให้มีการเจรจาเงื่อนไขสัญญาใหม่ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริต งบที่ใช้สู้คดีนี้มากพอจะจ่ายเงินเดือนครู 12,500 คนตลอดปีเลยทีเดียว

 

หลายประเทศเรียกร้องให้นำ ISDS ออกจากการเจรจาการค้าเสรี

ปลายปี 2560 ภาคประชาสังคมไทย นำโดย FTA Watch ซึ่งจับตาประเด็นปัญหาในข้อตกลงการค้าเสรีมายาวนาน ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ ที่ร่วมเจรจาข้อตกลง RCEP ไม่นำเรื่องกลไก ISDS มาเจรจาในข้อตกลงฯ รวมถึงไม่รับข้อบทที่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้

นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ตัวแทนของกลุ่ม FTA Watch กล่าวว่า รัฐบาลของ 16 ประเทศกำลังเจรจาโดยไม่เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ แต่จากสำเนาเอกสารที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่ามีข้อเสนอให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องดำเนินคดีกับรัฐบาลภายใต้กลไกอนุญาโตตุลาการได้

“กรณีฟ้องร้องโดยใช้กลไก ISDS ที่ผ่านมา ท้าทายนโยบายของรัฐที่เกี่ยวกับสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ภาษี และการเงิน โดยมีจำนวนสูงถึง 696 คดี มีรัฐบาล 107 ประเทศที่ถูกฟ้อง และจำนวนการฟ้องร้องได้สูงขึ้นอย่างมากในแต่ละปี ซึ่งคดีเหล่านี้ส่วนมากจะตัดสินโดยคำนึงถึงสิทธิของนักลงทุนเป็นหลัก แต่จำกัดอำนาจของรัฐบาลในการออกกฎหมายหรือมาตรการต่างๆ จนทำให้รัฐบาลในประเทศที่พัฒนาแล้วและที่กำลังพัฒนากลับมาพิจารณาใหม่ว่าสมควรจะสนับสนุนการคุ้มครองการลงทุนที่มีมาตรการนี้ในสนธิสัญญาการลงทุนแบบทวิภาคีต่างๆ หรือไม่"แกนนำกลุ่ม FTA Watch กล่าวและเรียกร้องให้เผยแพร่เนื้อหาที่มีการเจรจา RCEP ต่อสาธารณะ

เป็นเรื่องน่าย้อนแย้งและแสบทรวงที่มีข้อมูลว่า แม้แต่ประเทศที่ร่วมเจรจา RCEP ด้วยกันเองยังมีการพิจารณาจะถอนตัวจากข้อตกลงที่มีกลไก ISDS นี้เองเลย เช่น 

• อินเดียและอินโดนีเซียกำลังจะถอนตัวจาก BITs
• อัยการสูงสุดของสิงคโปร์และหัวหน้าผู้พิพากษาของศาลสูงสุดในออสเตรเลียได้แสดงความกังวลต่อกลไก ISDS
• หัวหน้าผู้พิพากษาของนิวซีแลนด์ตั้งข้อสังเกตว่า การพิจารณาคดีโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนในศาลท้องถิ่นต่างๆ อาจก่อให้เกิดการฟ้องร้องโดยใช้กลไก ISDS ได้

ส่วนประเทศยักษ์ใหญ่อื่นๆ ก็มีท่าทีคัดค้านกลไก ISDS เช่นกัน เช่น

• รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเยอรมนีคัดค้านกลไก ISDS ในการเจรจา FTA ระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ
• สมาชิกรัฐสภาของเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และออสเตรียคัดค้านกลไก ISDS ในการเจรจา FTA กับแคนาดาและสหรัฐฯ
• สภาในระดับรัฐของสหรัฐฯ ของทุกรัฐคัดค้านกลไก ISDS ในสนธิสัญญาต่างๆ

“แม้แต่ในรายงานของผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติและผู้เชี่ยวชาญอิสระในเรื่องสิทธิมนุษยชน 10 คนยังกล่าวถึงคดีภายใต้กลไก ISDS ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า กลไกการกำหนดนโยบายของรัฐและอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ กำลังอยู่ในอันตรายเพราะจะทำให้การออกกฎหมายและนโยบายต่างๆ ของรัฐต้องเป็นอัมพาต” FTA Watch ระบุ

ประเด็นของการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติในข้อตกลง RCEP ที่กำลังเจรจากันอยู่จึงเป็นเรื่องน่าอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยสำหรับสาธารณชนผู้เสียภาษีให้รัฐ เพราะรัฐของท่านเสี่ยงจะถูกฟ้องร้องและต้องจ่ายค่าชดเชยมหาศาลให้เอกชน หากวันดีคืนดีถึงทางแยกที่ต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์เอกชนกับสาธารณชน แล้วรัฐของท่านเลือกอย่างหลัง

 

แหล่งข้อมูล:

http://apwld.org/wp-content/uploads/2018/05/RCEP-briefer-Thai-5-03-2018.pdf
http://investmentpolicyhub.unctad.org/ISDS/FilterByCountry
https://prachatai.com/journal/2016/08/67254
https://prachatai.com/journal/2017/09/73133
https://www.prachachat.net/economy/news-98486
https://www.prachachat.net/economy/news-175863
https://tdri.or.th/2015/09/rcep_seminar/
https://voicetv.co.th/read/Skenh6Kyem
https://www.thairath.co.th/content/1297379
https://www.scbeic.com/th/detail/product/3358
 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร: ต้องถอดบทเรียนกู้ภัยถ้ำหลวง เพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนทั้งโลก

$
0
0

หลังภารกิจส่ง 13 เยาวชนและโค้ชออกจากถ้ำหลวง ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วม (ศอร.) กล่าวว่าได้ทำในสิ่งที่คนไม่คาดคิดว่าจะทำได้นับเป็น "Mission Impossible"ของทีมไทยแลนด์ โดยเขากล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งไทยและต่างประเทศที่ช่วยเหลือ รวมทั้งยกย่อง จ.อ.สมาน กุนัน ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ โดยเขาหวังว่าการกู้ภัยที่ถ้ำหลวง จะมีการถอดบทเรียนเพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนทั้งโลก

10 ก.ค. 2561 เวลา 21.30 น. ที่ อบต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.พะเยา ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.) แถลงสรุปภารกิจ (ชมคลิปแถลงจากเพจ LiveNBT2HD)

ทีมหมูป่าได้รับความช่วยเหลือจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนครบทั้ง 13 คน (10 ก.ค. 18.47 น.)

ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.พะเยา (กลาง) ผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.) หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวเมื่อคืนวันที่ 10 ก.ค. 2561 (ที่มา: NBT HD)

โดยณรงค์ศักดิ์เริ่มต้นกล่าวว่า "ผมขอเดชะบุญ เดชะบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ทรงเป็นห่วงเป็นใยน้องๆ ทั้ง 13 ชีวิต และเจ้าหน้าที่ทุกคน พวกเราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ จะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม เพื่อเป็นสรรพสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้าตลอดไป และต้องกราบขอบคุณทุกกำลังใจของชาวโลก และชาวไทยทุกคน"

ณรงค์ศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ขอแถลงข่าวดีอย่างเป็นทางการ เราได้ช่วยน้องทั้งหมดออกมาอย่างปลอดภัย และพ่อแม่กลับบ้านไปอาบน้ำแล้ววันนี้แพทย์จะให้เยี่ยมผ่านห้องกระจกแล้ว หมอภาคย์ (พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน) และหน่วยซีลทั้ง 3 ชีวิต พ้นโถง 2 แล้ว วันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ ภารกิจวันนี้ใช้กำลังพลกว่า 100 นาย ชุดดำน้ำ 12 นาย แพทย์ออสเตรเลีย 1 นาย โดยวันนี้คนแรกออกมาได้ราวบ่ายสามโมงกกว่าๆ รวมทั้งหมดใช้เวลาร่วม 6 ชั่วโมง ทุกคนถึง รพ.ประชานุเคราะห์

สำหรับทุกข้อสงสัย ในวันที่ 11 ก.ค. จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจากทุกหน่วยว่าได้ดำเนินการอะไรบ้าง เบื้องหน้าเบื้องหลังในการปฏิบัติเป็นอย่างไร จะนำมาเล่าสู่กันฟัง อย่างไรก็ตาม วันนี้เราดีใจมากและไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในโลกอีก

ขอบคุณหน่วยงานราชการที่ช่วยเหลือ ตั้งแต่กองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยขึ้นตรงต่างๆ กองกำลังทหารพัฒนา จาก บก.สส. กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจ ที่สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ เดินสำรวจพื้นที่ทางเหนือของถ้ำ ดูแลการจราจร กอ.รมน.เชียงราย รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ที่ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าช่วยบายพาสน้ำไม่ให้ไหลเข้าถ้ำ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตร ฯลฯ

ด้าน พล.ต.ชูรัตน์ ปานเหง้า รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า เรื่องการนำโดรนขึ้นบินเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ตำรวจทราบเรื่องวันที่ 9 ก.ค. จึงสั่งให้มีการตรวจสอบ รับคดี และส่งฟ้องศาลในวันที่ 10 ก.ค. ซึ่งช่วงเย็นวันเดียวกันศาลได้ตัดสินลงโทษปรับ 10,000 บาท 

จงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่าท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้ถือว่าคนไทยโชคดีได้แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เป็นหน้าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งจะมีแผนการในอนาคตสุดท้ายขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวของ จ.อ.สมาน กุนัน อดีตหน่วยซีล ท่านเป็นวีรบุรุษไม่เพียงแต่อยู่ในหัวใจคนไทย เป็นวีรบุรุษของคนทั่วโลก

จากนั้นณรงค์ศักดิ์ ได้ขอให้ทุกคนปรบมือให้เกียรติกับ "แซม"หรือ จ.อ.สมาน อีกครั้งหนึ่ง โดยเขายกย่องว่าเป็นวีรบุรุษตัวจริง ผมอาจจะเรียกเขาว่าเป็นวีรบุรุษถ้ำหลวง ทั้งนี้เขาทราบมาว่ารองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้หารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อรวบรวมเครื่องใช้ของเจ้าหน้าที่กู้ภัย อาจมีการทำพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งแผนฟื้นฟูสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้

ณรงค์ศักดิ์ ซึ่งเป็น ผบ.ศอร. กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่จะทำต่อไปจากนี้คือ ต้องถอดบทเรียนมาเป็นบทเรียนให้กับน้องๆ เวลาไปเที่ยวที่ไหนต้องระวังอย่างไร ให้เขารู้บริบท จะได้ถอดบทเรียนว่าการกู้ภัยในถ้ำเราขาดแคลนอะไร เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลก โดยตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. เป็นต้นไปศูนย์อำนวยการร่วมฯ จะหยุดภารกิจค้นหาและกู้ภัย จะเหลือเพียงภารกิจการส่งกลับ ซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ นอกจากนี้ ยังจะทำการฟื้นฟูทรัพยากร คืนอุปกรณ์ที่มีการส่งมาช่วยจากทั่วประเทศและทั่วโลก จาก 400-500 หน่วยงานที่ส่งเครื่องมือมาช่วย

ผบ.ศอร. กล่าวด้วยว่า บทเรียนที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การที่เราทำงานประสบความสำเร็จอย่างนี้ได้ เพราะส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าพวกเรามีพลังในความรัก พลังในการรักกัน ทุกคนส่งไปถึงน้อง 13 คน และเจ้าหน้าที่ให้การปฏิบัติงานมีกำลังกาย กำลังใจ

บทเรียนที่ถอดมา ผมอยากเห็นชาวโลกรักกัน ผมอยากเห็นประเทศไทยเรารักกันเหมือนวันนี้ที่เราทำเสร็จ ผมอยากเห็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ 17 วันที่ผ่านมา ผมเห็นว่าเป็นความร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วน ไม่เคยเห็นสื่อมวลชนบ่นที่เราผลักดันออกๆ สื่อมวลชนทราบว่าสิ่งที่ ศอร.ทำเป็นสิ่งที่ดีกับทุกคน อยากให้เอาบทเรียนตรงนี้ไปขยาย บทเรียนจากแม่สาย บทเรียนจากโป่งผา บทเรียนจากเชียงราย เป็นบริบทของภูเขาลูกหนึ่ง เขานางนอน ถ้าเราไปสืบทอดต่อ จะเป็นบทเรียนขับเคลื่อนประเทศไทยในระยะยาว ผมอยากให้เรานำบทเรียนนี้ไปใช้ ประเทศไทยจะได้พัฒนาก้าวไกลตามศักยภาพ วันนี้ คนไทย ทีมไทยแลนด์ ทีมราชการ เอกชน สื่อมวลชน รวมทั้งกำลังใจจากทั่วโลก

“เราทำในสิ่งที่คนไม่คาดคิดว่าเราจะทำได้ครั้งแรกในโลก"เป็นความภูมิใจ เป็น Mission Impoosible ของทีมไทยแลนด์ อยากให้โป่งผาเป็นโมเดลของประเทศไทยทั้งประเทศ และโมเดลของทั้งโลก บุญกุศลที่เราทำในครั้งนี้ให้น้องๆ 13 คน ขอให้เราทุกคนมีความสุข เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ร่ำรวยกันทุกคน สำหรับพระเอกครั้งนี้คือคนทั้งโลก สื่อมวลชนที่ใจดีกับพวกเรา คนหมื่นกว่าคนที่ช่วยกันทำงานให้เราสำเร็จใน 17 วัน

เรามีข่าวเคียงที่ผมดูข่าวตลอดเวลา เพราะสื่อไม่สามารถหาข่าว Official จากผมได้เพราะเราแถลงแค่ 2 เวลา แต่ในข่าวเคียงมีเรื่อง น้องคนหนึ่งซักผ้าให้กับซีล น้องอีกกลุ่มเอาก๋วยเตี๋ยวมาแจก จิตอาสามาเก็บขยะให้ มีอะไรมากมายที่เป็นมุมที่เป็นความสุขของคนที่ได้เห็น ผมว่ามีเป็นล้านๆ ภาพในเหตุการณ์ 17 วันนี้ ขออย่าให้ 17 วัน มลายหายไป ขอให้เป็นล้านๆ ภาพที่คนไทยจดจำ แล้วนำไปเป็นบทเรียนในการพัฒนาประเทศไทยต่อไป”

หลังจากจบการแถลงฐปณีย์ เอียดศรีไชย เป็นตัวแทนสื่อมวลชนภาคสนาม กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่และกล่าวด้วยว่าหากมีอะไรผิดพลาดระหว่างปฏิบัติงานก็ขอให้อภัยต่อกัน โดยณรงค์ศักดิ์ในฐานะ ผบ.ศอร.กล่าวว่า "ไม่ผิดพลาดครับ ดีเยี่ยม"จากนั้น ผบ.ศอร. ได้ชวนสื่อมวลชนร่วมกันถ่ายภาพ

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลยกฟ้อง 14 คนงานเมียนมา ข้อหาหมิ่นฯ บ.ธรรมเกษตร ชี้ใช้สิทธิโดยสุจริตร้อง กสม.

$
0
0

ศาลยกฟ้อง 14 คนงานเมียนมา ข้อหาหมิ่นประมาท บ.ธรรมเกษตรฯ เหตุใช้สิทธิโดยสุจริตในการร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ให้มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิอันเป็นไปตามกฎหมายและสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี

ภาพจาก เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'NSP LEGAL Office

11 ก.ค.2561 สำนักกฎหมายเอ็น เอส พี รายงานผ่านเฟสบุ๊กแฟนเพจ 'NSP LEGAL Office'ว่า วันนี้ (11 ก.ค.61) ศาลแขวงดอนเมือง อ่านคำพิพากษาคดีระหว่าง บริษัท ธรรมเกษตร จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องแรงงานข้ามชาติ จำนวน 14 คน เป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาท แจ้งข้อความอันเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยแบ่งเป็น 4 ประเด็น ดังนี้

ประเด็น การทำงานของจำเลยทั้ง 14  ฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 14 ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน จริง โดยพิจารณาจากเอกสารที่แรงงานทั้ง 14 อ้างถึงซึ่งได้แนบไปพร้อมคำร้องเรียนต่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพการทำงานที่ได้ไปให้การกับพนักงานตรวจแรงงาน ดังนั้นข้อความในหนังสือร้องเรียนที่แม้จะไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาพักผ่อนอย่างละเอียดจึงไม่ใช่การแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือจงใจปกปิดข้อเท็จจริง

ประเด็นการทำงานล่วงเวลา ศาลพิจารณาว่า จำเลยมีการทำงานล่วงเวลาจริง เห็นจากรายการในบัตรลงเวลาการทำงานโดยเฉพาะในเดือน พค 59 ที่มีการระบุด้วยลายมือเเทนการลงเวลาในเครื่องอัตโนมัติว่า “เครื่องเสีย” ซึ่งศาลเห็นว่าหากโจทก์ไม่ให้จำเลยทำงานล่วงเวลาจริงก็ไม่จำเป็นต้องให้ลงเวลาในบัตรดังกล่าว ประกอบกับจำเลยรับว่าไม่ได้ห้ามไม่ให้จำเลยเข้าไปทำงานในเวลากลางคืน และพนักงานของ บ.บีฟูดส์ฯ ได้ให้การต่อพนักงานตรวจแรงงานฯว่าช่วงไก่อนุบาล จำเป็นต้องมีการทำงานในตอนกลางคืน จริงเป็นการให้การที่รับฟังได้

ประเด็นค่าจ้าง ศาลพิจารณาว่า โจทก์จ่ายค่าจ้างให้จำเลยต่ำกว่าอัตราจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด โดยพิจารณาจากการพิจารณาเอกสาร การสอบสวนของพนักงานตรวจแรงงานประกอบกับพิพากษาของศาลแรงงานที่สอดคล้องต้องกันในเรื่องของการจ่ายค่าจ้างว่าไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

ประเด็นเรื่องการยึดบัตร ศาลพิจารณาว่าแม้ กสม จะมีรายงานผลการตรวจสอบสรุปว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีที่แรงงานถูกยึดเอกสารและถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง แต่ศาลเห็นว่า กสม ไม่ได้พิจารณาว่าข้อความตามหนังสือร้องเรียนของจำเลยนั้นเป็นเท็จหรือไม่อย่างไรจึงยังไม่พอฟังว่าการร้องเรียนของจำเลยเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือหมิ่นประมาทโจทก์ เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของทั้งสองฝ่าย ศาลฟังได้ว่าแม้จำเลยจะสามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้แต่จะต้องขออนุญาตและขอหนังสือเดินทางจากพนักงานของโจทก์ล่วงหน้าและไม่สามารถเดินทางกลับในระหว่างที่มีไก่ในฟาร์มได้อีกทั้งโจทก์รับว่ามีเจ้าหน้าที่ของโจทก์ขับรถรับส่งจำเลยไปตลาดเพียงสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งอาจจะทำให้จำเลยรู้สึกว่าพวกตนถูกจำกัดเสรีภาพได้ ประกอบกับภาพถ่ายที่จำเลยอ้างส่งและเบิกว่าเป็นภาพถ่ายขณะลงลายมือชื่อรับเอกสารประจำตัวจากพนักงานของโจทก์โดยโจทก์มิได้นำพนักงานคนดังกล่าวมาเบิกความโต้แย้ง ประกอบกับพนักงานตรวจแรงงานได้เบิกความว่าได้ขอตรวจดูเอกสารประจำตัวของแรงงานต่อผู้แทนของโจทก์ซึ่งผู้แทนของโจทก์เป็นคนนำเอกสารดังกล่าวมาให้ดังนั้นจึงเชื่อว่าเอกสารของแรงงานทั้ง 14 มีผู้แทนของโจทก์ยึดไว้จริง

ดังนั้น ศาลจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจากจำเลยใช้สิทธิโดยสุจริตในการร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน เพื่อให้มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิอันเป็นไปตามกฎหมายและสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีตามครรลองคลองธรรม 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โทษประหารในมุมอดีตรอง ผบก.จเรตำรวจ : กระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาดเป็นเรื่องโหดร้าย

$
0
0

มุมมองอดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ผู้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยมีปัญหามากมาย ตั้งแต่การบิดเบือนคำให้การจนถึงการประหารนอกกฎหมาย ชี้หากลงโทษประหารย่อมไม่มีวันแก้ไขคืนกลับได้เลยถ้าลงโทษผิดคน

  • แนวคิดต่อผู้กระทำผิดมีการเปลี่ยนแปลงจากที่มองเป็นคนชั่วร้ายต้องลงโทษมาสู่การแก้ไข เพราะมองเห็นคุณค่าในชีวิต
  • กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยมีปัญหา การสอบสวนไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ ทำให้เกิดการลงโทษผู้บริสุทธ์
  • ต้องทำการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

การประหารผู้ต้องขังครั้งล่าสุดหลังจากว่างเว้นไปเกือบ 10 ปี จุดกระแสการถกเถียงอันร้อนแรงในสังคมไทยว่า โทษประหารควรมีอยู่หรือไม่ มันนำไปสู่การโต้เถียงด่าทอกันระหว่างสองฟากความคิด

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้จัดงานเสวนาเรื่อง ‘ทางออกโทษประหารกับปัญหากระบวนการยุติธรรม’ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ ให้มุมมองต่อประเด็นนี้ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่มีปัญหามากมาย ทำให้การลงโทษจำเลยสุ่มเสี่ยงที่จะลงโทษผู้บริสุทธิ์ และถ้าเป็นการลงโทษประหารชีวิตด้วยแล้ว ย่อมหมายความว่าจะไม่มีวันแก้ไขคืนกลับได้เลยหากลงโทษผิดคน

จากลงโทษสู่การแก้ไข

การที่เราพูดถึงเรื่องโทษประหาร มันเป็นสัญญาณของความสิ้นหวังต่อกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ กระบวนการยุติธรรมโบราณถือเอาการประหารเป็นหลักและก็ไม่ใช่การประหารแบบปัจจุบัน แต่ประหารแบบโหดเหี้ยมเพื่อให้คนกลัว หลักสำคัญคือแก้แค้นให้กับผู้เสียหายและทำให้สังคมปลอดภัย ปลอดภัยแบบแน่นอนเด็ดขาด ไม่ต้องเสียเวลาควบคุมตัว กำจัดเลย

การลงโทษทางอาญาสมัยโบราณถือหลักการลงโทษรุนแรงมาตลอด ในยุโรปแค่เป็นหนี้แล้วไม่ใช้ เอาไปขังคุกมืดขึ้นกับจำนวนเงิน แล้วปรากฏการณ์เหล่านี้ก็คลายตัวไปตามความเจริญก้าวหน้าของสังคม ซึ่งเขาคิดว่าพวกนี้เป็นพวกชั่วร้าย แก้ไขอะไรไม่ได้ สมัยก่อนก็คงไม่มีความละเอียดอ่อนที่จะคิดแก้ไข แล้วประเทศเราก็เจริญไปตามตะวันตก ขณะที่ตะวันตกมีความคิดก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จากเดิมที่มองอาชญากรเป็นคนชั่วร้ายเปลี่ยนเป็นคนป่วย ทำนองเดียวกันกับการปฏิบัติต่อผู้ป่วยจิตเวชที่สมัยก่อนก็ปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม แต่ตอนหลังก็มีความพยายามในการแก้ไข

ทั้งหมดทั้งปวงมันขึ้นกับว่าเราเห็นคุณค่าในตัวมนุษย์แค่ไหน สังคมที่เจริญจะเห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าสังคมที่เจริญน้อยกว่า ต้องยอมรับว่าสังคมตะวันตกมีความคิดเหล่านี้ เขาจึงยกเลิกโทษประหาร ในประเทศยุโรปแทบทั้งหมดก็ยกเลิกไปแทบทั้งสิ้น เวลานี้ประเทศที่ยังมีโทษประหารเหลือเพียงส่วนน้อย

กฎหมายและโทษประหารมีอยู่ 3 ลักษณะคือประเทศที่มีโทษประหารอยู่ในกฎหมายและมีการบังคับใช้จริงจัง เช่น จีนประหารปีหนึ่งเป็นพันๆ คน อีกประเภทหนึ่งคือยกเลิกไปเลย ไม่มีอยู่ในกฎหมาย ประเภทสุดท้ายคือมีโทษประหารอยู่ในกฎหมาย แต่ก็ไม่มีการบังคับใช้จริง ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น กระทั่งกระแสความเจริญก้าวหน้าในโลกตะวันตก การตระหนักของพวกเราเองที่รู้สึกว่าเขาก็เป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง ถ้าเรายึดปรัชญาที่ว่าส่วนใหญ่อาชญากรเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เราควบคุมได้ ป้องกันได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติ ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความเป็นอาชญากรมาแต่กำเนิดก็มี เจอใครพูดผิดหูก็ชกทันที ยิงทันที แต่ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม ปัญหาคือข้อมูลเหล่านี้เราไม่ค่อยมี

ลองสังเกตดู หลายกรณีเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมกระตุ้นทั้งนั้น บางคนมีความอดทนต่อความคับแค้นใจได้มาก แต่บางคนก็ถึงจุดที่ทนไม่ได้ ตัวอย่างคุณป้าจอมขวาน วันนั้นถ้ามีปากเสียง แกอาจจะบันดาลโทสะเอาขวานจามหัว แกก็เป็นอาชญากรไป จะเห็นว่ามันเกิดขึ้นได้ แล้วมันเป็นเพราะอะไร เพราะว่าไม่ควบคุม ไม่เป็นธุระในการบังคับใช้กฎหมาย ทุกอย่างมีกฎหมายหมด แต่รัฐไม่เป็นธุระหรือทำท่าเป็นธุระแต่ไม่มีผลในทางปฏิบัติจริง แล้วทุกคนผมก็คิดว่าอยู่ในสภาพนี้ได้ทั้งนั้น อยากเข้าไปจัดการเอง พอเข้าไปจัดการเองก็เกิดการกระทบกระทั่งกลายเป็นอาชญากรไป

ศาลก็ไม่มั่นใจว่าจำเลยผิดจริง

โทษประหารในกฎหมายไทยมีอยู่สี่ห้าลักษณะ ในเรื่องการฆ่าก็คือฆ่าโดยไตร่ตรอง ฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย ฆ่าเจ้าพนักงาน ฆ่าเพื่อปกปิดความผิด และข่มขืนฆ่า ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และเรื่องยาเสพติดที่ผลิต นำเข้า ส่งออกเพื่อการค้า เหล่านี้มีบทลงโทษประหารสถานเดียว ซึ่งศาลเองก็ไม่สามารถลงโทษเป็นอื่นได้ ศาลเองก็ไม่อยากลงโทษประหาร ถึงแม้จะมีหลักฐานชัดเจนก็ไม่อยากลงโทษประหาร ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากประหารชีวิตใคร

ผมคิดว่าเราทุกคน โดยเฉพาะประเทศเราที่เป็นเมืองพุทธคงไม่มีใครอยากเป็นคนสั่งให้ประหาร เพชฌฆาตก็เพียงลั่นไกตามกระบวนการของกฎหมาย แต่จะเห็นว่าไม่มีใครอยากเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น สังคมไทยรู้สึกอับจน ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร โทษไม่รุนแรงพอ ใครที่มีโทษประหารชีวิต สารภาพก็ลดโทษ อันนี้ธรรมดา ไม่มีทางเลือก เมื่อจำเลยรับสารภาพศาลก็ต้องลดโทษให้ ถ้าไม่ลดโทษจะผิดหลักกระบวนการยุติธรรม ศาลจะได้แน่ใจว่าคนคนนั้นกระทำความผิด

กรณีที่มีโทษประหาร บางคนต่อสู้คดีอย่างสุดชีวิต บางทีต่อให้ศาลเห็นหลักฐาน ศาลก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนคนนี้ทำผิดจริงหรือไม่ แต่ที่น่าตกใจคือบางกรณีไม่มีความชัดเจนเลยก็มี ศาลจึงไม่ค่อยอยากลงโทษประหาร หรือกรณีคนที่ฆ่าผู้อื่น รับสารภาพ ศาลก็ลงโทษประหารไม่ได้ บางกรณีลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ทำไม 7 ปีออกมาแล้ว ถ้ามีปัญหาเรื่องกระบวนการลดโทษก็ต้องไปว่ากันตรงนั้น คนที่ถูกพิพากษาลงโทษตลอดชีวิต ผมตรวจสอบดู ส่วนใหญ่ต้องถูกจำคุกไม่ต่ำกว่า 15 ปี

จริงๆ การติดคุกก็ทำให้เข็ดหลาบ คนที่ก่ออาชญากรรมไม่ได้คิดหรอกว่ามีโทษแค่ไหน บางทีมีอารมณ์ก็ลุยกันไป พอเกิดเหตุแล้วก็กระทำผิดต่อเนื่องไป เช่น หั่นศพ ทำลายศพ เป็นความต่อเนื่อง บางทีไม่ได้ตั้งใจ ต้องทำผิดไปเรื่อยๆ คนก็มองว่าโหดร้าย ต้องประหาร แต่เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วก็ไม่อาจจะประหารได้

ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

มีบางกรณีที่มีพยานหลักฐานว่าผู้ถูกประหารไม่ได้กระทำความผิด หลายฝ่ายก็พยายามไม่พูดถึง ซึ่งผมคิดว่าไม่ถูกต้อง มีพยานปรากฏออกทีวี พูดแบบนี้ๆ กลายเป็นว่าพยานถูกดำเนินคดีฐานเอาความเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์ นี่เป็นเพราะเราไม่พยายามค้นหาความจริง

การที่เรามี พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ตั้งแต่ปี 2526 สะท้อนว่า สังคมยอมรับว่าคำพิพากษาอาจมีความผิดพลาดได้ ถ้ามีหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญก็สามารถขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ เมื่อก่อนไม่มีนะครับ คำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่การมีกฎหมายรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่สะท้อนว่าเรายอมรับว่าศาลก็เป็นมนุษย์ปุถุชน อาจจะมีความผิดพลาดได้

แต่ปัญหาคือตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปัจจุบัน เรายังไม่มีการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ได้สำเร็จเลย เข้าสู่กระบวนการพิจารณาประมาณ 3 ราย อีกเกือบ 200 รายมีการยื่น แต่ที่น่าเสียใจคือใครที่พยายามยื่นขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่กลายเป็นคนเสียหาย ถูกมองเป็นคนกะล่อนปลิ้นปล้อน ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย กระบวนทัศน์ของผู้เกี่ยวข้องควรเข้าใจว่า ถ้ามีหลักฐานใหม่ก็ควรให้ความยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย

และถ้าพิจารณาอย่างจริงจัง มันจะนำไปสู่การแก้ไขกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ด้วย แต่ถ้าเราปกปิดไว้ ทุกอย่างก็เหมือนเป็นไปด้วยดี ทำให้ไม่เกิดการแก้ไข เพราะเราไม่ยอมรับความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าชั้นใด ทุกฝ่ายจะตะแบงไปกันหมด

ทุกวันนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนได้รับจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย ผู้ต้องหา ไม่รับแจ้งความ จับแพะ หรือคดีอาญาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องหรือศาลยกฟ้อง ซึ่งไม่ใช่ความยุติธรรม คดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องแล้วใครเป็นผู้กระทำความผิดล่ะ แล้วถ้าสั่งไม่ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอย่างไม่เป็นธรรม หรือถ้าศาลยกฟ้องก็ยิ่งไปใหญ่เลย ถ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาก็เป็นแพะในชั้นศาล แต่ถ้าเขาเป็นผู้กระทำความผิด เขาก็ลอยนวลเลย ก็ไม่เป็นธรรมกับผู้เสียหาย มีคดีประมาณร้อยละ 40 ที่จำเลยต่อสู้คดีแล้วศาลยกฟ้อง ขณะที่ในประเทศญี่ปุ่นถ้าอัยการสั่งฟ้อง ศาลจะลงโทษเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาจะไม่แจ้งข้อหาใครง่ายๆ แจ้งแล้วอัยการสั่งไม่ฟ้อง อัยการฟ้องแล้วศาลยกฟ้อง

หลักคิดของพนักงานอัยการก็ต้องมีการปฏิรูปครับ จากแค่มีหลักฐานพอฟ้องก็ฟ้อง แต่ต้องมีหลักฐานเพียงพอให้ศาลลงโทษได้จึงจะฟ้อง ถ้าอัยการฟ้องคดีไหน แล้วศาลยกฟ้อง อัยการจะต้องถูกตรวจสอบว่าบกพร่องอะไร โจทย์จะไปตกที่พนักงานสอบสวน ตำรวจ คุณต้องทำให้คดีเกิดขึ้นน้อย การสอบสวนต้องมีประสิทธิภาพ รวบรวมหลักฐานให้แน่นหนา ชัดเจน และเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ปัญหาของประเทศเราคือไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งเลย โดยเฉพาะการสอบปากคำพยานบุคคล คุณจะสอบกันยังไงก็ได้ ระหว่างโมโหอยู่จะพูดความจริงทั้งหมดก็ยังไม่สอบ ค่อยรอให้หายโมโหแล้วสอบก็ได้ ที่พูดไม่จด ที่จดไม่ได้พูด

ที่น่าตกใจคือบางทีพยานไม่ต้องการให้การในชั้นสอบสวน เพราะไม่รู้ว่าให้การไปแล้วจะถูกบิดเบือนอย่างไร ผู้ต้องหาเองก็ไม่อยากให้การแก้ข้อกล่าวหา ขอให้การชั้นศาล เมื่อเป็นอย่างนี้ อัยการก็ต้องฟ้องศาล ถือว่าไม่มีข้อต่อสู้ก็ฟ้องเลย จริงๆ ไม่ใช่ผู้ต้องหาไม่อยากให้การ แต่กลัวว่าให้การไปแล้วจะถูกบิดเบือนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เช่น อ้างพยานสักคน ตำรวจก็ไปสอบพยานปากนี้ จากที่เห็นก็กลายเป็นไม่เห็น เป็นต้น เป็นกระบวนการยุติธรรมที่วิปริต

สรุปคือเราจะคิดอย่างไรกับโทษประหารขึ้นอยู่กับว่าเราคิดอย่างไรกับอาชญากรรม ถ้าเราคิดว่าเขาเป็นผู้ป่วยที่ต้องแก้ไข หลักในการลงโทษเอาคนติดคุก ความจริงมันก็ดับแค้นได้ไม่น้อย ทำให้สังคมปลอดภัย ไม่ใช่ว่าลงโทษแบบต้องการให้สะใจ การจำคุกตลอดชีวิตที่พูดกันว่าติดจริงเจ็ดปี สิบปี บางทีก็พูดกันผิดๆ ความจริงติดกันไม่น้อย แต่เรื่องการลดโทษ เราต้องไปควบคุมตรงนั้น คนที่ต้องโทษประหารชีวิต แม้ไม่ได้ประหารจริง อย่างน้อยเขาก็ถูกจำคุกตลอดชีวิตนะครับ เขาต้องตายในคุก แต่เขาถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เขาอาจได้รับการลดโทษ แต่ศักยภาพในการก่ออาชญากรรมจะถูกทำลายไปด้วยอายุขัยของเขาเอง

เราต้องยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศเรามีปัญหา และในทัศนะของผมมันมีปัญหาที่ร้ายแรงมาก เราพูดกันมากมาย แต่ก็ไม่มีใครมีข้อมูลจะยืนยันได้ว่ามีผู้ต้องคำพิพากษาที่ไม่ได้ทำผิดจริง ซึ่งมันไม่ควรจะมีแม้แต่รายเดียว เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็บัญญัติเอาไว้ว่า ศาลจะลงโทษใครจะต้องสิ้นสงสัย ต้องเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ไม่ใช่คดีที่มีแค่โทษประหาร แต่ทุกคดี แต่ประเทศของเราเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ไม่ใช่ มีคดีไม่น้อยที่ผู้ต้องหารับสารภาพโดยไม่ได้กระทำความผิด รับซะ จะได้จบๆ ไป รับสารภาพในชั้นสอบสวนเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกทรมาน ใดๆ ก็แล้วแต่

กรณีมือปืนป็อปคอร์น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง รายนี้ผมมีโอกาสคุยในเรือนจำ เขาก็พูดตลอดว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วผมก็ประเมินว่าศาลคงยกฟ้อง ศาลก็ยกฟ้องจริงๆ ติดคุกอยู่สามสี่ปี ถามว่าทำไมไม่ประกันตัว ประกันตัวออกไปอาจจะถูกฆ่าตาย อยู่ในเรือนจำปลอดภัยกว่า นี่คือประเทศไทย และก็อีกมากมาย

กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ผิดพลาดเป็นเรื่องโหดร้าย

คนในประเทศเรายังไม่มีความเข้าใจต่อหลักอาชญวิทยาในเรื่องปัจจัยการกระทำความผิด ความจริงมีอะไรที่โหดร้ายกว่านั้นมาก มันมีการประหารนอกกฎหมายอยู่มากมายในประเทศเรา ปี 2547 ปี 2548 ผมเป็นผู้กำกับอยู่สถานีตำรวจ มีคนถูกฆ่านอกกฎหมายถึง 2,500 คนในช่วงเวลา 3 เดือน และอาจจะมากกว่านั้นถึง 5,000 คนที่ไม่เป็นข่าว คนส่วนใหญ่กลับเฉยๆ บางคนสะใจ ถ้ามารอสามศาลไม่ทันใจ แบบนี้ดีกว่า 2,500 ศพนี้ล้วนแต่เป็นคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดทั้งสิ้น

ในประเทศที่กระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ เขาก็ยังยกเลิกโทษประหารชีวิต ผมคุยกับผู้พิพากษาผู้ใหญ่ ที่ไม่อยากพิพากษาประหารชีวิตเพราะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ มีท่านหนึ่งบอกว่าเคยพิพากษาประหารชีวิตไปแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็เอารูป เอาเอกสารมาให้เซ็นเพื่อยืนยันว่าถูกต้อง ประหารไปแล้วด้วย แกก็ยังไม่สบายใจจนทุกวันนี้ ไม่ค่อยแน่ใจ อย่าลืมว่าคำพิพากษาเป็นเรื่องสมมติ ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตราบใดยังไม่ได้ประหารชีวิต ผู้พิพากษาก็สบายใจว่าคนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าประหารไปแล้ว พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ห้าม เพราะญาติก็จะได้รับการชดเชย

กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ผิดพลาดเป็นเรื่องโหดร้าย ไม่ใช่เฉพาะคนที่ถูกลงโทษ ญาติพี่น้องก็ถูกตราหน้า ต่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้องก็ตาม ทำอย่างไรเราจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์ แม่นตรง เชื่อถือได้

ส่วนโทษประหารในทัศนะของผม ในอนาคตก็ต้องยกเลิก จะช้าเร็วแค่ไหนก็ขึ้นกับความเข้าใจของผู้คนในสังคม โทษประหารเป็นสัญญาณของการอับจนทางความคิดว่าเราไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ แล้วสังคมไทยกำลังเดินมาด้วยดีในการไปสู่แนวโน้มของการยกเลิกโทษประหาร

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีลาภลอย - ยกเว้นภาษีเงินได้ฯ ลดผลกระทบการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

$
0
0

ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ภาษีลาภลอย วางเขตไว้ไม่เกินรัศมี 5 กม.รอบพื้นที่โครงการฯ  มาตรการภาษีบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่าง พ.ร.บ.ทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล ฯลฯ

ที่มาภาพ https://th2-cdn.pgimgs.com/cms/news/2016/06/Trin-1.original.jpg

เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติที่สำคัญหลายประเด็น ประกอบด้วย มติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.ทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ)  และ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ....

โดยมีรายละเอียดดังนี้

ร่างภาษีลาภลอย ไม่เกินรัศมี 5 กม.

พรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... (หรือภาษีลาภลอย) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการลงทุนจัดทำโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ (โครงการฯ) จำนวนมาก ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่งเมื่อโครงการฯ ดังกล่าวเริ่มดำเนินการจนกระทั่งแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ที่ดินและห้องชุดบริเวณรอบโครงการฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีและสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาจากผู้ที่ได้รับประโยชน์ดังกล่าว จึงเห็นควรให้มีการจัดเก็บภาษีจากเจ้าของที่ดินหรือห้องชุดที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มของมูลค่าที่ดินหรือห้องชุดอันเนื่องมาจากการพัฒนาโครงการฯ และนำรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป โดย ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

1. ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาทและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของห้องชุดรอการจำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ

2. โครงการฯ ที่จัดเก็บภาษี คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ และโครงการอื่น ๆ ที่กำหนดในกฎกระทรวง

3. การจัดเก็บภาษีแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ 3.1 ในระหว่างการดำเนินการจัดทำโครงการฯ จะจัดเก็บภาษีจากการขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือห้องชุดซึ่งตั้งอยู่รอบพื้นที่โครงการฯ ในรัศมีที่กำหนด 3.2 เมื่อการก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ จะจัดเก็บภาษีเพียงครั้งเดียวจาก 1) ที่ดินหรือห้องชุดเฉพาะส่วนที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท(ยกเว้นภาษีให้แก่ที่ดินหรือห้องชุดที่ใช้เพื่อพักอาศัยและที่ดินที่ใช้ประกอบเกษตรกรรม) 2) ห้องชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รอจำหน่าย ซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการฯ

4. พื้นที่จัดเก็บภาษี กำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตรรอบพื้นที่โครงการฯ ทั้งนี้ กำหนดให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่จัดเก็บภาษี ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่จะจัดเก็บภาษีในแต่ละโครงการฯ

5. หน่วยงานจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีโครงการฯตั้งอยู่

6. ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษี ให้คำนวณจากส่วนต่างของมูลค่าที่ดินหรือห้องชุดที่เพิ่มขึ้นระหว่างวันที่รัฐเริ่มก่อสร้างโครงการฯ และมูลค่าในวันที่การก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ สำหรับโครงการฯ ที่ยังก่อสร้างอยู่ในวันที่ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ ให้ใช้วันที่ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้เป็นวันเริ่มต้นในการคำนวณฐานภาษี ทั้งนี้ การคำนวณมูลค่าที่ดินและห้องชุด ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินและราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินที่คณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์กำหนดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ในกรณีห้องชุดไม่สามารถคำนวณส่วนต่างของมูลค่าห้องชุดได้ เนื่องจากไม่มีราคาประเมินห้องชุดให้คำนวณส่วนต่างดังกล่าวเท่ากับร้อยละ 20 ของมูลค่าห้องชุด

7. การคำนวณภาษีให้ใช้ฐานภาษีของที่ดินหรือห้องชุดที่คำนวณได้คูณด้วยอัตราภาษี

8. อัตราภาษี กำหนดเพดานอัตราสูงสุดของภาษีที่กรมที่ดินและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บได้ ไม่เกินร้อยละ 5 ของฐานภาษี ทั้งนี้ อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดในพระราชกฤษฎีกา

9. ภาษีที่จัดเก็บได้ให้นำส่งเงินภาษีเข้าคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน

10. โครงการฯ ที่จัดเก็บภาษี คือ โครงการฯ ที่ยังก่อสร้างอยู่ในวันที่ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ หรือโครงการฯ ที่จะก่อสร้างภายหลังจากวันที่ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้

ร่าง พ.ร.บ.ทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล

ครม. มติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง  เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา  ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ระบุว่า กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคลโดยได้กำหนดบทนิยามให้ “ทรัสต์” หมายความว่า นิติสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์และ “การจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล” หมายความว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินของผู้ก่อตั้งทรัสต์เพื่อประโยชน์ของผู้รับประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในสัญญาก่อตั้งทรัสต์ ทั้งนี้ ให้รวมถึงการจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ภายหลังผู้ก่อตั้งทรัสต์ถึงแก่ความตาย โดยขอบเขตของทรัสต์ตาม พ.ร.บ.นี้ ให้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการดังต่อไปนี้ คือ 1) มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 2) การระดมทุนจากประชาชน 3) การจัดการทรัสต์ที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน และ 4) การจัดการทรัสต์ที่มีลักษณะเป็นทรัสต์เพื่อการประกอบธุรกิจที่มีกฎหมายกำกับดูแล ทั้งนี้ยังได้กำหนดหลักการต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล

ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

ครม. ยังรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ 

รวมทั้งให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งรัดดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2549 (เรื่อง ขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน) และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป

ยกเว้นภาษีเงินได้ฯ บรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้

โดย สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา ประกอบด้วย 

1. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละสิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้าง ให้แก่ 1.1 บุคคลธรรมดา ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรัษฎากร รวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ทั้งนี้ ในปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ และ 1.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน และมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการรวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้

2. บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ 2.1 มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกำหนด ซึ่งให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป 2.2 มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างในอัตราสูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิมที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่ 1 เม.ย. พ.ศ. 2561 และ 2.3 ไม่มีการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เนื่องจากรายจ่ายในการจ้างงานตามพระราชกฤษฎีกาอื่นที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรอีก ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร

ครม. ยังมีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
 
สาระสำคัญของร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย  เป็นการกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปีประเทศละไม่เกิน 100 คนต่อปี และไม่เกิน 50 คนต่อปี สำหรับคนไร้สัญชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยสามารถยื่นคำขอมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยต่อไป อันเป็นการส่งเสริมให้คนต่างด้าวเข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศไทย 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'หลิวเซีย'ภรรยา 'หลิวเสี่ยวโป'เดินทางไปเยอรมนีแล้ว หลังถูกรัฐบาลจีนขังในบ้าน 8 ปี

$
0
0

กระทรวงต่างประเทศของจีนเปิดเผยว่า หลิวเซีย ภรรยาม่ายของนักกิจกรรมจีนชื่อดังหลิวเสี่ยวโป เดินทางออกจากประเทศจีนแล้วหลังจากถูกทางการจีนคุมขังอยู่ภายในบ้านเป็นเวลา 8 ปี

หลิวเสี่ยวโปผู้เป็นสามีของเธอเป็นนักกิจกรรมชื่อดังที่ได้รางวัลโนเบล แต่เขากลับต้องเสียชีวิตขณะรับโทษคุมขังในคุก 11 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอดโดยถูกกล่าวหาว่า "ยุยงปลุกปั่นล้มล้างอำนาจรัฐ"ขณะที่หลิวเซียก็ถูกคุมขังอยู่ภายในบ้านนับตั้งแต่สามีของเธอได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี 2553 และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศแม้แต่จะไปเข้ารับการรักษาทางการแพทย์

อย่างไรก็ตามล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา หลิวเซีย ได้เดินทางไปยังกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี โดยที่หลิวฮุ่ยน้องชายของเธอให้สัมภาษณ์ต่อสื่อซีเอ็นเอ็นยืนยันในเรื่องนี้ เขายังกล่าวขอบคุณคนที่เป็นห่วงคนที่ช่วยเหลือเธอและอวยพรให้เธอมีชีวิตที่สงบและมีความสุข ขณะที่ทางการจีนก็ยืนยันในที่ประชุมแถลงข่าวรายวันเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันโดยเปิดเผยว่าหลิวเซียเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ

ซีเอ็นเอ็นระบุว่าการปล่อยตัวหลิวเซียเกิดขึ้นในช่วงก่อนครบรอบ 1 ปี การเสียชีวิตของสามีเธอ และหนึ่งวันหลังจากที่หลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนพบปะกับแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี

แพทริก พูน นักวิจัยประเด็นจีนจากองค์กรแอมเนสตีอินเตอร์เนชันแนลกล่าวว่าหลิวเซียไม่หยุดต่อสู้เพื่อสามีของเธอที่ถูกคุมขังด้วยการอ้างโทษแบบผิดๆ มาโดยตลอด ทำให้เธอโดนลงโทษอย่างโหดร้าย ทางการจีนพยายามจะทำให้เธอหยุดเรียกร้อง แต่เธอก็ยังคงยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชนต่อไป มันจึงเป็นเรื่องที่ยินดีที่ตอนนี้หลิวเซียได้เป็นอิสระแล้ว พูนยังเรียกร้องให้ทางการจีนเลิกข่มเหงรังแกครอบครัวของหลิวด้วย เพราะทางการจีนเคยคุกคามญาติๆ ของหลิวเซียเพื่อเป็นเครื่องมือกดดันเธอไม่ให้เธอพูด

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หลิวเซียมีสภาวะทางจิตใจที่ย่ำแย่จากการถูกข่มเหงรังแกโดยรัฐบาล เธอแสดงออกเรียกร้องความช่วยเหลือด้วยความรู้สึกสิ้นหวังต่อโลก "ไม่มีอะไรเหลือในโลกนี้สำหรับฉันอีกแล้ว""ตายไปยังง่ายกว่า สำหรับฉันแล้ว แค่อยากใช้ความตายเพื่อต่อสู้กลับ ไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว"

เพื่อนของหลิวเซียเคยเปิดเผยว่าหลิวเซียมีอาการโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยมักจะเห็นเธอร้องไห้หรือสะอึกสะอื้นผ่านทางคลิปเสียง บางครั้งก็แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างหนักต่อสภาพที่เป็นอยู่ เธอบอกว่าเธอโกรธมากจนพร้อมจะตายได้

มีรัฐบาลต่างประเทศหลายแห่งที่เรียกร้องให้ทางการจีนปล่อยตัวหลิวเซียผู้ที่ถูกคุมขังในบ้านทั้งที่ไม่ได้มีความผิดใดๆ เลย ฝ่ายสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเองก็แสดงความเป็นห่วงในเรื่องที่หลิวเซียถูกคุมขังโดยไม่ทราบว่าเป็นสถานที่แห่งใดและในเรื่องที่เธอมีความเจ็บป่วยทางใจ พวกเขาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลจีนปล่อยตัวหลิวเซียให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการเดินทาง

กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีเคยกล่าวไว้เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาว่าพวกเขาจะหารือกับจีนเรื่องคดีของหลิวและบอกว่าพวกเขายินดีถ้าหากหลิวเซียจะเดินทางมาที่เยอรมนี

เมื่อหลิวเซียอยู่ในกรุงเบอร์ลินแล้วเธอจะเข้าร่วมชุมชนผู้พลัดถิ่นชาวจีนที่อาจจะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ส่งอิทธิพลทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นศิลปินอย่างอ้ายเว่ยเว่ย หรือนักเขียนต่อต้านรัฐบาล เหลียวอี้หวู่ หนึ่งในศิลปินจีนที่อาศัยในเยอรมนี ปาดิวเข่า กล่าวว่ากรณีที่หลิวเซียได้เดินทางมาเยอรมนีได้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แต่ก็น่ากังวลที่รัฐบาลยังให้พี่น้องของเธออยู่ในจีนทำให้ไม่รู้ว่าหลิวเซียจะแสดงออกได้มากน้อยแค่ไหน แต่เขาก็บอกว่าจะรอชมบทกวีหรืองานภาพถ่ายชิ้นใหม่จากหลิวเซีย

 

เรียบเรียงจาก

Widow of Nobel Peace Prize laureate Liu Xiaobo leaves China, CNN, 10-07-2018

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตือนแรงงานไทยในไต้หวัน กลับประเทศ 'ปิดบัญชี-ซิมการ์ด'

$
0
0

เตือนแรงงานไทยในไต้ควรปิดบัญชีธนาคารเมื่อสิ้นสุดการจ้างงานและการต่อสัญญาจ้างเพื่อประโยชน์ในการรักษาสิทธิของตัวเองและป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ เมื่อสิ้นสุดการจ้างงานก่อนเดินทางกลับประเทศไทยให้ดำเนินการปิดบัญชีธนาคาร และนำสมุดบัญชีรวมทั้งซิมการ์ดโทรศัพท์ติดตัวกลับไปด้วย เพื่อป้องกันมิจฉาชีพนำไปใช้ประโยชน์ผิดกฎหมาย


แรงงานไทยในไต้หวัน (แฟ้มภาพกระทรวงแรงงาน)

11 ก.ค. 2561 สำนักงานแรงงานไทยเมืองเกาสง-ไต้หวันแจ้งเตือนแรงงานไทยที่ทำงานในไต้หวันว่าควรปิดบัญชีธนาคารเมื่อสิ้นสุดการจ้างงานและการต่อสัญญาจ้างเพื่อประโยชน์ในการรักษาสิทธิของตัวเองและป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ

ตามนโยบายคุ้มครองแรงงานต่างชาติของไต้หวัน 1. กระทรวงแรงงานไต้หวันมีนโยบายคุ้มครองแรงงานต่างชาติตามกฎหมายเช่นเดียวกับแรงงานท้องถิ่น ภายใต้แนวคิดว่าแรงงานต่างชาติมีคุณูปการทางด้านระบบเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมของไต้หวัน จึงพัฒนาปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองดูแลแรงงานต่างชาติให้มีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรฐานหอพักทั้งในสถานประกอบการและบนเรือประมง และบทลงโทษกรณีจ้างงานแบบผิดกฎหมาย เป็นต้น 2. กรณีสิ้นสุดการจ้างงาน ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยให้ดำเนินการปิดบัญชีธนาคาร และนำสมุดบัญชีรวมทั้งซิมการ์ดโทรศัพท์ติดตัวกลับไปด้วย เพื่อป้องกันมิจฉาชีพนำไปใช้ประโยชน์ผิดกฎหมาย และ 3. กรณีที่ถูกเรียกรับค่าต่อสัญญาจ้าง สามารถเก็บหลักฐาน ภาพถ่าย หรืออัดเสียงพูดคุย เพื่อร้องทุกข์ต่อไปได้

อนึ่งในปี 2559 มีการ บังคับใช้ กม. แรงงานต่างชาติในไต้หวัน ครบสัญญา 3 ปีไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศแล้ว ต่อมาในปี 2560 ได้มีการออกประกาศ เรื่อง กฎหมายการจ้างงาน มาตรา 52 ฉบับแก้ไข ระบุว่าให้นายจ้างขอยื่นเอกสารต่อสัญญาจ้างแรงงานต่างชาติต่อกระทรวงแรงงานไต้หวันได้ทันทีโดยก่อนที่จะครบสัญญา 2-4 เดือน นายจ้างและลูกจ้างจะต้องตัดสินใจว่าจะต่อสัญญาใหม่หรือไม่หากต้องการต่อสัญญาใหม่ ให้นายจ้างยื่นคำร้องต่อศูนย์บริการจ้างตรงซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หลังได้รับอนุญาตแล้ว ให้นำใบอนุญาต ไปประกอบการยื่นขอต่ออายุใบถิ่นที่อยู่หรือ ARC ส่วนแรงงานหรือนายจ้างที่ไม่ประสงค์จะต่อสัญญาใหม่ แต่แรงงานยังต้องการทำงานกับนายจ้างรายใหม่ต่อไป ให้นายจ้างเดิมยื่นต่อศูนย์บริการจ้างตรงก่อนครบกำหนดสัญญา 2-4 เดือนเช่นกัน 

สำหรับแนวปฏิบัติในการตรวจรับรองเอกสารสัญญาจ้างแรงงานไทยดังนี้ 1. กรณีที่นายจ้างประสงค์ที่จะจ้างแรงงานไทยรายเดิม ขอความร่วมมือให้ต่อสัญญาจ้างใหม่ในไต้หวันทันทีซึ่งสำนักแรงงาน ณ เมืองเกาสงพิจารณาเห็นว่า กรณีที่ส่งแรงงานไทยรายเดิมกลับไปต่อสัญญาจ้างที่ประเทศไทยเป็นการแสวงประโยชน์จากค่าบริการจัดหางานโดยไม่เป็นธรรม 2. กรณีที่แรงงานไทยขอโอนย้ายนายจ้างใหม่เมื่อได้รับอนุญาตแล้วนายจ้างใหม่ต้องนำเอกสารการจ้างแรงงานจำนวนสองชุดยื่นต่อสำนักแรงงานไทย ณ เมืองเกาสง ภายในเวลา 1 เดือน และ 3. กรณีที่แรงงานไทยขอกลับไปพักที่ประเทศไทยหลังนายจ้างได้ต่อสัญญาจ้างใหม่ในไต้หวันแล้ว ขอความร่วมมือให้บริษัทจัดหางานประชาสัมพันธ์ให้แรงงานไทยไปรายงานตัวที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกแห่ง เพื่อขอต่ออายุบัตรสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ มิฉะนั้นด่านตรวจคนเข้าเมืองจะไม่อนุญาตให้เดินทางออกจากประเทศไทยกลับมาไต้หวันได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช. iLaw X Prachatai | EP3 ศาลทหารกับทนายอานนท์

$
0
0

"คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช."โดย iLaw X Prachatai สัปดาห์นี้พาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ ประกาศ คสช. ที่ให้เอาพลเรือนขึ้นศาลทหาร ประกาศ คสช. 3 ฉบับ ส่งผลให้ประชาชนนับพันต้องไปต่อสู้คดีในศาลทหาร บางคดีไม่มีสิทธิอุทธรณ์ - ฎีกา บางคดีต้องไปต่อสู้กันในพื้นที่ค่ายทหาร พบกับ "ทนายน้อยๆ"อานนท์ นำภา ทนายความและนักกิจกรรมที่ต้องขึ้นศาลทหารทั้งในฐานะทนายความและในฐานะจำเลย

และร่วมเป็นหนึ่งใน 10,000 รายชื่อเพื่อปลดอาวุธ คสช. ได้ที่ www.ilaw.io

รับชมรายการ คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช. ได้ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ทางเพจ @prachataiและ @ilawทุกคืนวันพุธ ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป และรับชมทาง YouTube ได้ในวันพฤหัสบดี

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สันติภาพปางโหลง : เมียนมา 2018 ความรุนแรงสู่โต๊ะเจรจา [คลิป]

$
0
0

เสวนา SEAS Talk  3.18 หัวข้อ "สันติภาพปางโหลง เมียนมา 2018 : ความรุนแรงสู่โต๊ะเจรจา"เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ห้อง LA206-7 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

อภิปรายโดย สมฤทธิ์ ลือชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์วัฒนธรรมอุษาคเนย์, ผศ.ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วงเสวนาในช่วงที่พม่ากำลังจัดการประชุมปางโหลงแห่งศตวรรษที่ 21 ครั้งที่ 3 จับตากระบวนการเจรจาสันติภาพในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือพม่าในยุครัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีว่ามีความคืบหน้าหรือถดถอยประการใดบ้าง เป้าหมายที่ไม่ตรงกันตั้งแต่กองทัพพม่าที่ต้องการมีบทบาทอย่างสูงในทางการเมืองรวมทั้งเล่นบทเป็นผู้พิทักษ์รัฐ ส่วนฝ่ายการเมืองพม่าก็ไม่ต้องการให้อิสระแก่กลุ่มชาติพันธุ์ในระดับเข้มข้น ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าก็มีเป้าหมายที่หลากหลายตั้งแต่การร่วมสร้างสหพันธ์รัฐ เขตปกครองตนเอง ไปจนถึงการมีรัฐเอกราช

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหภาพแรงงานรถไฟสำรวจพื้นที่ รฟท. พบ 'ทำเลทอง'ติดแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็นภูเขาขยะ

$
0
0

สหภาพแรงงานรถไฟลงสำรวจพื้นที่หลัง รฟท.สั่งเดินหน้าเร่งแผนมักกะสันรับลงทุนแสนล้าน พบ 'ทำเลทอง'ติดแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีแม่น้ำ ถ.พระราม 3 เนื้อที่ 227 ไร่ ว่าจ้างที่ปรึกษาหลายครั้งปัจจุบันเป็นภูเขาขยะ ย้ำสหภาพแรงงานเห็นด้วยนำที่ดิน รฟท. มาทำประโยชน์

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) โดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานฯ ได้ลงพื้นที่ 'ย่านสถานีแม่นํ้า'พบกลายเป็น 'ภูเขาขยะ'

12 ก.ค. 2561 สืบเนื่องจากกรณีที่นายกุลิศ สมบัติศิริ ประธานกรรมการบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่มักกะสันเพื่อรองรับการลงทุน เมื่อต้นเดือน ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าในพื้นที่มักกะสันซึ่งจะมีมูลค่านับแสนล้านบาทนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งจัดทำข้อสรุปแผนพัฒนาพื้นที่แปลงเอราว 140 ไร่ซึ่งต้องยกให้เอกชนที่เข้ามาพัฒนารถไฟไฮสปีด เบื้องต้นจะยกที่ดินให้เอกชนราว 100 ไร่ ขณะที่อีก 40 ไร่ซึ่งเป็นพื้นที่พวงรางไปสู่ศูนย์ซ่อมภายในพื้นที่มักกะสันนั้น รฟท.จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเดิม

ส่วนด้านแผนการย้ายบ้านพักพนักงานและโรงซ่อมบำรุงในพื้นที่มักกะสันนั้น รฟท.ได้เตรียมพื้นที่สองแปลงใหญ่จำนวนมากกว่า 100 ไร่ไว้รองรับประกอบด้วย 1.พื้นที่บริเวณ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี 2.พื้นที่บริเวณ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมไปสู่รูปแบบธุรกิจการเดินรถในอนาคตนั้นรฟท.จะแบ่งแยกระหว่างศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟดีเซลกับศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าให้ตั้งอยู่คนละที่กันเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาย่านศูนย์กลางการเรียนรู้และพัฒนาบุคลากรด้านรถไฟฟ้าและรถไฟดีเซลรองรับโครงการรถไฟสายใหม่อีกหลากหลายเส้นทางในอนาคตที่จะมีการเปิดเดินรถทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟขนส่งสินค้า รถฟ้าชานเมืองและรถไฟความเร็วสูง (อ่านเพิ่มเติม: รฟท.สั่งเดินหน้าเร่งแผนมักกะสันลงทุนแสนล้าน, ไทยโพสต์, 3/7/2561)

สหภาพแรงงานรถไฟลงสำรวจพื้นที่พบ 'ทำเลทอง'ติดแม่น้ำเจ้าพระยา กลายเป็นภูเขาขยะ

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2561 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) โดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานฯ ได้ลงพื้นที่ 'ย่านสถานีแม่นํ้า'และได้ระบุว่าที่ดินจุดนี้ถือว่าเป็นทำเลทองในเขตกรุงเทพฯ โดยที่ดินบริเวณสถานีแม่น้ำในพื้นที่แห่งนี้น่าจะประมาณสัก 200 กว่าไร่ ด้านข้างจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือขนาดใหญ่ผ่านได้ แสดงว่ามันสามารถที่จะทำท่าเรือน้ำลึกได้ และพื้นที่แห่งนี้เคยผ่านการว่าจ้างที่ปรึกษาหลายครั้งแต่ในท้ายที่สุดมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ปัจจุบันพบว่าที่จุดนี้กลายเป็น 'ภูเขาขยะ'ทั้งๆ ที่สามารถนำไปทำประโยชน์ให้ รฟท. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินได้

"ใต้ภูเขาขยะเหล่านี้ มันจะมีทรัพย์สินของการรถไฟซ่อนอยู่รึเปล่า ถ้าฟังจากคนที่ดูแลในพื้นที่ เขาบอกว่ามีทรัพย์สินของรถไฟ แคร่บ้าง ล้อบ้าง ซากรถบ้าง ก็คงใช่ กองขยะแห่งนี้ แล้วก็ที่สำคัญก็คือว่า ไม่รู้ว่าเป็นกองขยะพิษรึเปล่า เป็นขยะพิษ อย่างที่เคยเกิดในที่แถวชลบุรีรึเปล่า ซึ่งก็น่าเสียดายนะครับว่าเรากำลังพูดถึงภาวะการขาดทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทย เราพูดถึงหนี้สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเราก็พูดกันมาโดยตลอดว่า หนี้สินของการรถไฟที่เกิดขึ้นนั้นหลักๆ ก็เกิดขึ้นจาก เรื่องของการบริการในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ต้นทุนต่อ 1 กิโลเมตร ผู้โดยสารเดินทาง 1 คนเนี่ย ต้นทุนของการรถไฟก็จะมีอยู่ที่ประมาณ 2.50 บาท ในขณะนี้ แต่การรถไฟถูกรัฐบาลให้เก็บค่าโดยสารเพียง 24 สตางค์ ต่อ 1 กิโลเมตร ตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน 30 กว่าปี นะครับ รถไฟไม่เคยได้ปรับค่าโดยสารก็เลยทำให้เกิดภาวะหนี้สินที่มันพอกพูนขึ้นมาเป็นแสนสามหมื่นกว่าล้านบาท"

"ในขณะนี้เขามีความพยายามกันว่า เอ๊ะ! จะแก้หนี้กันยังไงนะครับ แล้วก็มีแนวคิดหนึ่งซึ่งสหภาพแรงงานฯ ก็เห็นด้วยในการเอาที่ดินมาดำเนินการแก้หนี้นอกเหนือจากการที่จะไปบอกรัฐบาล หรือรัฐบาลต้องแถลงความจริงแก่สังคมว่า เหตุที่รถไฟเป็นหนี้เพราะอะไร แล้วก็ถ้าจะเป็นหนี้ต่อไปเนี่ย สังคมต้องยอมรับได้ว่ามันเกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐไม่ใช่ว่ามาโทษพนักงานว่าบริหารไม่ดีดำเนินการไม่ดีซึ่งเป็นพนักงานส่วนใหญ่ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่โดยตลอด"นายสาวิทย์ กล่าว

นอกจากนี้นายสาวิทย์ยังระบุว่าสหภาพแรงงานฯ เห็นด้วยกับแนวคิดนำเอาที่ดินของ รฟท. ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาหารายได้ มาเพิ่มมูลค่า เพื่อเอาเงินเหล่านั้นไปพัฒนาบำรุงกิจการ รฟท.

"อยากจะบอกนะครับกับผู้ที่เกี่ยวข้องบอกกับพี่น้องประชาชนพี่น้องสื่อมวลชนทั้งหลายว่าการพิจารณาการฟื้นฟูรถไฟเป็นความจำเป็นที่จะต้องเร่งทำแล้วก็ต้องรีบทำ แล้วก็ปัญหาเรื่องภาวะหนี้สินที่รัฐบาลยังคงค้างชำระต่อการรถไฟ แล้วก็ด้านหนึ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกับสังคมแล้วก็ชี้แจงกับสังคมซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารการรถไฟ เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง รัฐบาลที่จะต้องดำเนินการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่การรถไฟแห่งประเทศไทยอีกส่วนหนึ่งก็คือว่าที่ดินของการรถไฟทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นที่อุบลราชธานี ที่บุ่งหวาย บ้านโพธิ์มูลที่เราลงไปดูกัน แม้กระทั่งที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ 5,083 ไร่ ทั้งหมด วันนี้ยังคงเป็นที่บุกรุกของกลุ่มทุนทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่เชียงใหม่ ที่พิษณุโลก ที่หาดใหญ่ แล้วก็อีกหลายพื้นที่ซึ่งยังสามารถที่จะหาประโยชน์หารายได้จากมูลค่าของที่ดินเหล่านั้น เพื่อที่จะมาดำเนินการเพื่อที่จะแบ่งเบาภาระหนี้สินที่รถไฟต้องแบกรับจากการบริการในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนก็จำเป็นต้องต้องหาแนวทางในการแก้ไข"

"ซึ่งสหภาพก็พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ในการที่จะช่วยเหลือผู้บริหารนะครับมีความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะสนับสนุนการพัฒนากิจการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะว่าเราไม่ได้ไปขัดขวางการพัฒนาอะไร ผมว่าการพัฒนานั้นต้อง ต้องดูจากความเป็นจริงนะครับ เอาความจริงมาคุยกันแล้วมาแก้กันว่าจะเป็นแบบไหน ท้ายที่สุดมันยอมรับกันได้แค่ไหน ในแง่ของนโยบายของรัฐบาลมันยอมรับกันได้แค่ไหน ในเรื่องของภาวะหนี้สิน แต่ท้ายที่สุดเนี่ย ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่หลายคนบอกว่าเป็นพื้นที่ทำเลทองจะมีการบริหารจัดการยังไง โดยเฉพาะที่แห่งนี้นะครับ ก็ขอย้ำว่ามันได้ผ่านการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาก็เอามาสะสางทำมาสเตอร์แพลนทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างในหลายครั้งที่ผ่านมา หลายสถาบัน หลายสำนัก ท้ายที่สุด มันก็จบลงเพียงแค่กองขยะอย่างที่เราเห็น แล้วที่สุดแล้วเนี่ยมันจะแก้ไขปัญหากันยังไงอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมจะฝากพี่น้องคนรถไฟฝากพี่น้องสื่อมวลชนและประชาชน ให้ทุกคนได้เข้าใจนะครับ"นายสาวิทย์ ระบุ

อนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. 2560 คณะกรรมการบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ตีกลับผลการศึกษาโครงการพัฒนาพื้นที่ย่านสถานีแม่นํ้า ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อให้ รฟท.ไปประเมินราคาที่ดินใหม่ และผลตอบแทนที่เป็นราคาปัจจุบันมากที่สุด เนื่องจากราคาประเมินที่ดินแปลงดังกล่าวได้มีการศึกษามานานแล้วนั่นเอง โดยย่านสถานีแม่นํ้ามีพื้นที่ทั้งหมด 277 ไร่ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 9.6 หมื่นล้านบาท เป็นพื้นที่ติดแม่นํ้าเจ้าพระยา หน้ายาวประมาณ 2 กิโลเมตร นับเป็นทำเลใจกลางเมืองใกล้กับศูนย์กลางเศรษฐกิจและแหล่งงานสำคัญอย่างสาทร สีลม แม้จะมีแผนพัฒนาแต่ปัจจุบันกลับพบว่าทำเลดังกล่าวได้รับการบุกรุกทำแคมป์ที่พักคนงานรูปแบบก่อสร้างอาคารถาวรเต็มพื้นที่ อีกทั้งยังใช้เป็นพื้นที่จอดรถคอนเทนเนอร์กันอย่างโจ๋งครึ่ม ทั้งๆ ที่ รฟท. ยังไม่ได้ทำสัญญาเช่าแก่รายใดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (อ่านเพิ่มเติม: โครงการพัฒนาพื้นที่สถานีแม่น้ำ ทำเลทองริมเจ้าพระยา, ฐานเศรษฐกิจ, 23/9/2560)

ต่อมาในเดือน ต.ค. 2560 ได้มีการเปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เห็นชอบให้ รฟท. จัดตั้งบริษัทลูก คือ บริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด บริหารที่ดินไม่ได้ใช้ในการเดินรถ จำนวน 38,469 ไร่ มูลค่า 300,000 ล้านบาท ให้เอกชนเข้าร่วม PPP จัดหาประโยชน์ระยะยาว 30 ปี รูปแบบเชิงพาณิชย์ เช่น ย่านมักกะสัน 497 ไร่ สถานีแม่น้ำ 277 ไร่ สถานีบางซื่อ 218 ไร่ ย่าน กม.11 พื้นที่ 359 ไร่ สถานีเชียงใหม่ สถานีสงขลา หาดใหญ่ และหัวหิน 30 ปีได้ผลตอบแทน 6 แสนล้านเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว โดย รฟท.จ้างที่ปรึกษาจัดทำแผนธุรกิจ จะมีผลตอบแทนจากการพัฒนาที่ดินในระยะเวลา 10 ปี (2561-2570) อยู่ที่กว่า 120,000 ล้านบาท และระยะเวลา 30 ปี (2561-2590) จะอยู่ที่ 630,000 ล้านบาท (คิดเป็นปัจจุบันอยู่ที่ 300,000 ล้านบาท) เป็นรายได้จากค่าเช่าสัญญาเดิม ผลตอบแทนรายได้จากที่ดินแปลงใหญ่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด (อ่านเพิ่มเติม: ลุยประมูลที่ดินรถไฟ-ขสมก. ขุดกรุทำเลทองล้างหนี้ 2 แสนล้าน, ประชาชาติธุรกิจ, 5/10/2560)

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live