Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

วอยซ์ทีวีโดน กสทช. พักออกอากาศ 2 รายการข่าวเหตุขัดประกาศ คสช.

$
0
0

กสทช. ลงดาบวอยซ์ทีวีพักออกอากาศรายการข่าว The Daily Dose และ Wake Up News สามวัน ผอ.ฝ่ายข่าวเผย โดนแบนเพราะเนื้อหากระทบความมั่นคง อาจสร้างความแตกแยก มีอคติ ไม่เป็นกลาง ขัดประกาศ คสช. หากฝ่าฝืนอาจถึงขั้นถอนใบอนุญาต ทำให้วอยซ์ขึ้นแท่นเป็นสื่อที่ถูกลงโทษบ่อยที่สุดในยุคที่ กสทช. มีเครื่องมือควบคุมสื่อมากขึ้น

โลโก้วอยซ์ทีวี

2 ก.ค. 2561 สำนักข่าวสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีรายงานว่า มีคำสั่งจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีคำสั่งพักออกอากาศรายการข่าว The Daily Dose และ Wake Up News เป็นเวลาสามวัน เพื่อให้บริษัทวอยซ์ทีวี ได้พิจารณาปรับปรุง แก้ไข ทบทวนแนวคิด รูปแบบและเอกลักษณ์ รวมถึงกระบวนการคัดเลือก กลั่นกรองและตรวจสอบเนื้อหารายการให้เป็นไปตามกฎหมายและเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ หากยังฝ่าฝืน กสทช. อาจต้องมีคำสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตในการให้บริการ หรือพักใช้ เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลที่ช่องวอยซ์ทีวีให้บริการในชื่อช่อง 21 วอยซ์ทีวี

คำสั่งของ กสทช. ออกมาโดยอาศัยอำนาจตามข้อ 19 ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ออกตามความในมาตรา 27 (6) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และมาตรา 7 มาตรา 16 พ.ร.บ. ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งให้อำนาจ กสทช. มีอำนาจในการดำเนินมาตรการต่างๆ ต่อใบอนุญาตของผู้ประกอบการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่ กสทช. เป็นผู้กำกับดูแล

ประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีโพสท์ในบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า กสทช. อ้างว่ารายการที่ถูกพักออกอากาศนั้นนำเสนอเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคง อาจสร้างความแตกแยก มีอคติ ไม่เป็นกลาง ขัดต่อประกาศ คสช. ฉบับที่ 97 และ 103 รวมทั้งข้อตกลงที่วอยซ์เคยทำไว้กับ กสทช. ทั้งนี้ เมื่อ กสทช.มีคำสั่งมาแล้วก็คงต้องปฏิบัติตาม แต่จะเรียกร้องความยุติธรรมกับศาลปกครองต่อไป

คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 97/2557ห้ามบุคคลและสื่อทุกประเภทสัมภาษณ์นักวิชาการ อดีตข้าราชการ และองค์กรอิสระ ในลักษณะที่อาจขยายความขัดแย้งหรือนำไปสู่ความรุนแรง และห้ามการวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากฝ่าฝืนให้ระงับการเผยแพร่ทันทีละให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนดความผิดฐานนั้นดำเนินการตามกฎหมาย

คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 103/2557หลังมีเสียงค้านอย่างหนักจากสมาคมวิชาชีพสื่อ จึงแก้ไขเพิ่มเติมประกาศฉบับที่ 97 ให้สื่อวิจารณ์การทำงานของ คสช. ได้บ้าง แต่ห้ามวิจารณ์โดยมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ หากฝ่าฝืนจะส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพสอบสวนทางจริยธรรม

ประทีปเขียนในโพสท์เพิ่มเติมว่า คำสั่งพักออกอากาศ Wake Up News จะมีผลตั้งแต่วันที่ 3-5 ก.ค. นี้ โดยจะมีรายการ Voice News มาแทนชั่วคราว ส่วนรายการ The Daily Dose มีผลให้พักออกอากาศตั้งแต่คืนนี้ (2 ก.ค.) ถึง 4 ก.ค. โดยจะมีรายการ Overview มาแทนชั่วคราว แต่ส่วนตัวยังยืนยันในเสรีภาพการแสดงออกตามกรอบที่รัฐธรรมนูญรับรอง

ข้อมูลจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) รายงานว่าวอยซ์ทีวีเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ถูก กสทช. ลงโทษจากการนำเสนอเนื้อหามากที่สุดหลังการรัฐประหารปี 2557 ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 วอยซ์ทีวีถูก กสทช. มีคำสั่งลงโทษถึง 20 ครั้ง นับว่ามากที่สุดในหมู่สื่อมวลชนด้วยกัน มาตรการที่โดนก็เป็นทั้งการตักเตือน ทำความเข้าใจ ปรับปรุงเนื้อหารายการ ปรับเงิน พักออกอากาศรายการ ระงับการดำเนินงานของพิธีการไปจนถึงระงับการออกอากาศทั้งสถานีมาแล้ว

เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา รายการ Tonight Thailand โดน กสทช. ระงับออกอากาศ 15 วัน หลังรายงานและวิเคราะห์กรณี "หน้ากากยุทธ์น็อคคิโอ"และครบรอบ 10 ปีทักษิณกราบแผ่นดิน ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาเนื้อหาและสาระสำคัญของรายการ Tonight Thailand ในวันดังกล่าวแล้วเห็นว่าการนำเสนอรายการมีลักษณะส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร จึงห้ามมิให้ออกอากาศในกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศ คสช. ฉบับที่ 130/2557

เมื่อ 27 มี.ค. ปีที่แล้ว วอยซ์ทีวียุติการออกอากาศทั้งสถานี หลังจากถูกกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) สั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลา 7 วัน โดยอ้างว่าวอยซ์ทีวีมีการกระทำผิดซ้ำเดิม ให้ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสนยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยก

ตามคำสั่ง กสทช. ระบุว่า รายการที่ “มีความผิด” ทำให้ กสทช. สั่งยุติออกอากาศทั้งสถานี คือ

1.รายการใบตองแห้งออนแอร์ ตอน จากธัมมี่ถึงทักกี้ประเทศนี้ยังปรองดองได้อยู่หรือ

2.รายการ In Her View ตอน ไล่เรียงเหตุการณ์จังหวะแห่งข่าวโกตี๋กับอาวุธพร้อมแถลงการณ์แผนลอบสังหาร

3.รายการ Overview ตอน ยันกองทัพป้องทหารยังยิงทิ้งเด็กลาหู่ถูกต้องทุกกรณี

ข้อมูลชุดเดิมจากไอลอว์ระบุว่า กสทช. ได้ลงโทษการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในเนื้อหาประเด็นการเมือง โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามประกาศและคำสั่ง คสช. ที่เกี่ยวข้อง, บันทึกข้อตกลงระหว่างสื่อและกสทช. และมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ไปแล้ว อย่างน้อย 54 ครั้ง โดยสื่อที่ถูกลงโทษมากที่สุดรองจากวอยซ์ทีวีคือพีซทีวีซึ่งเป็นทีวีดาวเทียม ล่าสุดเมื่อ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา กสทช. สั่งพักใบอนุญาตประกอบกิจการของพีซทีวีเป็นเวลา 30 วัน เนื่องจากมีเนื้อหารายการอันเป็นการส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร และยังเป็นการนำเสนอที่ขัดต่อคำสั่งศาลปกครอง ที่มีคำสั่งให้บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด ปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 97/2557 ลงวันที่ 18 ก.ค. 2557 และฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2557 ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดซ้ำซาก

กสทช. มีเครื่องมือในการควบคุมการลงโทษการนำเสนอเนื้อหาของสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปี 2559 มีคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 41/2559หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการใช้ ม.44 ในการออกคำสั่ง เรื่องการกำกับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ที่ให้อำนาจ กสทช. ตัดสินและกำหนดกับสื่อมวลชนโดยเว้นโทษความผิดแพ่งและอาญาต่อคณะทำงาน นั้นหมายความว่า กสทช. สามารถออกคำสั่งควบคุมสื่อได้โดยไม่ต้องรับผิด

ต่อมาเมื่อเดือน พ.ค. 2561 มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2561 เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลที่ประสงค์จะขอพักชำระหนี้ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ได้ไม่เกินสามปี ให้มีการอุดหนุนค่าเช่าใช้โครงข่ายดิจิตอลทีวี (MUX) ที่ต้องเช่าเพื่อใช้ออกอากาศเป็นเวลา 24 เดือน แต่ก็ให้อำนาจ กสทช. เป็นผู้พิจารณาว่าผู้ประกอบการรายใดมีสิทธิได้รับการพักชำระหนี้ หากผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทำผิดเงื่อนไข ผลิตรายการที่ขัดต่อ “กฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน” สำนักงาน กสทช. อาจพิจารณายกเลิกการพักชำระหนี้ได้

สุภิญญา กลางณรงค์: ม.44 อุ้มทีวีดิจิตอล ยิ่งคลายยิ่งรัด ทหาร-คสช. ได้ประโยชน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เมื่อ 'บาร์เซโลนา'เลือกรับผู้อพยพมากกว่านักท่องเที่ยว

$
0
0

หนึ่งในภาพจำอย่างหนึ่งที่ฝ่ายขวาชอบอ้างใช้กันคือการอ้างว่าผู้อพยพเป็น "ผู้รุกราน"หรือเป็นผู้ขออาศัย แล้วมองนักท่องเที่ยวด้วยภาพบวก แต่ทว่าชาวเมืองบาร์เซโลนาไม่ได้มองเช่นนั้น เขาเห็นว่าผู้ที่ทำลายอัตลักษณ์ของเมืองไม่ใช่ผู้อพยพแต่เป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป ขณะเดียวกันก็ยินดีต้อนรับผู้อพยพมากกว่าเพราะพวกเขามองเป็นส่วนหนึ่งของผู้ช่วยสร้างบ้านเมือง

ภาพประกอบ:  Casa Milà (Barcelona) ปี 2010 ที่มา: SBA73/Wikipedia

ในบาร์เซโลนาประเทศสเปน มีผู้คนจำนวนมากที่อยากให้การต้อนรับผู้ลี้ภัยมากกว่าอยากได้นักท่องเที่ยว พวกเขาเคยเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลสเปนยอมรับผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ในครั้งนั้นมีผู้ชุมนุมราว 150,000 คน หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนพ่นสีบนกำแพงเมืองเป็นข้อความว่า "นักท่องเที่ยวกลับบ้านไป ยินดีต้องรับผู้ลี้ภัย"รวมถึงมีการประท้วงเรียกร้องประเด็นนี้ตามมาจากฝูงชนมหาศาลที่มาพร้อมคำขวัญ "บาร์เซโลนาไม่ใช่เอาไว้ขายใคร"และ "พวกเราจะไม่ยอมถูกขับออกไป"

มีเรื่องที่ชวนสงสัยว่าเหตุใดประชาชนเหล่านี้ถึงต้อนรับผู้ลี้ภัยแต่ปฏิเสธนักท่องเที่ยว และกลับมองว่านักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มคนที่จะทำให้พวกเขา "ถูกขับออกไป"ซึ่งผิดกับข้ออ้างของกลุ่มขวาจัดที่มักจะอ้างว่าผู้ลี้ภัยเป็น "ผู้รุกราน"แต่ในบาร์เซโลนาพวกเขาไม่เชื่อตามโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขวาจัด ในทางตรงกันข้ามพวกเขากลับมองว่านักท่องเที่ยวต่างหากที่เป็น "ผู้รุกราน"และเป็นอันตรายต่ออัตลักษณ์ของพวกเขามากกว่า

ในบาร์เซโลนามีปัญหาเรื่องจำนวนชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมแค่ร้อยละ 2 ในช่วงปี 2543 แต่ในปี 2548 ก็มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยละ 15 และในปี 2561 ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18 ทั้งนี้ชาวบาร์เซโลนาไม่เคยประท้วงต่อต้านผู้ลี้ภัยเลย พวกเขายังยินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยที่ไม่ได้มีเงินทองแทนนักท่องเที่ยวที่เอาเงินเข้าประเทศด้วยเหตุผลที่ว่า "ผู้อพยพจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเมือง แต่การท่องเที่ยวจะทำให้เมืองขาดเสถียรภาพ"ซึ่งแม้แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของบาร์เซโลนาก็เห็นด้วยว่าปริมาณนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปถือเป็นปัญหา

ตัวเลขของนักท่องเที่ยวในบาร์เซโลนาช่วงปี 2533 มีการรับนักท่องเที่ยว 1.7 ล้านราย แต่ในปี 2560 พวกเขารับนักท่องเที่ยวมากถึง 32 ล้านราย ถือเป็นปริมาณที่มากกว่าประชาชนในท้องถิ่น 20 เท่า การที่นักท่องเที่ยวทะลักเข้ามามากเกินไปเช่นนี้ทำให้ราคาค่าเช่าสูงขึ้น บีบให้ผู้อาศัยในพื้นที่ถูกขับออกจากย่านของตัวเอง และทำให้พื้นที่สาธารณะแออัดไปด้วยผู้คน

จากการวิจัยของเปาโล เกียกคาเรีย นักสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยตูรินระบุว่า ในกรณีของบาร์เซโลนานั้นมีการแยกแยะระหว่างคนเข้าเมืองสองจำพวกคือนักท่องเที่ยวกับผู้อพยพ แต่ก็ต่างจากที่อื่นที่มองผู้อพยพทางบวกมากกว่านักท่องเที่ยว

ในเรื่องนี้นาตาเลีย มาร์ติเนซ ส.ส. เขตซิวแทตเวลลา ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ของบาร์เซโลนากล่าวว่า พวกเขามองทั้งผู้อพยพเข้าเมืองและนักท่องเที่ยวว่าจะส่งผลดีเพราะพวกเขาหลอมรวมทางวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองได้ ทำให้ในแง่อัตลักษณ์แล้วตนเข้าเมืองจะช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์มากกว่าฉกฉวยเอาอัตลักษณ์ไป แต่ ส.ส. อีกรายหนึ่งคือ ซานติ อิบาร์รา มองต่างออกไปเล็กน้อยคือมองว่าขณะที่ผู้อพยพจะช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ของเมือง แต่นักท่องเที่ยวจะเป็นผู้ฉกฉวยอะไรบางอย่างไป

ตัวเมืองบาร์เซโลนาเองก็เป็นเมืองที่เป็นเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมจากผู้อพยพหลากหลายทิศทางมานานแล้วโดยเฉพาะในย่านชนชั้นแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นชาวยุโรป, ชาวลาตินอเมริกา, ชาวแอฟริกาเหนือ หรือแม้กระทั่งชาวจีนหรือชาวปากีสถาน จนมีคนที่มีเชื้อสายดั้งเดิมจริงๆ น้อยมาก แต่สิ่งนี้เองที่กลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญที่ทำให้บาร์เซโลนามีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกาตาลุญญาหรือสเปน เด็กลูกผสมที่เกิดจากพ่อแม่ต่างเชื้อชาติกันก็มักจะบอกว่าตนเองเป็น "ชาวบาร์เซโลนา"มากกว่าจะบอกว่ามาจากที่อื่น

แน่นอนว่าในบาร์เซโลนาก็มีพวกเหยียดเชื้อชาติสีผิวแบบที่อื่น แต่ทว่าฝ่ายรัฐก็ไม่ได้นิ่งนอนใจปล่อยให้การเหยียดเชื้อชาติกลายเป็นปัญหาลุกลาม โดยตั้งแต่ปี 2553 สภาเมืองมีการดำเนินนโยบายประสานรวมทางวัฒนธรรม (interculture) แทนการดูดกลืนวัฒนธรรม (assimilation) ที่จะเป็นการเคารพในความต่างทางวัฒนธรรมและทางศาสนาซึ่งนโยบายนี้ได้รับการสนับสนุนในวงกว้าง และทำให้ผู้อพยพไม่กลายเป็นแพะรับบาปเวลาที่เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหลายปี

ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวจะทำรายได้ให้กับบาร์เซโลนา แต่ประชาชนบาร์เซโลนาก็มองว่าควรมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้มากเกินไป ปัญหาเช่นนี้ยังเกิดขึ้นกับเมืองของอิตาลีอย่างเวนิซด้วย โดยที่แพทริเซีย ริกันตี อาจารย์ด้านสภาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมเทรนต์กล่าวว่า มีนักท่องเที่ยวจำพวกที่เรียกวา "มากินทิ้งกินขว้างแล้วก็ไป"ทำให้เกิดมลภาวะต่อท้องถิ่นของพวกเขา นักท่องเที่ยวเหล่านี้สร้างปัญหามากกว่าผู้อพยพเสียอีก

นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงเรื่องความรู้สึกแปลกถิ่นแม้จะอยู่ในบ้านเกิดของตัวเองซึ่งมาจากความเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์และพลวัติทางอำนาจที่มาจากการท่องเที่ยว แต่กับผู้อพยพแล้วชาวบาร์เซโลนามองว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ทำงานสร้างชุมชนและเป็นส่วนหนึ่งที่ให้อะไรบางอย่างกับเมือง แต่นักท่องเที่ยวมาแค่เป็นผู้ใช้สิ่งเหล่านี้

เรียบเรียงจาก

'Tourists go home, refugees welcome': why Barcelona chose migrants over visitors, The Guardian, 25-06-2018

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลือกตั้งเม็กซิโกได้ 'อัมโล'ว่าที่ ปธน.คนใหม่ผู้วิจารณ์นโยบายทรัมป์

$
0
0

อังเดร มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ หรือ 'อัมโล'จากพรรคโมเรนา พรรคฝ่ายซ้ายของเม็กซิโกประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมาด้วยคะแนนท่วมท้นเหนือคู่แข่งรายอื่นๆ

เขาประกาศจะส่งเสริมระบบภายในประเทศเพื่อทำให้คนกินดีอยู่ดีและเกิดความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งเขามองว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและผู้อพยพได้ ถึงแม้อัมโลจะบอกว่าต้องการเจรจาหาข้อตกลงกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในประเด็นผู้อพยพซึ่งเป็นข้อพิพาทในสหรัฐฯ ตอนนี้ แต่ก็มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าเม็กซิโกจะแข็งข้อต่อสหรัฐฯ กับบรรษัทข้ามชาติมากขึ้น

แฟ้มภาพ Andrés Manuel López Obrador เมื่อ 27 มิถุนายน 2012 ล่าสุดเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเม็กซิโกเมื่อ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาอย่างถล่มทลาย
ที่มา: Eneas De Troya/Cierre de Campaña/Wikipedia

ผู้แทนฝ่ายซ้ายของเม็กซิโก อังเดร มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดอย่างถล่มทลาย จากผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2561 โดยแสดงให้เห็นว่าโอบราดอร์ที่ผู้สนับสนุนเขาตั้งชื่อเล่นให้ว่า อัมโล (AMLO) มีคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ทำให้ตัวแทนจากพรรคอื่นๆ ประกาศยอมแพ้

"วันนี้ พวกเขายอมรับชัยชนะของพวกเราแล้ว"อัมโลประกาศต่อหน้าฝูงชนผู้สนับสนุนเขาในเม็กซิโกซิตี โดยที่คู่แข่งหลักของเขาทั้ง 3 คน ต่างก็ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้หลังจากที่มีการนับคะแนนหลังปิดคูหาไปได้เพียง 2 ชั่วโมง

โดยขณะที่รายงานอยู่นี้ (03.27 น.) ผลการเลือกตั้งนับไปแล้ว 72% อัมโลได้ 21.641 ล้านคะแนน คิดเป็นร้อยละ 53.2% ส่วนคู่แข่ง อานาญา ได้ 9.158 ล้านคะแนน หรือ 22.5% แมเด ได้ 6.563 ล้านคะแนน หรือ 16.1%

จอห์น เฟฟเฟอร์ นักวิเคราะห์จากสหรัฐฯ ระบุว่าอัมโลเกรียบเสมือนเป็น "เบอร์นี แซนเดอร์ส แห่งเม็กซิโก"ที่เน้นเรื่องสวัสดิการความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ขณะที่ เกลซี ฮอฟฟ์แมนน์ ประธานพรรคแรงงานของบราซิลมองว่าถ้าหากอัมโลชนะในครั้งนี้อาจจะกลายเป็นการจุดกระแสให้ฝ่ายก้าวหน้ากลับมารุ่งเรืองในลาตินอเมริกาอีกครั้งในแบบที่เรียกว่า "กระแสสีชมพู" (Pink Tide)

อัมโลเป็นตัวแทนจากพรรคฝ่ายซ้ายของเม็กซิโกที่ชื่อโมเรนา (Morena) เขามีภาพลักษณ์เป็นฝ่ายซ้ายประชานิยมผู้ที่เน้นพูดถึงการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศด้วยการสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมมากขึ้น เน้นชาตินิยมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มความเข้มแข็งของระบบตลาดภายในประเทศและส่งเสริมการบริโภคสินค้าในประเทศ โดยมองว่ามันจะทำให้ "ชาวเม็กซิกันสามารถทำงานและมีความสุขกับถื่นกำเนิดของตัวเองได้ ที่ๆ ครอบครัวของพวกเขาอยู่ ที่ๆ มีวัฒนธรรมประเพณีของพวกเขาอยู่"

ในประเด็นผู้อพยพนั้น อัมโลบอกว่าการอพยพย้ายถิ่นฐานควรจะเป็นการกระทำที่คนๆ นั้นเลือกเอง แทนที่จะต้องอพยพหรือลี้ภัยจากประเทศตัวเองด้วยความจำเป็น ทั้งนี้อัมโลยังมีภาพลักษณ์เป็นผู้วิพากษ์โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นของการกีดกันผู้อพยพและการขู่สร้างกำแพงกั้นสหรัฐฯ กับเม็กซิโก โดยที่อัมโลบอกว่าเขาต้องการเจรจาข้อตกลงกับทรัมป์ในประเด็นผู้อพยพว่าควรแก้ไขปัญหาด้วยการสร้างงานและการพัฒนามากกว่าจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดน

อัมโลกล่าวปราศรัยหลังคำประกาศชัยชนะว่าเขาจะสานสัมพันธ์ใหม่กับสหรัฐฯ โดยเน้นเรื่องความเคารพร่วมกันทั้งสองฝ่ายและการคุ้มครองผู้อพยพชาวเม็กซืโกผู้ที่ทำงานและอาศัยอยู่อย่างสุจริตในประเทศสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังกล่าวว่าเขาจะทำตามแผนการสันติภาพร่วมกับผู้แทนของอยู่สหประชาชาติ กลุ่มสิทธิมนุษยชน และองค์กรศาสนา เพื่อช่วยแก้ปัญหาอัตราอาชญากรรมที่สูงในเม็กซิโก โดยที่อัมโลเคยวิจารณ์ผู้นำคนก่อนหน้านี้ของเม็กซิโกว่าไม่สามารถจัดการปัญหาอาชญากรรมและการทุจริตได้เพราะปล่อยให้มีความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ทวีตแสดงความยินดีกับอัมโลและระบุว่ามีความมุ่งหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับเขา

ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ จะดีขึ้นจริงหรือ?

สื่อสายก้าวหน้าจากสหรัฐฯ Toward Freedom เคยนำเสนอบทความเกี่ยวกับอัมโลตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาโดยระบุว่ามีการประเมินเอาไว้ในสื่อหลายสำนักว่าอัมโลมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูงมาก ขณะที่กลุ่มธุรกิจพยายามกดดันคนงานให้เกลียดอัมโลและขบวนการโมเรนาโดยขู่ว่า "ประชานิยม"ของเขาจะทำให้ประเทศกลายเป็นแบบคิวบาและเวเนซุเอลา แต่ในความเป็นจริงแล้วอัมโลตามจากผู้นำสังคมนิยมของสองประเทศนี้มาก และขณะเดียวกันก็อาจจะส่งอิทธิพลต่อสหรัฐฯ มากกว่าที่ฮิวโก ชาเวซ เคยส่งอิทธิพลไว้เสียอีก

อย่างไรก็ตาม Toward Freedom ประเมินไปในทางตรงกันข้ามกับที่อัมโลแสดงออกไว้ โดยระบุว่าองค์การนานารัฐอเมริกัน (OAS) มักจะปล่อยให้สหรัฐฯ โดดเดี่ยวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทูตสหรัฐฯ มักจะใช้วิธีให้เม็กซิโกเป็นตัวกลางในการส่งอิทธิพลทางนโยบายต่างประเทศในภูมิภาคนี้ แต่การที่อัมโลขึ้นดำรงตำแหน่งก็อาจจะทำให้เขาไม่เล่นตามบทเดิมที่เม็กซิโกเคยเป็นตัวกลางให้สหรัฐฯ กับ OAS อีกต่อไป

นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่าอัมโลจะดำเนินนโยบายปรับปรุงการค้าเสรีกับต่างประเทศในทางที่ให้ประโยชน์กับเม็กซิโกมากขึ้น ขณะเดียวกันการพยายามเสนอนโยบายให้ประชาชนกินดีอยู่ดีขึ้น เช่นการให้สวัสดิการนักศึกษา ทุนการศึกษา ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการพัฒนาชนบท และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหว ก็อาจจะทำให้ชาวเม็กซิกันมีแรงจูงใจในการอพยพออกนอกประเทศน้อยลง

ทว่า Toward Freedom ก็ยังประเมินว่าถ้าหากผู้นำฝ่ายซ้ายคนใหม่ดำเนินนโยบายสำเร็จก็มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะมีท่าทีเชิงรุกและอยากแทรกแซงพวกเขามากขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสหรัฐฯ เคยแทรกแซงประเทศลาตินอเมริกาที่เป็นสังคมนิยม หรือสังคมนิยมประชาธิปไตยมาก่อนแทบทั้งสิ้น

เรียบเรียงจาก

Lopez Obrador scores landslide victory as Mexico votes for change, CNN, 02-07-2018

Leftist Candidate López Obrador Will Likely be Mexico’s Next President: What Will It Mean for the US?, Toward Freedom, 12-06-2018

Mexico's 'Bernie Sanders' Wins in a Huge Historic Landslide With Mandate to Reshape the Nation, Common Dreams, 01-07-2018

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

Andrés Manuel López Obrador, Wikipeida

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ห่วงกลุ่มแรงงาน 'พม่ามุสลิม'ไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ

$
0
0
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ชี้มีชาวพม่าหลายกลุ่มพบอุปสรรคในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากไม่มีเอกสารจากประเทศพม่า เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน เนื่องจากทางการพม่าอ้างว่าไม่สามารถออกเอกสารให้แก่บุคคลคนที่ไม่ได้พำนักในประเทศได้ เสนอผ่อนผันให้กลุ่มที่พิสูจน์สัญชาติไม่ผ่านให้สามารถอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว

 
ที่มาภาพ: กรมการจัดหางาน
 
3 ก.ค. 2561 กระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าจากผลการการดำเนินงานของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ในระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2561 พบว่ามีแรงงานต่างด้าวมาจัดทำทะเบียนประวัติและขออนุญาตทำงาน ณ ศูนย์ OSS ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 347,067 คน แบ่งเป็นกัมพูชา 156,569 คน ลาว 18,210 คน เมียนมา 172,288 คน จากเป้าหมายที่ต้องดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น 348,022 คน คิดเป็นร้อยละ 99.73 โดยเมื่อรวมกับผลการดำเนินการในระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2561 จำนวน 840,736 คน อย่างไรก็ตามจากผลสำเร็จในการดำเนินการครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลมีข้อมูลแรงงานต่างด้าวเพื่อให้มีการควบคุมง่ายขึ้น แรงงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย โดยมีแรงงานต่างด้าวที่เข้าสู่ระบบถูกต้องตามกฎหมายจำนวนทั้งสิ้น 1,187,803 คน แบ่งเป็นกัมพูชา 350,840 คน ลาว 59,746 คน เมียนมา 777,217 คน คิดเป็นร้อยละ 90 จากเป้าหมายที่ต้องดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2561 จำนวนทั้งหมด 1,320,035 คน 
 
โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงมหาดไทย สาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และประเทศต้นทางทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการของศูนย์ OSS ให้เป็นผลสำเร็จ สำหรับขั้นตอนต่อไปแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเลขประจำตัว 13 หลัก จะไม่มีสิทธิ์อยู่ในประเทศไทยต่อไปได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เจ้าหน้าที่จัดหางานจังหวัด ตำรวจ และฝ่ายปกครองจะมีการสุ่มตรวจจากข้อมูลการร้องเรียน และด้านการข่าว ซึ่งจะเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย
 
"หากพบคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับ 10,000 - 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากแรงงานต่างด้าวที่ประสงค์จะทำงาน ในประเทศไทยจะต้องเข้ามาในรูปแบบการนำเข้าตามระบบ MOU เท่านั้น"พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด
 
ห่วงกลุ่มแรงงาน 'พม่ามุสลิม'ไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ
 
ข้อมูลจาก MWG WEEKLY UPDATE ประจำสัปดาห์ที่ 2 ก.ค.2561 ของเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) ระบุว่าจากมาตรการการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายให้แรงงานข้ามชาติเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติเพื่อขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาตินั้นมาจากความเชื่อว่าแรงงานจะสามารถผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติได้ แต่พบว่ามีชาวพม่าหลายกลุ่มพบกับอุปสรรคในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติจนทำให้ไม่สามารถขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติได้ ซึ่งเครือข่ายฯ พบว่ากลุ่มที่พิสูจน์สัญชาติไม่ผ่านนั้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากไม่มีเอกสารจากประเทศพม่า เช่น บัตรประจำตัวประชาชน  ทะเบียนบ้าน เนื่องจากทางการพม่าอ้างว่าไม่สามารถออกเอกสารให้แก่บุคคลคนที่ไม่ได้พำนักในประเทศได้   
 
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นรัฐบาลไทยควรพิจารณาแนวทางการจัดการที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับกลุ่มพม่ามุสลิมที่ไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาตินี้ได้มี กล่าวคือ 1. รัฐควรมีมาตรการเร่งด่วนผ่อนผันการจับกุมและการส่งกลับแรงงานที่พิสูจน์สัญชาติไม่ผ่านหลังจาก 30 มิ.ย. 2561 และรวมถึงผู้ติดตามด้วย 2. เมื่อปี พ.ศ. 2548 ประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลไร้สถานะที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกกลุ่ม โดยมีการได้สำรวจและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย เพื่อควบคุมและบริหารจัดการไม่ให้มีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นนโยบายที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก และจากปัญหาแรงงานกลุ่มที่พิสูจน์สัญชาติไม่ผ่านและมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทย  ดังนั้นรัฐบาลไทยควรทบทวนยุทธศาสตร์นี้เพื่อปรับใช้กับบุคคลกลุ่มนี้ด้วย 
 
3. รัฐบาลไทยควรมีนโยบายเฉพาะให้กับกลุ่มคนต่างด้าวที่ไม่สามารถกลับไปยังประเทศต้นทางได้  มีข้อมูลความจริงว่าชาวพม่ามุสลิมมีความเสี่ยงต่อการถูกประหัตประหารในประเทศต้นทางของเขา การบังคับส่งกลับคืนสู่มาตุภูมิกับคนกลุ่มนี้ไปยังประเทศพม่าอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะการส่งกลับนั้นอาจจะมีข้อกังวลต่อความปลอดภัยของพวกเขา และประเทศไทยต้องเคารพและปฏิบัติตามหลักการการไม่ผลักดันกลับ (non-refoulement) ในระหว่างที่หาทางออกในการให้สถานะให้คนกลุ่มนี้ รัฐบาลไทยควรจะต้องร่วมหาทางออกกับประเทศต้นทางและประเทศที่สามด้วย ทางเลือกนี้จะช่วยให้หน่วยงานระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคได้เห็นปัญหาของคนกลุ่มนี้  และ 4. พิจารณาผ่อนผันให้กลุ่มที่พิสูจน์สัญชาติไม่ผ่านให้สามารถอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ประกอบกับมาตรา 63/2 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสม. ชี้แจง 4 ปมจากรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของรัฐบาลสหรัฐฯ

$
0
0

กสม. ออกคำชี้แจง รายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่ การตรวจสอบเรือนจำในเชิงระบบและเรือนจำใน มทบ. 11 ตร.ถูกร้องว่าเป็นผู้กระทำละเมิดเพิ่ม กสม.ไม่สามารถฟ้องคดีเมื่อมีการละเมิด และปัญหานิยามของการคุกคามทางเพศที่คลุมเครือ 

3 ก.ค.2561 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 22/2561 เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2561 มีมติให้เผยแพร่คำชี้แจงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ 2/2561 กรณีการรายงานการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา สืบเนื่องจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่เอกสารรายงานการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศต่าง ๆ ประจำปี ค.ศ. 2017 (Country Reports on Human Rights Practices for 2017) เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยด้วย นั้น

โดย กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รายงานฉบับดังกล่าวได้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยบางส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม จึงได้ดำเนินการตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องของสถานการณ์นั้นเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ตามหน้าที่และอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 247 (4) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (4) และมาตรา 44 

รายละเอียดคำชี้แจงของ กสม. มีดังนี้ 

คำชี้แจงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ 2/2561

กรณีการรายงานการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา

ตามที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่เอกสารรายงานการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศต่าง ๆ ประจำปี ค.ศ. 2017 (Country Reports on Human Rights Practices for 2017) เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยด้วย นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า รายงานฉบับดังกล่าวได้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยบางส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงได้ดำเนินการตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องของสถานการณ์นั้นเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ตามหน้าที่และอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 247 (4) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (4) และมาตรา 44 ดังต่อไปนี้

1. กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่าไม่มีการตรวจสอบเรือนจำในเชิงระบบ ซึ่งรวมถึงเรือนจำในมณฑลทหารบกที่ 11 นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอชี้แจงว่า ในแต่ละปี เมื่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำหรือญาติของผู้ต้องขัง ก็ได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรือนจำหลายกรณี รวมไปถึงกรณีการร้องเรียนกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารคุกคามทนายความในระหว่างการให้คำปรึกษาแก่ลูกความที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ตั้งอยู่ในมณฑลทหารบกที่ 11 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งกรณีดังกล่าวคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับหนังสือชี้แจงข้อมูลจากกองทัพบกและกรมราชทัณฑ์ว่า เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับกรมราชทัณฑ์ สังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมผู้ต้องขังในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงและคดีที่เกี่ยวเนื่อง ญาติของผู้ต้องขังสามารถเยี่ยมได้ตามปกติ และผู้ต้องขังมีสิทธิอื่น ๆ ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์   โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสามารถประสานงานกับกรมราชทัณฑ์เพื่อเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตามปกติ

นอกจากนี้ สำหรับการตรวจสอบเรือนจำในเชิงระบบนั้น ในปี 2559-2560คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ดำเนินโครงการตรวจเยี่ยมสถานที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งห้องขังของสถานีตำรวจและเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งรวมถึงเรือนจำชั่วคราว  แขวงถนนนครไชยศรีด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าไปตรวจสภาพทางกายภาพทั่วไป เช่น สถานที่ตั้ง โครงสร้างอาคาร ห้องเยี่ยม ห้องเขียนคำร้องเรียนหรือร้องทุกข์ ห้องพยาบาล เป็นต้น รวมทั้งมีการขอทราบข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการปฏิบัติงาน เช่น การรักษาความปลอดภัย การรับตัวผู้ต้องขัง การตรวจร่างกายผู้ต้องขัง การลงโทษ การจำตรวน การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังพิเศษ (อาทิ ชาวต่างชาติ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ บุคคลหลากหลายทางเพศ) การรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิของผู้ต้องขังที่จะได้รับการเยี่ยมจากทนายความและญาติ เป็นต้น อีกทั้งยังได้มีการสอบถามไปถึงข้อจำกัดหรืออุปสรรคในการปฏิบัติงานภายใต้ระบบงานของเรือนจำอีกด้วย โดยข้อมูลจากการตรวจเยี่ยมทั้งหมดจะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายและหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากสถานที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อไป

2. กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2560 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับคำร้องจำนวน 404 เรื่อง ในจำนวนนี้ปรากฏว่ามี 94 เรื่อง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำละเมิด ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอชี้แจงว่า เนื่องจากรายงานการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในหัวข้อนี้ไม่ได้ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลและช่วงเวลาเริ่มต้นของการจัดเก็บสถิติเรื่องร้องเรียนที่มีการร้องไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงไม่อาจตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงได้ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบในฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียนของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560   ถึงเดือนกันยายน 2560 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับคำร้องจำนวน 469 เรื่อง  ในจำนวนนี้ปรากฏว่ามี 70 เรื่อง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำละเมิด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 พบว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับคำร้องจำนวน 645 เรื่อง ในจำนวนนี้ปรากฏว่ามี 94 เรื่อง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำละเมิด จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ถึงเดือนกันยายน 2560 จำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมดและเรื่องร้องเรียนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำละเมิดนั้น  มีจำนวนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559

3. กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถฟ้องคดีเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 257 ได้กำหนดให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจในการเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่ากฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม แต่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติที่ให้อำนาจคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการเสนอเรื่องและฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้น การที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไม่ฟ้องคดีต่อศาลเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น จึงเป็นผลมาจากกฎหมายปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจไว้ อย่างไรก็ตาม มาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 ได้บัญญัติให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสามารถร้องทุกข์หรือกล่าวโทษแทนผู้เสียหายได้ ในกรณีที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องใดเป็นความผิดอาญา และผู้เสียหายไม่อยู่ในฐานะที่จะร้องทุกข์หรือกล่าวโทษด้วยตนเองได้

4. กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า องค์กรพัฒนาเอกชนระบุว่าการกำหนดนิยามของการคุกคามทางเพศที่คลุมเครือ ส่งผลให้การฟ้องร้องเป็นไปได้ยากและนำไปสู่การใช้บังคับกฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอชี้แจงว่า ประเทศไทยได้ให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทำส่อไปในเรื่องเพศกว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ (1) การละเมิดต่อจริยธรรม และการกระทำที่เป็นความผิดต่อกฎหมายอาญา ในส่วนของการละเมิดต่อจริยธรรมเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้สำหรับผู้ที่มีสถานะเป็นข้าราชการ หรือพนักงานของรัฐ อาทิ กฎ ก.พ. ว่าด้วยการกระทำอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้ข้าราชการพลเรือนสามัญกระทำการต่อข้าราชการหรือผู้ร่วมปฏิบัติราชการอันถือว่าเป็นการละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกสถานที่ราชการ โดยผู้ถูกกระทำมิได้ยินยอมต่อการกระทำนั้น หรือทำให้เดือดร้อนรำคาญ ถือว่าข้าราชการผู้นั้นกระทำผิดทางวินัย รวมถึงคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 เห็นชอบและให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระยังได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ต้องไม่กระทำการอันมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศจนเป็นเหตุทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยผู้ถูกกระทำอยู่ในภาวะจำต้องยอมรับในการกระทำนั้น และ (2) ระดับการกระทำที่เป็นความผิดต่อกฎหมายอาญา โดยในประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่า หากเป็นการกระทำที่มีลักษณะที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นนิยามที่ชัดเจนเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศก็จะเป็นความผิดลหุโทษ แต่หากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการอนาจารหรือข่มขืนกระทำชำเรา ประมวลกฎหมายอาญาลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ ก็ได้บัญญัติโทษสำหรับความผิดหนักขึ้นตามระดับความร้ายแรงของความผิดที่ได้กระทำ

จึงชี้แจงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

27 มิถุนายน 2561

 

สำหรับการตั้งคณะทำงานติดตามและเฝ้าระวังการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย สนง. กสม. เคยชี้แจงไว้เมื่อ 26 เม.ย.ที่ผ่านมาด้วยว่า เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 247 (4) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (4) และมาตรา 44 ซึ่งกำหนดให้ กสม. มีหน้าที่และอำนาจในการชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม  การแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบรายงานการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จึงเป็นการทำหน้าที่ของ กสม. ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว มิใช่การตรวจหาความผิดของผู้จัดทำรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

หมายเหตุ : ประชาไทมีการแก้ไขพาดหัวและโปรยข่าว เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 3 ก.ค.2561

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐผุดโครงการผู้สูงอายุทุกคนต้องมีคนดูแล ลุยแก้กฎหมายเปิดช่อง อปท.จ้างนักบริบาลชุมชน

$
0
0

รมต.ประจำสำนักนายกฯ ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดนโยบายรัฐ ได้ข้อสรุปลุยแก้กฎหมาย-ระเบียบ เปิดช่องให้ อปท.จ้างนักบริบาลชุมชนดูแลผู้สูงอายุติดเตียงได้ คาดใช้งบประมาณ 2,000 ล้าน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนแก่ทั่วประเทศ

แฟ้มภาพจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส)

3 ก.ค.2561 ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมี กอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณา 3 นโยบายสำคัญ โดยหนึ่งในนั้นคือการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (ผู้ป่วยติดเตียง) ภายใต้โครงการท้องถิ่นทั่วไทยผู้สูงอายุมีคนดูแล

กอบศักดิ์ เปิดเผยว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเตียงประมาณ 2 แสนราย และมีผู้ป่วยติดบ้านที่ในอนาคตจะพัฒนามาเป็นผู้ป่วยติดเตียงอีกกว่า 3 แสนราย และที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือในอนาคตทุกคนจะต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง หากใครโชคดีหรือมีฐานะก็สามารถจ้างคนมาดูแลตัวเองได้ แต่คนจำนวนมากจะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยโดยที่ไม่มีคนดูแล

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ใส่ใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวและมองว่าผู้สูงอายุทุกคนในประเทศไทยควรจะมีคนดูแล จึงได้ร่วมกันหารือถึงการปรับแก้กฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมในการสร้างนักบริบาลทั่วประเทศไทยเข้าไปดูแลประชาชนตามชุมชนต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีระเบียบรองรับ

กอบศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวลงทุนไม่มาก เฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุในประเทศไทยมีสวัสดิการ และนำไปสู่การเกิดการจ้างงานในชุมชน ส่งผลให้แต่ละครอบครัวคลายกังวลและมีประสิทธิภาพในการทำงานได้ดีขึ้น โดยรวมจะนำมาสู่ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ยืนยันว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

กอบศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้หารือถึงแผนการดำเนินการเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว คาดว่าในวันที่ 5 ก.ค.นี้ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะนำนโยบายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณา หลังจากนั้นจะมีการดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า ส่วนงบประมาณคาดว่าในปีแรกจะใช้ 2,000 ล้านบาท โดยในระยะยาวจะผ่องถ่ายจาก สปสช.ให้ท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลหลักต่อไป

นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการดูแลผู้สูงอายุในช่วงต้นของโครงการ โดยให้หาแนวทางการจัดบริการเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดบ้านและติดเตียงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

"เราได้ดำเนินโครงการไปบางส่วนแล้ว ในวันนี้ที่รัฐบาลพิจารณาคือการนำโครงการที่ สปสช.ได้ทำร่วมกับ อปท.มาดูว่าการดำเนินงานมีข้อติดขัดอะไรบ้าง ซึ่งในวันนี้ข้อติดขัดเหล่านั้นก็ได้ทางออกแล้ว” นพ.ประจักษวิช กล่าว

นพ.สันติ ลาภเบญจกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำสนธิ จ.ลพบุรี กล่าวว่า ที่ อ.ลำสนธิ ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว มีผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ประกอบกับความเป็นชนบท ความยากจน ขณะที่คนหนุ่มสาวเข้ามาใช้ชีวิตในเมือง ส่งผลให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะอาศัยและดูแลผู้สูงอายุด้วยกันเอง

นพ.สันติ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือผู้สูงอายุดูแลกันเองไม่ไหว บางรายไม่ได้อาบน้ำหลายวัน บางรายรับประทานอาหารไม่ไหว สภาพดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นทุกข์ที่เกินทุกข์ นั่นจึงนำมาสู่กระบวนการช่วยเหลือเยียวยา โดยทางโรงพยาบาลลำสนธิได้ส่งพยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด เข้าไปดูแลถึงบ้าน ซึ่งภาพรวมของกระบวนการดูแลเป็นไปอย่างดี

อย่างไรก็ตาม อีกกระบวนหนึ่งที่ดีมากๆ คือทางท้องถิ่นได้ช่วยจัดจ้างนักบริบาลชุมชนเพื่อเข้าไปช่วยดูแลผู้สูงอายุกลุ่มนี้ด้วย แต่ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มีกลไกการตรวจสอบเข้ามาแล้วระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่มีระเบียบหรือข้อกำหนดรองรับ นั่นทำให้โรงพยาบาลลำสนธิทำงานยากลำบากขึ้น ซึ่งการประชุมในวันนี้เป็นนิมิตรหมายทีดีที่จะช่วยปลดล็อกเงื่อนไขเหล่านั้นออกไป

นพ.สันติ กล่าวอีกว่า ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ต้องอาบน้ำทุกวัน ต้องรับประทานอาหารสามมื้อ การลงไปดูแลจึงเป็นงานที่หนัก เราจึงเกิดกระบวนการนักบริบาลชุมชนขึ้นมา เพื่อเข้าไปอาบน้ำ สระผม ป้อนข้าว คือทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นอย่างดี ผลก็คือทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุดีขึ้น

“ต้องขอบคุณรัฐบาลที่หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นนโยบายเร่งด่วน และจะปลดล็อกกฎหมายต่างๆ ผมคิดว่าถ้าปลดล็อกแล้วไม่เพียงแต่โรงพยาบาลลำสนธิจะดำเนินการเรื่องนี้ได้อย่างเข้มข้นต่อไป แต่โรงพยาบาลอื่นๆ จะสามารถดำเนินการได้ด้วย” นพ.สันติ กล่าว

จำเริญ ต่อโชติ นักบริบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) กุดตาเพชร จ.ลพบุรี กล่าวว่า ปัญหาของผู้สูงอายุที่ติดบ้านติดเตียงจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่ไม่มีคนดูแล คืออยู่กับบุตรหลานที่ทำงานนอกบ้าน ในสมัยที่ยังไม่มีนักบริบาลเข้าไปดูแลพบว่าคุณภาพชีวิตแย่มาก จานข้าวที่บุตรหลานเตรียมไว้ก่อนออกไปทำงานก็เต็มไปด้วยมด ผู้สูงอายุนอนแช่อุจจาระตั้งแต่เช้าถึงเย็น

“ภาพแบบนี้ชุมชนเมืองอาจจะไม่เจอ แต่ในต่างจังหวัดหรือชุมชนชนบทจะพบมาก ผู้สูงอายุเหล่านั้นต้องการความช่วยเหลือจากเรามากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แพมเพิด การดูแลต่างๆ นาๆ เราดูแลทั้งผู้ป่วยและญาติที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยด้วย” น.ส.จำเริญ กล่าว

จำเริญ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวอยากให้มีนักบริบาลไปดูแลผู้ป่วยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยทุกวันนี้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ให้ค่าจ้างเดือนละ 6,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีคนมาจ้างนักบริบาลไปดูแลผู้ป่วยเป็นการเฉพาะ โดยเสนอเงินเดือนให้ 20,000 บาท แต่นักบริบาลก็ไม่ไป ส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่กับชุมชน ยืนยันว่าทุกอย่างที่ทำไปนั้นทุกคนทำด้วยใจ เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวผู้ป่วยติดเตียง

สำหรับสถานการณ์ที่รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ระบุว่า ที่ผ่านมากรมอนามัยได้พัฒนานักบริบาลชุมชน (Care Giver) จำนวนกว่า 5 หมื่นคน ในปี 2561 โดยมีเป้าหมาย 1 นักบริบาลต่อ 5-10 ผู้สูงอายุเป้าหมาย รวมทั้งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับนักบริบาลอีกเดือนละ 6,000 บาท

ในส่วนของปัญหาของผู้ป่วยติดเตียงในปัจจุบันคือยังไม่มีกฎระเบียบหรือประกาศที่กำหนดให้การดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงให้เป็นภารกิจของท้องถิ่น อย่างไรก็ตามศูนย์ผู้สูงอายุของท้องถิ่นหลายแห่งมีการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีแนวทางการดำเนินงาน และการบริหารจัดการต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น การจ่ายค้าตอบแทนหรือค่าจ้างนักบริบาล

นอกจากนี้ ปัจจุบันงบประมาณที่ สปสช.ได้รับ เป็นค่าบริการสาธารณสุขโดยจ่ายให้หน่วยบริการซึ่งให้รวมค่าใช้จ่ายทั้งวัสดุอุปกรณ์และบุคลากรไปด้วย จึงไม่เพียงพอในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับนักบริบาล และการจ่ายค่าตอบแทนหรือค่าจ้างนั้น ในปัจจุบันยังเป็นการจ่ายในลักษณะอาสาสมัครทำให้ไม่จูงใจต่อการทำงาน

สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับการจากการดำเนินโครงการ ได้แก่ 1.ผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง จะได้รับการดูแลไม่น้อยกว่า2 แสนคนต่อปี ทำให้เกิดการจ้างงานนักบริบาลประมาณ 2.6 หมื่นคน ซึ่งจะเป็นประชากรในท้องถิ่น และท้องถิ่นราว 5,200 แห่ง จะมีระบบการดูแลผู้สูงอายุที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาการปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อให้ครอบคลุมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะผู้ดูแล อปท. เป็นหน่วยงานหลัก มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในท้องถิ่น

ตั้งแต่การจัดทำทะเบียนและข้อมูลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ที่รับผิดชอบ แจ้งรายชื่อให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอตั้งงบประมาณ ดำเนินการดูแล ป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟูและพัฒนาสุขภาพ จัดสวัสดิการที่จำเป็น จัดกิจกรรมและการจ้างงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และให้มีระเบียบ มท.ที่กำหนดให้ อปท.สามารถตั้งงบประมาณเพื่อสมทบกองทุนได้

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ขอสื่อเสนอข่าว 'ทีมหมูป่า'คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล

$
0
0

3 ก.ค. 2561 สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ขอความร่วมมือสื่อมวลชนปฏิบัติงานรายงานความคืบหน้าการกู้ภัยและเหตุการณ์หลังจากช่วยผู้ประสบภัยทั้ง 13 ชีวิตโดยคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลและร่วมกันนำเสนอประเด็นอย่างสร้างสรรค์

จากเหตุการณ์นักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าอคาเดมี่และผู้ฝึกสอน รวม 13 คน ติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ในวนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่สามารถค้นหาจนพบแล้วเมื่อค่ำวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในสถานการณ์การรายงานข่าวต่อจากนี้ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าวให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเคารพสิทธิของเด็กและผู้ประสบภัย ดังนี้

  1. สื่อมวลชนควรร่วมหารือแนวทางการนำเสนอข่าวร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการสัมภาษณ์ผู้ประสบภัยและครอบครัว ในลักษณะของการทำข้อมูลร่วมกัน (Pool Interview) เพื่อให้ผู้ประสบภัยไม่ต้องเสียเวลาในการตอบคำถามเดียวกันจากแต่ละสำนักข่าว และมีเวลาในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้เต็มที่ การรายงานสถานการณ์ควรร่วมมือกันทำงานไปในทิศทางเดียวกันและแบ่งปันข้อมูลกันเพื่อให้เป็นระเบียบและไม่เกิดการแย่งชิงพื้นที่จนกระทบต่อสิทธิและความเป็นส่วนตัวของผู้ประสบภัย และส่งผลต่อคุณภาพของการรายงานข่าวรวมทั้งอาจขัดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพของสื่อมวลชน
  2. สื่อมวลชนควรทำงานร่วมกับแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อให้เกิดความเข้าใจสถานการณ์ รูปแบบการตั้งคำถาม การปฏิบัติตัวต่อผู้ประสบภัยอย่างเหมาะสม พึงระวังไม่ตั้งคำถามที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด แตกแยก สร้างความสะเทือนใจ สื่อควรทำหน้าที่รายงานข่าวเพื่อให้สังคมเข้าใจสถานการณ์ และไม่ทำให้เกิดการแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมต่อประเด็นอันจะกระทบต่อผู้ประสบภัยในทางที่ไม่สมควร
  3. พึงละเว้นการสืบค้นประวัติ ภาพ และข้อมูลของเด็ก เยาวชน และผู้ฝึกสอน อันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และกระทบต่อสิทธิในการกลับสู่การใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่ตกเป็นเป้าของสังคมผ่านการนำเสนอเจาะลึกชีวิตของสื่อ
  4. พึงระวังการนำเสนอที่เป็นลักษณะของการพยายามหาคนผิดของเหตุการณ์ แต่ควรมีการรายงานข่าวที่นำไปสู่การหาทางออกและการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในเชิงระบบ เช่น การถอดบทเรียนการบริหารจัดการ การจัดระเบียบและความปลอดภัยของการท่องเที่ยว และการให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นต้น

 

"ขอขอบคุณและชื่นชมสื่อมวลชนที่ร่วมกันนำเสนอสถานการณ์อย่างรอบด้าน ชัดเจน และช่วยกันตรวจสอบข้อมูลเพื่อเป็นที่พึ่งของสังคม โดยปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ในการรายงานสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารของคนในสังคม จากนี้ไปการขยายประเด็นข่าวให้มีความสร้างสรรค์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมและแนวปฏิบัติของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะเป็นบทพิสูจน์คุณค่าของสื่ออาชีพในการเป็นที่พึ่งของสังคมอย่างแท้จริงต่อไป" สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุตอนท้าย

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่ใช่กรณีแรก! รองนายก อบต.น้ำพี้ ถูกกดดันให้ลาออก หลังร่วมกิจกรรมพรรคอนาคตใหม่

$
0
0

โฆษกพรรคอนาคตใหม่ชี้ไม่ใช่กรณีแรกที่ผู้สนับสนุนพรรคโดนคุกคาม ระบุหากเกิดกรณีแบบนี้อีกก็จะออกแถลงการณ์อีกเพื่อให้สื่อรับรู้ ยันไม่หยุดที่จะพบปะประชาชน ชี้ไม่รู้จะจัดตั้งพรรคมาทำไม หากมีพรรคแล้วไม่ได้ทำอะไร พร้อมชวนย้อนดูเหตุการณ์ของพรรคอื่นที่โดน คสช. ตักเตือนหลังทำกิจกรรมการเมือง 

(ภาพจากเพจ อนาคตใหม่ - the future we want) 

2 ก.ค.ที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ได้ออกแถลงการณ์กรณีที่ ภิศิษฐ์ วงศ์ทอง รองนายก อบต.น้ำพี้ จังหวัดอุตรดิตถ์ถูกกดดันจากองค์กรที่สังกัด โดยข้อกล่าวหาว่าเขาเข้าร่วมการมั่วสุมชุมนุมทางการเมือง หลังจากที่รองนายก อบต. น้ำพี้ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่พาธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และผู้ร่วมจัดตั้งพรรค เดินทางไปพบปะประชาชนที่จังหวัดอุตรดิตถ์ รับฟังปัญหาและแนวทางแก้ไขจากคนในท้องถิ่น

 “ทำให้ล่าสุด ภิศิษฐ์ ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรองนายก อบต.น้ำพี้ เพื่อให้การบริหารองค์กรสามารถเดินหน้าไปได้ แม้จะยืนยันว่าการเข้าร่วมสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของชาวอุตรดิตถ์ ถือเป็นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่สามารถทำได้โดยไม่ควรถูกคุกคามโดยรัฐ” แถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ ระบุ

ประชาไทสัมภาษณ์ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเธอเพิ่มเติมรายละเอียดว่า ทางพรรคได้ลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. ไปทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก ซึ่งทางภาคเหนือพบว่าปัญหาส่วนใหญ่คือเรื่องการเกษตร สิทธิที่ดินทำกิน สินค้าเกษตรราคาตก  โดยการลงพื้นที่ส่วนใหญ่จะมีตำรวจทหารมาสังเกตการณ์แต่ไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อกลับมา ภิศิษฐ์ รองนายก อบต.น้ำพี้ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเรียกไปคุย และมีการกดดันว่าทำผิดคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/58 มั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คน และกดดันอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดต้องทำหนังสือลาออกจากการเป็นรองนายก อบต. เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

พรรณิการ์ชี้ว่า กรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรกที่ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่โดนคุกคาม แต่ก่อนหน้านี้สมาชิกพรรคก็ถูกคุกคามในหลายพื้นที่ ก่อนหน้านี้เราก็มีแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กรณีนี้เป็นกรณีแรกที่ต้องมีการลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งอาจเป็นเพราะภิศิษฐ์เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคและเป็นผู้ประสานงานในพื้นที่อื่นส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านปกติ ซึ่งก็ถูกคุกคามเช่นกัน เพียงแต่ไม่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเช่นกรณีนี้ และพวกเขาก็ค่อนข้างชินจากการถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยก่อนหน้านี้ในวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่ได้จัดการประชุมจัดตั้งพรรค ซึ่งมีสมาชิกพรรคมาเกือบทุกจังหวัดของประเทศ ในวันงานมีเจ้าหน้าที่มาถ่ายรูปทะเบียนรถทุกคันที่จอดอยู่บริเวณห้องประชุม หลังจากนั้นเมื่อสมาชิกกลับไปในพื้นที่ สมาชิกหรือแม้แต่สมาชิกที่เป็นเครือข่ายเยาวชนโดยเฉพาะภาคเหนือและอีสานถูกเจ้าหน้าที่ตามไปที่บ้านและคุกคามทำให้หวาดกลัว โดยกล่าวในทำนองว่า การไปประชุมแบบนี้เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและทำไม่ได้ ในขณะที่ความเป็นจริงคือการประชุมครั้งนี้นั้นถูกต้องตามกฎหมาย เพราะได้ขออนุญาตการประชุมจาก คสช. ผ่าน กกต. เช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

“เรายืนยันที่จะลงพื้นที่ต่อไป คงไม่หยุดที่จะไปพบปะกับประชาชน เพราะพรรคการเมืองเราเป็นพรรคใหม่ แล้วก็มีเวลาไม่มากจนกว่าจะถึงการเลือกตั้ง หน้าที่ของพรรคการเมืองคือการลงไปพบคนในพื้นที่เพื่อดูว่าปัญหาคืออะไร ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะจัดตั้งพรรคการเมืองมาทำไม ถ้าเราจะตั้งเสร็จแล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย เราก็คงต้องเผชิญกับ คสช. ไปแบบนี้ ถ้าสมาชิกถูกคุกคามแบบนี้อีก คือกระทบกับชีวิตของเขาอย่างหนัก เช่น ต้องออกจากงาน เราก็ทำได้เพียงการออกแถลงการณ์แบบนี้ออกมา เพราะเอาเข้าจริงเราไม่ได้มีอาวุธหรืออำนาจที่จะไปสู้รบปรบมือกับ คสช. ได้อยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อเราแถลงการณ์และสื่อให้ความสนใจ ก็จะทำให้ คสช. ต้องคิดมากขึ้นในการจะทำอะไรโจ่งแจ้งแบบนี้” พรรณิการ์กล่าวทิ้งท้าย

ช่วงเวลาขณะนี้ที่ยังไม่มีการปลดล็อกพรรคการเมือง ยังห้ามการแถลงนโยบายหรือการหาเสียง การลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนดูจะเป็นทางเลือกเดียวที่เหลือสำหรับทุกพรรคการเมือง และไม่ใช่เพียงแค่พรรคอนาคตใหม่ที่ประสบปัญหา สุรชาติ เทียนทอง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตหลักสี่ ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทยสาขาเขตหลักสี่ ก็เจอคำสั่งของผอ.เขตหลักสี่ อ้างคำสั่ง คสช. ไม่ให้มีกิจกรรมการเมือง สั่งห้ามขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของพรรค รวมถึงกิจกรรมฉีดยุง วัคซีนหมาแมว (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว 16 ต.ค. 60 เกิดกระแสวิพากษณ์วิจารณ์ว่าเป็นการทำกิจกรรมทางการเมือง จากกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย จัดกิจกรรมเชิญชวนประชาชนย่านลาดปลาเค้า เขตลาดพร้าว และพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ เขตลาดพร้าว เขตบางเขน ร่วมงาน “ดอกดาวเรืองแทนดวงใจ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” โดยติดชื่อตนเองที่รถขยายเสียง มีรถนำขบวน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่าจะให้ คสช.พูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ในเรื่องนี้ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอในแฟนเพจเฟซบุ๊คของตนเองโดยมีข้อความบรรยายว่า ได้นำสับปะรดที่ซื้อโดยตรงจากเกษตรกรชาวไร่สับปะรดมาแจกประชาชนในย่านพระราม 8 ซึ่งเป็นเขตฐานเสียงของรัชดา โดยในวิดีโอนั้นเป็นภาพของรถขนสับปะรดที่มีรูปและชื่อของ รัชดา ธนาดิเรก ในฐานะพรรคประชาธิปัตย์อยู่ชัดเจน แต่ก็ยังไม่เกิดการตีความว่าผิดประกาศ คสช.ที่ 57/2557 ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองใดๆ หรือผิดคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วอยซ์ทีวี'เล็งฟ้องศาลปกครอง หลัง กสทช. แบน (อีกแล้ว) 2 รายการ

$
0
0

ผอ.อาวุโสฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการวอยซ์ทีวี ระบุ กสทช. พักออกอากาศสองรายการข่าวกระทบทั้งเรตติ้งและรายได้ จะปรับแก้ตามที่ถูกท้วงติงแต่ทิศทางการทำข่าวยังเหมือนเดิม กำลังปรึกษาทนาย เล็งฟ้องศาลปกครอง อดีต กสทช. ชี้ คำสั่ง คสช. ให้ กสทช. กด ‘สูตรอมตะ’ แบนสื่อต่อเนื่องและโฉ่งฉ่าง

โลโก้วอยซ์ทีวี

ข่าวการค้นพบทีมฟุตบอลหมูป่าที่ติดในถ้ำขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เป็นที่ปรากฏอย่างแพร่หลาย รวดเร็วบนหน้าสื่อทั้งไทยและต่างชาติ แต่ไม่ใช่ที่รายการข่าว Daily Dose และ Wake Up News ของช่องวอยซ์ทีวี เพราะเมื่อวานนี้เพิ่งมีคำสั่งจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้พักออกอากาศเป็นเวลาสามวัน (2-4 ก.ค. และ 3-5 ก.ค. ตามลำดับ)

รายละเอียดคร่าวๆ ของการพักออกอากาศสองรายการข่าวมีดังต่อไปนี้

  1. คำสั่งของ กสทช. แบนรายการ Daily Dose จากเทปที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2561 นำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยเปรียบเทียบกรณีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่กับภาพยนตร์เรื่อง “No Country For Old Men” ว่า ผู้ครองอำนาจเดิมแทรกแซง ข่มขู่ บุคคลที่จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อให้สามารถจัดตั้งพรรคได้ อันเป็นการกีดกันไม่ให้คนยุคใหม่ได้เข้ามาบริหารปกครองประเทศในลักษณะ “No Country For Young Men” และนำเสนอบทสัมภาษณ์แกนนำกลุ่มบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ผู้ดำเนินรายการมีการแสดงความเห็นโดยปราศจากความเป็นลาง รวมทั้งแสดงความเห็นในเชิงก่อให้เกิดการแบ่งแยกของคนในสังคม ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อ 3(5) ของประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของ คสช. และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในประกาศ คสช. ฉบับที่ 103/2557 (ประกาศฉบับที่ 97) และถือเป็นการออกอากาศเนื้อหาต้องห้ามไม่ให้ออกอากาศ และขัดต่อเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ของวอยซ์ทีวี ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างบริษัทฯ กับ กสทช. ฉบับลงวันที่ 4 มิ.ย. 2557
  2. Wake Up News ถูกแบนจากเทปที่มีการสรุปความเห็นของ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียาเวส จากการเสวนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า “การรัฐประหารมักจะถูกกระทำโดยทหารที่ถูกปลูกฝังให้อยากเป็นใหญ่แต่ไม่คิดจะทำตามระบบ ไม่คิดอยากจะเลือกตั้ง คิดแต่จะยึดอำนาจ และเขียนกฎหมายเพื่อให้รองรับการสืบทอดอำนาจ” ก่อนนำคลิปเสียงของเสรีพิศุทธ์ ในงานเสวนาดังกล่าวมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งงานเสวนาดังกล่าวมีผู้ร่วมเสวนาหลายคน แต่ผู้ดำเนินรายการเลือกที่จะเสนอเฉพาะความเห็นของเสรีพิศุทธ์เท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นความเห็นที่ไม่เห็นพ้องและโจมตีรัฐบาล อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนต่อการปฏิบัติหน้าที่รวมถึงกระบวนการในการฝึกอบรมและวัฒนธรรมของกำลังพลในกองทัพได้ ถือว่าขัดต่อข้อ 3(5) ของประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 และถือเป็นการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาต้องห้ามไม่ให้ออกอากาศ และขัดต่อเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ของวอยซ์ทีวี ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างบริษัทฯ กับ กสทช. ฉบับลงวันที่ 4 มิ.ย. 2557
 

ประทีป คงสิบ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีกล่าวกับประชาไทว่า ทางวอยซ์กำลังหารือกับทนายความเพื่อเตรียมข้อมูลไปร้องเรียนกับศาลปกครอง  หากวอยซ์เดินหน้าฟ้องศาลปกครองจริงก็จะเป็นครั้งแรกของสถานีฯ ที่จะต่อสู้ในศาลปกครองหลังถูก กสทช. ลงโทษสารพัดชนิดมาร่วม 20 ครั้งนับตั้งแต่รัฐประหาร

“ในกระบวนการไม่มีทางเลือก ต้องไปที่ศาลปกครองอย่างเดียวเพราะโดนมาหลายครั้ง เรายังไม่เคยไปสู้ในทั้งเรียกร้องความยุติธรรมถึงศาลปกครอง ที่ผ่านมาเขาลงโทษมาเราก็ยอมรับสภาพไป ไม่ได้คิดจะต่อสู้ แต่นี่มันหลายครั้ง พอหลายครั้งมากๆ เราก็เชื่อว่าในแง่ของความผิดมันไม่ได้เป็นไปตามที่ กสทช. กล่าวหาหรือที่เขาเชื่ออย่างนั้น เราก็เชื่อว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตใจซึ่งเป็นเสรีภาพตามปรกติของสื่อมวลชนในโลประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้แล้วก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้ ถ้าเราไปฟ้องศาลปกครอง ก็จะเป็นครั้งแรกที่วอยซ์จะตัดสินใจสู้ในชั้นศาลปกครอง”

ประทีปยังระบุว่า คำสั่งพักออกอากาศยังไม่กระทบบทบาทของวอยซ์ในการเป็นสถานีโทรทัศน์วิเคราะห์ข่าวที่ให้น้ำหนักกับข่าวการเมือง ต่างประเทศ เศรษฐกิจ อันเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากช่องอื่นๆ รายการที่ถูกพักนั้น เมื่อกลับมาก็จะเป็นเหมือนเดิม โครงสร้างรายการจะไม่มีการเปลี่ยน ผู้ดำเนินรายการก็จะไม่เปลี่ยน แต่ต้องระวังมากขึ้นในเรื่องที่ กสทช. ท้วงติงอันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองรายการต้องปลิวชั่วคราว

“ก็ต้องระมัดระวังในการนำเสนอเนื้อหา หรือความเห็นที่เขาเคยท้วงติงไว้ เช่น ในแง่ความไม่รอบด้านก็ต้องระวังตรงนี้เพิ่ม ยกตัวอย่างเช่นถ้านักข่าวไปงานเสวนาทางการเมืองประเด็นต่างๆ เนื่องจากเป็นช่วงถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง แล้วมันมีคนที่เป็นตัวแทนไปคุยบนเวทีเสวนาหลายพรรคหลายฝ่าย เวลาจะนำเสนอ ถ้าเราจะปล่อยเสียงก็ควรจะปล่อยเสียงให้ครบทุกพรรค เพื่อไม่ให้เป็นช่องให้เขาหยิบมากล่าวหาว่าไม่นำเสนอรอบด้าน”

“ส่วนประเนื้อหาที่กระทบความมั่นคงเป็นการตีความของ กสทช. ก็ลำบากเหมือนกันถ้าจะไปหลีกเลี่ยงตรงนั้นเพราะเราก็เน้นข่าวเรื่องการเมือง วิเคราะห์ข่าวการเมืองมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะนำเสนออะไรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือนโยบาย ถามว่าเรื่องพวกนี้จะไปกระทบกับความมั่นคงตรงไหน อย่างไร ก็เป็นมุมมองของ กสทช. ที่จะตัดสินใจ เราคิดว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะมันคือการนำเสนอข้อมูลและข้อเท็จจริง นักวิเคราะห์อาจมีความเห็นเพิ่มเติมแต่ก็เป็นความเห็นที่อยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ได้บิดเบือน

ประทีปกล่าวว่า ประเด็นเรื่องการวิเคราะห์หรือนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบหรือละเมิดใครนั้นก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะต้องมาพักออกอากาศกัน เนื่องจากในทางปกติก็มีกฎหมายที่จัดการได้ เช่น กฎหมายหมิ่นประมาท ซึ่งผู้ถูกละเมิดหรือพาดพิงจะออกมาปกป้องตัวเอง รวมถึงแรงต้านจากคนดูที่จะมีผลกับความน่าเชื่อถือของสถานีฯ

ว่าด้วยเรื่องเนื้อหาที่ถูก กสทช. เพ่งเล็งเล่นงานมากที่สุด ผอ.ฝ่ายข่าวและเนื้อหารายการตอบว่าส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาที่ไปพาดพิง วิพากษ์วิจารณ์หรือกล่าวหา คสช. หรือรัฐบาล ซึ่งในความหมายรวมๆ หมายถึงการพาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หรือพาดพิงนโยบายรัฐบาลด้วย การพาดพิงทหารก็เป็นประเด็นที่ถูกเพ่งเล็งเช่นกัน

ดาบ โซ่ แส้ กุญแจมือ: เปิดเครื่องมือเชือด Voice TV และเนื้อหา 3 รายการที่โดนลงโทษ

ในกรณีความเสียหายทางธุรกิจ แม้ยังไม่ได้สรุปตัวเลขออกมา แต่ประทีปกล่าวว่าชะตากรรมที่ไม่แน่นอนของรายการในวอยซ์มีผลกระทบมากต่อความมั่นใจของคนที่อยากมาลงโฆษณาหรือเป็นผู้สนับสนุนรายการ รวมถึงระดับเรตติ้งจากผู้ชม

“ตัวเลขยังไม่ได้สรุปออกมา เพราะจริงๆ ก็แค่สามวัน แต่ในเชิงธุรกิจก็คือการชดเชยลูกค้าให้ได้ ถ้ารายการนี้ออกอากาศไม่ได้สามวันก็จะนับยอดชดเชยให้เขาในวันอื่น แต่กระทบแน่ คงบอกตัวเลขไม่ได้ เพราะนอกจากเรื่องการเสียโอกาสการเอาเวลาไปขายได้เพิ่มก็ต้องเอาเวลาที่จะขายได้เพิ่มมาชดเชยเพราะเราไม่ได้ออกอากาศให้เขาในวันเวลาเดิม ในแง่ความมั่นใจของลูกค้าอันนี้ประเมินยาก ลูกค้าอาจจะมีความมั่นใจลดลงในการมาซื้อโฆษณาหรือสนับสนุนเรา เพราะเดี๋ยวก็ถูกปิดรายการ ถูกพักรายการ เขาก็จะขาดความเชื่อมั่นในการสนับสนุนเรา”

“ในแง่คนดูก็มีผลกระทบ การพักรายการ เวลารายการใหม่ (ที่มาแทนช่วงเวลารายการเดิม) มาบางทีไม่สามารถดึงคนดู้ไว้อย่างรายการเดิมได้ พอรายการหายไประยะหนึ่งแล้วกลับมาก็ไม่ได้หมายความว่าคนดูที่เคยดูยู่จะกลับมาดูทันที มันจะต้องมีเวลาดึงคนดูกลับมาใหม่ เราก็จะมีปัญหานี้เป็นระยะตามที่เราถูกปิด บางทีรายการเรตติ้งกำลังมาดีๆ ก็สั่งพักเรา พอสั่งพักเสร้จ 3 วัน 5 วัน 7 วัน วันเรตติ้งก็หายไป พอรายการกลับมาใหม่ กว่าเรตติ้งจะกลับมาจุดเดิมก็ต้องใช้เวลา”

ด้าน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรรายการ The Daily Dose และ Wake Up News ให้ความเห็นว่า "ไม่เป็นไร อีกสักพักก็กลับมานำเสนอรายการตามปกติต่อ เข้าใจสภาพแวดล้อมของการทำงานขององค์กรอิสระในยุคนี้"

อดีต กสทช. ชี้ คำสั่งคณะรัฐประหารให้ กสทช. กด ‘สูตรอมตะ’ กำกับสื่อต่อเนื่องและโฉ่งฉ่าง

สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. ตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 41/2559เรื่องการกำกับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ที่ให้อำนาจ กสทช. ตัดสินและกำกับสื่อมวลชนโดยเว้นโทษความผิดทางแพ่ง ทางอาญาและทางวินัย เป็นอำนาจพิเศษที่ทำให้ กสทช. พ้นจากการต้องรับผิดชอบทางกฎหมายจากการตัดสินใจแบนสื่ออย่างต่อเนื่องภายใต้ยุคสมัยรัฐบาล คสช. ซึ่งในอดีต กสทช. มีความระมัดระวังมากในการใช้อำนาจในการกำกับสื่อที่มีอยู่แล้วตามในมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่กำหนดกรอบความผิดไว้ว่า

ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง

ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการที่มีลักษณะตามวรรคหนึ่ง หากผู้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการ ให้กรรมการซึ่งคณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจสั่งด้วยวาจา หรือเป็นหนังสือให้ระงับการออกอากาศรายการนั้นได้ทันที และให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวโดยพลัน

ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเกิดจากการละเลยของผู้รับใบอนุญาตจริง ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการแก้ไขตามที่สมควร หรืออาจพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้

“จะเห็นว่าการใช้กรณีนี้ (วอยซ์ทีวี) ต้องใช้ว่าขัดกับประกาศ คสช. เสมอ เพราะว่าอันนั้นคือตัวอิงอำนาจของ กสทช. ถ้าเคสอื่น เช่น รายการละคร ซีรีส์ เกมโชว์ ก็เป็นการใช้อำนาจปรกติตามมาตรา 37 เช่นปรับห้าหมื่น ปรับห้าแสน เตือนให้ปรับเรตรายการให้เหมาะสม หรือเรื่องจริยธรรมสื่อเช่นเรื่องถ้ำหลวงที่สื่อรายงานไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นเรื่องจริยธรรม กสทช. ก็ไม่ลงโทษอยู่แล้วเพราะไม่มีอำนาจ แต่ถ้าออกอากาศที่ขัดอะไรไปก็อาจจะเตือนหรือปรับ แต่การสั่งแบนรายการมันเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น” อดีตกรรมการ กสทช. กล่าว

สุภิญญายกตัวอย่างการใช้อำนาจตามมาตรา 37 ในกรณีที่สื่อถ่ายทอดสดการฆ่าตัวตายของวันชัย ดนัยตโมนุท อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครเมื่อเดือน พ.ค. 2559 ที่แม้รายการจะมีความรุนแรงเข้าข่ายมาตรา 37 แต่ กสทช. ก็ไม่ได้สั่งปิดกลางอากาศแต่อย่างใด

“ตอนสื่อถ่ายทอดสดการพยายามฆ่าตัวตายของดอกเตอร์คนหนึ่ง ที่ออกอากาศ 4-5 ชั่วโมง ไม่ยอมหยุดเสียที กสทช. ก็ไม่ได้ใช้อำนาจสั่ง แต่ขอให้สำนักงานขอความร่วมมือให้ระมัดระวังการถ่ายทอดสด โดยอิงอำนาจตาม ม.37 ซึ่งเคสนั้น กสทช. ใช้อำนาจระมัดระวังมากโดยส่งจดหมายไปยังทุกช่องให้ระมัดระวังการถ่ายทอดสด และไม่ได้ลงโทษย้อนหลัง แม้ ม.37 จะให้อำนาจ กสทช. ให้สั่งระงับรายการได้โดยวาจาถ้ามีเหตุอะไรฉุกเฉินรุนแรง อำนาจเซ็นเซอร์นี้ ม.37 ให้ไว้ใช้กรณีที่ฉุกเฉินรุนแรงจริงๆ ถ้าถูกใช้ในเหตุการณ์ที่ไม่ฉุกเฉินรุนแรงจริงๆ ช่องหรืออะไรต่างๆ ก็สามารถมาร้องเรียนหรือฟ้องร้องได้ตามกฎหมายปกติ ถ้าไม่มี ม.44 รองรับ กสทช. ก็จะระวังมากในการใช้อำนาจคว่ำบาตรหรือสั่งแบนสื่อ”

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รักษาการนายกฯ มาเลเซียประณามกรณีชาย 41 วิวาห์เด็ก 11 ชี้ ผิด กม.อิสลาม

$
0
0

ดาตุ๊ก เสรี วัน อซิซา วัน อิสมาอิล รักษาการนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียกล่าวว่าการแต่งงานระหว่างชายอายุ 41 ปี กับเด็กผู้หญิงอายุ 11 ปี ในรัฐกลันตันที่เป็นข่าวว่อนโซเชียลมีเดียผิดกฎหมายและควรต้องแยกทั้งคู่จากกันและควรมีการพิจารณากรณีแต่งงานเช่นนี้ให้ถี่ถ้วน ล่าสุดยังตามตัวเจ้าบ่าวไม่เจอ

ดาตุ๊ก เสรี วัน อซิซา วัน อิสมาอิล (ที่มา: วิกิพีเดีย)

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ดาตุ๊ก เสรี วัน อซิซา วัน อิสมาอิล รักษาการนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียแถลงข่าวว่าการแต่งงานระหว่างชายอายุ 41 ปี กับเด็กอายุ 11 ปี ในรัฐกลันตันถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายและควรจะมีการแยกทั้ง 2 คนออกจากกัน หลังจากที่อซิซาเดินทางไปทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการให้กับบ้านเด็กกำพร้า

ในมาเลเซียมีกฎหมายครอบครัวอิสลามที่บังคับใช้กับทุกรัฐ กฎหมายดังกล่าวระบุว่าผู้ที่จะแต่งงานได้ต้องเป็นชายอายุ 18 ปี ขึ้นไป และเป็นหญิงอายุ 16 ปี ขึ้นไป ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดจะได้รับอนุญาตให้แต่งงานได้ถ้าหากพวกเขาได้รับความยินยอมจากพ่อแม่และได้รับการอนุมัติจากศาลชารีอาฮ์ (Syariah Court) ซึ่งเป็นศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีตามหลักศาสนาอิสลามสำหรับชาวมุสลิมแล้วเท่านั้น

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่พูดถึงกันในมาเลเซียหลังข่าวคนอายุ 41 ปี แต่งงานกับเด็กอายุ 11 ปี แพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา

จากการสืบสวนเบื้องต้นของกรมสวัสดิการรัฐกลันตันพบว่าการแต่งงานดังกล่าวจัดขึ้นที่สุไหงโกลกในประเทศไทย และพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวก็เป็นชาวไทย

วัน อซิซา ผู้ดำรงตำแหน่งทั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาผู้หญิง ครอบครัว และชุมชน กล่าวว่าในตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถตามตัวเจ้าบ่าวได้ ขณะเดียวกันเธอก็บอกว่าประเด็นการแต่งงานกับเด็กนี้ควรมีการพิจารณาแบบครอบคลุม และควรพิจารณาว่ากรณีนี้มีเรื่องของการใคร่เด็ก การฉวยประโยชน์จากเด็ก และภาพลามกอนาจารเด็กอยู่ด้วยหรือไม่

วัน อซิซายังเสนอว่าควรมีการเพิ่มเกณฑ์อายุการแต่งงานของผู้หญิงมาเลเซียจาก 16 ปี เป็น 18 ปี ด้วย

เรียบเรียงจาก

Wan Azizah: Marriage of 11-year-old girl is illegal,
The Star, Jul. 01, 2018

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘กลุ่มสามมิตร’ คือใคร? 'ประวิตร'ชี้หนุน 'ประยุทธ์'นั่งนายกก็เรื่องของเขา

$
0
0

เช็คประวัติทางการเมือง ‘กลุ่มสามมิตร’ อดีตล้วนแล้วแต่เคยร่วมทางกับไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย 3 คีย์แมนหลักเคยร่วมสร้างรัฐบาลไทยรักไทยปี 2544 มาวันนี้หันหัวเรือเตรียมร่วมพลังประชารัฐ หนุนประยุทธ์ เป็นนายกฯ จนอดีต ส.ส. เพื่อไทยยื่น กกต. สอบพลังดูด ประวิทย์ชี้ ใครหนุนประยุทธ์ ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับตัวเอง

สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวการเมืองในระยะประชิด อาจจะสงสัยกันอยู่บ้างว่า ‘กลุ่มสามมิตร’ ที่ปรากฎอยู่ในพาดหัวข่าวการเมืองตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาคือใครกัน

กลุ่มสามมิตร เป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการกลับมาร่วมงานทางการเมืองระหว่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งมีฐานหลักมาจากกลุ่มวงน้ำยม หรือกลุ่มมัชฌิมาเดิม และทั้งสามคนมีส่วนสำคัญในการทำให้พรรคไทยรักไทยจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อปี 2544 จากการเดินได้สายรวบรวมบรรดา ส.ส. ในพรรคต่างๆ เพื่อเข้ามารวมกันในพรรคไทยรักไทย

กลุ่มดังกล่าว ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561 จากการที่สมศักดิ์, สุริยะ พร้อมด้วย ภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และอนุชา นาคาศัย อดีต ส.ส.ชัยนาท ไปพบกับ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีต ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย เปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข และวันชัย บุษบา อดีต ส.ส.เลย

โดยวันนั้นปรีชาเปิดเผยว่า สุริยะ สมศักดิ์ และตนเองเคยอยู่พรรคกิจสังคมกันมาก่อน และย้ายมาอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน เห็นว่าน่าจะมาระดมสมอง นำนโยบายความคิดของพวกเรามาเป็นนโยบายสานต่อการพัฒนาประเทศ โดยทางกลุ่มเรียกตัวเองว่า กลุ่มสามมิตร มีสุริยะเป็นหัวหน้ากลุ่ม จากนี้จะมีการเดินสายไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อคุยกับอดีต ส.ส. เพื่อหาแนวร่วม เมื่อรวมกลุ่มเสร็จก็จะมีการพิจารณานโยบายของพรรคการเมือง หากพรรคไหนมีนโยบายที่เป็นประโยชน์ทางกลุ่มก็พร้อมจะสนับสนุน แต่ในเวลานี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับพรรคใด

แต่ที่สุดแล้ว สุริยะ เปิดเผยในภายหลังว่า กลุ่มสามมิตร จะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ พร้อมสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กลุ่มสามมิตร ได้เชิญอดีต ส.ส.ประมาณ 50 คน  เข้าหารือ ที่สนามกอล์ฟ ไพน์เฮิร์สท เพื่อเตรียมพร้อมในการรวมตัวกันเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ  ส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเป็นอดีต ส.ส.จากภาคอีสาน อาทิ จำลอง ครุฑขุนทด อดีต ส.ส.นครราชสีมา สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา สมคิด บาลไธสง อดีต ส.ส.หนองคาย  ภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา  เวียง วรเชษฐ์ อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด และ น.พ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีต ส.ส.ขอนแก่น 

โดยสุริยะ กล่าวถึงการตัดสินใจรวบรวมอดีต ส.ส.เข้าร่วมสังกัดพรรคพลังประชารัฐว่า อยากสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกฯ ต่อไป เพราะที่ผ่านมาได้มีโอกาสหารือกับสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มาโดยตลอด ถึงแนวทางและนโยบายที่จะดำเนินการทำให้เห็นถึงความตั้งใจของพล.อ.ประยุทธ์ จึงตัดสินใจที่จะช่วยเพราะเชื่อในความสามารถ มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้คะแนนเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง พร้อมขอให้ทุกคนลงพื้นที่สอบถามความต้องการของประชาชนว่าต้องการนโยบายอะไร เพื่อนำมาสรุปเป็นนโยบายนำเสนอผู้นำพรรคต่อไป

อย่างไรก็ตาม สมคิด ระบุว่า ไม่รู้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร เพราะตนดูเศรษฐกิจ ไม่ได้ดูการเมือง สัปดาห์ที่ผ่านมาติดภารกิจต่างประเทศ เพิ่งเดินทางกลับมาเมื่อคืนวันที่ 1 ก.ค. กลับมาก็เห็นข่าวเยอะแยะไปหมด ยังงงๆ อยู่เลย การที่กลุ่มสามมิตรประกาศสนับสนุน พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯอีกสมัยนั้น ป็นการตัดสินใจของแต่ละคน และคงเห็นว่าตนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อยู่ด้วย รวมถึงคนไทยส่วนใหญ่ต่างสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ เมื่อถามว่า แกนนำกลุ่มสามมิตรระบุดีลการเมืองผ่านตน สมคิดกล่าวว่า

“เพื่อนกันทั้งนั้น พรรคการเมืองส่วนใหญ่รู้จักกันหมด”

และด้วยปรากฎการณ์กล่าวมานี้ สุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส. ลพบุรี สังกัดพรรคเพื่อไทย จึงได้เข้ายื่นหนังสือต่อประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเลขาธิการ กกต. เมื่อวันที่ 2 ก.ค. เพื่อขอให้มีการะงับ และไม่อนุญาตให้มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ พร้อมขอให้มีการตรวจสอบและดำเนินคดีกับ กลุ่มสามมิตร เนื่องจากมีเหตุให้เชื่อได้ว่าทั้งสามคนได้พยายาม เชิญชวนโดยใช้ผลประโยชน์ให้ อดีต ส.ส. หลายพื้นที่เข้าร่วมพรรคประพลังประชารัฐ พร้อมกับข้อให้มีการไต่สวนพลเอกประวิตร และรัฐมนตรีคนอื่นที่เกี่ยวข้องในกรณีสนับสนุนให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งครั้งหน้า

สำหรับข้อร้องเรียนของ สุชาติ ระบุว่า แม้พรรคพลังประชารัฐ จะยังไม่ได้เป็นพรรคการเมือง แต่กลับพบว่ามีการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถดำเนินการประชุมได้ โดยกลุ่มสามมิตรได้เดินสายไปพบปะกับ อดีต ส.ส. เพื่อเชิญชวนให้ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ โดยมีคนในรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (4) ที่บัญญัติว่า ห้ามไม่ให้คณะรัฐมนตรีใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทําการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง

“นายสมคิดใช้ทำเนียบรัฐบาล ในการร่างนโยบาย ของพรรค แล้วยังมีการนัดพบอดีต ส.ส. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เมื่อวันที่ 11 พ.ค. เวลา 14.00 น. โดยมีการเสนอผลประโยชน์ให้ พร้อมทั้งให้ดูนโยบาย 10 ข้อ ที่พรรคพลังประชารัฐจะดำเนินการให้เสร็จ โดยอ้างว่าถ้าทำไม่เสร็จจะไม่มีการเลือกตั้ง วันนี้ชาวบ้านกำลังดูอยู่ เบื้องหลังกลุ่มสามมิตรจริงหรือไม่ ขอให้นายสมคิดออกมาพูด ถ้าไม่อยู่ ต้องบอกให้ได้ว่านโยบาย 10 ข้อ ต้องทำให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ทำไว้เพื่ออะไร เพราะนายสมคิดเป็นคนไปพูดกับนายภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน และคณะทำงานประสานงานประชาสัมพันธ์ผู้เข้าร่วมกลุ่มสามมิตรที่ จ.นครราชสีมา เมื่อเดือน เม.ย. แล้วนายภิรมย์ก็โทรมาชวนผม จึงบอกว่าจะเอาอะไรไปสู้พรรคใหญ่ๆ เขา นายภิรมย์บอกว่าพรรคพลังประชารัฐเตรียมนโยบาย 10 ข้อไว้แล้ว ผมไม่เชื่อเขาจึงส่งไลน์มาให้ดู” สุชาติ กล่าว

ส่วนในกรณีของ สมศักดิ์ และสุริยะ สุชาติระบุว่า ทั้งสองได้มีการเสนอผลประโยชน์ให้กับอดีต ส.ส. ทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งอาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 30-31 ที่กำหนดว่าห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ใด ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมเพื่อจูงใจ ให้บุคคลหนึ่งบุคลใดสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค จะมีโทษตามมาตรา 109 จำคุก 5-10 ปี ปรับ 1-2 แสนบาท ทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยวิธีการชักชวนของกลุ่มสามมิตร จะถามว่ามีหนี้เท่าไร อยากได้เงินเดือนละเท่าไร และอยากได้เงินก้อนเพื่อทำมาหากินเท่าไร 

ด้านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามสื่อมวลชนต่อกรณีนี้ว่า ไม่รู้จักกลุ่มดังกล่าว ส่วนที่ระบุว่าจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ก็ถือเป็นเรื่องของเขา ตนไม่ได้รับรู้ด้วย ตอนนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองเกิดขึ้น และตนเองยังไม่ได้ทำอะไร หากใครต้องการจะร้องเรียนก็ร้องไป เพราะตนเองยังไม่ได้ทำอะไร

ใครเป็นใคร ในสามมิตร

สมศักดิ์ เทพสุทิน เริ่มต้นชีวิตในสนามการเมืองระดับชาติจากการได้รับเรื่องตั้งเป็น ส.ส. สุโขทัย ตั้งแต่ปี 2526 ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกในสมัยรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ต่อมาในยุครัฐบาลชวน หลักภัย รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และรัฐบาลชวนสอง ก่อนย้ายมาสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งปี 2544 ซึ่งถือเป็นคนสำคัญของพรรคไทยรักไทยในเวลานั้นเพราะตลอดระยะเวลาของรัฐบาลทักษิณ 1 และ 2 ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่เข้าไม่ได้ดำรงในระดับรัฐมนตรี

สมศักดิ์ และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแกนนำกลุ่มทางการเมืองในพรรคไทยรักไทย ที่ชื่อว่ากลุ่มวังน้ำยม ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สูงของไทยรักไทยในเวลานั้น มี ส.ส. สังกัดอยู่ในกลุ่มนี้ราว 120 คน 

หลังการรัฐประหาร 2549 สมศักดิ์และกลุ่มวังน้ำยมได้ลาออกจากพรรคไทยรักไทย ไปจัดตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อว่า "กลุ่มมัชฌิมา"ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบพรรค ก่อนจะกลับมาใหม่ใต้ร่มพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งมีอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ที่สุดแล้วก็ถูกตัดสินยุบพรรคอีกครั้ง พร้อมกับพรรคชาติไทย และพรรคพลังประชาชน  ทำให้ ส.ส. ในกลุ่มของของสมศักดิ์ ได้ย้ายมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มเพื่อนเนวิน ในนามพรรคภูมิใจไทย

แต่ในการเลือกตั้งปี 2557 ซึ่งถูกตัดสินเป็นโมฆะไป เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 16 ต่อมาในปี 2561 เขาระบุจะไม่ทำการยืนยันสมาชิกกับพรรคเพื่อไทย และได้ประกาศเข้าร่วมงานกับ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อกลุ่มการเมืองของตนจากกลุ่ม วังน้ำยม หรือ มัชฌิมา เป็น กลุ่มสามมิตร 

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เคยเป็นอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และเป็นแกนนำกลุ่มวังน้ำยม ร่วมกับสมศักดิ์ เทพสุทิน ในสมัยที่เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ประสบปัญหาในคดีการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องตรวจจับระเบิด (CTX 9000) และการก่อสร้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก็สิ้นสุดลง ในปี 2555 หลัง ป.ป.ช. มีมติสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

ในปี 2550 จากกรณียุบพรรคไทยรักไทย เขาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นได้เข้าร่วมแถลงข่าวเปิดตัวพรรคภูมิใจไทยในปี 2552 ก่อนจะกลับมาเป็นหัวหน้ากลุ่มสามมิตรซึ่งประกาศร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐในปีนี้

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นขุนพลคนสำคัญในรัฐบาลทักษิณ เขาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบพรรค จากนั้นได้ร่วมก่อตั้งพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา โดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพรรค

หลังการรัฐประหารปี 2557 เขารับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดูแลรับผิดชอบเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งกับหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ จนกระทั่งในเดือน ส.ค.  2558 ดร.สมคิด จึงได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และปรับให้หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ต่อมาปี 2561 มีกระแสข่าวต่อเนื่องว่า เขาเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญในของกลุ่มสามมิตร

ภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส. นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน

อนุชา นาคาศัย อดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย และเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี จากกรณียุบพรรค ต่อมาได้สนับสนุนพรรคภูใจไทย ซึ่งมีพรทิวา นาคาศัย ภรรยา เป็นเลขาธิการพรรค

ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอดีต สส. เลย พรรคเพื่อไทย และเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พรรคพลังประชาชน

เปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ภรรยาของปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข เป็นอดีต ส.ส. เลย ในสังกัดพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย

วันชัย บุษบา อดีต ส.ส. เลย ได้รับเลือกตั้งในปี 2554 สังกัดพรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้ดำรงสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำสวย 2 สมัย และเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย ก่อนจะลาออกมาเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติ

จำลอง ครุฑขุนทด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก่อหน้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา สังกัดพรรคชาติไทย เมื่อปี พ.ศ. 2523 ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดพรรคปวงชนชาวไทย ในระหว่างปี พ.ศ. 2531-2535 และย้ายมาสังกัดพรรคชาติพัฒนา ซึ่งต่อมาได้มีการยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย

เขาเคย เข้าร่วมชุมนุมกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติที่เวทีสะพานผ่านฟ้า เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2553

สุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง อดีต ส.ส. สังกัดพรรคไทยรักไทย เขาเคยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่ม นปช. จนกระทั่งรัฐบาลสั่งการปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมในวันที่ 12 พ.ค. 2553 และแกนนำ นปช. ประกาศสลายการชุมนุมไปเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ที่สี่แยกราชประสงค์

สมคิด บาลไธสง เป็นอดีต ส.ส. หนองคาย หลายสมัย เคยสังกัดหลายพรรคการเมือง อาทิ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคไทยรักไทย พรรคชาติไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย 

เวียง วรเชษฐ์ อดีต ส.ส. ร้อยเอ็ด 4 สมัย และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้เคยสังกัดพรรคชาติประชาธิปไตย พรรคกิจประชาสังคม พรรคความหวังใหม่

น.พ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ เริ่มงานการเมืองระดับชาติโดยเป็น ส.ส.ขอนแก่น ในสังกัดพรรคความหวังใหม่ เมื่อพรรคความใหม่ควบรวมกับพรรคไทยรักไทย เขาได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย โดยเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต่อมาได้เข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทยหลังการรัฐประหาร 2557

 


เรียบเรียง: ไทยรัฐออนไลน์, ข่าวสดออนไลน์, ผู้จัดการออนไลน์ , สำนักข่าวไทยออนไลน์, ไทยโพสต์ออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกษียร เตชะพีระ : รัฐพันลึก, The First Chinese coup และ The Bhumibol Consensus

$
0
0

‘เกษียร’ กับคำอธิบายรัฐพันลึก เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ การพลาดพลั้งของอเมริกา การเปลี่ยนรุ่นคนและการผงาดขึ้นของจีนจนนำไปสู่ The First Chinese coup ในวันที่ประเทศไทยไม่มี The Bhumibol Consensus อีกต่อไป

- 'รัฐพันลึก'หรือ 'รัฐคู่ขนาน'คือรัฐซ้อนรัฐและเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับรัฐบาลที่เห็นด้วยตา รัฐพันลึกยังสามารถสร้างสถานการณ์วิกฤตได้ และล้มล้างรัฐบาลบนดินได้

- การเปลี่ยนรุ่นของคนในที่นี้หมายถึงทหารและสถาบันกษัตริย์อาจทำให้จีนเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในเกลียวสัมพันธ์ของ 'Network Monarchy'

- ชนชั้นนำไทยนิยมตัวแบบจีนมากกว่าตะวันตกคือมีเศรษฐกิจแบบเปิด แต่มีการเมืองแบบปิด

- เมื่อไม่มี 'The Bhumibol Consensus'อีกต่อไป กลุ่มอำนาจต่างๆ ก็พยายามขยายเขตอำนาจออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อสร้างประเทศไทยในความฝันของตน

 

คำอธิบายการเมืองไทยด้วยแนวคิด Deep State หรือรัฐพันลึก เป็นแนวคิดที่ถูกกล่าวถึงโดยนักวิชาการไทยหลายคน วันที่ 27 มิถุนายน 2561 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานเสวนาในหัวข้อ รัฐพันลึก: บทบาทระบบราชการในการเมืองไทย โดยมี เกษียร เตชะพีระ ศาสตราจารย์ จากสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้บรรยาย

คลิปการบรรยายของเกษียร ตั้งแต่ต้นถึงนาทีที่ 1.48.00

“ผมอยากบอกตั้งแต่ต้นว่า ที่ท่านจะฟังต่อไปนี้เป็นการทดลองคิดและตีความ ประกอบกับข้อมูลความรู้ที่มี ไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่ชัด ผมเอาแนวคิดเรื่องรัฐพันลึกมาตีความและขยายต่อให้กว้างและลึกขึ้น รัฐพันลึกคืออะไร ภาพขวาแสดงได้ชัดเจน (ภาพสภาคองเกรสที่มีรากขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน) ภาพนี้ทำให้เห็นว่าข้างล่างสภาคองเกรสมีรากยืดใหญ่โตมาก ใหญ่กว่าสภาคองเกรสด้วย

“ความคิดเรื่องรัฐพันลึกคือบนฉากของระเบียบการเมืองบนดิน สิ่งที่เราไม่เห็นคือระเบียบการเมืองอีกชุดที่หยั่งรากลึกและปฏิบัติการอย่างลับๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งมันสามารถควบคุมระเบียบการเมืองที่เห็นด้วยตาและอยู่ข้างบนได้ ถ้าระเบียบการเมืองข้างบนขัดขวางรากเหล่านี้ มันก็สามารถทำให้ระเบียบการเมืองข้างบนล้มได้”

รัฐพันลึกคืออะไร

เกษียรอ้างอิงนิยามรัฐพันลึกของผาสุก พงษ์ไพจิตร และนิธิ เอียวศรีวงศ์ โดยทำการอธิบายว่า

“วิธีเข้าใจ (รัฐพันลึก) ง่ายๆ คือเป็นรัฐซ้อนรัฐ ประเด็นต่อมาคือเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับรัฐบาลบนดินที่เราเห็นด้วยตา และสามารถสร้างสถานการณ์วิกฤตได้ และที่สร้างวิกฤตนี้ในความเข้าใจของบุคลากรที่อยู่ในรัฐพันลึกก็เพื่อความมั่นคงของชาติ”

จากนิยามที่ผาสุกกล่าวถึง เกษียรจำแนกลักษณะของรัฐพันลึกว่า

“ประเด็นแรก รัฐพันลึกไม่ได้เป็นก้อน เป็นหนึ่งเดียว ในคำของอาจารย์ผาสุกที่เอามาจาก Eugénie Mérieau  คือมันมีมุ้งต่างๆ และแก่งแย่งอำนาจกันภายในรัฐพันลึก ประการที่ 2 มันมีผลประโยชน์ของตัวมันเอง ผลประโยชน์ของกลุ่มที่มาประกอบเป็นรัฐพันลึกอาจประกอบด้วย 3 ส่วน คือผลประโยชน์ของบุคคล ผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนต่างๆ ที่มาประกอบ และผลประโยชน์ของชาติบนความหมายที่รัฐพันลึกเข้าใจ ซึ่งไม่แน่ว่าจะตรงกับผลประโยชน์ของชาติที่รัฐบนดินหรือสังคมเข้าใจ ประการที่ 3 รัฐพันลึกไม่ต้องขีดเส้นว่าอยู่แต่ในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น อยู่ในเครือข่ายนอกรัฐก็ได้ พูดง่ายๆ คือมีพันธมิตร มี กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) มีดารา มีอธิการบดีหลายมหาวิทยาลัย

“แก่นแกนสำคัญของรัฐพันลึกคือเจ้าหน้าที่รัฐ พูดภาษาราชการคือไปจัดการงานนอกสั่งคือล้มล้าง ขัดขวาง นโยบายหรือคำสั่งของรัฐบาลปกติ ทำสิ่งเหล่านี้แบบลับๆ เป้าหมายสูงสุดอาจเป็นรัฐพันลึกรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลของตัวเองได้

“แนวคิดนี้ปรากฏขึ้นมาและถูกใช้เป็นตัวอย่างอ้างอิงคือช่วงที่อเมริกามีอำนาจมากทั่วโลก ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลประเทศไหน แม้จะมาจากการเลือกตั้ง ถ้ามีนโยบายขัดขวางผลประโยชน์ของอเมริกา อเมริกาจะเข้าแทรกแซงหรือร่วมมือกับกลุ่มทหาร ตำรวจ หรือกลุ่มที่อยู่ในประเทศนั้นล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เช่น ในละตินอเมริกา ในอิหร่าน ตัวอย่างของรัฐพันลึกที่พูดถึงก็จะมีรัฐเหล่านี้ แม้แต่ในอเมริกาเองก็มีองค์กรข่าวกรอง องค์กรสืบราชการลับ ซึ่งไม่ค่อยชอบทรัมป์เท่าไหร่”

ในส่วนนิยามของนิธิ เอียวศรีวงศ์ คือการแยกแนวคิดเพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่ารัฐพันลึกคืออะไร โดยอธิบายว่ามันไม่เหมือนกับรัฐทางการอย่างไร และไม่เหมือนกับเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการอย่างไร

“เมื่อเทียบกับเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ รัฐพันลึกคือเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการที่ถูกทำให้เป็นสถาบัน ไม่ใช่ว่าทุกเครือข่ายไม่เป็นทางการเป็นรัฐพันลึก แล้วเมื่อเทียบกับรัฐทางการต่างตรงไหน รัฐทางการที่มาโดยชอบธรรม มาจากเลือกตั้ง มันมีสองเรื่องต้องอธิบายต่อสังคมคือต้องพร้อมรับผิดและต้องพร้อมตอบปัญหาความชอบธรรมว่าทำไมจึงมีความชอบธรรมมาปกครองเรา รัฐพันลึกไม่ต้องตอบคำถามเหล่านี้ เพราะมันอยู่ข้างล่าง มันทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องพร้อมรับผิด ไม่ต้องมีความชอบธรรม ปัญหาจึงเกิดเมื่อรัฐพันลึกโผล่พ้นผิวน้ำ กล่าวคือเมื่อมันล้มรัฐทางการไปแล้ว รัฐพันลึกกลายเป็นรัฐทางการ ก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้

“อาจารย์นิธิอธิบายว่าทำไมเครือข่ายไม่เป็นทางการ อย่าง Network Monarchy ต้องกลายเป็นรัฐพันลึก อาจารย์นิธิอธิบายว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีบารมีสูงยิ่งและทำให้เครือข่ายไม่เป็นทางการทำงานได้ แต่ท่านไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป อีกเรื่องหนึ่งคือแนวโน้มที่การเมืองเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และยิ่งเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยมากเท่าไหร่ บทบาทของรัฐพันลึกก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้นในการที่จะทำลาย เพราะเห็นว่าขัดผลประโยชน์”

ข้อความจากบทความของนิธิเรื่อง รัฐพันลึกกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่เผยแพร่ในประชาไทออนไลน์ วันที่ 6 เมษายน 2559 เขียนว่า

‘ดังนั้น อุดมคติที่รัฐพันลึกมุ่งหวังก็คือ รัฐไทยที่อยู่ข้างบนและมองเห็นได้โดยคนทั่วไป มีลักษณะประชาธิปไตย เช่น มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง มีรัฐสภา มีเสรีภาพของสื่อ ฯลฯ แต่การชี้นำและกำกับควบคุมจะอยู่กับรัฐพันลึกซึ่งไม่ต้องปรากฏโฉมให้เห็น หากมีการกำกับควบคุมจากสถาบันที่รัฐธรรมนูญรองรับ ซึ่งที่จริงเป็นสถาบันหรือองค์กรในกำกับของรัฐพันลึกอีกทีหนึ่ง จนดูเหมือนเป็นการทำงานตามกลไกประชาธิปไตยโดยปรกติ การปกครองด้วยเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งจึงไม่ได้อยู่ในกำกับควบคุมของเสียงข้างมาก แต่อยู่ในกำกับควบคุมของรัฐพันลึก โดยเสียงส่วนใหญ่ไม่ทันรู้ตัว หรือพอใจให้เป็นอย่างนั้น’

“วิธีเข้าใจย่อหน้านี้คือย่อหน้านี้เป็นการเล่าถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน” เกษียร กล่าว “ระเบียบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพยายามทำย่อหน้านี้ให้เป็นจริง คือมีรัฐข้างบนที่เป็นประชาธิปไตย มีเสรีภาพ มีการเลือกตั้ง จากนั้นรัฐบาลจากการเลือกตั้งมีอำนาจจำกัดเพราะถูกคุมโดยสถาบันที่รัฐธรรมนูญรองรับ เช่น ถูกคุมโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่อยู่ลึกไปกว่านั้นคือมีรัฐพันลึกคุมสถาบันเหล่านี้อีกที เหมือนเป็นการชักหุ่นสองชั้น”

รัฐพันลึก-รัฐคู่ขนาน

เกษียรกล่าวถึงบทความของ Eugénie Mérieau เรื่อง Thailand’s Deep State, royal power and the Constitutional Court (1997-2015) และบทความของ Paul Chamber & Napisa Waitoolkiat เรื่อง The resilience of monarchized military in Thailand ซึ่งหมายถึงความยืดหยุ่นคงทนของกองทัพที่อยู่ภายใต้ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่ง Paul Chamber & Napisa Waitoolkiat เห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง

“Eugénie Mérieau เป็นคนที่เริ่มบอกว่าเมืองไทยมีรัฐพันลึก แต่แกสรุปว่ามันล้มเหลว เพราะถ้ามันสำเร็จ มันก็ไม่ต้องทำรัฐประหาร แต่การที่ไม่สำเร็จ จึงต้องรัฐประหาร ทำให้รัฐพันลึกต้องโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา แล้วคนเห็น การโผล่พ้นผิวน้าคือความล้มเหลว เพราะถ้าอยู่ใต้ดินแล้วคุมได้ทั้งหมด คุณไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องมีปัญหาความชอบธรรม

“Eugénie Mérieau เป็นนักนิติศาสตร์ที่มาจับเรื่องรัฐพันลึก และเชื่อว่าประเทศไทยไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีการเปลี่ยนแปลง มีการดำเนินไปที่ไม่เหมือนกับในกฎหมาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีรัฐพันลึก Eugénie Mérieau จับปรากฏการณ์ที่ศาลตุลาการมีบทบาททางการเมืองและชี้ขาดปัญหาการเมืองมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทย บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาก็เด่นชัดขึ้นในการกำกับแทรกแซงการเมืองและจับเรื่องตุลาการภิวัตน์

“หลักฐานที่ Eugénie Mérieau ใช้เพ่งความสนใจอยู่ที่ตัวบทรัฐธรรมนูญและบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เวลาเริ่มเข้าใจว่ารัฐพันลึกคืออะไร เราจะเห็นรัฐพันลึกยั่วเยี้ยะไปหมด ไม่ได้อยู่แค่ในตัวร่างรัฐธรรมนูญหรือในคณะกรรมการร่างฯ เท่านั้น แต่มีปรากฏการณ์ให้เราเห็นมากมาย แปลกที่แกจำกัดไว้แค่นี้และพูดราวกับว่ารัฐพันลึกเพิ่งเกิดไม่เกินสิบปี ก่อนหน้านี้ไม่มีเหรอ ซึ่งนำมาสู่บทความที่สองของ Paul Chamber & Napisa Waitoolkiat”

ขณะที่ Paul Chamber & Napisa Waitoolkiat เรียกว่ารัฐคู่ขนาน โดยนัยคิดไม่ต่างจากรัฐพันลึก แต่แทนที่จะดูที่กฎหมาย กลับดูที่ปฏิบัติการของทหารที่เชื่อมโยงกับสถาบันกษัตริย์ เป็นข้อมูลที่ออกไปนอกตัวบทกฎหมาย ซึ่งชัดเจนกว่า เป็นรูปธรรมกว่า และมีประวัติศาสตร์

“ผมอยากเสนอว่าจะเข้าใจรัฐพันลึกหรือรัฐคู่ขนานต้องเข้าใจสองเรื่องก่อน คือเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการและองค์กรจัดตั้งที่เป็นทางการ ทุกการรวมตัวของเครือข่ายที่เป็นทางการ มีการร่วมตัวแบบที่ไม่เป็นทางการทั้งสิ้น ถ้ามองย้อนกลับไป เราเอาการจัดตั้งองค์กรแบบฝรั่งเข้ามาสมัยรัชกาลที่ 5 เอาระบบราชการแบบฝรั่งเข้ามา แต่เอาเข้ามาไม่ทันไร ท่านก็ตั้งเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการขึ้นเอง”

เครือข่ายส่วนตัวที่ไม่เป็นทางการ

“มันอยู่ในหนังสือของอาจารย์กุลดา เกษบุญชู มี้ด คือแต่ก่อนคุณจะเป็นขุนนาง คุณต้องไปถวายตัว จนกระทั่งท่านจำหน้าได้และเกิดความไว้วางใจ แล้วตั้งเป็นขุนนาง มันอยู่บนความสัมพันธ์ส่วนตัว ความไว้วางใจส่วนตัว พอสร้างระบบราชการขึ้น มันเปลี่ยนหมด เรากำลังพูดถึงการเอาคนเป็นพันเป็นหมื่นเข้ามาในสถานที่ทำงานแบบฝรั่ง

“ในหลวงรัชกาลที่ 5 สร้างระบบนี้ขึ้นมาเอง ท่านเดินเข้าไป ท่านเห็นแต่คนแปลกหน้า ไม่ใช่ตระกูลขุนนางเก่า เป็นลูกคนทำสวนทุเรียน มันก็เกิดความรู้สึกว่าจะไว้ใจคนแปลกหน้าเหล่านี้ได้อย่างไร ท่านจึงตั้ง The Secret League เป็นเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการของผู้สร้างระบบราชการ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเครือข่ายไม่เป็นทางการอื่นๆ ขึ้นมา คือจักรวรรดิส่วนตัวไม่เป็นทางการของขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่”

เกษียณยกข้อความจากหนังสือ The Rise and Decline of Thai Absolutism ของกุลดา เกษบุญชู มี้ด ที่กล่าวถึง Secret League ว่า

‘Although victorious, King Chulalongkorn was yet again reminded that the possibilities of insurrection were not entirely extinguished. In 1881, he created a secret League from a group of trusted officials with the purpose of defending the king, and of ensuring that his still-youthful first son from a high-ranking queen should succeed him.’

เกษียรยังยกตัวอย่างกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ที่ไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษและเป็นบุคคลสำคัญที่สร้างกระทรวงยุติธรรม กรมหลวงราชบุรีฯ ไม่เพียงแต่เป็นผู้บังคับบัญชา แต่ยังสอนกฎหมายให้แก่ข้าราชการด้วย กรมหลวงราชบุรีฯ จึงไม่เพียงเป็นนายเท่านั้น แต่ยังเป็นครู ความจงรักภักดีจึงอยูกับกรมหลวงราชบุรีฯ ภายหลังเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องคดีความระหว่างรัชกาลที่ 5 และกรมหลวงราชบุรีฯ ทำให้กรมหลวงราชบุรีฯ ลาออกโดยไม่ขออนุญาตรัชกาลที่ 5 ทำให้ข้าราชการ 25 คนลาออกตาม รัชกาลที่ 5 ทรงกริ้วมากและไม่อนุญาตให้ลาออก นี่คือเครือข่ายส่วนตัวที่ไม่เป็นทางการ

“ปัญหาเหล่านี้จะมีเป็นพักๆ พูดง่ายๆ คือเมื่อสร้างองค์กรทางการหรือระบบราชการขึ้นมาแล้ว มันเกิดปัญหา Divided Loyalties สำหรับข้าราชการที่ลาออกตามกรมหลวงราชบุรีฯ ทหารเรือที่รู้สึกขุ่นเคืองที่กรมหลวงชุมพรฯ ไม่ได้เป็นแม่ทัพเรือ พวกเขามีปัญหาว่าจะจงรักภักดีกับใคร กับรัฐในความหมายชาติ กับพระเจ้าแผ่นดิน หรือกับนาย หรือองค์กรของตัว มันจึงยุ่ง”

รัฐพันลึกเกิดขึ้นตอนไหน

เครือข่ายไม่เป็นทางการ เช่น แก๊ง พรรคพวก เป็นธรรมชาติธรรมดาขององค์การจัดตั้งทางการอย่างรัฐราชการ ข้อน่าสนใจคือเมื่อใดที่มันจะตกผลึกและก่อตัวเป็นสถาบันจนกลายเป็นรัฐพันลึกขึ้นมา เกษียรเสนอเป็นคำถามและตอบว่า

“ผมคิดว่าต้องมีภัยคุกคามความมั่นคงของกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่เป็นทางการอย่างถึงชีวิต จนจำเป็นต้องปฏิบัติการมากไปกว่าเครือข่ายไม่เป็นทางการ ถ้าเราดูในช่วงที่สฤษดิ์ขึ้น ในระดับโลกคือสงครามเย็น ระดับภูมิภาคคือสงครามเวียดนาม ในประเทศเราเองก็มีสงครามประชาชน ภัยคุกคามมันชัดเจนคือคอมมิวนิสต์ ซึ่งถ้าเทียบเคียงกัน ผมอยากเสนอว่าคนเสื้อแดงถูกมองเป็นภัยคุกคามถึงระดับคอมมิวนิสต์

“ผมคิดว่าจะก่อตัวเป็นรัฐพันลึกได้ต้องมีแกนกลาง ผมดึงข้อเสนอของ Benjamin Zawacki ในหนังสือ Thailand: Shifting Ground between the US and a Rising China แกนกลางที่ประกอบด้วย M1+M2+J M1 คือ Monarchy M2 คือ Military J คือ Judicially เหล่านี้คือแกนกลางการก่อตัวของรัฐพันลึก ศูนย์อบรม โรงเรียน เช่น เตรียมทหาร โรงเรียนนักร้อยพระจุลจอมเกล้า วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร มีบทบาทมากและสร้างเครือข่ายสถาบัน ข้ามทัพบก เรือ อากาศ ข้ามข้าราชการพลเรือน และต่อมาคือบุคคลภายนอกที่เป็นนักธุรกิจเข้าไปด้วย มันเป็นแหล่งบ่มเพาะเครือข่าย เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณสามารถดึงเครือข่ายเหล่านี้เข้ามาร่วมในรัฐพันลึก

“มีการเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงกันนอกแบบระหว่างสถาบันต่างๆ อย่างข้าราชการบวกภาคธุรกิจ และมีการหนุนช่วยจากมหาอำนาจจากต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ ผมคิดว่าจะเป็นรัฐพันลึกได้ต้องใช้ทรัพยากรมากและการหนุนช่วยพอสมควร ผมคิดว่าบทบาทของมหาอำนาจสำคัญยิ่ง ถ้าไม่มีมหาอำนาจเข้ามา การเปลี่ยนจากเครือข่ายไม่เป็นทางการเป็นรัฐพันลึกจะเกิดขึ้นได้ยาก และถ้าอ่านงานของ Benjamin Zawacki จะเห็นว่าอเมริกาเข้ามาลึกมากในสมัยสงครามเย็น สมัยสฤษดิ์ ถนอม

“สรุปคือถึงแม้ว่ารัฐพันลึกจะเริ่มจากงานของ Eugénie Mérieau ผมกลับคิดว่าถ้าเราจะสาวมันต้องใช้งานของ Paul Chamber & Napisa Waitoolkiat และเอาแนวคิดใจกลางเรื่อง Monarchised Military เป็นตัวสาว แล้วเราจะเห็นชัดเจน”

The last American coup

เกษียร ยังยกคำพูดที่กระทบใจของวสันต์ เหลืองประภัสร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่กล่าวในงานเสวนา การเมืองและกฎหมายในระบอบประชาธิปไตย 99.99% ที่ว่า ‘ระบบราชการไทยมีทั้งด้านแข็งและอ่อน ด้านแข็งคือมีความสามารถต้านทานความเปลี่ยนแปลงสูงมาก ด้านอ่อนคือสามารถอยู่รัฐบาลใดก็ได้’ และ

‘ชนชั้นนำไทยที่ทำรัฐประหารแต่ละครั้ง มีเหตุผลหลายเรื่อง แต่ผมคิดว่าคำถามหนึ่งที่อาจช่วยให้เรามองเห็นอะไรบางอย่างคือ ทั้งหมดเกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องอะไรบางอย่างเสมอ... ผมคิดว่าคือการพยายามรักษาความเป็นราชการที่จะนำสังคมต่อไป แล้วทำไมต้องหวงแหนไว้ขนาดนี้ ทำเราจึงควรเป็นสังคมที่มีราชการนำอยู่’

“จากคำพูดของอาจารย์วสันต์ที่ว่า ระบบราชการไทยมีจุดแข็งคือต้านทานความเปลี่ยนแปลงสูงมาก จุดอ่อนคือสามารถอยู่กับรัฐบาลใดก็ได้ ผมมีข้อสังเกตว่าข้อสังเกตนี้อาจไม่ถ้วนตลอดทั้งระบบราชการ บางหน่วยอาจจะอนุรักษ์มากหน่อย บางหน่วยน้อยหน่อย บางหน่วยอาจอยู่ได้กับทุกรัฐบาลมากหน่อย บางหน่วยน้อยหน่อย แต่ผมยอมรับว่ามันสะท้อนบุคลิกทั่วไปของระบบราชการไทยที่เรามองเห็นได้ เช่น ด้านแข็งที่ต้านทานความเปลี่ยนแปลงอาจน้อยกว่าบ้างในหน่วยราชการตั้งใหม่ โดยเฉพาะด้านเทคโนแครต วิชาการ เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น ในทางกลับกัน ด้านอ่อนที่อยู่กับรัฐบาลใดก็ได้นั้น ก็ไม่ถ้วนตลอดทั่วถึงทั้งระบบเช่นกัน โดยเฉพาะที่เด่นชัดยิ่งคือกองทัพ ตุลาการ และหน่วยงานบางหน่วยที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ผมไม่คิดว่าหน่วยงานเหล่านี้อยู่กับรัฐบาลใดก็ได้ เพราะถ้าอยู่กับรัฐบาลใดก็ได้คงไม่เกิดรัฐประหารเพื่อรักษาการนำของระบบราชการตามข้อสังเกตประการต่อมา

“ผมอยากเสนอว่าแกนเกลียวสัมพันธ์ของบางหน่วยราชการที่ไม่สามารถอยู่กับรัฐบาลใดก็ได้นี่แหละคือฐานที่ตั้งหรือกรอบโครงและวิญญาณของรัฐพันลึกในรัฐไทย ซึ่งทำตัวเสมือสมองและหัวใจของรัฐราชการ รัฐพันลึกเป็นพรรคการเมืองหรือกรมการเมืองที่อยู่ข้างในรัฐราชการอีกที รัฐราชการใหญ่กว่ารัฐพันลึก รัฐพันลึกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐราชการ ไม่ใช่ข้าราชการทุกคนที่สังกัดรัฐพันลึก แต่ในตัวระบบราชการทั้งหมด รัฐพันลึกเหมือนเป็นกรมการเมือง”

การบรรยายในช่วงต่อมา เกษียรอ้างอิงจากหนังสือ Thailand: Shifting Ground between the US and a Rising China ของ Benjamin Zawacki ที่เสนอว่าระเบียบอำนาจไทยดังที่เป็นอยู่ตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น สงครามอินโดจีนถึงราวกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 ตั้งอยู่บนเกลียวสัมพันธ์ชนชั้นนำที่ประกอบด้วยกองทัพ สถาบันกษัตริย์ และสหรัฐฯ เป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้น และถ้าดูตัวแสดงทางการเมือง การทูตในประเทศไทย Benjamin Zawacki เห็นว่ามีผู้ที่มีอุดมการณ์จริงเพียงไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นคือในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีอุดมการณ์จริง คืออุดมการณ์ชาตินิยม อนุรักษนิยม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ทรงโปรดอเมริกันและสากลนิยม แต่ทรงระมัดระวังโลกาภิวัตน์

“ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่มีอุดมการณ์ ที่สำคัญคือเขาเห็นความสำคัญมากของในหลวงรัชกาลที่ 9 ต่อช่วงสงครามเย็น เขาประเมินอย่างสูงว่าเมื่อทอดสายตาไปทั่วอุษาคเนย์ พันธมิตรที่ยืนนานที่สุดและเหนียวแน่นที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา คือในหลวงรัชกาลที่ 9

“อีกทั้งนายทหารกองทัพไทยยุคสงครามเย็นจำนวนมากเป็นทหารผ่านศึกกอดคอร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายกับทหารอเมริกันในสงครามอินโดจีน ผ่านการฝึกอบรมทางทหารร่วมกันในสหรัฐฯ ที่ Fort Leavenworth เมื่อกลับไทย ความที่รับการฝึกอบรมความรู้ทางทหารใหม่ล่าสุดมา จึงไต่เต้าขึ้นเร็วในกองทัพและได้กุมตำแหน่งสำคัญ สหรัฐฯ จึงมี Leavenworth Pipeline ต่อท่อเข้าถึงแกนนำกองทัพไทย มีความเป็นมืออาชีพ ฝึกมาดี เอาจริงเรื่องความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่อาจเซ็งลี้ แย่งชิงอาจในกองทัพ แทรกแซงการเมืองด้วยก็ตาม การไปฝึกที่อเมริกา มันได้เพาะบ่มสายสัมพันธ์ อิทธิพลของอเมริกันต่อกองทัพไทยจึงสูงยิ่ง การประเมินของ Benjamin Zawacki นายทหารไทยที่อยู่ในสาย Leavenworth คือร้อยละ 15 ของนายทหารไทยทั้งหมด และเป็นกลุ่มที่ไต่เต้าเร็ว เพราะสายสัมพันธ์ดี ความรู้ดี

Benjamin Zawacki ประเมินว่าสหรัฐฯ เป็นสมาชิกโดยตำแหน่งของ Network Monarchy

“แต่กลางคริสต์ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในเกลียวอำนาจนี้เนื่องจากการเปลี่ยนรุ่นคน นายทหารรุ่นพันธมิตรผ่านศึกกับอเมริกันพากันทยอยเกษียณอายุหมด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นหนึ่งในนายทหารคนท้ายๆ ของรุ่นนี้ นายทหารรุ่นถัดไปที่ขึ้นมานำกองทัพหลังจากนั้น อย่างบูรพาพยัคฆ์ วงศ์เทวัญ แม้สหรัฐฯ จะอุดหนุนฝึกสร้างขึ้นสมัยสงครามเย็น แต่ก็วิวัฒนาการคลี่คลายขยายตัวไปตามสถานการณ์ในและนอกประเทศ และไม่ค่อยมีประสบการณ์การรบ การฝึกร่วมกับอเมริกันเข้มข้นแบบรุ่นก่อน

“ผมคิดว่าประเด็นนี้น่าสนใจ ที่ผ่านมาเวลาเราจะเข้าใจการเมืองไทย เราอาจให้ความสำคัญกับเรื่องชนชั้น เพศสภาพ ชาติพันธุ์ แต่เรื่องรุ่นคนเรายังไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ น่าสนใจว่า Benjamin Zawacki หยิบขึ้นมาเป็นปมสำคัญและชี้ว่ามีการเปลี่ยนรุ่นที่สำคัญในหมู่นายทหารไทย รุ่นที่ทำสงครามเย็นร่วมกับอเมริกัน ประมาณหลังปี 2000 ไล่มา เกษียณหมด รุ่นใหม่ที่ขึ้นมาจะไม่มีความสัมพันธ์แบบ Leavenworth แม้ตอนสร้างหน่วยงานที่คนเหล่านี้สังกัด อเมริกาจะมีส่วนช่วย แต่เขาไม่ได้ผ่านประสบการณ์การฝึกแบบนั้นแล้ว นำไปสู่ข้อสรุปของเขาว่า รัฐประหารของ คปค. (คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ปี 2549 จึงนับเป็น The last American coup ในไทย

“ทำไมตีความแบบนี้ ถ้าเราดูคนที่ทำรัฐประหาร สนธิ บุญยรัตกลิน ป่าหวาย เลือกสุรยุทธ์เป็นนายกฯ ป่าหวายเหมือนกัน ซึ่งคนรุ่นนี้ยังมีประสบการณ์สงครามอินโดจีน แต่หลังจากนั้นไม่แล้ว คนรุ่นนี้เกษียณหมดแล้ว และเนื่องจากประสบการณ์ร่วมกันนี้ ภาพฝันถึงการเมืองที่ดีเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าระบอบไหนดี เขาก็ต้องบอกว่าระบอบเสรีประชาธิปไตยแบบฝรั่ง เพียงแต่เมืองไทยยังไม่พร้อม ดังนั้น รัฐประหารปีเดียวเลือกตั้งเลย มันยังเป็นรัฐประหารเวอร์ชั่นเก่ากลับมาเป็นประชาธิปไตยแบบที่โลกเป็น”

The First Chinese coup

ตรงกันข้าม นายทหารรุ่นหลังมีแนวโน้มใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับจีนมากขึ้นและในบางกรณีกระทั่งมากกว่าอเมริกา โดยพลิกแพลงถ่วงดุลตามสถานการณ์การเมืองการทูตในประเทศ โดยเฉพาะนายทหารในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง Benjamin Zawacki สรุปว่ามองไปที่ Palace&Peking โดยเฉพาะตัวแบบจีนและแนวทางควบคุมสังคมแบบอำนาจนิยมของรัฐจีน จากตรรกะของ Benjamin Zawacki ที่ปรากฏในหนังสือนำไปสู่ข้อสรุปของเกษียรว่า

“รัฐประหารของ คสช. เป็น The First Chinese coup ของไทยในแง่สปิริตและสไตล์ นี่ไม่ใช่คำของ Benjamin Zawacki แต่มันพาวิ่งไปทางนั้น”

เกษียรกล่าวว่า กลางคริสต์ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในเกลียวอำนาจนี้เนื่องจากการเปลี่ยนรุ่นคน สถาบันกษัตริย์เข้าสู่การผลัดแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ทรงใกล้ชิดและประพาสจีนเป็นประจำ ซึ่งจีนก็ต้อนรับและให้เกียรติสูงยิ่งโดยตีความเปรียบเทียบว่าฐานะของสถาบันกษัตริย์ไทยก็เหมือนฐานะของพรรคคอมมิวนิสต์จีน Benjamin Zawacki เสนอว่าเมื่อมองระยะไกล จีนกำลังพยายามเข้าแทนที่สหรัฐฯ ในเกลียวสัมพันธ์กับ Network Monarchy

ขณะที่อเมริกาก็พะวงอยู่กับสงครามต่อต้านการก่อการร้ายสากลจนละเลยให้จีนรุกใหญ่ในเอเชียและไทย เช่นตัวอย่างความล้มเหลวของประธานาธิบดีบุชผู้ลูกที่จะเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อเดือนสิงหาคม 2551 ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ทั้งที่กระทรวงต่างประเทศไทยได้พยายามผลักดันจัดแจงเรื่องนี้อย่างแข็งขัน แต่เหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น เพียงเพราะสนามบินหัวหินขาดเครื่องอำนวยความสะดวกในทางขึ้นลงของเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เป็นเหตุให้รัฐมนตรีสมัยรัฐบาลทักษิณคนหนึ่งวิจารณ์สหรัฐฯ ว่า ‘ไม่เข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์เอาเลย’ มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับสงครามต่อต้านการก่อการร้ายสากล จนละเลยพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่นับวันจะทวีความสำคัญขึ้นทุกทีในการแข่งขันถ่วงทานอำนาจกับจีนต่อไปข้างหน้า”

แม้ต่อมาประธานาธิบดีโอบามาจะปรับแนวทางนโยบายหันมาปักหมุดเอเชีย โดยเดินทางมาเข้าเฝ้าถามไถ่พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ถึงโรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555 ด้วยความห่วงใย 11 วันหลังจากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในวาระ 2 แต่อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ Ralph Boyce ก็ยังบอกว่า “Too late, too late”

ตัวแบบจีน

เกษียรอธิบายตัวแบบจีนว่ามีความแตกต่างจากตัวแบบตะวันตก ขณะที่ตัวแบบตะวันตกหรืออเมริกันคือเศรษฐกิจเป็นทุนนิยม การเมืองเป็นเสรีประชาธิปไตย แต่ตัวแบบจีนคือเศรษฐกิจเป็นทุนนิยม แต่การเมืองเป็นอำนาจนิยม กล่าวคือการเมืองปิด เศรษฐกิจเปิด

“ข้อเสนอแบบนี้เข้ามาในไทยระยะหนึ่งแล้ว Benjamin Zawacki ประเมินว่าชนชั้นนำไทยชอบ ทักษิณก็ชอบ พันธมิตรก็ชอบ แล้วเราจะหนีไปไหน แนวโน้มนี้ไม่เปลี่ยน ถึงแม้โค่นทักษิณ แต่รัฐบาลชุดต่อๆ มาไม่เปลี่ยนท่าทีนี้ต่อตัวแบบจีน ทำไมชนชั้นนำไทยที่รู้สึกว่าตัวแบบจีนที่เศรษฐกิจเปิด การเมืองปิด จึงดึงดูดใจ คำอธิบายไทยคือชนชั้นนำไทยอยากได้สองอย่างซึ่งตัวแบบจีนเหมือนจะเป็นคำตอบ คือประกันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแน่วแน่สม่ำเสมอ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือให้คนจนมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นในอัตราเท่าทันกับความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างออกไป คนรวยอาจรวยขึ้นด้วยอัตราที่เร็วกว่าคนชั้นอื่นก็ได้ไม่เป็นไร แต่จะปล่อยให้มาตรฐานการครองชีพของคนจนชะงักงันนานเกินไปไม่ได้ หากทำได้ดังนี้ก็จะมีการชุมนุมประท้วงของชนชั้นรากหญ้าน้อยลง ซึ่งเป็นคำตอบต่อโจทย์ที่สอดคล้องต้องตรงกับแง่มุมด้านการพัฒนาของตัวแบบจีน

“ชนชั้นนำไทยยอมรับว่าสังคมไทยเหลื่อมล้ำมาก แต่ไม่ต้องการให้ความเหลื่อมล้ำนี้หายไป ต้องการให้ความเหลื่อมล้ำเป็นที่พอทนได้ วิธีคือทำให้เศรษฐกิจโต ถ้าคุณทำให้จีดีพีโตไปเรื่อยๆ ได้ คนข้างล่างมองคนข้างบนไม่เห็นเพราะอยู่คอนโดฯ ชั้นที่ 80 แต่ที่เขาทนได้ เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อห้าปีสิบปีก่อน เขาดีขึ้น เขาจะทนกับความเหลื่อมล้ำ เขาจะไม่ทนถ้าเขาหยุดนิ่งและมันเหลื่อมล้ำ ดังนั้นจึงต้องอีอีซี แจ็ค หม่า ต้องขายทุเรียน เพื่อกระตุ้นจีดีพีให้โต ให้คนไทยทนอยู่กับความเหลื่อมล้ำขนาดนี้ได้

“ขณะเดียวกันต้องจำกัดเสรีภาพในการชุมนุม แสดงออก และการจัดตั้งรวมตัวกันอย่างเข้มงวด เพื่อที่ว่าหากจะมีการชุมนุมประท้วงเดินขบวนใดๆ เกิดขึ้น ก็จะมีขนาดเล็กและอายุสั้น หากกีดกันไม่ให้ชุมนุมประท้วงได้เลยก็ทำ แต่ถ้าเกิดการชุมนุมขึ้นแล้วก็จำต้องรับมือตอบโต้ ซึ่งก็เป็นคำตอบต่อโจทย์ที่สอดคล้องต้องตรงกับแง่มุมด้านเสถียรภาพ อย่างน้อยก็ในระดับพื้นผิวที่ปรากฏของตัวแบบจีนเช่นกัน”

ประเทศไทยในวันที่ไม่มี The Bhumibol Consensus

เกษียรทิ้งคำถามในช่วงท้ายว่า เมื่อรัฐพันลึกไทยกำลังโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำท่ามกลางการเปลี่ยนรุ่นของชนชั้นนำและเปลี่ยนดุลอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคและโลก มันจะนำไปสู่อะไร

จากกองทัพและสถาบันบวกเกลียวสัมพันธ์อเมริกาจะเปลี่ยนไปสู่กองทัพและสถาบันบวกเกลียวสัมพันธ์จีนหรือไม่?

กองทัพ กลุ่มทุนใหญ่ พรรคการเมือง ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน จะเอียงเอนไปพิงทางไหน จีนหรือสหรัฐฯ?

กองทัพ กลุ่มทุนใหญ่ พรรคการเมือง ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน จะเอาอย่างใคร ตัวแบบตะวันตกหรือตัวแบบจีน?

ในสภาพที่ไม่มีพระราชอำนาจนำของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่มีอนุญาโตตุลาการสุดท้ายในหมู่ชนชั้นนำ ไม่มี The Bhumibol Consensus เกลียวสัมพันธ์ชนชั้นนำแบบเก่าจะธำรงอยู่ได้หรือไม่? จะปรับตัวอย่างไร?

“ตอนนี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่อยู่แล้ว ในสมัยพระองค์พูดได้ว่าพระองค์มีพระราชอำนาจนำในความหมายที่ว่า ถ้าพระองค์ตรัสแบบนี้ คนไทยวิ่งตาม อยากสนองพระราชประสงค์ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ดังนั้น เวลาชนชั้นนำไทยขัดแย้งกันใครจะเป็นอนุญาโตตุลาการสุดท้าย เราไม่มีสิ่งที่ผมเรียกว่า The Bhumibol Consensus ซึ่งไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นวิถีการบริหารจัดการความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ดำรงอยู่มาในรัชกาลของพระองค์ เมื่อไม่มีสิ่งนี้แล้ว เกลียวสัมพันธ์ชนชั้นนำแบบเก่าจะอยู่ได้หรือไม่ จะต้องปรับตัวอย่างไร

“ผมรู้สึกว่าในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ต่อให้อธิบายว่ามีรัฐพันลึก มีรัฐคู่ขนาน แต่มันไม่เพียงพอที่จะอธิบายสังคมไทยด้วยซ้ำ หมุดกลางเมืองหายไปไม่มีใครรู้สักคน แต่ทุกคนรู้ แสดงว่าไม่ได้มีอำนาจศูนย์เดียว มันมีรัฐในรัฐในรัฐในรัฐ แต่ก่อนง่ายกว่านี้เพราะมี The Bhumibol Consensus แต่เมื่อไม่มี ทุกคนก็แย่ง ทุกคนขยายเขตอำนาจเข้าไปคว้าอะไรที่ใกล้มือ วิธีที่ คสช. ทำคือออกกฎหมายๆ แล้วกฎหมายเหล่านี้คือกฎหมายที่กวาดอำนาจเข้าไปอยู่ในมือทหาร คสช. และเครือข่าย คนอื่นใช้วิธีอื่น กลุ่มอำนาจอื่นใช้วิธีอื่น กวาดอำนาจโดยการเปลี่ยนอันนั้น เปลี่ยนอันนี้ เพราะระเบียบเดิมมันหาย แล้วทุกคนก็คิดถึงอดีต ล่าสุดคือออเจ้า อยุธยา แปลว่าอะไร

“The Bhumibol Consensus คือคำตอบของในหลวงรัชกาลที่ 9 และประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยแบบตะวันตก วิธีการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านรับบางอย่าง แต่ไม่รับทั้งหมด ท่านปรับและทำให้เข้ากับความเป็นไทยแบบอนุรักษนิยม แบบรักษาประเพณี ในความหมายของท่าน เราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มตัว ความฝันของเราก็ไม่ได้อยากเป็นเผด็จการเต็มตัว เราอยากจะเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คุณว่าไม่ประชาธิปไตยไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมว่านี่คืออัจฉริยะภาพของพระองค์ที่หาวิธีการที่จะรอมชอมความเป็นสมัยใหม่แบบฝรั่งเข้ากับระเบียบ ประเพณี วัฒนธรรมของไทย แล้วตอนนี้มันหาย พระองค์ไม่อยู่แล้ว

“ปัญหาคือทุกคนก็มีความฝันของตน เพราะความฝันของตนอยู่ใต้ The Bhumibol Consensus มา พอ The Bhumibol Consensus หายไป ทุกคนก็ฟื้นคืนชีวิต บางคนฝันถึงสมัยสฤษดิ์ หวนคิดถึงอดีตที่คิดว่านั่นแหละคือเมืองไทยในอุดมคติ แต่อยากจะกลับไปจริงมั้ย ไม่ ไม่ได้จะกลับ แต่อยากจะเอาอันนั้นมาเป็นแบบอย่างของปัจจุบัน บางคนอยากกลับไปสมัยรัชกาลที่ 7 หรือรัชกาลที่ 5 ทุกคนมีการหวนหาอดีต เพราะทุกคนวางอุดมคติของตนไว้กับอดีตอันใดอันหนึ่ง การหันหาอดีตคือการชะลอมันเพื่อมาบอกปัจจุบันว่าเอาแบบนี้สิ”

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง-โยกย้าย 11 ข้าราชการ รวม 'ผู้ว่าฯ เชียงราย'ไปนั่ง ผู้ว่าฯ พะเยา

$
0
0

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง-โยกย้าย ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง 11 ราย รวม ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯ เชียงราย ด้วย โดยให้ไปเป็นผู้ว่าฯ พะเยา โดย มท.เตรียมออกคำสั่ง ให้ผู้ว่าฯเชียงราย อยู่ช่วยทีมหมูป่าจนจบภารกิจ

4 ก.ค.2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ เรื่อง "แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ"โ ดยมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทยพ้นจากตําแหน่งเดิม และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จํานวน 11 ราย ดังนี้

1.นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ พ้นจากตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

2.นายปวิณ ชํานิประศาสน์ พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และแต่งตั้ง ให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง

3.นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา

4. นายประจญ ปรัชญ์สกุล พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

5.นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง

6.นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ พ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร

7.นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร พ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงาน ปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ

8.นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดอํานาจเจริญ

9.นายพิบูลย์ หัตถกิจโกศล พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี

10.นายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์

11.นายสิริรัฐ ชุมอุปการ พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดอํานาจเจริญ และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.2561 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 3 ก.ค.2561 โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็น ผู้รับสนองพระราชโองการ

สำหรับคำสั่งดังกล่าวเป็นผลมาจาก มติ ครม. ตั้งแต่ 24 เม.ย. 2561 แล้ว แต่ยังปฏิบัติหน้าที่เพราะอยู่ในระหว่างรอพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ ระบุว่าในช่วงที่มีคำสั่งโยกย้ายครั้งนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผล ในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงและผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นว่า มี 3 ข้อ คือ หนึ่ง คือครบวงรอบตามแผนการแต่งตั้งโยกย้ายกลางปี, การพิจารณาจากผลงานหรือข้อบกพร่องในพื้นที่ และการพิจารณาโดยหวังผลทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

โดยเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์รายงานว่า พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการย้ายผู้ว่าราชการ จ.เชียงรายว่า ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นผู้ว่าราชการ จ.พะเยาแล้ว แต่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้การปฏิบัติหน้าที่ภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทรวงมหาดไทยจะมีคำสั่งอีกครั้ง เพื่อให้ผู้ว่าฯอยู่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยทีมหมูป่า ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จนกว่าภารกิจจะเรียบร้อย

เกี่ยวกับประวัติ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ประวัติส่วนตัวด้านการศึกษา จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (วิศวกรรมโยธา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, นิติศาสตร์บัณฑิตและประกาศนียบัตรกฎหมายการที่ดินและทรัพย์สิน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เทคโนโลยีบัณฑิต (เทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต , มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปริญญาโท Master of Science (Geodetic Science and Surveying) , The Ohio State University ส่วนประวัติการทำงานที่ผ่านมา นั่งเก้าอี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 7 จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง , ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมสำรวจ (วิศวกรสำรวจทรงคุณวุฒิ) กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย , ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีทำแผนที่กรมที่ดิน , ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลแผนที่ รูปแปลงที่ดินแห่งชาติ กรมที่ดิน , เลขานุการกรม กรมที่ดิน , กรรมการ ในคณะกรรมการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของกระทรวงมหาดไทย

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐบาลใหม่มาเลเซียจับกุมนาจิบ ราซัค ข้อหาทุจริตโครงการอื้อฉาวโครงการ 1MDB

$
0
0

อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ของมาเลเซียถูกจับกุมกรณีทุจริตโครงการ 1MDB ที่เคยเป็นเรื่องอื้อฉาวมานานแต่ถูกสั่งปิดกั้นการสืบสวนในช่วงที่เขายังเป็นรัฐบาล แต่ในรัฐบาลปัจจุบันหลังการเลือกตั้งเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาก็มีการจัดตั้งคณะสืบสวนในเรื่องนี้จนกระทั่งส่งผลให้ราซัคถูกจับ

นาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเชีย

4 ก.ค. 2561 นาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีถูกจับกุมในกัวลาลัมเปอร์ข้อหาทุจริตยักยอกทรัพย์และฟอกเงินโครงการลงทุนของรัฐที่ชื่อ 1MDB ซึ่งกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวมาตั้งแต่สมมัยที่เขายังดำรงตำแหน่งนายกฯ อยู่

ผู้ให้ข่าวในเรื่องนี้คือทนายความประจำครอบครัวของราซัคเอง โดยที่หน่วยงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันของมาเลเซียได้ไต่สวนลูกบุญธรรมของราซัค ริซา อะซิซ ในเรื่องนี้เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ผู้สืบสวนจากสหรัฐฯ เปิดเผยว่าบริษัทภาพยนตร์ของริซาที่ชื่อ เรดแกรไนต์พิกเจอร์ส จำกัด ใช้เงินที่ขโมยมาจากโครงการ 1MDB เพื่อเป็นทุนการสร้างภาพยนตร์ฮอลลิวูดหลายเรื่องรวมถึงเรื่อง "The Wolf of Wall Street"ผลงานกำกับของมาร์ติน สกอเซซี่

อัลจาซีราระบุว่าเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริต 1MDB ทำให้พรรคของราซัคแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่่ผ่านมา โดยที่รัฐบาลใหม่เปิดให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีนี้หลังจากที่ถูกปิดกั้นการสอบสวนในช่วงที่ราซัคยังเป็นรัฐบาล ผู้สื่อข่าวของอัลจาซีรา ฟลอเรนซ์ ลอย รายงานว่าเรื่องนี้ถือเป็นขประเด็นใหญ่ในมาเลเซียและเป็นเรื่องที่มาคาดคิดมาก่อน

โครงการ 1MBD หรือ 1Malaysia เป็นโครงการพัฒนาที่ราซัคตั้งขึ้นในปี 2552 โดยอ้างว่าเป็นการพัฒนาการลงทุนเพื่อช่วยเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในปี 2558 ก็มีการกล่าวหาว่ามีการยักยอกเงินจากโครงการนี้ออกไป โดยมีเงินหายไป 4,000 ล้านดอลลาร์ และมีเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของราซัค ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ฟ้องร้องคดีนี้ในปี 2559 เพื่อต้องการยึดทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งเชื่อมโยงกับงบประมาณโครงการนี้

ในตอนนั้นราซัคปฏิเสธข้อกล่าวหานี้โดยอ้างว่าเงินที่เขามีเป็นการได้รับบริจาคมาจากราชวงศ์ของซาอุดิอาระเบียซึ่งเขาได้คืนไปแล้ว

อัลจาซีราระบุว่าเรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้ผู้คนนำความโกรธแค้นที่เงินภาษีของตนถูกฉกชิงไปไปลงกับการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ค. จนทำให้พรรคอัมโนของราซัคพลาดจากชัยชนt ส่งผลให้กลุ่มที่เคยเป็นพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านนำโดยมหาเธร์ โมฮัมหมัด ขึ้นเป็นรัฐบาลแทน และรัฐบาลใหม่นี้ก็ตั้งคณะสืบสวนเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการกระทำผิดของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการโครงการ 1MDB ซึ่งรัฐบาลพบว่านอกจากการยักยอกทรัพย์จากโครงการแล้ว ราซัคยังเอาเงินภาษีของประชาชนไปโปะหนี้สินของโครงการ 1MDB ด้วย

เยห์คิมเล้ง ศาตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซันเวย์ของมาเลเซียกล่าวว่าเมื่อดูจากระบบโครงการที่มีความซับซ้อนในการทำธุรกรรมข้ามประเทศไปมาจำนวนมากเช่นนี้แล้ว มันก็ดูเหมือนเป็นการดูดเงินจากรัฐมากกว่า และนับเป็น "การต้มตุ๋นหลอกลวง"

นักวิเคราะห์มองว่าการจับกุมในครั้งนี้จะทำให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวนี้มากขึ้นหลังจากนี้ คาร์ตินี อะบู ตาลิบ ผู้ช่วยศาตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซียกล่าวว่าอาชีพการเมืองของราซัคจบสิ้นลงแล้ว หลังจากถูกตัดสินราซัคจะมีแต่ภาพลักษณ์ของคนที่ทุจริตคอร์รัปชันติดตัวไปตลอด

ในการบุกทลายทรัพย์สินของราซัคเมื่อเดือนที่แล้วพบทรัพย์สินมีค่าทั้งกระเป๋าใส่เงิน เพชรพลอย นาฬิกาหรู และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 273 ล้านดอลลาร์ (ราว 9.03 หมื่นล้านบาท) อัลจาซีราระบุว่าราซัคและภรรยาใช้ชีวิตอย่างหรูหราจนถูกจับตามองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

 

เรียบเรียงจาก

Malaysia 1MDB scandal: Ex-PM Najib Razak arrested, Aljazeera, 03-07-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผย 4 แนวทางพา 13 หมูป่าอะคาเดมีออกจากถ้ำหลวง-แม้พบตัวแล้วแต่สถานการณ์ยังน่าห่วง

$
0
0

ขั้นต่อไปของการช่วยเหลือ ‘13 หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย’ นับว่ายากไม่แพ้ช่วงค้นหา โดย ‘เดอะการ์เดียน’ ประเมิน 4 วิธีเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยออกจากถ้ำหลวง ซึ่งบางแนวทางเสี่ยงอันตรายเพราะระดับน้ำและสภาพภายในถ้ำ ด้านผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ที่ติดอยู่ในถ้ำ และเฝ้าระวังปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำซึ่งเป็นตัวแปรที่ทำให้การช่วยเหลือยากลำบากมากขึ้น

แฟ้มภาพช่วงที่ทีมช่วยเหลือชุดแรกนำโดยนักดำน้ำจากสหราชอาณาจักรพบกับ 13 เยาวชนและโค้ช "ทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย"เมื่อคืนวันที่ 2 ก.ค. 2561 (ที่มา: เพจ Thai NavySEAL)

ภายในชั่วข้ามคืน คนไทยทั้งประเทศก็ได้รู้จักกับชื่อของ จอห์น โวแลนเทน นักดำน้ำจากสหราชอาณาจักร จากสภาช่วยเหลือผู้ติดถ้ำแห่งสหราชอาณาจักร (British Cave Rescue Council - BCRC) ที่เป็นคนแรกที่พบกับเยาวชนทีมหมูป่า อะคาเดมี พร้อมโค้ชทั้ง 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวงเมื่อกลางดึกคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา จนกลายมาเป็นวิดีโอคลิปที่สร้างความปีติยินดีให้กับคนทั่วโลก

โดยจอห์น ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์ว่า ในตอนนั้นเขากำลังวางเชือกนำทางให้กับหน่วยซีลกองทัพเรือที่กำลังดำน้ำตามเข้ามา เมื่อเชือกของเขาหมดระยะ จอห์นปักสมอลงกับพื้นโคลนแล้วเงยหน้าขึ้น แล้วเขาก็ได้พบกับทั้ง 13 คน เขากล่าวว่า หากเชือกของเขาสั้นกว่านี้แค่ 15 ฟุต เขาก็คงจะเงยหน้ามาพบกับความมืดของถ้ำและหันหลังกลับเพื่อเริ่มสำรวจเส้นทางใหม่

แต่จะดีใจตอนนี้ก็อาจจะเร็วไป เพราะสิ่งที่ยากกว่าการค้นหา คือคำถามที่ว่าจะพาพวกเขาออกมาอย่างไร ซึ่งสื่อต่างประเทศหลายสำนักก็มีการวิเคราะห์เรื่องนี้ออกมาในหลายแนวทาง

 

ประเมิน 4 แนวทางเคลื่อนย้ายที่ยังมีความเสี่ยง

เดอะการ์เดี้ยน รายงานว่าในขณะนี้ทีมช่วยเหลือกำลังประเมิน 4 วิธีการในการพาผู้ประสบภัยออกมา ได้แก่ หนึ่ง รอให้ระดับน้ำลดลง ซึ่งถือเป็นวิธีการที่เสี่ยงอยู่พอสมควรเนื่องจากประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน แปลว่าอาจจะมีฝนตกลงมาอีกเป็นจำนวนมากในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจจะทำให้ระดับน้ำภายใน้ถ้ำเพิ่มสูงขึ้นไปอีกและทำให้ภารกิจช่วยเหลือทำได้ยากขึ้น เพราะทุกวันนี้แม้ทางทีมกู้ภัยจะระดมเครื่องสูบน้ำออกจากถ้าเต็มกำลังแต่ระดับน้ำก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลง

สอง เจาะช่องเขาซึ่งเป็นวิธีที่ทั้ง 13 ชีวิตจะออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านกระแสน้ำที่ขุ่น และเชี่ยวกราด แต่วิธีนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูง โดยทาง BCRC ให้ความเห็นว่า พวกเด็กๆ อยู่ในจุดที่ค่อนข้างแคบ การขุดเจาะจึงอาจก่ออันตรายกับพวกเขาได้

สาม สอนให้ทั้ง 13 คนใช้อุปกรณ์ดำน้ำและพาดำออกมาซึ่งดูจะเป็นวิธีการที่ถูกพูดถึงมากที่สุด แต่ความเสี่ยงก็มีมากเช่นกันโดยเอ็ด โซเรนสันผู้ประสานงานระดับภูมิภาคขององค์กรกู้ภัยและช่วยเหลือในถ้ำใต้น้ำนานาชาติ (International Underwater Cave Rescue and Recovery Organisation - IUCRR) ให้ความเห็นว่าวิธีดังกล่าวควรเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะนอกจากทั้ง 13 คนต้องฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังต้องฝึกใช้อุปกรณ์ดำน้ำทั้งๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น วิธีนี้จึงอาจก่ออันตรายถึงชีวิตต่อต่อผู้ประสบภัย แล้วทีมช่วยเหลือ

“การต้องพาคนออกมาในสภาวะที่ทัศนะวิสัยเป็นศูนย์ แถมยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม มันง่ายมากที่พวกเขาจะมีอาการตื่นกลัว ซึ่งอาจทำให้พวกเด็กๆ หรือทีมกู้ภัยเสียชีวิตได้” โซเรนสันกล่าว

สอดคล้องกันกับ เบน เรย์มิเนนทส์นักดำน้ำชาวเบลเยี่ยมที่เข้าร่วมกับทีมช่วยเหลือ ที่ให้ความเห็นว่า การดำน้ำพาผู้ประสบภัยในอยู่สภาพร่างกายอ่อนแอผ่านสายที่เชี่ยวกราดและช่องแคบภายในถ้ำเป็นเรื่องที่ยากและอันตรายมาก เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำภายในถ้ำในช่วงที่ฝนตกได้

“นี่เป็นหนึ่งในการดำน้ำภายในถ้าที่โหดที่สุดที่ผมเคยทำมา” เบนกล่าว “มันไกล และซับซ้อนมาก แถมยังมีกระแสน้ำ ทัศนะวิสัยแทบจะเป็นศูนย์ตลอดเวลา การพาเด็กๆ ออกมาทีละคนจึงมีความเสี่ยงที่พวกเขาจะเกิดอาการตื่นกลัว เพราะพวกเขายังว่ายน้ำไม่เป็นด้วยซ้ำ”

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน เวอร์นอน อันสวอธ นักสำรวจถ้ำชาวสหราชอาณาจักรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และสำรวจถ้ำหลวงมานานกว่าหกปี ให้ความเห็นว่าวิธีการนี้น่าจะดีกว่าการปล่อยให้ทั้ง 13 ชีวิตอยู่ภายในถ้ำเป็นเวลาแรมเดือน โดยเขาเสนอให้ส่งทีมดำน้ำกู้ชีพที่มีประสบการณ์ในการพาเด็กๆ ออกมาให้เร็วที่สุด อีกทั้งยังแนะนำให้ใช้หน้ากากดำน้ำแบบคลุมทั้งหน้าซึ่งง่ายต่อการใช้มากกว่า

สี่ วิธีการสุดท้ายคือการลำเลียงเด็กออกมาผ่าน “โซ่มนุษย์”คือการให้ทีมกู้ภัย ยืนต่อเรียงแถวต่อกันเป็นสายพานแล้วลำเลียงผู้ประสบภัยออกมาทีละคน โดยจะให้ใส่หน้ากากออกซิเจน และเสื้อเวทสูทเพื่อป้องกันความหนาว แต่วิธีการดังกล่าวก็ค่อนข้างจะยุ่งยาก เนื่องจากช่องทางภายในถ้ำนั้นแคบมาก ในบางจุดมีขนาดเพียงหนึ่งคนผ่านเท่านั้น ทำให้ทีมช่วยเหลือต้องถอดเครื่องช่วยหายใจออกอยู่บ่อยๆ เพื่อลอดตัวผ่านช่องแคบ วิธีการนี้ยังใช้เวลานานมาก เพราะจะลำเลียงผู้ประสบภัยออกมาได้ทีละคน หากฝืนเอาออกมาทีละหลายๆ คน แล้วมีการติดขัดระหว่างทาง ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนอื่นๆ ด้วย

 

แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ร่างกายต้องพร้อม เฝ้าระวังระดับน้ำ

แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ผู้เชี่ยวชาญทุกคนต่างเห็นตรงกันว่า สิ่งที่ต้องทำก่อนเป็นอันดันแรกคือการฟื้นฟูร่างกายของทั้ง 13 ชีวิต ให้พร้อมสำหรับปฏิบัติช่วยเหลือ โดยตอนนี้ทางทีมกู้ภัยได้จัดสรรอาหาร และเครื่องสาธารณูปโภคพื้นฐานให้เพียงพอสำหรับการอยู่ในถ้ำนานสี่เดือน พร้อมทีมแพทย์เข้าไปดูแล สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังกันต่อไปก็คือปริมานน้ำฝนที่อาจจะตกลงมาอีกในอนาคต และทำให้การช่วยเหลือยากลำบากมากขึ้น

 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลเชียงใหม่รับฟ้องคดี ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’ นัดต่อไป 14 ส.ค.นี้

$
0
0

ศาลแขวงเชียงใหม่รับฟ้องกรณี กอ.รส.เชียงใหม่แจ้งความนักวิชาการ นักแปล นักศึกษา 5 คน ถ่ายภาพชูสามนิ้วกับป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’ ข้อหาฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/58 ด้านจำเลยชี้ตีความป้ายผ้า-ชูสามนิ้วเป็นต่อต้านรัฐบาลสะท้อนสังคมและสภาวะที่ไม่ปกติ

ตัวแทนสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยยื่นดอกไม้ให้กำลังใจจำเลยคดีไทยศึกษา

4 ก.ค. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลแขวงเชียงใหม่รับฟ้องของอัยการในกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารกล่าวหาว่าชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคศึกษาด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลและนักเขียนอิสระ นลธวัช มะชัย นักศึกษาปริญญาตรีคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชัยพงษ์ สำเนียง นักศึกษาปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มช. และธีรมล บัวงาม นักศึกษาปริญญาโทคณะการสื่อสารมวลชน มช. และบรรณาธิการสำนักข่าวประชาธรรม ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องการร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. หรือผู้ได้รับมอบหมาย

คำฟ้องระบุว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันมีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ร่วมกันมั่วสุมและชุมนุมการเมืองโดยแสดงแผ่นป้ายข้อความว่า “เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร” และปิดแผ่นป้ายนั้นไว้บริเวณห้องประชุมสัมมนาในงานประชุมไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่ จ.เชียงใหม่เมื่อเดือน ก.ค. 2560 พร้อมกับการชูนิ้วสามนิ้ว  (นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง)  อันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ในทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนั้น และถ่ายภาพกับป้ายข้อความซึ่งปิดไว้ที่บริเวณหน้าห้องประชุมสัมมนา เพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจว่ารัฐบาล และทหารจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในเชิงลบกับรัฐบาล เป็นการยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล

ศาลได้ประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 6792/2561 และได้กำหนดวันนัดฟ้องในวันที่ 14 ส.ค. 2561 เวลา 9.00 น. หลังรับฟ้อง จำเลยทั้งห้ายื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นศาลโดยไม่ใช้หลักทรัพย์ประกันตัวเนื่องจากไม่ได้มีพฤติการณ์จะหลบหนี และคดีไม่ได้มีโทษร้ายแรง ซึ่งศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวจำเลยทั้งหมดไปโดยให้สาบานตัวว่าจะมาตามนัดศาลที่กำหนด

ศูนย์ทนายฯ รายงานว่า ระหว่างกระบวนการรับฟ้องคดี มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบคอยติดตามสังเกตการณ์อยู่ภายในบริเวณศาล นอกจากนั้นยังมีนักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจจำเลยทั้งห้าคนที่ศาลอีกราว 40 คน

สุมิตรชัย หัตถสาร หนึ่งในทีมทนายความจำเลยกล่าวว่า ต่อจากนี้จะมีการประชุมทีมทนายและจำเลยทั้งห้าก่อนวันที่ 14 ส.ค. ซึ่งเป็นวันนัดของศาล โดยอาจมีการนัดพยานที่เป็นนักวิชาการที่เคยเสนอไว้ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนว่าจะเตรียมเนื้อหาหลักฐานไปเสนอศาลอย่างไร โดยวันที่ 14 ส.ค.นั้น จะเป็นวันที่จำเลยทั้งห้าจะยื่นคำให้การว่าจะต่อสู้คดีในประเด็นใดบ้าง

“ข้อกังวลคงเป็นเรื่องว่าทางศาลจะรับฟังพยานหลักฐานในเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างไร เพราะเนื้อหาของคำฟ้องมีสองส่วน หนึ่ง เกี่ยวกับป้ายใจความว่า เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร อีกกรณีที่อัยการบรรยายคือการยกนิ้วสามนิ้ว เขาก็เขียนในคำฟ้องว่าลักษณะเหล่านี้เป็นการต่อต้านรัฐบาลและอาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม เราก็คงต้องโต้แย้งว่าพฤติการณ์เหล่านี้ที่่ถูกอ้างมาไม่ได้เป็นการต่อต้านรัฐบาล การชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนปกติ และเป็นเวทีวิชาการ ไม่ใช่การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองอะไร” สุมิตรชัยกล่าว

ธีรมล หนึ่งในจำเลยกล่าวว่าคดีนี้สะท้อนถึงความผิดปกติในสังคมไทยที่การแสดงออกของประชาชนในเวทีวิชาการกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปเป็นเรื่องการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาล และรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อยืนหยัดในเรื่องสิทธิ เสรีภาพในการพูด การแสดงออกและเสรีภาพทางวิชาการแม้จะถูกดำเนินคดีก็ตาม ทั้งขอให้สังคมตระหนักว่าอย่าลืมประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่ถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันที่ไม่ได้มีสถานะทางวิชาการหรือสังคมปกป้องเหมือนพวกตน

“ที่ผ่านมาก็มีกระบวนการที่จะให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้วรรค 12 ในกฎหมาย 3/2558 ให้ไปรับการอบรม เซ็นเอ็มโอยู หรือเจรจาต่างๆ เยออะแยะมากมายที่จะแยกพวกเราออกจากกัน แต่พวกเราก็ยืนหยัดทั้งห้าคนที่จะสู้ไปด้วยกัน

“ก็ยืนยันว่าพวกเราไม่ได้ผิด คดีไม่ได้เป็นคดีตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เราไม่ได้รู้สึกว่าเราผิดอะไรก็เลยขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมแล้วกัน เพราะเราเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมจะช่วยทำให้เห็นว่าข้อความ เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร ไปถ่ายกับป้าย ชูไม้ชูมือทำสัญลักษณ์จะถูกตีความว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ทำให้เกิดการยุยงปลุกปั่น กระด้างกระเดื่องหรือเกิดภาพลักษณ์ต่อรัฐบาล คสช. ก็เห็นว่าเป็นอะไรที่ถูกลากไปเชื่อมโยงมากไป เพราะทั้งหมดทั้งมวลเป็นกิจกรรมหรือการแสดงออกที่ต่อเนื่องจากตรงนั้น ไม่ได้มุ่งหมายที่จะคเลื่อนไหวทางการเมืองอย่างที่ผู็มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาลขณะนี้มอง เราเลยคิดว่าเราไม่ผิด และจะยืนยันใช้สิทธิ์ของเราปกป้องคุณค่าในการแสดงออก

ถ้าเทียบกับเคสอื่นๆ แล้วเคสพวกเราก็ง่าย ไม่อยากให้คนที่มาสนับสนุนเราไม่เห็นกลุ่มอื่นที่โดนแบบเดียวกันกับเราที่เขาไม่มีต้นทุนไปสู้ได้ เราไม่ได้เป็นพระเอกแบบนั้น แต่เรามีโอกาสในการใช้สิทธิ ใช้โอกาสเหล่านี้ในการแสดงออกและต่อสู้ร่วมกันกับคนอื่น เพราะเป็นสภาวะไม่ปกติที่พวกเราต้องเจอร่วมกันทั้งประเทศ เพราะสิ่งที่พวกเราทำคือการแสดงออกในพื้นที่เวทีวิชาการเท่านั้นเองแล้วมันก็ถูกขยายความใหญ่โต มันสะท้อนความไม่ปรกติของสังคมเองต่างหากที่สิ่งเล็กน้อย เรียบง่ายและธรรมดามากในพื้นที่ของพวกเราในการนำเสนอจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาล ก็สะท้อนสิ่งที่สังคมนี้ รัฐบาลทหารชุดนี้มองอยู่และพยายามจะควบคุม จัดการ” ธีรมลกล่าว

ภัควดีกล่าวว่า หากศาลยกฟ้องคดีนี้ก็อยากให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีลักษณะเดียวกันที่ประชาชนคนอื่นถูกฟ้องด้วย และระยะเวลาที่ยาวนานเกือบหนึ่งปีก่อนจะสั่งฟ้องทำให้ทั้งจำเลยและทนายความเสียเวลาไปกับคดีที่ไม่มีสาระ

“คาดหวังว่าศาลจะยกฟ้องหากดูจากมูลเหตุ หลักฐาน แรงจูงใจและสภาพแวดล้อม ในขณะเดียวกันอยากให้เป็นบรรทัดฐานว่าถ้ามีชาว้บ้านทั่วไปที่ไม่มีนักศึกษา ปัยญาชน นักวิชาการถูกคดีแบบนี้ก็อยากให้ได้รับการยกฟ้องเช่นกัน ถ้าคดีเราได้รับการยกฟ้อง หังว่ากฎหมายจะพิทักสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนทั่วไป”

“ก็เสียเวลาไปตามนัด แต่ละคนที่โดนคดีบางคนเป็นนักวิชาการ เป็นสื่อ ก็มีธุระต้องไปต่างประเทศบ้าง ที่นู่นที่นี่บ้างก็มีผลกระทบเรื่องเวลาที่ต้องไปรายงานตัว ทนายความก็เสียเวลามาทำคดีแบบนี้ที่เป็นคดีที่ไม่มีสาระเท่าไหร่”

ชัยพงษ์ อีกหนึ่งจำเลยแสดงความเห็นว่าคดีนี้ยังไม่อยู่ในองค์ประกอบที่พอจะรับฟ้องแต่ศาลก็รับฟ้อง และระบุว่าการรายงานตัวต่ออัยการเชียงใหม่ทุกเดือนเป็นภาระ เพราะการรายงานตัวหนึ่งครั้งก็กินเวลาทั้งวัน ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็ต้องกลับมา

“ผมคิดว่าคดีนี้ โดยกระบวนการมันก็แปลกๆ เราคิดว่าคดีก็ยังไม่อยู่ในองค์ประกอบที่พอจะรับฟ้องหรือสั่งฟ้องได้ แต่ก็เป็นคดี เพราะคดีนี้ต้องมีองค์ประกอบชุมนุมเกินห้าคน ที่จริง 3-4 คนที่โดนฟ้องก็ต่างกรรมต่างวาระ ไม่ได้รวมตัวกันห้าคนเลย” ชัยพงษ์กล่าว

ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป กำหนดโทษจำคุกไว้ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สถิติจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) รายงานเมื่อเดือน ก.พ. 2561 ระบุว่ายอดจำนวนคนที่ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 มีจำนวน 333 คน ต่อมามีผู้ถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีกในกรณีคนอยากเลือกตั้งที่ชุมนุมที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่หน้ากองทัพบก ที่พัทยา และหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

แอมเนสตี้ ร้องไทยยุติดำเนินคดี

 
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ร้องให้ทางการไทยการยุติการดำเนินคดีต่อ 5 นักวิชาการและนักศึกษาในข้อหา “จัดการชุมนุมทางการเมืองอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ในการประชุมไทยศึกษานานาชาติครั้งที่ 13 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา เนื่องจากขัดต่อเสรีภาพในการแสดงออก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.amnesty.or.th/latest/news/130/)

วันนี้ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.)ได้ออกแถลงการณ์สืบเนื่องจากกรณีคดีไทยศึกษา ขอให้ยุติการปิดกั้น คุกคามการแสดงความเห็นของประชาชนและเสรีภาพทางวิชาการ และให้ คสช. เร่งจัดการเลือกตั้งตามกำหนด โดยมีใจความดังนี้

แถลงการณ์ คนส.

เรื่อง ยุติการปิดกั้นคุกคามการแสดงความเห็นของประชาชนและเสรีภาพทางวิชาการ

กรณีอัยการภาค 5 มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีถือแผ่นป้าย “เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร” ในการประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2560 จำนวน 5 คนในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 โดยนัดหมายให้ไปรายงานตัวต่อศาลแขวงเชียงใหม่ในวันที่ 4 กรกฎาคม นี้ ถือเป็นการใช้กฎหมายปิดกั้นคุกคามเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนรวมถึงเสรีภาพทางวิชาการของคณะรัฐประหารและรัฐบาล คสช. ที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง

การที่เจ้าหน้าที่ทหารรวมถึงตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบได้ถือวิสาสะเข้าไปสังเกตการณ์และบันทึกกิจกรรมในการประชุมเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการโดยตรงเพราะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและวิตกกังวลในผู้เข้าร่วมประชุม เกิดความไม่มั่นใจหรือเกรงว่าการเสนอข้อเท็จจริงและความเห็นทางวิชาการอาจถูกหมายความหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนและส่งผลให้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ขณะเดียวกันการที่ผู้เข้าร่วมประชุมและผู้เกี่ยวข้องในการจัดประชุมถือและติดแผ่นป้าย “เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร” เป็นการสื่อสารข้อเท็จจริงและเป็นการแสดงออกอย่างสงบ ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ ไม่ควรที่จะถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีตั้งแต่ต้น

ประการสำคัญ ปัจจุบันได้มีการอาศัยคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 รวมถึงกฎหมายอื่นในการปิดกั้นคุกคามเสรีภาพในการแสดงความเห็นและชุมนุมของประชาชนอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่กรณี “We Walk เดินมิตรภาพ” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต วันที่ 20 มกราคม 2561 ซึ่งมีผู้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยข้อหาละเมิดคำสั่งดังกล่าวจำนวน 8 คน จนกระทั่งกรณี “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ทั้งบริเวณ Skywalk บริเวณถนนราชดำเนิน บริเวณหน้ากองทัพบก บริเวณหน้าสำนักงานสหประชาชาติ รวมถึงที่พัทยาและหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีผู้ต้องหาละเมิดคำสั่งดังกล่าวรวมทั้งสิ้นกว่า 130 คน ถือเป็นการใช้กฎหมายปิดกั้นคุกคามการแสดงความเห็นและการชุมนุมของประชาชนในจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) จึงเรียกร้องไปยังหัวหน้า คสช. ดังนี้

1. ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 รวมถึงคำสั่งและกฎหมายอื่นที่ไม่วางอยู่บนหลักนิติธรรมและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน

2. หยุดข่มขู่ คุกคาม และปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็นและชุมนุมของประชาชนรวมถึงเสรีภาพทางวิชาการ

3. เร่งคืนอำนาจให้ประชาชนและคืนความปกติสุขให้กับสังคมด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้งที่เสรี บริสุทธิ์ และยุติธรรม ในเวลาที่ได้แถลงไว้

ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.)

4 กรกฎาคม 2561

oooooooo

นอกจากนั้น คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ไอซีเจ) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินคดีในไทยยุติการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งห้า และเรียกร้องให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย คำสั่ง และประกาศทั้งหลาย ที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศไทย

4 กรกฎาคม 2561

ประเทศไทย: ยุติการดำเนินคดีกับนักวิชาการเชียงใหม่

(กรุงเทพ ประเทศไทย) – วันนี้คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ไอซีเจ) ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินคดีในไทยยุติการดำเนินคดีต่อบุคคลทั้งห้าเพราะกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินกิจกรรมทางวิชาการในจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ บุคคลทั้งห้าถูกดำเนินคดีเพราะการใช้สิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมของพวกเขา

บุคคลดังกล่าว ได้แก่ ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลและนักเขียนอิสระ ชัยพงษ์ สำเนียง นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นลธวัช มะชัย นักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ธีรมล บัวงาม นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และบรรณาธิการสำนักข่าว และดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ไอซีเจยังเรียกร้องให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย คำสั่ง และประกาศทั้งหลาย ที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศไทย ไอซีเจกล่าวในวันนี้

วันนี้ อัยการภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ได้ทำการส่งฟ้องคดีของบุคคลทั้งห้าฐานละเมิดคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 (คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3) จากการแสดงความคิดเห็นในงานวิชาการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560

คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3 ห้ามมิให้มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“การที่ยังคงใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3 เพื่อจำกัดการแสดงออกอย่างเสรีโดยไม่ถูกต้องในประเทศไทยนั้นไม่อาจกระทำได้และเป็นอุปสรรคในการกลับคืนมาเป็นประเทศประชาธิปไตยภายใต้หลักนิติธรรมที่สมบูรณ์ของประเทศไทย” คิงสลีย์ แอ๊บบอต ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศอาวุโส ไอซีเจ กล่าว

“การตัดสินใดเนินคดีกับบุคคลทั้งห้านี้เป็นการละเมิดพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยโดยชัดเจนและควรได้รับการแก้ไขโดยทันทีพร้อมๆกับการยุติการดำเนินคดีและการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3”

การตัดสินใจของอัยการในการดำเนินคดีกับบุคคลทั้งห้านั้นเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่การจำกัดเสรีภาพพื้นฐานในประเทศมีมากขึ้น

แค่ภายในปีนี้ มีรายงานว่ามีบุคคลอย่างน้อย 132 คน ถูกดำเนินคดีฐานละเมิดคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3 ใน 10 คดี และ 6 เหตุการณ์ที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มคนที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้

ในกลุ่มบุคคลเหล่านี้ มีบุคคลทั้งสิ้นจำนวน 27 คนถูกดำเนินคดีในความผิดทำนองยุยงปลุกปั่น ซึ่งมีโทษสูงสุดคือจำคุกเป็นเวลา 7 ปี เช่นกัน

จากรายงานขององค์กรพัฒนาภาคเอกชน ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน ที่มีการเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2561 นั้นพบว่ามีรายงานว่าหลังจากการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีบุคคลอย่างน้อย 378 คนถูกดำเนินคดีใน 50 คดี ฐานละเมิดคำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป

ในเดือนมีนาคมและมิถุนายน 2561 ณ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ไอซีเจได้เรียกร้องให้ประเทศไทยยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย คำสั่ง หรือประกาศทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม (rule of law) และการปกป้องหลักสิทธิมนุษยชน

“สี่ปีได้ผ่านมาแล้วหลังจากการรัฐประหารซึ่งก่อให้เกิดข้อจำกัดต่อเสรีภาพขั้นพื้นฐานหลายประการที่ไม่เหมาะสม เวลานี้ได้เลยผ่านช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการแก้ไขเพื่อปกป้องระบบยุติธรรมจากการถูกนำไปใช้โดยไม่ถูกต้องและการคุกคามบุคคลเพียงเพราะพวกเขาใช้สิทธิมนุษยชนของตน” แอ๊บบ็อต กล่าว

ความเป็นมา

คำสั่งฟ้องของอัยการภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ นั้นเป็นผลมาจากการร้องทุกข์กล่าวโทษให้มีการดำเนินคดีแก่บุคคลทั้งห้าโดยเจ้าหน้าที่ทหารในปี 2560

ภัควดี วีระภาสพงษ์ ชัยพงษ์ สำเนียง และนลธวัช มะชัย ถูกกล่าวหาว่าได้ถือกระดาษขนาด A4 จำนวน 3 แผ่น ซึ่งมีข้อความว่า “เวทีวิชาการ ไม่ใช่ ค่ายทหาร” ณ งานประชุมวิชาการ

ธีรมล บัวงาม นั้นมีรายงานว่าเขาได้ถ่ายรูปของเขากับป้ายข้อความดังกล่าวและได้โพสรูปภาพของตนเองลงบนสื่อออนไลน์

ด้าน ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ นั้นในฐานะของผู้จัดงานประชุมวิชาการมีรายงานว่าเขาได้เห็นข้อความดังกล่าวและมิได้มีการดำเนินการใดๆ เพื่อนำข้อความดังกล่าวออก

ประเทศไทยเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) โดยในมาตรา 19 21 และ 22 ของ ICCPR ได้รับรองถึงสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงความคิดเห็นและแสดงออก  สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ และสิทธิในเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม

หลังจากการรัฐประหาร ไอซีเจได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้กรอบกฎหมายใหม่และกฎหมายที่มีอยู่ก่อนแล้วในการจำกัดสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก  สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ และสิทธิในเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม ได้แก่ การหมิ่นประมาททางอาญา (มาตรา 326-328 ของประมวลกฎหมายอาญา) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ความผิดฐานยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา) และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558

อ่านเพิ่มเติม

ICJ and TLHR Joint Submission to the UN Human Rights Committee, 13 February 2017

ICJ and TLHR Joint Follow-up Submission to the Human Rights Committee, 27 March 2018

ย้อนไทม์ไลน์เวทีไทยศึกษา เมื่อเขียนป้ายและชูสามนิ้วเป็นคดี (อีกแล้ว)

มูลเหตุของคดีในวันนี้ ต้องย้อนกลับไปราวหนึ่งปีกว่าๆ เมื่อช่วงวันที่ 15-18 ก.ค. 2560 ที่มีการจัดการประชุมวิชาการไทยศึกษา ซึ่งเป็นเวทีวิชาการนานาชาติที่มีนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมนำเสนอและรับฟังการเสนอผลงานทางวิชาการด้านไทยศึกษา งานจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติ จ.เชียงใหม่

18 ก.ค. 2560 มีนักกิจกรรมและนักศึกษานำป้ายที่มีข้อความ “เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร” มาติดบริเวณหน้าห้องสัมมนาวิชาการ เนื่องจากเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐนอกเครื่องแบบเข้ามาบันทึกกิจกรรมต่างๆ ในงานโดยไม่มีการลงทะเบียนเข้าร่วมงานและไม่ได้ขออนุญาตผู้จัดงาน โดยที่ระหว่างที่ป้ายดังกล่าวติดอยู่และมีผู้ร่วมถ่ายรูปกับป้ายดังกล่าวเป็นจำนวนมากด้วย โดยจำเลยทั้งห้าก็ได้ถ่ายภาพในท่าชูสามนิ้ว ซึ่งทั้งการติดป้ายและการชูสามนิ้วกลายเป็นเหตุที่นำไปสู่การตั้งข้อกล่าวหาในอนาคต

176 นักวิชาการไทย-ต่างประเทศเรียกร้อง คสช. คืนเสรีภาพทางวิชาการ-คืนอำนาจอธิปไตย

ทหารจ่อเรียกนักวิชาการเข้าพบ หลังชูป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’

นักวิชาการโต้แถลงการณ์ กกล.รส.เชียงใหม่ ไม่พูดถึงบทบาททหารสอดแนม-แทรกแซงประชุมไทยศึกษา

ต่อมา ร.ท.เอกภณ แก้วศิริ อัยการผู้ช่วยศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ รับมอบอำนาจจาก พ.อ.สืบสกุล บัวระวงศ์ รองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดเชียงใหม่ ให้มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีต่อนักวิชาการ นักศึกษา และนักแปลทั้งห้าคน ในข้อหาร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช.

เมื่อ 15 ส.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ช้างเผือก ได้ออกหมายเรียกนักวิชาการและนักศึกษา 5 คน ที่ปัจจุบันกลายสภาพเป็นจำเลยไปแล้ว ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า (คสช.) ที่ 3/2558 เรื่องการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคสช. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากกรณีเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในการประชุมวิชาการไทยศึกษา

เมื่อ 21 ส.ค. 2560  พ.ต.ท.อินทร แก้วนันท์ และคณะพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก แจ้งข้อหาต่อนักวิชาการ นักศึกษา และนักแปลทั้งห้าคน ทั้งยังแจ้งว่าหากผู้ต้องหาทั้งห้าสมัครใจเข้ารับการอบรมจากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน และเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยเห็นสมควรปล่อยตัวโดยอาจจะมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขก็ได้ ให้ถือว่าคดีเลิกกัน แต่ผู้ต้องหาทั้งห้าให้การปฏิเสธข้อหา และยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 1 ก.ย. ปีเดียวกัน

11 ก.ย. 2560 สืบเนื่องจากมติที่ประชุมของจังหวัดเชียงใหม่ (8 ก.ย.) กรณีกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดเชียงใหม่แจ้งความผู้ต้องหาทั้งห้า และได้นัดหมายให้ผู้ต้องหาไปที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ซึ่งผู้ต้องหาก็ไปตามนัด จากนั้นอัยการศาลแขวงเชียงใหม่ก็เลื่อนฟังคำสั่งคดีจนรับฟ้องในวันนี้

คดีนี้เป็นที่จับตามองจากองค์กรระหว่างประเทศ ประชาสังคมและนักวิชาการจำนวนมาก มีแถลงการณ์หลายฉบับที่ออกมาเพื่อเรียกร้องให้ถอนการแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ต้องหาทั้งห้า

กป.อพช.ภาคเหนือ ร้องถอนฟ้อง 5 นักวิชาการ คดีฝืนคำสั่ง คสช. ปมกิจกรรมในงานไทยศึกษา

28 ประชาสังคม ร้องถอนฟ้อง 5 นักวิชาการ คดีฝืนคำสั่ง คสช. ปมกิจกรรมในงานไทยศึกษา

3 องค์กรสิทธิร้องยุติคดี 5 นักวิชาการเชียงใหม่ ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/58

คณะสังคมศาสตร์ มช. ร้องอธิการฯ เสนอข้อเท็จจริง จนท.ยุติคดี 'เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร'

ฮิวแมนไรท์วอทช์ ร้องถอนฟ้อง 5 นักวิชาการ คดีฝืนคำสั่ง คสช. ปมกิจกรรมในงานไทยศึกษา

ข้อมูลเพิ่มเติม: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สาระสำคัญร่าง พ.ร.บ.กองทุนประชารัฐฯ เตรียมสงเคราะห์คนจนผ่านกองทุน

$
0
0

เตรียมดันร่างกฎหมายกองทุนประชารัฐฯ กำหนดเป็นกองทุนหมุนเวียน อนาคตจ่ายบัตรคนจนผ่านกองทุนนี้ และใช้เงินจัดประชารัฐสวัสดิการต่างๆ ตามมติ ครม. หวังสงเคราะห์อย่างยั่งยืน พบกฎหมายเปิดรับฟังความเห็นผ่านอินเทอร์เน็ต มีผู้มาแสดงความเห็นรวมแล้ว 2 ราย

เมื่อวานนี้ (3 ก.ค. 2561) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และได้ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป

ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเตรียมออกกฎหมายฉบับนี้ เพราะต้องการทำให้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งได้มีการตั้งมาก่อนหน้าภายใต้ พ.ร.บ. รายจ่ายประจำปีนั้น (เพื่อสนับสนุนผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยจำนวน 4 หมื่นล้านบาท) มีความยั่งยืน

สำหรับแหล่งที่มาของเงินกองทุนนี้ จะได้มาจากการประเดิมของรัฐบาลที่จัดสรรให้ ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และมีการเปิดช่องให้สามารถรับเงินจากการบริจาค และสามารถบริจาคจากแหล่งเงินจากต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศได้ รวมทั้งดอกผลหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน

"เงินประเดิมเบื้องต้นยังไม่ได้กำหนด แต่อนาคตเงินที่จะให้ในบัตรสวัสดิการคนจนก็จะมาจากเงินกองทุนนี้ แต่พ.ร.บ.นี้ก็ยังเปิดช่องให้กองทุนนี้เอาเงินไปใช้แก้ไขความยากลำบากของประชาชนในด้านอื่นได้ด้วย ทั้งแบบบุคคลและกลุ่มบุคคล ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังไม่ได้กำหนด ตอนนี้เป็นการอนุมัติเห็นชอบให้จัดตั้งกองทุนนี้ กฎกติกาจะตามมาทีหลัง” ณัฐพร กล่าว

ด้านพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมีเงินจากพ.ร.บ.โอนงบประมาณ คือเงินที่หน่วยงานไม่ได้ผูกพันงบประมาณตามระยะเวลา ซึ่งปีงบประมาณนี้มีเหลืออีกกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยวางแผนว่าจะนำไปเข้ากองทุนดังกล่าวกว่ากว่า 2 พันล้านบาท

ทั้งในร่าง พ.ร.บ. กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมพ.ศ. …ซึ่งถูกเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ http://www.lawamendment.go.th (เพื่อให้ประชาชนเข้าไปแสดงความคิดเห็น โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งหมด 2 ราย) ระบุว่าให้ใช้จ่ายเงินในกองทุนนี้ เพื่อจัดประชารัฐสวัสดิการ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้ในการจัดประชารัฐสวัสดิการอื่นๆ ใช้สนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคม ตามมติคณะรัฐมนตรี และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบริหารกองทุนตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 ม.ย. 2561 เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ได้จัดเวทีเสวนา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดโครงการต่างๆ ที่เป็นไปในการสงเคราะห์ แต่ควรจะหันมามุ่งเน้นที่รัฐสวัสดิการมากกว่า

โดยนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ให้สัมภาษณ์ว่า การดูแลประชาชนที่เป็นสวัสดิการโดยรัฐไม่อยู่ในแผนของรัฐเลย ไม่มีแบบเรื่องการทำรัฐสวัสดิอยู่ในนโยบายของรัฐบาลนี้ และไม่มีอยู่ในแผนปฎิรูปประเทศ

“ประเทศนี้ไม่พร้อมดูแลคน แต่ออกนโยบายประชารัฐ ชวนเชื่อว่าว่ารัฐจะดูแลประชาชน โดยผูกไว้กับการเมือง การเลือกตั้ง ไม่ต่างอะไรกับนโยบายประชานิยม ซึ่งทำให้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาหัวหน้า คสช. ให้เป็นรัฐบาลต่อไป ไม่เช่นนั้นบัตรคนจนอาจหายไป โดยเราถูกหลอกเรื่องรัฐสวัสดิการผ่านนโยบายที่แอบแฝงหวังคะแนนเสียง ให้คนติดกับทางการเมือง ซึ่งนโยบายแบบนี้เป็นการสงเคราะห์ของรัฐ” นิมิตร์กล่าว (อ่านข่าวที่นี่)

สำหรับกองทุนหมุนเวียน คือส่วนหนึ่งของเงินนอกงบประมาณ ซึ่งถือเป็นเครื่องของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายต่างๆ เนื่องจากไม่ผูกยึดกับกฏระเบียบราชการและมีความคล่องตัวในการเบิกจ่าย

 

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐฯ

1. กำหนดให้มีกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เป็นกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 โดยตั้งขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวง กค. และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย

2. กำหนดให้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมทำหน้าที่เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดประชารัฐสวัสดิการตามมติคณะรัฐมนตีเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ตลอดจนสนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคม ผ่านหน่วยงาน มูลนิธิและองค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากทุกประเภท ซึ่งเป็นการขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก

3. กำหนดแหล่งเงินทุนของกองทุนฯ ประกอบด้วย เงินที่มาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่รัฐจัดสรรให้ และเงินบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน

4. กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงบประมาณ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคน โดยมีผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวง กค. เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ สำหรับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกำหนดให้ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์การลงทุน กฎหมาย หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อสามารถให้ความเห็นรวมถึงข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อคณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ในการบริหารจัดการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม

5. กำหนดให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบัญชีและการตรวจสอบที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับทุนหมุนเวียนอื่น

6. กำหนดบทเฉพาะกาล โดยให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สิน ที่เกี่ยวเนื่องกับกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในสำนักงานปลัดกระทรวง กค. ไปเป็นของกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน จนกว่าจะมีคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้ อีกทั้งให้ข้อบังคับคณะกรรมการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่าด้วยการบริหารกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก พ.ศ. 2560 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีระเบียบประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

 

 

เรียบเรียงจาก: โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ , เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช. | EP2 เสรีภาพสื่อกับ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล

$
0
0

"คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช."โดย iLaw X Prachatai สัปดาห์นี้พาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ ประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557, 103/2557 และ คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 41/2559 ที่จำกัดการทำงานของสื่อมวลชน สื่อถูกห้ามไม่ให้สัมภาษณ์บุคคลบางกลุ่ม หรือห้ามนำเสนอข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความสับสน หรือความขัดแย้ง พร้อมให้อำนาจ กสทช. เข้ามาตีความบังคับใช้ได้โดยไม่ต้องรับผิด พบกับ "คุณปลื้ม"ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่เคยทั้งถูกแบนการทำหน้าที่ ถูกตักเตือน ถูกปิด ฯลฯ มาหลายต่อหลายครั้ง

รับชมรายการ คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช. ได้ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ทางเพจ @prachatai และ @ilaw ทุกคืนวันพุธ ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป และรับชมทาง YouTube ได้ในวันพฤหัสบดี

iLaw X Prachatai คืนวันพุธ #ปลดอาวุธคสช

คุณคิดว่า ข้อมูลจากสื่อมวลชนทุกวันนี้ครบถ้วนรอบด้านหรือยัง?

สื่ออาจจะถูกคาดหวังให้นำเสนอมุมมองรอบด้าน
แต่ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ทุกด้านที่นำเสนอได้
ภายใต้ ประกาศ/คำสั่ง คสช. สื่อถูกสั่งลงโทษไปแล้วอย่างน้อย 54 ครั้ง
VoiceTV ช่องเดียวทั้งโดนปิด โดนแบน อย่างน้อย 20 ครั้ง

พูดอะไรออกไปแล้วถึงถูกปิด?
ยังมีอะไรที่สื่อควรนำเสนอ แต่ทำไม่ได้ในยุคนี้?

iLaw X Prachatai ขอนำเสนอ "คืนวันพุธปลดอาวุธ คสช."รายการที่พาคุณจะหาคำตอบว่า ที่ผ่านมาประกาศ / คำสั่ง จำนวนมากของ คสช. ถูกใช้ในฐานะ 'อาวุธ'ทางกฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในมิติต่างๆ อย่างไรบ้าง

เกิดผลกระทบอะไรขึ้นกับชีวิตของประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ 'อาวุธ'เหล่านั้น
และที่สำคัญที่สุด
ประชาชนคนธรรมดาอย่างไรจะสามารถช่วยกัน 'ปลดอาวุธ'ทางกฎหมายของคสช. เพื่อคืนความสุขและสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนได้อย่างไร

ช่วยกันคนละชื่อเพื่อเข้าชื่อเสนอกฎหมายยกเลิกประกาศ คำสั่ง คสช. รวม 35 ฉบับ ที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและขัดต่อประชาธิปไตย โดยดูรายละเอียดขั้นตอนและวิธีการที่ www.ilaw.io

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประกันสังคมปทุมฯ จ่าย 1 แสนให้ผู้ประกัน เหตุเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์

$
0
0

ประกันสังคม จ.ปทุมฯ จ่าย 1 แสนให้ 'เจริญ'ผู้ประกันตนตาม ม.39 หลังร้องเรียน รพ.ในพื้นที่วินิจฉัยโรคผิด ทำเสียสุขภาพ จิตใจ รักษายืดเยื้อ ขาดรายได้ นักสิทธิแรงงานชี้เป็นกรณีแรก ใน จ.ปทุมธานี ที่ได้รับเงินเยียวยาเบื้องต้น

ภาพรองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นผู้มอบเช็คให้ที่สำนักงานประกันสังคม จ.ปทุมธานี

 

4 ก.ค.2561 จากกรณีเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2560 ประชาไท รายงานข่าวว่า เจริญ อินทร ผู้ป่วยและผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อ หัวหน้า สํานักงานประกันสังคม จ.ปทุมธานี ด้วยเหตุที่ โรงพยาบาลปทุมเวช ตามสิทธิรักษาประกันสังคม วินิจฉัยโรคผิด นั้น

ล่าสุดวันนี้ สุธิลา ลืนคำ กรรมการกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ในฐานตัวแทนของ เจริญ ในการยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมดังกล่าว แจ้งกับผู้สื่อข่าวประชาไท ว่า ล่าสุดวันนี้ (4 ก.ค.61) ประกันสังคม จ.ปทุมธานี แจ้งผลการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับ เจริญ ที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ จำนวนเงิน 100,000 บาท โดยมี มนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ รองผู้ว่าราชการ จ.ปทุมธานี เป็นผู้มอบเช็คให้ ที่สำนักงานประกันสังคม จ.ปทุมธานี

สุธิลา ระบุว่ากรณีนี้ถือเป็นกรณีแรก ใน จ.ปทุมธานี ที่ได้รับเงินเยียวยาเบื้องต้นให้ผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์

จดหมายแจ้งผลการจ่ายเงินช่วยเหลือ ระบุด้วยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ หน่วยที่ 4 เห็นว่าความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ครั้งนี้ เป็นเหตุสุดวิสัยจากระบบบริการรักษาพยาบาล จึงมีมติจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นฯ
 
สำหรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ของเจริญ ที่ยื่นต่อหัวหน้า สํานักงานประกันสังคม จ.ปทุมธานี ระบุว่า ประมาณกลางเดือน ก.ย. 2560 เจริญ มีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวาและมีอาการปวดเสียดไปถึงด้านหลัง และได้ไปพบหมอที่โรงพยาบาลปทุมเวชติดต่อกันถึง 2 ครั้ง หมอวินิจฉัยตามอาการว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบและหมอได้จ่ายยาแก้ปวด พร้อมกับยาเคาเตอร์เพนมาทาแก้ปวดกล้ามเนื่อหลัง แต่อาการไม่ดีขึ้น จากนั้น วันที่ 18 ก.ย.60 เจริญได้ไปตรวจอาการปวดท้องที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยจ่ายเงินเอง ผลปรากฏว่าเป็นนิ่วในถึงน้ำดี จากนั้นหมอที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ได้เขียนบันทึกและผลการตรวจให้เพื่อกลับไปพบหมอที่ รพ.ปทุมเวช เพื่อรักษาตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งต่อมาหมอที่ รพ.ปทุมเวช ออกใบนัดเพื่อผ่าตัดในวันที่ 16 ต.ค.2560 
 
หนังสือร้องขอความเป็นธรรมระบุอีกว่า เจริญตัดสินใจผ่าตัดแบบส่องกล้อง พร้อมกับจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าส่วนต่างให้กับ รพ. แต่สรุปผลผ่าตัดไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้ต้องผ่าตัดแบบเปิดอีกครั้ง ส่งผลให้มีแผลผ่าตัดถึง 2 แผล และต้องนอนพักฟื้นที่ รพ.ปทุมเวช 8 วัน จ่ายค่าส่วนต่าง 12,780 บาท จึงกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่หลังจากนั้นกลับมีอาการตาเหลือง แน่นท้อง ปวดท้องมาก ในที่ 29 ต.ค.2560  จึงได้ไปพบหมอที่ รพ.ปทุมเวช ตามนัด และได้ปฏิบัติตัวตามหมอสั่งทุกอย่าง แต่อาการยังไม่ดีขึ้น วันที่ 30 พ.ย.และวันที่ 3 ธ.ค.2560 ไปพบหมอ ซึ่งอาการก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ  จนกระทั่งวันที่ 4 ธ.ค.2560 ได้ตัดสินใจไปตรวจที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ หมอได้ตรวจอย่างละเอียด พร้อมให้นำบันทึกการวินิจฉัยไปให้ รพ.ปทุมเวช เพื่อใช้สิทธิรักษาตามประกันสังคม แต่เจริญกังวลใจเป็นอย่างมาก จึงขอรักษาที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ต่อไป
 
เจริญจึงขอความเป็นธรรมจากหัวหน้า สนง.ประกันสังคม และตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี 1. หมอที่ รพ.ปทุมเวช วินิจฉัยโรคไม่ตรงกับที่เป็น ทำให้ได้รับผลกระทบทางด้านร่างกายและจิตใจ เกิดความกลัว กังวลใจ ไม่มั่นใจในการรักษาที่นี่อีกต่อไป 2. การดำเนินการยืดเยื้อยาวนาน ทำให้ได้รับผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจเกินกว่าเยียวยา และหมอไม่เอาใจใส่ในการรักษาผู้ป่วยจริงๆ จังๆ 3. ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเพิ่มกับการรักษาที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระที่เกิดจากการรักษา และ 4. ต้องการขอย้ายสิทธิประกันสังคมไปรักษาที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ทันที
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรรมการสิทธิฯ เสนอออก กม.ห้ามแต่งงานก่อนวัยอันควรครอบคลุมเด็กทุกคน

$
0
0

จากกรณีชาย 41 วิวาห์เด็ก 11 กรรมการสิทธิฯ เสนอออก กม.ห้ามแต่งงานก่อนวัยอันควรครอบคลุมทุกกรณี เผยใน 4 จังหวัดภาคใต้กฎหมายมุสลิมไม่ได้ระบุเรื่องอายุที่สามารถแต่งงานได้ หรือบางกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือยังมีพิธีฉุดเด็กสาว ระบุการแต่งงานก่อนวัยอันควรเพราะยากจนถือเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก ชี้ผิด พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก

วันนี้ (5 ก.ค. 61) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีข่าวชายสัญชาติมาเลเซียอายุ 41 ปี เดินทางมาเพื่อแต่งงานกับเด็กหญิงชาวไทยวัย 11 ปี ในช่วงเทศกาลฮีรายอที่ผ่านมา โดยระบุว่าการแต่งงานก่อนวัยอันควร เป็นการขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 26 ซึ่งกล่าวว่าการปฏิบัติต่อเด็กต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองของตน พร้อมเสนอให้ประเทศไทยออกกฎหมายห้ามจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควรทุกกรณี นอกจากนี้ การจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควรเพราะความยากจนถือเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก โดยเฉพาะชายสามีที่เป็นผู้ใหญ่ ย่อมถือว่าได้กระทำผิดต่อเด็กหลายกรณี

อังคณา นีละไพจิตร. กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า แม้เรื่องห้ามแต่งงานก่อนวัยอันควรจะมีระบุไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กแล้ว แต่อาจจะมีกรณีที่ขอต่อศาลได้ หรือกฎหมายไม่ได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ เช่น กรณีกลุ่มชาติพันธุ์ทางภาคเหนือก็ยังมีประเพณีฉุดเด็กผู้หญิง หรือกรณีเป็นเด็กมุสลิมในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล มีกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวมรดกซึ่งในรายละเอียดไม่ได้ระบุอายุที่สามารถแต่งงานไว้ ทำให้มีผู้นำศาสนาที่อนุญาตให้เด็กอายุน้อยแต่งงานได้ สิ่งที่กังวลมากคือการแสวงประโยชน์จากเด็ก เช่น กรณีที่เด็กอายุน้อยมากอายุ 11-12 ปี อยู่ในครอบครัวยากจนและพ่อแม่ให้แต่งงานเพื่อแบ่งเบาภาระการเลี้ยงดู ขณะที่มาเลเซียใช้กฎหมายอิสลามแต่ก็ระบุไว้ในกฎหมายว่าห้ามแต่งงานก่อนอายุ 16 ปี และกำลังจะขยายเป็น 18 ปี ดังนั้นรัฐไทยควรจะควรจะพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาเด็กและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ มุ่งเน้นให้การศึกษาแก่เด็ก และมีกลไกที่จะคุ้มครองเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กชาติพันธุ์ใด

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ แพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในไทยและมาเลเซียมาตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา และวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา วัน อาซิซะห์ วัน อิสมาอิล ภรรยาอันวาร์ อิบราฮิม ที่ปัจจุบันเป็นรองนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลมาเลเซียแถลงว่าการแต่งงานระหว่างชายชาวกลันตันอายุ 41 ปี กับเด็กอายุ 11 ปี ที่ไปทำพิธีที่สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายและควรจะมีการแยกทั้ง 2 คนออกจากกัน

รองนายกฯ มาเลเซียประณามกรณีชาย 41 วิวาห์เด็ก 11 ชี้ ผิด กม.อิสลาม

 

แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กรณีการจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควร

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนกรณีชายสัญชาติมาเลเซีย อายุ 41 ปี เดินทางมายังอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อแต่งงานกับเด็กหญิงชาวไทยวัย 11 ปี ในช่วงเทศกาลฮารีรายอที่ผ่านมา นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของการแต่งงานกรณีดังกล่าว นั้น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีความห่วงใยและกังวลต่อเหตุการณ์การจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควร หรือผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากการจัดให้เด็กผู้หญิงแต่งงานก่อนวัยอันควรถือเป็นการตัดอนาคตของเด็กผู้หญิงในการได้รับการศึกษา ตลอดจนเป็นการปิดโอกาสในการพัฒนาความพร้อมด้านต่าง ๆ สู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นการขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 26 ที่บัญญัติให้การปฏิบัติต่อเด็กต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ และผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองของตน ซึ่งคณะกรรมการประจำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) วินิจฉัยแล้วว่า การจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควรถือเป็นการกระทำก่ออันตรายให้แก่เด็ก และมีข้อเสนอแนะให้รัฐภาคีทั้งสองอนุสัญญาออกกฎหมายห้ามจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควร รวมทั้งในการจัดทำรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศ (Universal Periodic Review) ครั้งล่าสุด คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council) มีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยออกกฎหมายห้ามจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควรทุกกรณี นอกจากนี้ การจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควรเพราะความยากจนถือเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก โดยเฉพาะชายสามีที่เป็นผู้ใหญ่ ย่อมถือว่าได้กระทำผิดต่อเด็กหลายกรณี

กสม. จึงขอให้บุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องนำข้อห่วงกังวลดังกล่าวของ กสม.ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการเพื่อมิให้มีการจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควร และเห็นว่า ควรดำเนินการอนุวัติกฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของเด็กเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ซึ่งสังคมโลกมีเป้าหมายร่วมกันประการหนึ่งว่า จะต้องไม่มีการจัดให้เด็กแต่งงานก่อนวัยอันควรภายในปี 2573

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 
5 กรกฎาคม 2561

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live