จากกรณีที่ชาวเน็ตและผู้ให้บริการข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตอย่างวิกิพีเดียประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายลิขสิทธิ์ออนไลน์ฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางสภายุโรปลงมติคัดค้านมาตรา 13 ของกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว โดยผู้วิพากษ์วิจารณ์บอกว่ามันเป็นมาตราที่เป็นอันตรายต่ออินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้างและเสรี
อียูลงมติคัดค้าน มาตรา 13 กม. ลิขสิทธิ์ออนไลน์ใหม่ หลังถูกประท้วงจากหลายฝ่าย
โพลระบุประทับใจคนไทยสามัคคีกันมากที่สุดจากปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 ชีวิตในถ้ำหลวง
กสม. ประณามการวางกับระเบิดในพื้นที่สวนยางพารายะลา
เปิด ‘ข้อเสนอบริการสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับคนไร้บ้าน’ แนะปรับสิทธิบัตรทองครอบคลุม ลดภาระ รพ.
ส่งฟ้อง 38 ผู้ชุมนุมอยากเลือกตั้งชุด UN 62
'ชินวัฒน์'ปราม ส.ส.เพื่อไทยย้ายพรรค หากไปอยู่กับซีกเผด็จการอาจเป็น 'แกะดำ'
เผยยอดเสียชีวิตเหตุเรือล่มภูเก็ตล่าสุดรวม 41 คน
สรุปปฏิบัติการกู้ภัยถ้ำหลวงวันที่ 14 เร่งหาโพรงส่งอากาศ-ระบายน้ำ
คกก.ชาวบ้านเพื่อฟื้นฟูฯ ชุมชนลุ่มน้ำมูล ระบุเรื่องพรรคการเมืองเป็นสิทธิของชาวบ้าน
กระทรวงการต่างประเทศตอบโต้ TIME ชี้คนไทยไม่เรียก 'สฤษดิ์น้อย'ต้องเรียก 'ลุงตู่'
อธิบดีกรมสารนิเทศชี้แจงนิตยสารไทม์ฉบับ 'พล.อ.ประยุทธ์'ว่าไทยไม่ได้ถอยหลังไปสู่ 'เผด็จการถาวร'แต่เรียกว่า 'ประชาธิปไตยยั่งยืน'บวกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมปฏิเสธสัมพันธ์แนบแน่นไทย-จีน เพราะไทยคบทุกชาติรวมทั้งสหรัฐ ที่สำคัญห้ามเรียก 'สฤษดิ์น้อย'ต้องเรียก 'ลุงตู่'สะท้อนบุคลิกภาพเปิดเผย-เข้าถึงได้
กรณีนิตยสารไทม์ ฉบับ Jul 2, 2018 Vol 192 ที่ตีพิมพ์บทความ "Thailand’s Leader Promised to Restore Democracy. Instead He’s Tightening His Grip"ของ Charlie Campbell โดยมีภาพปกเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี และต่อมาเอกชนในประเทศไทยที่เป็นผู้นำเข้านิตยสารไทม์ระบุว่าจะไม่นำเข้านิตยสารฉบับดังกล่าวมาวางจำหน่ายเพราะ "มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม"ตามรายงานของวอยซ์ออนไลน์นั้น
แฟ้มภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะออกเดินทางโดยรถไฟขบวนพิเศษ เพื่อตรวจโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ระหว่างสถานีชุมแสง และสถานีนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เมื่อ 11 มิถุนายน 2561 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)
ปกนิตยสารไทม์ฉบับ Jul 2, 2018 Vol 192
ต่อมากระทรวงการต่างประเทศโดย น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือเปิดผนึกลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ชี้แจงนิตยสารไทม์ เกี่ยวกับบทความที่ไทม์ตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 2 กรกฎาคม เรื่องผู้นำไทยสัญญาที่จะคืนประชาธิปไตยแต่กลับกระชับอำนาจ (Thailand's Leader Promised to Restore Democracy. Instead He's Tightening His Grip) ว่า "เป็นบทความที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง"
หนังสือเปิดผนึกดังกล่าวระบุต่อไปว่า "บทความดังกล่าวมีความไม่สมดุลและมีการบิดเบือนข้อมูล ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดไปกับบทสรุปที่เป็นเท็จต่อเนื้อหาและวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บทความดังกล่าวเขียนขึ้นจากความคิดที่มีอคติเพื่อจะทำให้เป็นไปตามวาระที่สรุปไว้ก่อนแล้ว ผู้เขียนได้เลือกที่จะหยิบข้อมูลเพียงบางส่วนจากการสัมภาษณ์ เพื่อสนับสนุนความเห็นที่ต่อต้านนายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงให้เห็นผ่านการโควตคำพูดที่เป็นลบจากองค์กรพัฒนาเอกชนและกลุ่มการเมือง ซึ่งไม่สะท้อนความเห็นส่วนใหญ่ของคนในประเทศไทย"
ในขณะที่ผู้เขียนพยายามที่จะทำให้รัฐบาลไทยมีความด่างพร้อย ด้วยการระบุถึงจุดอ่อนมากมาย ข้าพเจ้าขอชี้ว่ารัฐบาลไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่และเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย บทวิเคราะห์ของผู้เขียนบทความระบุว่าประเทศไทยกำลัง 'ถอยหลังไปสู่การเป็นเผด็จการอย่างถาวร'เป็นการกล่าวหาที่เกินจริงอย่างเลวร้าย มองข้ามการดำเนินการของไทยเพื่อไปสู่การเป็นประเทศประชาธิปไตยยั่งยืนตามโรดแมปที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
ในข้อเท็จจริง นับตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศ ตัวเลขสถิติต่างๆ แสดงให้เห็นว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมทำให้เกิดผลขึ้นได้จริง และยังมีการแก้ไขปัญหาที่ฝังรากลึกและมีความยากลำบาก อาทิ การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม(ไอยูยู) มากไปกว่านั้นรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ
รัฐบาลมีเป้าหมายส่งเสริมการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นอย่างที่บทความนำเสนอว่าจะเป็นเครื่องมือเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่จะเป็นการช่วยรัฐบาลให้มีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการวางแผนระยะยาวและเป็นมาตรการเพื่อให้การปฏิรูปบังเกิดผล
หนังสือชี้แจงนิตยสารไทม์ของอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
ในจดหมายของอธิบดีกรมสารนิเทศ ยังระบุว่า ด้วยพื้นฐานที่เข้มแข็งของประเทศและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต รัฐบาลได้ประกาศนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยคุณค่าและนวัตกรรม และอ้างว่าความพยายามเหล่านี้ได้รับการตอบรับจากคู่ค้าจากสหภาพยุโรป จะเห็นได้จากการเยือนที่ประสบความสำเร็จครั้งล่าสุดของนายกรัฐมนตรีที่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส
อธิบดีกรมสารนิเทศกล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่ 12 กันยายน ค.ศ. 2016 รัฐบาลได้เลิกใช้ศาลทหารไต่สวนคดีของพลเรือน ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลทหาร ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวที่บทความในนิตยสารไทมส์ระบุไว้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว
ในแง่ของความสัมพันธ์กับมิตรประเทศที่สำคัญ เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ เลยที่ไปอ้างถึงกรณีโรงงานผลิตอาวุธร่วมทุนที่ จ.ขอนแก่น ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างจีนและประเทศไทย ที่เป็นการสูญเสียของสหรัฐอเมริกา ในข้อเท็จจริง ประเทศไทยไม่ได้ติดต่อกับจีนฝ่ายเดียว แต่มาตรการดูแลรักษานี้เป็นหนึ่งในโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศไทยได้เชิญจีน ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ มาเข้าร่วม นอกจากนี้ในปีนี้ประเทศไทยกำลังฉลองครบรอบ 200 ปีแห่งความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุด แต่ไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์อย่างสมดุลกับทุกประเทศ
"ข้อสุดท้ายแต่สำคัญไม่น้อย คำเรียก "สฤษดิ์น้อย" (Little Sarit) ที่อ้างถึงโดยผู้เขียนบทความ ไม่เป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลายในสาธารณชนชาวไทย และเป็นเรื่องผิดประเด็น ทั้งบุคลิกภาพและบริบททางประวัติศาสตร์ของผู้นำทั้ง 2 คนนั้นต่างกัน ในข้อเท็จจริงคนไทยมักจะเรียกชื่อเล่นยอดนิยมของนายกรัฐมนตรีว่า "ลุงตู่" (Uncle Tu) ซึ่งสะท้อนถึงบุคลิกภาพที่เข้าถึงได้และมีความเปิดเผย เพราะคำว่า "ลุง"เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกขานผู้ที่เป็นสมาชิกในครอบครัว"
"ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะตีพิมพ์จดหมายฉบับนี้ เพื่อชี้แจงผู้อ่านของท่านด้วยมุมมองต่อประเทศไทยที่ยุติธรรมและสมดุล และนอกจากนี้เพื่อรักษามาตรฐานความเป็นมืออาชีพด้านวารสารศาสตร์ที่นิตยสารไทม์พยายามรักษาเอาไว้"อธิบดีกรมสารนิเทศระบุ
หนังสือชี้แจงนิตยสารไทม์ของอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
Toma Feminista การเคลื่อนไหวสตรีนิยมในหมู่นักศึกษาชิลี การสร้างพื้นที่ใหม่ท้าทายการครอบงำแบบเดิม
3 เดือนที่แล้วจนถึงตอนนี้กลุ่มนักเรียนนักศึกษาในหลายสถานศึกษาทั่วชิลีร่วมกันปฏิบัติการต่อต้านชั้นเรียนที่ถูกครอบงำทางความคิดจากระบอบปิตาธิปไตย ทั้งการยึดพื้นที่ การจัดหารืออภิปราย และการสร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงได้พูดประเด็นความอยุติธรรมของตัวเอง เรื่องนี้อาจจะมาจากความไม่พอใจจากคำตัดสินกรณีอาจารย์ล่วงละเมิดทางเพศ แต่ก็มีผู้คนเห็นว่าน่าจะขยายผลไปสู่ประเด็นอื่นๆ ที่กระทบจากเรื่องเพศสภาพด้วย
10 ปี ทันตกรรมสิทธิบัตรทอง เสริมสุขภาพ ปชช.เพิ่มความสุข มีฟันบดเคี้ยว
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 2-8 ก.ค. 2561
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดผิดกฎหมาย โทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 แสนบาท
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดห้ามไม่ให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด เพื่อให้ลูกจ้างได้มีโอกาสพักผ่อนหรือทำกิจธุระ หากนายจ้างมีความจำเป็นต้องให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดเพื่อประโยชน์แก่การผลิต จำหน่าย และบริการอาจให้ลูกจ้างทำงานได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป
ทั้งนี้เมื่อให้ลูกจ้างทำงานแล้วนายจ้างจะต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้กับลูกจ้าง โดยจ่ายไม่น้อยกว่า 1 เท่า ของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนที่ทำ ส่วนกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีโทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้อง
ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 7/7/2561
กสร.เผยข่าวดีเตรียมให้สัตยาบัน ILO 98 ภายในปี 2562
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ว่า ขณะนี้คืบหน้าไปมาก โดยได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. …. เพื่อปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ซึ่งอาจมีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมและให้สิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองแก่ลูกจ้างเพิ่มขึ้นและสอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ 98 ด้วย
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายกระทรวงแรงงาน และคาดว่าจะเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ในเดือนตุลาคม 2561 ในส่วนของการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 98 คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปี 2562 ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาอีกหนึ่งก้าว ในการยกระดับการดูแลแรงงานที่ทำงานในประเทศไทยให้สามารถเข้าถึงสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วม อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะทำให้คนทำงานทุกภาคส่วนสามารถรักษาสิทธิและผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ และเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคมและการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
หวั่น 8 แมตช์สุดท้ายฟุตบอลโลก เล่นพนันสูงขึ้น ห่วง "แรงงาน"กลุ่มเสี่ยงเกิดหนี้สิน
ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีเสวนา“นับถอยหลัง 8 แมตช์อันตราย เหยื่อพนันจะเลี่ยงหรือจะเสี่ยง?” โดยนายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ฟุตบอลโลก 2018 เหลือ 8 แมตช์สุดท้ายชี้ชะตา ซึ่งน่าห่วงว่ากระแสชวนพนันอาจขึ้นสูง ไม่เฉพาะเด็กเยาวชน แต่กลุ่มคนวัยทำงานยิ่งมีเงินยิ่งมือเติบ และเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เล่นพนันบอลมากกว่ากลุ่มเด็กเยาวชน ทั้งจำนวนคนเล่นและจำนวนเงินที่ใช้เล่น ทั้งนี้ คนเล่นพนันบอลที่เสียตั้งแต่เริ่มเล่น มักจะเล่นไม่นานก็เลิก แต่คนที่เล่นแล้วได้ในตอนแรก มักจะได้ใจและเล่นต่อจนถลำลึก เข้าทำนองไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ซึ่งมีประมาณ 6 โลง คือ 1.การงานย่ำแย่ เพราะเอาสมาธิและเวลางาน เวลาเรียนไปหมกมุ่นกับการคิดและหาข้อมูลเล่นพนันบอล
2.แพ้พนันจนเพลีย เพราะที่ผ่านมาเชื่อว่าโชคต้องเข้าข้าง แต่วันนั้นก็ไม่มาถึงเสียที 3.เสียจนหมดตัว เพราะพนันบอลมักจะเดิมพันสูง บางคนเล่นคู่ละหลักหมื่นขึ้นไป ยิ่งเสียมากในคู่ก่อนๆ ยิ่งทำให้ทุ่มหมดหน้าตักในคู่ต่อไป จนเสียหายหนัก 4.กลัวเขามาอุ้ม เป็นอาการของนักพนันที่ไปกู้หนี้นอกระบบมา และยังเคลียร์ไม่ได้ ก็กังวลว่าจะโดนอุ้มไปทำร้าย 5.กลุ้มคุกทุกข์เข็ญ คือ กลุ่มที่กังวลว่าจะถูกเจ้าหน้าที่สืบสาวมาจนถึงตนเองว่าเป็นผู้เล่นพนัน และมีโทษตามกฎหมายถูกจำคุก และ 6.เห็นหายนะเพื่อน คือ เริ่มเห็นเพื่อนที่เล่นพนันมาด้วยกันประสบผลเสียหาย เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกออกจากงาน หรือประสบปัญหาครอบครัว
นายภาคภูมิ สุกใส ประธานสหภาพแรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ กล่าวว่า ปัญหาการพนันในกลุ่มผู้ใช้แรงงานยังคงน่าห่วง ไม่เฉพาะบอลโลก แต่บอลทุกฤดูเอื้อต่อการเล่นพนันได้ ปัญหาใหญ่ คือ การจัดการเรื่องเงินของผู้ใช้แรงงานมักไม่เป็นระบบ สิ้นเดือน กลางเดือน ต้องมาใช้หนี้บัตรเครดิต เพราะกดไปเล่นพนันบอล ส่งผลให้ไม่มีเงินเก็บ คุณภาพชีวิตก็ย่ำแย่ สุดท้ายกลายเป็นภาระของลูกหลาน หลังจากบอลโลกจบต้องจับตาดูว่าจะมีคนอีกจำนวนมากที่ถูกตามเช็กบิลตามทวงหนี้พนันบอล ฝากรัฐบาลทำการบ้านเร่งหาแนวทางป้องกันและหยุดปัญหาการพนันให้ได้
“ต้องยับยั้งสื่อโฆษณาที่โหมกระตุ้นให้เกิดการเล่นพนัน โดยเฉพาะที่มากับสื่อออนไลน์ มือถือ ตอนนี้เว็บไซต์หรือหน้าเพจที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก มักพบว่ามีป็อบอัปของเว็บพนันโผล่ขึ้นมาชักจูงใจให้เล่น ซึ่งตรงนี้ต้องเร่งจัดการ ไม่ใช่แค่ลุยกันเฉพาะช่วงบอลโลกเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง ในส่วนขององค์กรแรงงานเราอยากเห็นรัฐบาลนี้กล้าหาญ ตั้งคณะกรรมการควบคุมการพนันแห่งชาติขึ้นมา เพราะไม่ว่าจะเป็นการพนันรูปแบบไหนก็ต้องถูกจัดการและควบคุมด้วยคณะกรรมการชุดนี้ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะมีเจ้าภาพในการจัดการปัญหาการพนัน” นายภาคภูมิ กล่าว
นายเอกซ์ (นามสมมติ) หนุ่มโรงงานแห่งหนึ่ง เล่าถึงประสบการณ์ที่เสียหายกับการพนันฟุตบอล ว่า เริ่มจากเล่นตามเพื่อนๆ ในโรงงาน ค่อยๆ ขยับจากแทงบอลชุด50 บาท ยามใจมาแทงบอลเดี่ยวคู่ละหลักร้อย แทงปากเปล่าสองอาทิตย์เคลียร์กันที จนมาเสียหนักในคืนเดียวราวห้าหมื่นบาท พยายามเล่นหวังจะเอาเงินคืน ช่วงนั้นเสียไปมากกว่าห้าแสน ต้องกู้เงินทุกวิถีทาง ทั้งบัตรเครดิตต่างๆ ทั้งเงินกู้นอกระบบ จนมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ ย่าผู้ที่เลี้ยงผมมา ท่านป่วยแต่มีเงินไม่พอรักษา เพราะเงินที่ย่ามี ก็เอามาช่วยใช้หนี้พนัน ย่าเสียชีวิตโดยที่ตนช่วยอะไรได้ บ้านและที่ดินต้องขายเอาเงินมาใช้หนี้พนัน จึงก้มกราบเท้าย่าและตั้งใจเลิกเล่นพนันตั้งแต่นั้นมา
“กว่าจะใช้หนี้พนันหมดก็หลายปี ส่วนที่เป็นหนี้นอกระบบผมก็ต้องหนี เพราะถูกขู่จะทำร้าย ผมไม่กล้ากลับบ้าน เก็บตัวอยู่ในหอพัก ไม่มีแม้เงินจะซื้อข้าวกิน การเลิกพนันอยู่ที่ใจล้วนๆ ถ้าตั้งใจจริงเราเลิกได้ เพื่อนไม่โกรธ ไม่เลิกคบ คนใกล้ชิดมีอิทธิพลมาก ถ้าอยู่ในสังคมที่เพื่อนร่วมงานเล่นพนัน เราต้องเข้มแข็ง กล้าปฏิเสธ สถานที่ทำงานต้องหาทางตัดตอนไม่ให้มีคนกลางมาชวนเล่นพนัน และควรส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต และสนับสนุนให้มีระบบการดูแลกันและกัน ทุกวันนี้มีโอกาสผมจะพยายามแนะนำน้องๆ ที่ทำงานเสมอ ดูบอลเป็นกีฬา คุยกันวิเคราะห์ผลกันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นพนัน” นายเอกซ์ กล่าว
ด้าน นางสาวหนึ่ง (นามสมมติ) อายุ 32ปี กล่าวถึงกรณีที่คนในครอบครัวเล่นพนันบอลจนเกิดผลกระทบว่า พ่อมีอาชีพเปิดร้านขายของเล็ก ๆในชุมชน กิจการพออยู่ได้มาตลอด สักพักเริ่มมาเอ่ยปากยืมเงินจากแม่ จนสุดท้ายขอยืมจากตน เมื่อผิดสังเกตจับได้ว่าพ่อเอาเงินไปเล่นพนันบอล ทั้งรับแทงพนันจากพนักงานบริษัทแถวนั้นแล้วส่งต่อโต๊ะใหญ่ และเล่นพนันเองด้วยจากแทงบอลชุดขยับมาแทงบอลเดี่ยวพอไม่พอใช้ก็มาขอยืมเงินจากตน รวมทั้งให้ไปช่วยค้ำประกันเงินกู้จากคนรู้จักแถวบ้าน ทำให้ตนกับสามีทะเลาะกัน เมื่อไม่พอใช้หนีพนันห้าแสน ก็ต้องขายทุกอย่างในบ้าน สุดท้ายพ่อเลิกเล่นพนันบอลและทำงานหนักทั้งที่อายุ54แล้ว เงินเดือนที่ได้นำมาใช้หนี้ทั้งหมด
“ด้วยความที่เป็นพ่อ ทำให้ลูกไม่อยากเข้าไปยุ่งในตอนแรกที่รู้ว่าเริ่มเล่นพนันบอล แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ลูกๆ เข้าไปดูแลจัดการเรื่องเงินแทนทั้งหมด พ่อเป็นคนขี้เหนียว ไม่คิดว่าเขาจะพลาดขนาดนี้ ทุกวันนี้มาทำงานที่เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน ทำให้พ่อหยุดยั้งตัวเองได้ คนแถวนั้นที่เคยเป็นลูกค้าแทงบอลกับพ่อ ได้เห็นป้าย เห็นสื่อรณรงค์หยุดพนันก็หยุดยั้งมีสติกันมากขึ้น แม้ยังมีเล่นพนันกันอยู่บ้างแต่ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น” น.ส.หนึ่ง กล่าว
บังคับใช้ พ.ร.ก.ต่างด้าว 3 วันแรก จับต่างด้าวได้กว่า 100 ราย
วันที่ 4 ก.ค. 2561 นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยผลการบูรณาการปราบปรามแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายของชุดปฏิบัติการ 113 ทีม ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ที่ร่วมกันออกตรวจตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมและดำเนินคดีนายจ้าง สถานประกอบการและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย หลังปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) พบว่า ล่าสุด ตั้งแต่ 1-3 ก.ค. 2561 เพียง 3 วัน สามารถตรวจสอบนายจ้าง สถานประกอบการได้ 298 ราย พบกระทำความผิด 26 ราย แบ่งเป็น ดำเนินคดีในข้อหารับคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 22 ราย และดำเนินคดีในความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จำนวน 4 ราย
ขณะเดียวกัน ได้ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว จำนวน 2,879 คน พบกระทำความผิด จำนวน 118 คน เป็นเมียนมา 94 คน ลาว 7 คน กัมพูชา 8 คน เวียดนาม 7 คน และอื่นๆ อีก 2 คน แบ่งเป็นดำเนินคดีในข้อหาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จำนวน 58 คน แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และดำเนินคดีในความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จำนวน 60 คน โดยคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับ 5,000-50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี
"หากผู้ใดพบคนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมาย หรือพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือโทร. 0-2354-1729 หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบต่อไป"นายอนุรักษ์ กล่าว
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 4/7/2561
กสร. จับมือประธาน JCC หารือกฎหมายแรงงาน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2561 ได้ให้การต้อนรับ Mr. Yosuhiro Morita ประธานคณะกรรมการด้านแรงงานหอการค้าญี่ปุ่น (JCC) พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะประเด็น การจ่ายค่าชดเชยในอัตรา 400 วัน ให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งทาง JCC มีความห่วงใยว่าสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างจำนวนมากอาจเตรียมตัวเรื่องงบประมาณไม่ทัน ทั้งนี้ ได้ชี้แจงว่าการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวมุ่งยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองแรงงานให้ลูกจ้างได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้นและเป็นธรรมต่อลูกจ้างที่ทำงานกับนายจ้างมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งก่อนจะเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว กสร. ได้จัดสัมมนาไตรภาคีเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรม ผลจากการรับฟังนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้เกี่ยวข้องเห็นด้วยในประเด็นการเพิ่มอัตราค่าชดเชย ขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ผ่านการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วและกสร. ได้ยืนยันร่างกฎหมายเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังได้ร่วมหารือเกี่ยวกับประเด็นความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมที่จะต้องมีการพัฒนาในการให้สัตยาบันดังกล่าว โดยจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดรับโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์กร สหภาพแรงงาน และสมาคมนายจ้างเป็นส่วนใหญ่ สำหรับกระบวนการในการเจรจาต่อรองเรื่องที่ต้องปรับปรุงกฎหมาย เช่น การขยายเวลาในการเจรจา เป็นต้น รวมไปถึงการลดอำนาจของภาครัฐในการแทรกแซงด้วย ซึ่งคาดว่าจะให้สัตยาบันได้ภายในปี 2562
“ผู้ประกอบการถือเป็นส่วนสำคัญในการให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่จะต้องรับไปปฏิบัติ กสร.มีความยินดีที่จะชี้แจงรายละเอียดของกฎหมายและหารือร่วมกันถึงแนวทางในการดำเนินงานต่อไปเพื่อให้สถานประกอบกิจการเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว” อธิบดีกสร.กล่าว
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 4/7/2561
ตม.แม่สอดจี้ผู้ประกอบการใช้แรงงานต่างด้าวผิด กม.เจอโทษปรับหนัก
พ.ต.อ.แมน รัตนประทีป ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก (ด่านแม่สอด) นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจด่าน ตม.ตาก (แม่สอด) บูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 แม่สอด กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 แม่สอด สำนักงานจัดหางานจังหวัดตาก และอาสาสมัคร( อส.) อ.แม่สอด ออกตรวจกวดขันจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในลักษณะผิดกฎหมายอย่างจริงจัง หลังหมดช่วงเวลาการผ่อนผันการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว
พ.ต.อ.แมน รัตนประทีป ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก (ด่านแม่สอด) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี ผู้บังคับการกองบังคับการด่าน ตม.5 และ พ.ต.อ.ชูศักดิ์ พนัสอัมพร รองผู้บังคับการ ตม.5 ที่ได้มีคำสั่งให้ ตำรวจด่าน ตม.ตาก (แม่สอด) ได้เพิ่มความเข้มข้นในการกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าวที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย หลังจากที่หมดระยะเวลาการผ่อนผัน
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 การกวาดล้างจับกุมแรงงานที่ผิดกฎหมายบริเวณตลาดสดพาเจริญ เขตเทศบาลนครแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนางโมโมอ่อง(Mr. Moe Moe Aung) อายุ 32 ปี สัญชาติพม่า พร้อมพวกรวม 6 คน ในข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ โดยแรงงานต่างด้าวที่ถูกจับกุมนั้นถูกจับกุมระหว่างขายของอยู่ในตลาดพาเจริญ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและผลักดันออกนอกราชอาณาจักรต่อไป
พ.ต.อ.แมน รัตนประทีป ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก (ด่านแม่สอด) กล่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจับกุมแรงงานต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิที่จะทำได้ ซึ่งมีโทษปรับ 5,000-50,000 บาท พร้อมส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ
สำหรับนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาท ต่อแรงงานต่างด้าว 1 คน และหากพบมีการกระทำผิดซ้ำก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งต่อไปนี้หากแรงงานต่างด้าวที่ประสงค์จะทำงานในประเทศไทยจะต้องเข้ามาในรูปแบบการนำเข้าตามระบบ MOU เท่านั้น
ปลัดแรงงานชี้ยังไม่ถึงเวลาปรับโครงสร้าง ‘ประกันสังคม’
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2561 นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) และภาคีเรียกร้องให้มีการปฎิรูประบบประกันสังคม โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นอิสระ ไม่ยึดโยงกับระบบราชการ และบริหารงานอย่างมืออาชีพ ว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และมีการเรียกร้องกันมาระยะหนึ่ง
"เรารับรู้ และรับฟังเรื่องนี้มาพอสมควร แต่การจะทำหรือไม่ทำเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากทำจะต้องมีการศึกษาข้อมูลรายละเอียด หาข้อดีข้อเสียระหว่างการคงสภาพเดิม หรือปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องใช้เวลา ไม่ใช้เรียกร้องแล้วสามารถทำได้ทันที เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำในระดับนโยบาย"นายจรินทร์ กล่าวและว่า นับตั้งแต่มีระบบประกันสังคมในประเทศไทย แม้จะมีปัญหาบ้างในบางเรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะได้รีบการแก้ไขจนระบบสามารถเดินไปได้อย่างไม่ติดขัด จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นมีเรื่องใดที่วิกฤตจนถึงขั้นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร
อย่างไรก็ตาม นายจรินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ แม้จะทำในระดับโครงสร้างไม่ได้ แต่ก็ได้มีการพัฒนาการให้บริการผู้ประกันตนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และสามารถดูแลผู้ประกันตนได้เป็นที่น่าพอใจดีขึ้นตามลำดับจนได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติเรื่อยมา และยังไม่เคยเห็นนานาประเทศมองว่าประกันสังคมของไทยบกพร่องแต่อย่างใด
ทางด้าน นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอฟังระดับนโยบายสั่งการลงมา หากมีแนวโน้มจะปรับโครงสร้างองค์กร ก็ต้องศึกษาในรายละเอียดทั้งหมด ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เคยศึกษาหรือไม่ว่าองค์กรในลักษณะเดียวกับ สปส.ในต่างประเทศมีโครงสร้างการบริหารอย่างไร นพ.สุรเดช กล่าวว่า แต่ละประเทศมีโครงสร้างและการบริหารจัดการขึ้นอยู่กับบริบทและสภาพแวดล้อมของประเทศนั้นๆ เอง
ปิดศูนย์ทะเบียนแรงงานต่างด้าว ป้อนเข้าระบบกว่า 1.2 ล้านคน
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ทำทะเบียนประวัติแรงงานต่างด้าว ว่า มีแรงงานต้องเข้าศูนย์ OSS ตามมติ ครม. 16 ม.ค.61 จำนวน 1,320,035 คน ดำเนินการภายใน 31 มี.ค. จำนวน 840,736 คน และต่อมามติ ครม. ได้มีการขยายเวลาให้เจ้าหน้าที่ในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิ.ย. ซึ่งในระยะที่ 2 มี 348,022 คน ผลการดำเนินงานจนถึงวันสุดท้ายในวันที่ 30 มิ.ย. เป็นที่น่าพอใจ มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา มาจัดทำทะเบียนประวัติและขออนุญาตทำงานทั้งสิ้น 347,067 คน คิดเป็น 99.73% เป็นกัมพูชา 156,569 คน ลาว 18,210 คน เมียนมา 172,288 คน โดยสรุปมียอดแรงงานต่างด้าวที่เดิมทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้รับการผ่อนผันมาตั้งแต่ปี 2558 เข้าสู่ระบบถูกต้องตามกฎหมาย 1,187,803 คน เป็นกัมพูชา 350,840 คน ลาว 59,746 คน เมียนมา 777,217 คน ส่วนยอดที่หายไปกว่า 1 แสนคน ส่วนใหญ่ออกนอกประเทศไปแล้ว และกลับเข้ามาใหม่ตามเอ็มโอยู บางส่วนอาจยังเป็นแรงงานผิดกฎหมาย แต่มีจำนวนน้อยลงมาก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ได้บูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดแผนการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมและดำเนินคดีแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง หากพบกระทำผิด ทั้งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวจะต้องถูกดำเนินคดี คนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 5,000 - 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับ จะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามเข้ามาทำงานภายใน 2 ปี นับส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี
ส่วนแผนการตรวจสอบปราบปรามแรงงานผิดกฎหมาย จะเริ่มช่วงแรกตั้งแต่วันที่ 1-15 ก.ค. จะบูรณาการการร่วมกับตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ออกตรวจจับอย่างต่อเนื่อง ทั่วประเทศจะมีชุดปฏิบัติการ 113 ชุด เน้นจับในกลุ่มคนผิดกฎหมายก่อน และจะตรวจเข้มใน 3 เดือนแรก ได้มีการประสานทูตทั้ง 3 ชาติ เปิดศูนย์รับส่งคนผิดกลับประเทศ ตามแนวชายแดนจังหวัด ระนอง ตาก เชียงราย ซึ่งการจัดระบบจะทำให้มีฐานข้อมูลต่างด้าวที่ชัดเจน โดยในประเทศมีแรงงานต่างชาติทุกกลุ่ม ทำงานตามกฎหมาย 3.2 ล้านคน ถือว่ามีจำนวนมาก ซึ่งต่อไปการใช้แรงงานต่างชาติจะต้องตามความจำเท่านั้น
สศอ.แนะเอกชนปรับการผลิต ใช้หุ่นยนต์มากขึ้น รับแรงงานนอกตีตั๋วกลับบ้าน
นายณัฐพล รังสิตพล รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่าผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัว โดยการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ เข้ามาช่วยในการผลิต โดยจะต้องเริ่มวิเคราะห์กระบวนการผลิตว่าควรจะเริ่มในจุดใดก่อน จากนั้นก็ค่อยๆขยายไปสู่ระบบการผลิตอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทำให้ในแต่ละขั้นตอนการปรับปรุงใช้เม็ดเงินไม่มาก และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่คุ้มในการนำหุ่นยนต์มาใช้ และต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ก็ควรจะย้ายไปตั้งฐานการผลิตในประเทศอื่นที่มีค่าแรงต่ำ
“แม้ว่าในขณะนี้ผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมาก เห็นได้จากในช่วงปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาลใช้มาตรการเข้มงวดตรวจจับแรงงานต่างด้าว และเร่งดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนให้ถูกกฎหมาย ทำให้มีแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมากรีบกลับประเทศ ทำให้หลายธุรกิจต้องหยุดดำเนินกิจการเกิดการช็อกทางธุรกิจ ซึ่งในอนาคตแรงงานต่างด้ายก็จะค่อยๆกลับไปทำงานของประเทศตัวเองมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัวรับมือกับปัญหาแรงงานที่จะเกิดขึ้น”นายณัฐพล กล่าว
ทั้งนี้ จากการศึกษาค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของประเทศเพื่อนบ้านเปรียบเทียบกับประเทศไทยพบว่าในปี 2561 ไทยมีค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำอยู่ที่ 6,314 – 8,195 บาทต่อเดือน เงินประกันสังคม 5% รวมค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 6,630 – 8,605 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับพื้นที่ รองลงมาประเทศเวียดนาม มีค่าจ้างขั้นต่ำ 3,850 – 5,552 บาทต่อเดือน แตกต่างกันตามพื้นที่ มีเงินประกันสังคม 17.5% เงินประกันสุขภาพ 3% เงินประกันการว่างงาน 1% รวมแล้วอยู่ที่ 4,679 – 6,747บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่ต่างจากไทยไม่มาก จึงคาดว่าแรงงานจากเวียดนาม จะเป็นกลุ่มแรกที่ย้ายกลับประเทศ
ส่วนประเทศรองลงมาเป็นประเทศกัมพูชา มีค่าจ้างขั้นต่ำ 5,421 บาทต่อเดือน มีเงินประกันสังคม 0.8% รวมแล้วอยู่ที่ 5,465 บาทต่อเดือน สปป.ลาว ค่าแรงขั้นต่ำ 4,168 บาทต่อเดือน เงินประกันสังคม 5% รวมแล้วอยู่ที่ 4,377 บาทต่อเดือน และประเทศเมียนมา มีค่าแรงขั้นต่ำ 2,910 บาทต่อเดือน เงินประกันสังคม 2.5% รวมแล้วอยู่ที่ 2,982 บาทต่อเดือน
นักเศรษฐศาสตร์เสนอปฏิรูประบบมาตรฐานความปลอดภัย-พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ทางการจีนจะส่งเจ้าหน้าที่ร่วมสอบสวนเหตุเรือล่ม จ.ภูเก็ต
เสวนาชี้การรับน้องคือการทำลายตัวตนด้วยอำนาจนิยม
เสวนา 'รับน้องต้องสมัครใจ ไม่ละเมิด เปิดเผย'ระบุการรับน้องคือการทำลายความเป็นตัวตนโดยใช้อำนาจนิยมที่ปลูกกันฝังมาในสังคมไทย แนะแก้ไขระบบโซตัสเบื้องต้นอาจให้คนหัวก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชน มาเป็นผู้มีอิทธิพลในกลุ่มรุ่นพี่
วันดีเดย์พาเยาวชนหมูป่าออกจากถ้ำหลวง ช่วยได้แล้ว 4 ราย (8 ก.ค. 19.47 น.)
ผลปฏิบัติการวันแรกช่วยเยาวชนหมูป่าอะคาเดมีได้แล้ว 4 ราย หลัง 'ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร'ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วมฯ ประกาศดีเดย์-ส่งผู้เชี่ยวชาญดำน้ำศักยภาพสูงไทยและเทศเข้าถ้ำ ใช้วิธีประกบเด็ก 1 ต่อผู้ดูแล 2 โดยต้องช่วยให้ได้วันนี้หลังประเมินความพร้อม 4 ด้าน 1. สภาพอากาศ 2. ระดับน้ำ 3. ผู้ปฏิบัติงาน และ 4. จิตใจน้องๆ ขณะที่ปฏิบัติการช่วยเหลือรอบ 2 จะเริ่มทันทีเมื่อพร้อมภายใน 10-20 ชม. ข้างหน้า
กรณีความคืบหน้าการช่วยเหลือทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่าอะคาเดมีแม่สายและโค้ช รวม 13 คน ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ก่อนที่ทีมกู้ภัยจะพบตัวเมื่อเวลา 21.38 น. คืนวันที่ 2 กรกฎาคม และมีการเตรียมแผนเคลื่อนย้าย 13 เยาวชนนั้น
ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วมฯ สรุปปฏิบัติการรอบแรกช่วยทีมหมูป่า 4 ราย
ล่าสุดวันนี้ (8 ก.ค.) เวลา 20.47 น. ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน แถลงข่าวที่ อบต.โป่งผา ซึ่งมีการไลฟ์ผ่านเฟสบุ๊คเพจ PR.Chiangrai ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย โดยณรงค์ศักดิ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "16 วันแห่งการรอคอย วันนี้เราเห็นหน้าหมูป่าแล้ว วันนี้เป็นวันที่สมบูรณ์ที่สุด สถานการณ์ดีที่สุด ทั้งสภาพอากาศ สภาพร่างกายเด็ก ระดับน้ำในถ้ำที่จัดการได้ดี 4-5 วันที่ผ่านมา และมีปฏิบัติการกู้ภัย"
โดยอย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าขั้นตอนช่วยเหลือประกอบด้วย 1. ค้นหา 2. กู้ภัย 3. ส่งกลับ โดยผ่านขั้นตอนค้นหาแล้ว และวันนี้เริ่มขั้นตอนกู้ภัยและส่งกลับ โดยยืนยันว่าส่งเยาวชน 4 คน ไปที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์แล้ว
ทีมกู้ภัยของปฏิบัติการวันนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่เป็นนักดำน้ำ 10 อีก 3 คนเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคคอยประสานงานและจัดระเบียบ และมีทีมซีลไทย 5 คนเข้าไปช่วย
ขณะที่ในการปฏิบัติการจริง มีเจ้าหน้าที่ดำน้ำทั้งหมด 90 นาย 50 กว่ารายเป็นนักดำน้ำต่างประเทศ ประมาณ 40 รายเป็นดำน้ำจากของไทย สำหรับรูปแบบการเคลื่อนย้ายเยาวชนสวมหน้ากากดำน้ำที่กันน้ำเข้า มีระบบเซฟตี้ น้องๆ สามารถหายใจแบบปกติได้
โดยทีมช่วยเหลือเข้าปากถ้ำไปตั้งแต่เวลา 10.00 น. เคยประเมินว่าเห็นคนแรกออกมา 21.00 น. แต่ปฏิบัติการสำเร็จมากกว่าที่คาด น้องคนแรกพ้นถ้ำเวลา 17.40 น. น้องคนที่ 2 ออกมาเวลา 17.50 น. หรือ 10 นาทีถัดมา หลังจากดูแลสุขภาพให้มั่นคงแล้วก็ไปส่ง รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์
เยาวชนลำดับที่ 3 กับ ลำดับที่ 4 ออกมาเวลา 19.40 น. และ 19.50 น. และส่งไป รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์แล้ว
ถือว่าวันนี้ได้กู้ภัยและส่งตัวที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ 4 คนแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
หลังจากนี้ทุกฝ่ายทุกด้านจะมีการประเมินว่าจะปฏิบัติการอย่างไรต่อ โดยต้องวางถังอ็อกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยเหลือใหม่ โดยทีมที่ทำหน้าที่วางถังอ็อกซิเจนเมื่อพร้อมก็จะวางทันที โดยปฏิบัติการถัดไปจะเริ่มเมื่อไหร่ยังบอกไม่ได้ แต่ประเมินว่าภายใน 10 กว่าชั่วโมง ไม่เกิน 20 ชั่วโมงข้างหน้า ถ้าสถานการณ์ Stable (นิ่ง) ก็จะเริ่มเลย
โดยในเวลา 21.00 น. คืนนี้ จะเรียกทุกทีมมาประเมินสถานการณ์ รวมทั้งปรับแก้ไขสำหรับภารกิจในครั้งต่อไป รวมทั้งแผนเคลื่อนย้าย แผนจัดการจราจร ทีมแพทย์ทุกคนต้องเตรียมหมดว่าเมื่อกู้ภัยแล้วสภาพร่างกายเยาวชนเป็นอย่างไร ให้อ็อกซิเจนแล้วผลเป็นอย่างไร หายใจอย่างไร รวมทั้งประเมินอุปกรณ์ที่ใช้ในช่วงกู้ภัยในถ้ำ และประเมินทุกทีม รวมทั้งทีมตำรวจทีมบริหารจัดการทั้งหมด
"วันนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่สำเร็จของทีมปฏิบัติงานทุกทีม"ณรงค์ศักดิ์กล่าว พร้อมกล่าวขอบคุณสื่อมวลชนที่สละพื้นที่หน้าถ้ำ โดยกล่าวด้วยว่าใช้เวลาเคลื่อนย้ายเยาวชนจากหน้าถ้ำไปถึงจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ใช้เวลา 2 นาที ไวกว่าที่เคยฝึกซ้อมแรกๆ ที่ใช้เวลาถึง 10 นาที
ณรงค์ศักดิ์กล่าวด้วยว่า "ขอบคุณทุกคนที่ร่วมส่งกำลังใจ ที่สำคัญที่สุดคือด้วยเดชะพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านกรุณาพวกเราทุกคน ทรงให้กำลังใจพวกเราทุกคน วันนี้เราถึงมีภารกิจที่สำเร็จในวันนี้ ผมในนามตัวแทนทีมปฏิบัติทุกคน กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยให้กำลังใจพวกเรา ถือว่าสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแต่ยังไม่ครบถึงทั้งหมด โดยเราจะทำภารกิจต่อไปให้ดีเท่าๆ กับวันนี้"
โดยเท่าที่รายงานข่าวในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อเยาวชน 4 รายที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากถ้ำ โดยจะมีรายงานเพิ่มเติมในลำดับต่อไป
เพจหน่วยซีลยืนยันช่วยได้แล้ว 4 ราย
ก่อนหน้านี้เมื่อ เวลา 19.47 น. ในเพจ Thai NavySEALของหน่วยซีลแจ้งว่า "19.47 หมูป่าตัวที่ 4 ออกจากถ้ำ"
เวลา 19.35 น. ในเพจ Thai NavySEAL ยืนยันว่า "หมูป่า 3 ตัวออกจากถ้ำ"
เวลา 19.17 น. สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างคำพูด นพ.ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุว่ามีเยาวชน 2 คน ออกจากถ้ำหลวงแล้ว และกำลังตรวจเช็คสภาพร่างกาย
จัดโซนรายงานข่าวใหม่ กันพื้นที่ห่างจากหน้าถ้ำ
06:45 น. ตั้งแต่เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ขอให้สื่อมวลชนออกจากพื้นที่บริเวณหน้าถ้ำ โดยจัดพื้นที่แถลงข่าวใหม่เป็นด้านหน้า อบต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย นอกจากนี้มีการกั้นพื้นที่ไม่ให้สื่อมวลชนเข้าในเขตโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ที่เด็ก ๆ และโค้ชที่จะถูกส่งตัวไป และให้สื่อมวลชนไปรอรายงานอยู่ที่โรงเรียนเทศบาล 5 ห่างจากโรงพยาบาล 1 กม.
ผบ.ศูนย์อำนวยการฯ ดีเดย์ส่งผู้เชี่ยวชาญดำน้ำไทย-เทศ 18 รายเข้าถ้ำ
ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ 13 คน และผู้เชี่ยวชาญของไทยที่มีศักยภาพในการดำน้ำสูงจำนวน 5 คนเข้าไปปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือ 13 เยาวชนและโค้ช
ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน แถลงเมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 8 ก.ค. 61 (ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)
10.25 น. ในรายงานของสำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน แถลงว่าว่าหลังจากช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ได้ปร้บสภาพพื้นที่ ยืนยันว่าในการช่วยเหลือเด็กทั้ง 13 คนจะต้องมีความพร้อมทุกอย่าง ทั้งตัวเด็ก เจ้าหน้าที่ และระดับน้ำ ซึ่งในวันนี้เป็นวันดีเดย์จะปฏิบัติการนำตัวเด็กทั้ง 13 คนออกจากถ้ำ โดยส่งผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 13 คน และผู้เชี่ยวชาญไทย 5 คน เข้าไปช่วยเหลือเแล้ว ยืนยันว่าขณะนี้มีความพร้อมทุกด้าน ขอให้ทุกคนรอฟังข่าวดี และส่งกำลังใจให้การปฏิบัติภารกิจประสบความสำเร็จ จากการประเมินคาดว่าจะนำตัวเด็กคนแรกออกมาเร็วที่สุดในเวลา 21.00 น. และจะมีการทำภารกิจต่อเนื่องจนกว่าเด็กจะออกมาจากถ้ำได้ทั้งหมด
ในการแถลงข่าว ผบ.ศูนย์อำนวยการร่วมฯ ชี้แจงว่า วิธีช่วยเหลือจะใช้วิธีประกบคู่เด็กหนึ่งคนต่อผู้ดูแลสองคน จะเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากน้ำลดตั้งแต่โถง 1 ถึงโถง 3 สามารถเดินได้หลายจุด อุปสรรคสำคัญของปฏิบัติการครั้งนี้คือน้ำกับเวลา จึงต้องทำทุกวิถีทาง ขอให้มีเพียงเสี้ยววินาทีที่เหมาะสมพอเพียงที่จะนำเด็กออกมา อย่างปลอดภัย หากเป็นไปตามแผน เยาวชนคนแรกจะออกมาถึงประมาณ 21.00 น. คืนนี้ (8 ก.ค.61) ซึ่งการปฏิบัติงานต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 - 4 วัน
ส่วนการเจาะโพรงและนำน้ำออกจากถ้ำก็ยังดำเนินการควบคู่กันตลอดเวลา แต่ยังไม่พบโพรงที่เชื่อมกับถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศ ที่ส่งผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือ และทรัพยากรมาช่วยทำงาน ขณะนี้มีความพร้อม 4 ด้านทั้ง 1. สภาพอากาศ 2. ระดับน้ำ 3. ความพร้อมของผู้ปฏิบัติงาน และ4. ความพร้อมของจิตใจน้องๆ
ณรงค์ศักดิ์ ให้ข้อมูลระดับน้ำด้วยว่า วันนี้ระดับน้ำลดลงต่ำสุด อย่างไรก็ตามจากพยากรณ์อากาศพายุลูกใหม่กำลังจะเข้ามา ถ้ามีน้ำฝนเติมเข้ามาอีก การทำงานต้องเริ่มต้นใหม่ ขณะเดียวกันเด็กๆ ทั้งหมดรับทราบภารกิจ พร้อมจะออกมากับเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเผชิญอะไร ครอบครัวของเด็ก ๆ รับทราบและเห็นด้วยกับภารกิจแล้ว ขณะที่ทีมแพทย์มีความพร้อม ได้ซักซ้อมทดสอบแผนช่วยเหลือก่อนปฏิบัติจริง โดยภารกิจจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าคนสุดท้ายจะออกมา ได้มีการซักซ้อมรับทั้งทางบก ทางอากาศ จัดเฮลิคอปเตอร์ไว้ 6 ลำ รถพยาบาล 13 คัน
สาธารณสุขเชียงรายยืนยันความพร้อมทุกด้าน ปภ.พร้อมสูบน้ำเต็มที่
11.00 น. ข้อมูลเพิ่มเติมจากศูนย์ปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ถ้ำหลวง กรมประชาสัมพันธ์ พล.ต.ฉลองชัย ชัยยะคำ รองแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ปฏิบัติการร่วมใช้แผนที่มีความสมบูรณ์ ง่าย และปฏิบัติได้จริง โดยได้เลือกแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด มีการซ้อมแผน เมื่อมั่นใจจึงปฏิบัติ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ด้าน นพ.ทศเทพ บุญทอง สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวยืนยันความพร้อมทุกด้านทางการแพทย์ ขณะนี้เตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว
ส่วนกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า การสนับสนุนไฟฟ้าในถ้ำเพื่อช่วยในการสูบน้ำมีความเสถียร ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ขณะนี้ระดับน้ำในถ้ำลดอย่างต่อเนื่อง
ด้านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลด้วยว่า สภาพอากาศ ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในวันนี้ ท้องฟ้าครึ้มมีเมฆปลุกคุมมากและมีฝนตกลงมาบ้างเล็กน้อย
หมายเหตุประเพทไทย #217 ทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตะวันตก-ตะวันออก
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ ชวนคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ภายหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมหาอำนาจของจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งนี้นักวิเคราะห์จากตะวันตกก็กังวลว่าการแข่งอิทธิพลเช่นนี้จะนำไปสู่สงครามกับสหรัฐอเมริกา หรือเกิดการเปลี่ยนถ่ายอำนาจนำจากสหรัฐอเมริกาไปยังจีนหรือไม่ อย่างไรก็ตามกรอบทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบโลกตะวันออกอาจไม่สามารถใช้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในเอเชีย เมื่อชาติต่างๆ ไม่ได้คิดจะคานอำนาจกับจีน และการขยายอิทธิพลของจีนก็ไม่ถึงจุดที่ทำให้เกิดสงครามแบบที่เคยเกิดขึ้นในยุโรป
ทั้งนี้การจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจจะไม่สามารถเข้าใจโดยผ่านทฤษฎีที่พัฒนาจากโลกตะวันตกได้ทั้งหมด รวมทั้งมีความจำเป็นต้องพัฒนาทฤษฎีการศึกษาระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยยกตัวอย่างหรือใช้มุมมองจากภูมิภาคนั้นๆ แทน
ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai
ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ขอโทษปมปล่อยเสียงวิทยุสื่อสารระหว่างช่วยทีมหมูป่า แจงไม่ได้ดักฟังราชการ
ทีมข่าวเวิร์คพอยท์แถลงขออภัยกร
9 ก.ค.2561 เมื่อเวลา 11.43 น. เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'Workpoint News - ข่าวเวิร์คพอยท์'ออกแถลงคำขอโทษจากทีมข่าวเวิร์คพอยท์กร
รายละเอียดคำแถลงของ ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ ระบุว่า
ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ขออภัยกร
กรณีรายการข่าวเวิร์คพอยท์ เช้าวันที่ 9 ก.ค.2561 ได้มีการนำเสนอเสียงจากสัญญ
.
เบื้องต้นเราขออธิบายและขออ
.
1. ทีมข่าวไม่เคยดักฟังวิทยุหร
2. ข่าวดังกล่าวถูกนำเสนอ พร้อมกับการสัมภาษณ์สดทางโท
3. เราขออภัยที่รีบเผยแพร่เสีย
.
เป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเก
.
ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ขออภัยต่
โทษประหารในมุมชัยวัฒน์ : อาชญากรไม่ได้หล่นมาจากฟ้า แต่ผุดขึ้นจากเนื้อนาดินสังคม
'ชัยวัฒน์ สถาอานันท์'ชวนสังคมไทยตั้งคำถามต่อโทษประหาร ลงโทษทำไม ทำไมการลงโทษจึงมีความเปลี่ยนแปลง และสังคมไทยต้องการอะไรจากโทษประหาร หรือโทษประหารกำลังสะท้อนความสิ้นหวังของเราเองต่อมนุษย์และสังคม
- อาชญากรไม่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า แต่ผุดขึ้นจากเนื้อนาดินของสังคมไทย
- ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำล้วนเป็นเหยื่อ
- โทษประหารมีพลวัตและเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
- โทษประหารสะท้อนความสิ้นหวังของเราต่อสังคมไทยและมนุษย์
การประหารผู้ต้องขังครั้งล่าสุดหลังจากว่างเว้นไปเกือบ 10 ปี จุดกระแสการถกเถียงอันร้อนแรงในสังคมไทยว่า โทษประหารควรมีอยู่หรือไม่ มันนำไปสู่การโต้เถียงด่าทอกันระหว่างสองฟากความคิด
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้จัดงานเสวนาเรื่อง ‘ทางออกโทษประหารกับปัญหากระบวนการยุติธรรม’ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยหนึ่งในวิทยากรคือ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการด้านปรัชญาการเมือง ศาสตราจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งชวนตั้งคำถามที่น่าสนใจหลายประการ
อาชญากรไม่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า แต่ผุดขึ้นจากเนื้อนาดินของสังคมไทย
ผมอยากชวนตั้งคำถามสามสี่ข้อ
1.โทษประหารเป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง คำถามที่อยากชวนคิดคือเวลาลงโทษ เราลงโทษทำไม
2.โทษประหารในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบัน ผมอยากสรุปสั้นๆ ว่าทำไมมันเปลี่ยน
3.การเรียกร้องโทษประหารในสังคมไทย จริงๆ แล้วสังคมไทยต้องการอะไร
จากคำถามข้อแรก โทษประหารเป็นการลงโทษ แต่เวลาคิดเรื่องโทษประหาร เรื่องความยุติธรรม ทำไมเราคิดเรื่องการลงโทษแบบนี้ เอาชีวิตไปก็ต้องใช้ด้วยชีวิต ประวัติศาสตร์โบราณของเรื่องนี้คือประวัติศาสตร์ของการจัดบัญชีให้เท่ากัน เราเองก็เชื่อทำนองนั้นในความหมายที่ว่าทำอะไรก็เท่ากัน ความยุติธรรมแบบนี้เป็นความต้องการหนึ่ง ดังนั้น การลงโทษจึงเป็นไปเพื่อแก้แค้น
ประการที่ 2 การลงโทษเป็นไปเพื่อป้องกัน ในอดีตจึงประหารในที่สาธารณะ เชื่อว่าทำแบบนี้จะป้องกันไม่ให้เกิด วิธีประหารก็พิสดารหลากหลายมาก ผมเข้าใจว่าในยุโรป ในจีนก็ทำแบบเดียวกันคือฉีกสังขาร ให้ม้าสี่ตัวดึงร่างของนักโทษออกจากกัน โดยเชื่อว่าความแรงของการลงโทษจะทำให้คนเชื่อฟังกฎหมายและไม่ทำความผิด เชิงอรรถของผมก็คือไม่รู้มันทำงานแบบเดียวกับซองบุหรี่หรือเปล่า ซองบุหรี่มีภาพปอดทะลุ แต่ปรากฏว่าบุหรี่ก็ยังขายได้ดี
ประการที่ 3 เขาเชื่อว่าการลงโทษเป็นไปเพื่อแก้ไขผู้กระทำผิด การคิดเรื่องนี้ต้องคิดอย่างบูรณาการ การที่คนหนึ่งจะตัดสินใจเป็นอาชญากร ไม่ใช่อยู่ดีๆ เป็น แต่มีเหตุปัจจัยจำนวนมากที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ การบอกว่าโทษประหารยกเลิกไม่ได้หรอก เพราะมีปัญหาอื่นเช่นความมเหลื่อมล้ำ มีความไม่ยุติธรรม มีความยากจน ความไม่รู้มากมายไปหมด ทั้งหมดนี้ผมเรียกว่าปัจจัยทางโครงสร้าง ปัจจัยเหล่านี้แหละครับที่มันให้กำเนิดฆาตกร ไอ้หื่น อาชญากรไม่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า แต่ผุดขึ้นจากเนื้อนาดินของสังคมไทย ซึ่งมีคุณภาพแบบนี้ มันจึงออกมาในสภาพแบบนี้ คำถามคือทำไมคนอื่นไม่เป็น ก็เพราะเงื่อนไขไม่เอื้ออำนวย มันมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นในทางสังคม ถ้าคิดจากมุมสังคมศาสตร์เราจึงต้องโฟกัสที่เหตุปัจจัยทางสังคม ซึ่งมีความสำคัญไม่แตกต่างกันและมีความสัมพันธ์กัน
มีคำถามว่า มียีนที่ทำให้เกิดมาเป็นอาชญากรหรือไม่ ในทางกฎหมายมีคำอธิบายอย่างหนึ่ง แต่ในทางวิทยาศาสตร์พบว่าในเด็กจำนวนหนึ่งที่ส่วนบางส่วนในสมองถูกฉีกห่างออกจากกันและทำให้กลายเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง ในทางการแพทย์ที่ซ่อมสมอง เขาก็ทำ ใส่ส่วนนี้กลับไป ความก้าวร้าวรุนแรงก็ลดลง ถ้าสนใจต้องเข้าไปในโลกของประสานวิทยา
แต่ทั้งหมดแปลว่าบางทีคนที่ก่ออาชญากรมันมีเหตุอย่างอื่น เวลาเราคิดถึงอาชญากรทั้งหลายและคิดถึงคนอีกคนหนึ่งที่ใช้ดาบเชือดคอ เอาปืนยิง เราชอบคิดว่าคนยิงเป็นคนทำความรุนแรงและอีกฝ่ายเป็นเหยื่อ เหยื่อถูกกระทำ เป็นไปได้หรือไม่ว่าในทุกฉากฆาตกรรมมีเหยื่อสองคน คนหนึ่งอยู่ที่ปลายกระบอก อีกคนอยู่ที่ไกปืน ถ้าเราคิดแบบนี้มันจะวิ่งไปยังประเด็นที่ว่าในประเทศนี้มีแต่ความเหลื่อมล้ำเต็มไปหมด การกำจัดคนไปคนหนึ่งจึงไม่แก้ปัญหา แล้วก็เกิดคนอื่นขึ้นมาอีก ถ้าเหตุปัจจัยเหล่านี้ไม่หมดไป และเหตุปัจจัยเหล่านี้บางทีมันเล็กน้อยมาก มันมีคดีฆาตกรรมพยาบาลคนหนึ่งในซอยที่ถูกฆ่าข่มขืน เหตุเกิดเพราะซอยนั้นมันเปลี่ยว ไม่มีไฟ
มนุษย์ทำอะไรบางอย่างบนเงื่อนไขบางอย่าง เราที่นั่งอยู่ตรงนี้อาจดูเหมือนเป็นคนดี เชื่อฟังกฎหมาย เชื่อฟังหลักศีลธรรม แต่พอไฟมืดหมด เราก็คิดเรื่องชั่วร้ายได้มากมายเหมือนกัน ในแง่นี้อาชญากรรมก็เป็นผลของเหตุปัจจัย ความน่าสนใจคือไม่ใช่ว่าตัวแปรทุกตัวเท่ากัน บางตัวเป็นเหตุปัจจัยที่ส่งผลทันที เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อแบบนี้ คนกระทำผิดก็อาจแก้ไขได้ หลายประเทศจึงยกเลิกโทษประหาร เพราะการมีโทษประหารคือการบอกกับตัวเราเองว่าเราหมดหวังกับคนนี้แล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ผมทราบครับว่าการแก้ไขต้องลงทุน อันนี้เป็นปัญหาของสังคมต้องคิดว่าเราอยากจะลงทุนหรือไม่ เราจะได้ย้อนกลับไปคิดว่าทำไมเขาจึงเดินมาถึงจุดนี้ ทำไมเขาจึงฆ่าคน อันนี้สังคมไทยต้องถาม
ส่วนคำถามที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวของกับความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์หรือไม่ ข้อต่างสำคัญ ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์โฟกัสที่ความสัมพันธ์ ไม่ใช่ที่เป้าหมาย เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ามันซ่อมแซมอะไร มันซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำผิดกับเหยื่อ ไปถึงเรื่องการให้อภัยและอื่นๆ อีกมากมาย ถามว่าสังคมไทยเป็นเนื้อนาบุญของการให้อภัยหรือไม่ แน่นอน เราอยู่ในสังคมซึ่งอาบอยู่ด้วยรสพระธรรมของพุทธศาสนา มันก็มีพลังแบบนั้นอยู่ คำถามที่น่าสนใจคือทำไมพลังแบบนั้นจึงดูเหมือนถูกบดบังด้วยความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม แต่มีคนลุกขึ้นมาให้อภัยหรือเปล่า มีนะครับ
พลวัตของโทษประหาร
ประเด็นต่อมา โทษประหารในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงมาพอสมควร ก่อนหน้านั้นเรามีพระอัยการกบฏศึก มีการทรมานก่อนด้วย ทั้งหมดนี้มาเปลี่ยนใน ร.ศ.127 หยุดพระอัยการกบฏศึก หยุดการตัดหัว ทำไมถึงหยุด คำตอบคือสังคมไทยสมัยรัชกาลที่ 5 กำลังเปลี่ยนแปลงเป็นสมัยใหม่ สิ่งที่ท่านต้องทำคือต้องต่อรองกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่มีอิทธิพลต่อประเทศไทยและไม่ยอมขึ้นต่อกฎหมายไทย รัชกาลที่ 5 จึงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เพื่อหยุดสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ความจริงรัชกาลที่ 5 เองท่านก็เสด็จประพาสไปที่ต่างๆ ท่านก็เห็นว่าต้องเปลี่ยน แล้วมาเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งปี 2477 เปลี่ยนจากตัดหัวเป็นยิงเป้า ไม่ให้คนยิงเห็น ยิงเสร็จแล้วก็ไป พยายามทำให้การลงโทษไม่เป็นเรื่องส่วนบุคคล เปลี่ยนอีกทีปี 2539 เปลี่ยนจากการยิงเป้าเป็นเป็นฉีดยา แต่มาใช้จริงปี 2546
ประเด็นคือโทษประหารไม่ได้อยู่นิ่ง มีพลวัตและเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลจากการที่สังคมไทยดำรงอยู่ในมิตินานาชาติ บางคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่ากระบวนการทำให้สังคมไทยเป็นอารยะ ก้าวต่อไปสู่การยกเลิกโทษประหารก็เป็นทำนองเดียวกัน เป็นเส้นทางพัฒนาการของสังคมไทย สังคมไทยเอาหรือไม่เอา ไม่ทราบ แต่พัฒนาการของสังคมในหลายประเทศเป็นเช่นนั้นและเดินทางไปสู่การไม่มีโทษประหาร
สิ่งที่สังคมไทยต้องการจากโทษประหาร
สังคมไทยต้องการอะไรเวลาใช้โทษประหาร ตอบอย่างรวดเร็วคือคนผิดต้องได้รับการลงโทษ แต่ความคิดนั้นอยู่บนฐานความเข้าใจที่สำคัญว่าเป็นความทุกข์ของญาติพี่น้องของคนตาย ที่บอกว่าความคิดนี้เป็นข้อเท็จจริงล้วนๆ ไม่มีทฤษฎี บังเอิญผมมาจากสำนักที่เชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นข้อเท็จจริงล้วนๆ มีแต่ทฤษฎี รวมทั้งความคิดที่เชื่อว่าชีวิตต้องแลกด้วยชีวิตก็เป็นทฤษฎีหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นอาชญากรฆ่าข่มขืนคนไปประมาณ 80 คน เหยื่อคนหนึ่งถามทำไมทำแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมที่เอาชีวิตคนไป ในบทสนทนาที่ถอดเทปไว้ฆาตกรบอกว่า คุณเรียกร้องความยุติธรรม ความยุติธรรมยังไงเหรอ ผมฆ่าคนมาแล้ว 80 คน แล้วคุณประหารผม คุณคิดว่ายุติธรรมเหรอ ชีวิตผมแทนคนที่ผมฆ่าคนไหนเหรอ หรือคุณกำลังจะบอกว่าชีวิตผมสำคัญเท่ากับคน 80 คน โจทย์นี้น่าสนใจมาก เพราะมันกลายเป็นคำถามว่าสิ่งที่เราเรียกว่าความยุติธรรมมันเป็นจริงหรือเปล่า ชีวิตมันเท่ากันจริงหรือเปล่า แล้วมันส่งผลต่อสังคมอย่างไร
คำถามสุดท้ายคือเวลาสังคมไทยคิดถึงโทษประหาร จริงๆ แล้วสังคมไทยต้องการอะไร ถ้าคำตอบคือต้องการแก้แค้น คำถามก็วิ่งไปว่าในที่สุดแล้วการแก้แค้นทำได้หรือไม่ ถ้าเขาฆ่าคนตายเยอะแยะ แล้วมันเป็นการแก้แค้นให้ใคร คนก็มีแค่ชีวิตเดียว ถ้าตอบว่าดีกว่าทำอย่างอื่น ถ้าตอบแบบนี้ คำถามก็คือว่าโทษประหารทุกครั้งที่เราทำ มันบ่งชี้อะไร ผมคิดว่ามันบ่งชี้ความรู้สึกหมดหวัง คล้ายๆ เราหมดหวังกับสังคม หมดหวังกับคนในสังคม คนนี้เอาไว้ไม่ได้แล้วต้องตัดหัวเขา
ในความหมายนี้จึงเป็นสัญญาว่า เรารู้สึกหมดหวังกับมนุษย์ หมดหวังกับสังคม หมดหวังกับอะไรหลายๆ อย่าง อาจมีเหตุผลที่ประเทศต่างๆ ในโลกพัฒนาไปสู่ความคิดที่ว่ามนุษย์ยังมีทางออก มันต้องเถียงกันเยอะเลยว่าตกลงมีสิ่งที่เรียกว่าสันดานดิบอยู่จริงๆ หรือไม่ เป็นคำถามที่เราต้องถามตัวเองว่า ในที่สุดแล้วสังคมอยากจะเดินไปทางไหน ซึ่งแต่ละทางมีผลต่อการตัดสินใจว่าเราเป็นอะไร สังคมคิดอย่างไรกับเรื่องแบบนี้ เป็นแบบทดสอบที่น่าสนใจ
เรารับผิดชอบแค่ไหนเมื่อฆาตกรปรากฏตัว
ประเด็นที่อยากตั้งข้อสังเกตคือการประหารชีวิตคือการฆ่า มันยุติทุกอย่างต่อชีวิต มันต้องตั้งคำถามว่าการลงโทษประหาร ฆ่าผิดตัวได้หรือเปล่า ในอเมริกาตอนนี้มีขบวนการของผู้บริสุทธ์ เขาเชื่อว่าคนที่รอโทษประหารจำนวนหนึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ อาจมี 2-5 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้บริสุทธิ์ ถามว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบของการศึกษาระยะหลังคือตำรวจซึ่งเป็นต้นทางทำงานไม่ได้เรื่อง สอง-พยานที่บอกว่าเห็น จริงๆ ไม่ได้เห็น มันเป็นอีกอย่าง สาม-การทำผิดพลาดของอัยการเอง สี่-ทนายจำเลยอาจไม่พร้อม เช่น บางกรณีไม่ได้ประมวลพยานให้มากเพียงพอ สัมภาษณ์พยานบุคคลไม่ครบ อีกอย่างคือหลักฐานทางนิติเวชที่เก็บมาอาจทำได้ไม่ดีพอ ผลที่ตามมาคือในอเมริกาจึงมีขบวนการผู้บริสุทธิ์เพื่อกรองสิ่งเหล่านี้ ที่ต้องทำก็เพราะโทษประหารเป็นการลงโทษที่เป็นที่สุด มันเอาชีวิตคน พูดตามหลักศาสนา มันเป็นหน้าที่ของพระเจ้าว่าจะสิ้นสุดชีวิตมนุษย์เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้รัฐกำลังทำหน้าที่นี้แทนพระเจ้า มันจึงต้องมีกระบวนการกรอง
ปัญหามีอยู่อันหนึ่งคือในสังคมไทยและสังคมโลกมีสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า Confirmation Bias คือเห็นโลกตามที่ถูกบอกให้คิดว่าคนนี้ผิดจริง คุณเชื่อแบบนี้ก็หาหลักฐานที่สนับสนุนมา แต่หลักฐานที่ไม่สนับสนุนไม่หา หลักฐานมันมีทั้งสองด้าน แต่คุณอาจให้ความสำคัญกับอีกด้านหนึ่งน้อยเกินไปหรือเปล่า นี่เป็นโจทย์ที่เราต้องคิด
ในที่สุดแล้ว สังคมไทยจะต้องหวนคิดเพราะการรอนสิทธิ์ชีวิตคน มันเป็นที่สุด ถึงมีระบบกรอง แต่ระบบเราดีจริงหรือไม่ก่อนที่เราจะตัดสินใครสักคน บางทีในอดีตที่มีโทษประหาร มันอยู่ในระบบคิดแบบหนึ่งว่าตายแล้วก็กลับมาเกิดใหม่ แต่ถ้าเราไม่เชื่อแบบนั้น เราเชื่อว่ามีชีวิตเดียวและสำคัญ มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
เวลาเราใช้โทษประหารคือความหมดหวังต่อชีวิตคนนั้น ถามเลยไปอีกหน่อยว่าสังคมไทยมีบทบาทรับผิดชอบแค่ไหน เมื่อใครสักคนปรากฏตัวขึ้นในสังคมในฐานะฆาตกร เราเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง เราเกี่ยวข้องแค่ไหน เราเกี่ยวข้องในฐานะคนซึ่งนั่งดูเฉยๆ เราเกี่ยวข้องในฐานะของคนที่สนับสนุน สื่อมวลชนซึ่งสื่อความรุนแรงที่ในที่สุดสร้างคนเหล่านี้ขึ้นมา และเราไม่เคยยกมือห้าม
ผมเห็นเคสที่ทำวิจัย บางทีแค่นิดเดียวเพราะถนนมันมืด แต่เราไม่เคยสนใจเลยว่าต้องติดไฟถนน ถ้าเราไม่สนใจ แล้วมันเกิดขึ้น เราชี้ว่าคนนี้ทำผิด ทุกครั้งที่เราชี้ไปคนอื่น มันมีสามนิ้วชี้มาหาเรา แล้วเราควรทำอะไรบ้างหรือไม่เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ผมถึงอธิบายว่าเวลาเรายิงใครสักคน ไม่ได้มีเหยื่อคนเดียวที่อยู่ปลายปากกระบอกปืน มีเหยื่อที่ไกด้วย แต่เหยื่อที่อยู่ที่ไก เรามองไม่ค่อยเห็นเพราะมาจากเหตุปัจจัยทางสังคม และนั่นเป็นปัญหาของเราทุกคน เรื่องโทษประหารจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะคิดว่า เราควรทำอะไรเพื่อยุติสิ่งเหล่านี้ หันมาสู่สังคมที่ยังมีความหวัง และให้โอกาสมนุษย์
บนโลกนี้มีวิธีที่ง่ายและมีวิธีที่ยาก คำถามที่น่าสนใจคือวิธีที่ง่ายและดูเหมือนทันใจเป็นวิธีที่ดีสำหรับการสร้างสังคมที่เราต้องการหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ