29 เม.ย.2557 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกันจัดเวทีแถลงรายงานคู่ขนานสถานการณ์การทรมานในประเทศไทย ที่จัดทำโดยองค์กรภาคประชาสังคม เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนองค์การสหประชาชาติ สถานทูต หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนเข้าร่วมฟังการแถลงรายงาน
องค์กรร่วมจัดชี้แจงว่า รายงานดังกล่าวจะทำให้เห็นภาพรวมสถานการณ์การทรมานในประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) เปิดโอกาสให้องค์กรภาคประชาสังคมนำเสนอรายงานคู่ขนานเพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณารายงานประเทศของรัฐ และจะจัดทำข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยเกี่ยวกับการยุติการทรมาน อันจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทรมานในประเทศไทยต่อไป โดยรัฐบาลไทยส่งรายงานดังกล่าวต่อคณะกรรมการฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ขณะที่องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ยื่นรายงานคู่ขนานไปเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยครอบคลุมประเด็นต่างๆ ดังนี้ สถานการณ์การทรมานในจังหวัดชายแดนใต้ การบังคับสูญหาย ความรุนแรงต่อสตรี สภาพเรือนจำและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง การปฏิบัติต่อผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัย และจะส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตการณ์การพิจารณารายงานประเทศไทยในวันที่ 30 เมษายน และ 1 พฤษภาคมนี้ ที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ยู คาโนะซูเอะ ผู้แทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่ามีประเทศที่ลงนามในอนุสัญญานี้แล้วมากกว่า 200 ประเทศ การที่ไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ถือได้ว่าไทยได้แสดงเจตจำนงว่าจะกำหนดให้การทรมานเป็นอาชญากรรม
“ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญานี้และผูกพันรัฐบาลไทยในการป้องกันและต่อต้านการทรมาน รัฐบาลต้องออกกฎหมายในการป้องกันการทรมาน รวมทั้งการมีกลไกร้องเรียน และการสอบสวน รวมทั้งการชดเชยเยียวยาอย่างเพียงพอต่อผู้เสียหาย"ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าว
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่ารายงานคู่ขนานฉบับนี้เป็นการรายงานต่อสหประชาชาติเป็นครั้งแรก โดยวิเคราะห์กรณีศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 92 กรณี จากการสัมภาษณ์จากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และจากญาติที่มาร้องเรียนกับหน่วยงานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
“กระบวนการรับเรื่องร้องเรียนนั้นยังขาดความรวดเร็วในการดำเนินการ อีกทั้งกฎหมายยังไม่สามารถคุ้มครองผู้เสียหายได้ ผู้เสียหายส่วนใหญ่มักจะกลัวว่าหากร้องเรียนไปแล้วจะถูกทำร้ายจากเจ้าหน้าที่อีก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายให้มีการคุ้มครองผู้เสียหายและปรับปรุงกลไกการร้องเรียนให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น” พรเพ็ญกล่าว
อังคณา นีละไพจิตร จากมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ เปิดเผยว่า รายงานฉบับนี้ให้ความสำคัญในเรื่องกฎหมาย เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้ระบุถึง ‘สิทธิมนุษยชน’ แต่พูดถึงเพียง ‘ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’ และไม่ระบุให้การทรมานเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีที่พบศพผู้เสียชีวิตก็จะไม่มีการตรวจสอบว่าเหยื่อถูกทรมานหรือไม่ โดยนโยบายปราบปรามยาเสพติด และการปราบปรามการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ส่งผลให้มีเหยื่อของการทรมานและการบังคับให้สูญหายมากขึ้น และการเยียวยาผู้เสียหายยังเน้นเฉพาะพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนภูมิภาคอื่นถูกละเลย ไม่ได้รับการเยียวยา
“กฎหมายหลายฉบับสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือแม้กระทั่งกรมสืบสวนคดีพิเศษ กรณีนี้ทำให้การทรมานเป็นเรื่องที่ถูกเพิกเฉย แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังขาดกฎหมายที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับสิทธิมนุษยชนของคนไทย เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยเงิน แต่ต้องนำตัวผู้ทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะมนุษย์ทุกคนจะต้องไม่ถูกทรมานหรือบังคับให้สูญหาย"
ทางด้าน นูรอัยนี อุมา จากศูนย์ทนายความมุสลิม ซึ่งทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายที่ถูกทรมานและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ระบุว่าประเทศไทยยังขาดหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่เข้ามาเยียวยาช่วยเหลือ ขณะที่ญาติและทนายความไม่สามารถเข้าถึงหลักฐานการตรวจบาดแผลและอาการเจ็บปวดระหว่างการถูกควบคุมตัวภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยการตรวจบาดแผลที่เกิดจากการทรมานมักตรวจโดยแพทย์ในค่ายย่อย การตรวจโดยแพทย์โรงพยาบาลทหารในค่ายหลัก จึงทำให้ไม่มีหลักฐานเรื่องถูกทรมาน
“ที่ผ่านมาเราพยายามลดการทรมานให้ญาติเข้าพบตั้งแต่วันแรกที่ถูกจับกุม บางครั้งผู้เสียหายฟ้องร้องว่าถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่การดำเนินการนั้นล่าช้า กระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกทรมานได้ เหยื่อที่ถูกทรมานเมื่อไปร้องเรียนแล้วจะถูกคุกคามจะตกเป็นเป้าสายตาของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ทนายความไม่สามารถเข้าถึงตัวเหยื่อได้ และหลังจากที่เหยื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา ตามกฎหมายพิเศษแล้ว บางคนก็มีบุคลิกที่เปลี่ยนไป บ้างก็เก็บตัวมากขึ้น บ้างก็แสดงอาการก้าวร้าวออกมา” ตัวแทนจากศูนย์ทนายความมุสลิมกล่าว
นอกจากนี้ยังมีประเด็นการช่วยเหลือผู้อพยพและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ซึ่ง ภัทรา จิระวิศาล จากมูลนิธิไทยเพื่อคนมีปัญหาสิทธิมนุษยชนและสถานะบุคคล กล่าวว่า ยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมาก เช่น กรณีชาวชาวโรฮิงญา บางคนถูกจับตัวเรียกค่าไถ่และเรียกเงินจากทางบ้าน ซึ่งมีฐานะยากจน หากทางบ้านหาเงินไปให้ไม่ได้ก็จะถูกซ้อมจนตาย บางคนถูกขายให้กับเรือประมงและไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ โดยเจ้าหน้าที่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำเหล่านี้และรัฐบาลเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“เมื่อชาวโรฮิงญาอยู่ในขั้นตอนการอพยพมาที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ ต.ม.การปฏิบัติและความเป็นอยู่นั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก กฎหมายไทยควรมีการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพให้ได้รับการปฏิบัติที่ดี เพื่อที่จะไม่ละเมิดอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ในมาตราที่ 3 และมาตรา 16 ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ อีกทั้งกฎหมายไทยในพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองให้อำนาจเจ้าหน้าที่กักตัวโดยไม่มีกำหนด โดยเฉพาะคนลี้ภัยที่ไม่มีที่ไปต้องถูกกักตัวไว้เป็นปีๆ เมื่อถูกกักตัวนานสุขภาพจิตก็ย่ำแย่ไปด้วย” ภัทรากล่าว
ทางด้าน ออมสิน บุญเลิศ จากเครือข่ายการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง กล่าวถึงปัญหาแรงงานข้ามชาติกับการทรมานว่า กรณีการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นการย้ายถิ่นที่มีความผสมผสานกันหลายแบบ ซึ่งมีทั้งการอพยพที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ทำให้แรงงานเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต ส่วนการขนย้ายแรงงานกลับประเทศก็ขาดความโปร่งใส และเสี่ยงต่อการถูกทรมาน ทำให้แรงงานเกิดความหวาดกลัว และหากถูกทรมานแล้วจะไม่กล้าบอกว่าใครเป็นคนกระทำ กรณีของการส่งแรงงานข้ามชาติกกลับบ้านเกิดโดยรถบรรทุกสิบล้อ ตามข้อกำหนดแล้วรถที่ใช้ขนส่งจะต้องมีการแยกชัดเจนระหว่างช่องใส่กระเป๋าและที่นั่ง อีกทั้งการส่งกลับนั้นจะต้องตรวจสอบว่าไปส่งถึงที่หมายโดยปลอดภัยหรือไม่
"หากท้ายที่สุดแล้วต้องส่งตัวแรงงานข้ามชาติกลับ รัฐไทยต้องปฏิบัติและเคารพหลักสิทธิมนุษยชน มีการคัดกรองก่อนส่งกลับเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ต้องกักถูกทรมานหรือไม่ การส่งกลับต้องไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยต่อชีวิตของแรงงานข้ามชาติ"
สุธารี วรรณศิริ จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้นำเสนอรายงานคู่ขนานต่อคณะกรรมการฯ CAT ด้วยเช่นกัน โดยครอบคลุมเนื้อหา 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การทรมานภายใต้บริบทการปราบปรามความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ 2) สภาพเรือนจำและสถานที่กักขัง 3) กฎหมายภายในประเทศที่กำหนดให้การทรมานเป็นความผิดทางอาญา 4) หลักการห้ามผลักดันกลับ (Non-Refoulement) และ 5) การทรมานและความรับผิด
โดยเนื้อหาของรายงานเรียบเรียงจากข้อมูลเอกสารทั้งจากหน่วยงานราชการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ งานวิจัยของนักวิชาการและองค์กรเอกชน เรื่องร้องเรียนที่องค์กรได้รับ และการสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกระทบ โดยเน้นประเด็นสภาพเรือนจำและสถานที่กักขังในประเทศไทย ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มีความกังวลว่าสภาพในเรือนจำและการปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังอาจเข้าข่ายเป็นการทรมานหรือการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้ายและย่ำยีศักดิ์ศรี และขัดต่อข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับปฏิบัติต่อผู้ต้องขังขององค์การสหประชาชาติ
“สภาพเรือนจำและสถานที่กักขัง ภายในเรือนจำและสถานที่กักขังมักจะพบปัญหาคือ การทำร้ายร่างกายผู้ต้องขังและผู้ต้องกัก ปัญหาเรื่องเพศในเรือนจำ มักขาดความชัดเจนในการควบคุมความปลอดภัยกับการถูกล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเพศชายด้วยกัน ปัญหาความความแออัดภายในเรือนจำ อีกทั้งยังก่อให้เกิดโรคซึ่งมีความอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้ภายในเรือนจำและสถานที่กักขังยังมีปัญหาการขาดน้ำดื่มที่สะอาด อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการเข้ารักษาเมื่อเทียบกับจำนวนนักโทษจำนวนมาก ทำให้การรักษาพยาบาลและการตรวจร่างกายนั้นขาดประสิทธิภาพ ในส่วนของการลงโทษทางวินัยและเครื่องพันธนาการ ในทางปฏิบัติแล้วถือว่าขัดต่อข้อปฏิบัติขั้นต่ำนักโทษของสหประชาชาติ” ตัวแทนจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยกล่าว
นอกจากนี้ ยังเสนอแนะรัฐบาลไทยให้ลงนามและสัตยาบันพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี เพื่อให้องค์กรอิสระจากภายนอกสามารถตรวจสอบ ตรวจเยี่ยมสถานที่คุมขังต่างๆ ได้
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตัวแทนจากองค์กรภาคประชาสังคมจากประเทศไทย ออกเดินทางไปยังนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีกำหนดเข้าพบและพูดคุยกับคณะกรรมการต่อต้านการทรมานของสหประชาชาติในวันที่ 29 เมษายนนี้ และจะเข้าร่วมสังเกตการณ์การพิจารณารายงานประเทศไทยในวันที่ 30 เมษายน และ 1 พฤษภาคม 2557