พ.อ.นที ศุกลรัตน์ เผย กสทช. ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดให้อาร์เอสถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ทุกช่องทาง ไม่จำกัดเฉพาะกล่องอาร์เอส โดยยึดตามประกาศ กสทช. ว่าด้วยหลักบริการเป็นการทั่วไป
ที่มาของภาพ: วิกิพีเดีย
29 เม.ย. 2557 - วันนี้ (29 เม.ย.) พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช.และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า เช้าวันนี้(29 เม.ย.) กสทช.ได้ยื่นอุทธรณ์ค้ดค้านคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด ในคดีการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ให้บริษัทอาร์เอส ต้องถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ให้สามารถรับชมได้ทุกช่องทาง โดยไม่ให้รับชมเฉพาะกล่องทีวีดาวเทียมของอาร์เอส
ทั้งนี้ พ.อ.ดร.นที ระบุว่า มีประเด็นหลักในการอุทธรณ์คือ ประเด็นที่ 1 การฟ้องร้องคดีของผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 โดยผู้อุทธรณ์เห็นว่า บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเพียงผู้ได้รับลิขสิทธิ์ให้ทำการแพร่ภาพแพร่เสียงรายการการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย เป็นเพียงผู้ที่มีเนื้อหารายการเท่านั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่ผู้ที่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 โดยตรง ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบังคับใช้ประกาศฯ
นอกจากนี้ ตามที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ได้ยื่นคําร้องขออนุญาตที่จะยกเว้น การปฏิบัติตามประกาศพิพาทในกรณีของการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย โดยต่อมาผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอถอนคําร้องขออนุญาตตามข้อ 4 ของประกาศพิพาทโดยอ้างเหตุว่าได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนประกาศพิพาทแล้ว ดังนั้น หากศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายจากการปฏิบัติตามประกาศพิพาทจึงมีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาล กรณีดังกล่าวผู้ฟ้องคดีจะต้องปฏิบัติตามประกาศพิพาท ข้อ 4 ในการยื่นคําร้องขออนุญาตที่จะปฏิบัติเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากที่ประกาศพิพาทกําหนด ศาลปกครองกลางจะต้องมีคําวินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวกับการที่ผู้ฟ้องคดียื่นคําร้องขอตามข้อ 4 ของประกาศพิพาทและขอถอนคําร้องก่อนที่ กสท.จะมีคําสั่งในคําร้องดังกล่าว เนื่องจากได้นําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองนั้น เป็นการดําเนินการที่ทําให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิฟ้องคดีโดยชอบด้วยมาตรา 42 แห่งพ.ร.บ.ตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 หรือไม่ ประกอบกับผู้ฟ้องคดีเองได้อ้างเหตุแห่งการที่ กสท.ไม่มีคําสั่งในคําร้องขอของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวจนล่วงพ้นระยะเวลาอันสมควร ผู้ฟ้องคดีจึงต้องนําคดีมาฟ้องต่อศาล หากแต่ศาลปกครองกลางยังไม่ได้มีคําวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว แต่อย่างใด กระบวนการพิจารณาในส่วนนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประเด็นที่ 2 ประกาศพิพาทออกโดยชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 2 เห็นว่า การใช้อำนาจในการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ ... ตามความในมาตรา 27 (6) แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 นั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานคลื่นความถี่ และการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการอนุญาตประกอบกิจการตามความในหมวดที่ 2 ส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 แห่งพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเท่านั้น หากแต่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่ให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม การกํากับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์จึงต้องมีการกํากับดูแลในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
กรณีการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แม้ทีมชาติไทยจะยังไม่สามารถเข้าสู่รอบการแข่งขันดังกล่าวได้ แต่ก็ได้มีการส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันในรอบคัดเลือกมาโดยตลอด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวกันของผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ หรือของผู้ประกอบการเอกชนจะเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรายการดังกล่าวก็ตาม ก็จะเป็นการถ่ายทอดสดผ่านบริการโทรทัศน์ที่เป็น การทั่วไป หรือฟรีทีวี ทำให้ประชาชนคนไทยไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไรก็สามารถรับชม การถ่ายทอดสดรายการดังกล่าวได้ การออกประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 นอกจากจะทำให้ประชาชนโดยทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงรายการตามภาคผนวกแนบท้ายประกาศได้ ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิที่มีมาแต่เดิมของประชาชนชาวไทยรวมถึงผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงรายการที่เป็นประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกับประชาชนอื่นๆ
ประเด็นที่ 3 ประกาศพิพาทไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เห็นว่า สิทธิในการเผยแพร่งานต่อสาธารณะตามมาตรา 15 (2) แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ไม่ใช่สิทธิและเสรีภาพตามที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 รวมถึงเห็นว่า ประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 ไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรา 15 แห่งพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2551 และการปฏิบัติตามประกาศ MUST HAVE ไม่เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับผลกระทบเนื่องจากจะต้องปฏิบัติผิดข้อสัญญาในการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์จาก FIFA และเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์เพียงเพื่อประโยชน์ของประชาชน แม้ประกาศพิพาทจะมีผลให้ผู้ฟ้องคดีจะต้องถูกจำกัดสิทธิในการจำหน่ายกล่องรับสัญญาดาวเทียมเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการรับชมรายการดังกล่าวครบทั้ง 64 นัดแต่ก็ไม่ได้จำกัดหรือห้ามไม่ให้ ผู้ฟ้องคดีแสวงหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากการเผยแพร่รายการฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายดังกล่าวในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไปแต่อย่างใด ด้วยเหตุที่ว่านี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเห็นว่า ประกาศ MUST HAVE ไม่ได้มีผลเป็นการจำกัดซึ่งสิทธิของผู้ฟ้องคดีในการแสวงหาประโยชน์รวมตลอดถึงการเผยแพร่รายการการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย จนเกินสมควร ประกาศ MUST HAVE จึงไม่ขัด หรือแย้งกับมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
และประเด็นสุดท้ายกระบวนการในการพิจารณาคดีของศาลปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากสัญญาการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับ FIFA เป็นสาระสำคัญของการพิจาณาคดีพิพาทคดีนี้ ในตอนแรกผู้ฟ้องคดีไม่ได้แนบสัญญาดังกล่าวต่อศาลและผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อมาศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดียื่นสัญญาฉบับดังกล่าว และมีคำสั่งให้ยื่นคำแปลสัญญาฉบับภาษาไทยต่อศาล ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ยื่นเอกสารดังกล่าวต่อศาลแล้ว แต่ไม่ได้ส่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทราบ เนื่องจากสัญญาฉบับดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของคดีนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงได้ยื่นคำร้องขอตรวจสำนวนและคัดสำเนาสัญญาฉบับดังกล่าวทั้งฉบับภาษาอังกฤษและฉบับคำแปลเป็นภาษาไทยต่อศาล เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2556 แต่ศาลไม่อนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตรวจสำนวนแต่อนุญาตให้คัดสำนวนได้เฉพาะฉบับภาษาอังกฤษ จำนวน 10 แผ่น โดยไม่อนุญาตให้คัดถ่ายสัญญาฉบับคำแปลฉบับภาษาไทย เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ตรวจสอบข้อความในสัญญาฉบับภาษาอังกฤษที่ศาลอนุญาตให้คัดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีสาระสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตและการใช้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายถอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย เป็นเพียงเงื่อนไขทั่วไปเกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เท่านั้น
พ.อ.นที ระบุว่าการอุทธรณ์ดังกล่าวเพื่อคุ้มครองและรักษาสิทธิการรับชมการแข่งขันกีฬา และก่อนหน้านี้การแข่งขันฟุตบอลโลก ประชาชนสามารถรับชมได้ผ่านฟรีทีวี และทีวีทุกช่องทาง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่มีเงื่อนไขการรับชมผ่านกล่องรับสัญญาณเช่นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อยื่นอุทธรณ์แล้วถือว่าคดียังไม่สิ้นสุด ระหว่างที่ศาลปกครองสูงสุดยังไม่มีคำสั่งใดๆ ถือว่าประกาศ must have ยังมีผลบังคับใช้ บริษัทอาร์เอส ต้องถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกผ่านฟรีทีวีทั้ง 64 นัด ไม่ว่าผลการยื่นอุทธรณ์ครั้งนี้จะออกมาอย่างไร กสทช.พร้อมรับคำตัดสินของศาล และยืนยันว่า เป็นการดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิการเข้าถึงรายการโทรทัศน์สำคัญอย่างเท่าเทียมของประชาชน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai