Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

ถอนชื่อรางวัล ลอรา อิงกัลส์ ไวลเดอร์ กรณี 'บ้านเล็กในป่าใหญ่'มีการเหยียดสีผิว

$
0
0

สมาคมห้องสมุดสำหรับเด็กในสหรัฐฯ (ALSC) สั่งตัดชื่อของ ลอรา อิงกัลส์ ไวลเดอร์ ออกจากชื่อรางวัลวรรณกรรมสำหรับเด็กหลังจากที่พิจารณาแล้วว่าผลงานของ ไวลเดอร์มีลักษณะเหยียดเชื้อชาติสีผิว อาจจะส่งอิทธิพลผิดๆ ต่อสังคมได้

little house in the big woods หรือ "บ้านเล็กในป่าใหญ่"เป็นผลงานของ ลอรา อิงกัลส์ ไวลเดอร์

ลอรา อิงกัลส์ ไวลเดอร์ เป็นนักเขียนหญิงคนขาวอเมริกันผู้เขียนผลงานชุด "บ้านเล็กในป่าใหญ่"ตั้งแต่ช่วงระหว่างปี 2475-2486 ชื่อของเธอกลายเป็นชื่อรางวัลสำหรับวรรณกรรมเด็กของสมาคมห้องสมุดอเมริกัน (ALA) ที่ชื่อ "รางวัลเหรียญตรา ลอรา อิงกัลล์ ไวลเดอร์"มาตั้งแต่ปี 2497 จนถึงปี 2560 

แต่ในปีล่าสุดนี้สมาคมห้องสมุดสำหรับเด็กในสหรัฐฯ (ALSC) ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยของ ALA ลงมติให้ถอนชื่อของไวลเดอร์ออกจากชื่อรางวัลแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "รางวัลมรดกวรรณกรรมสำหรับเด็ก" (Children's Literature Legacy Award) แทน เนื่องจากประเมินว่าวรรรณกรรมชุด "บ้านเล็กในป่าใหญ่"มีลักษณะ "เหยียดชนพื้นเมืองอเมริกันและเหยียดคนดำ"จากที่มีผู้ร้องเรียนก่อนหน้านี้ ALSC แถลงในเรื่องนี้ว่านิยายของไวลเดอร์มีการ "แสดงทัศนคติแบบเหมารวม"ซึ่งไม่สอดคล้องกับค่านิยมหลักของ ALSC

นิยายเด็กของไวลเดอร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตท้องทุ่งจากมุมมองผู้ตั้งรกรากที่เป็นคนขาวอเมริกันถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ภาษาที่ลดทอนความเป็นมนุษย์กับกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันและกลุ่มคนผิวสี เช่น ในบทแรกของหนังสือบ้านเล็กในป่าใหญ่เคยบรรยายฉากไว้ว่าที่นั่น "ไม่มีคนเลย มีแต่พวกอินเดียแดงอาศัยอยู่"ซึ่งต่อมาในปี 2496 สำนักพิมพ์ฮาร์เปอร์ส พับลิชชิง ตัดสินใจเปลี่ยนคำจาก "ไม่มีคนเลย"เป็น "ไม่มีผู้ตั้งรกรากเลย"

แต่ไม่ใช่แค่การใช้คำเท่านั้น นิยายของไวลเดอร์ยังมีเนื้อหาที่มีการเหยียดเชื้อชาติแบบเหมารวมและมีทัศนคติของคนขาวอเมริกันในยุคสมัยของไวลเดอร์ เช่น มีตัวละครหนึ่งพูดว่า "อินเดียแดงที่ดีมีแต่อินเดียแดงที่ตายแล้ว"รวมถึงมีการใช้คำเรียกคนดำว่าเป็น "ไอ้มืด"แม้ว่าจะมีแฟนนิยายบางคนมองว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์และน่าจะเป็นเครื่องมือการเรียนการสอนสำหรับเด็กได้

จดหมายเปิดผนึกจากกรรมการ ALSC ระบุว่าพวกเขาทราบดีถึงความซับซ้อนในประเด็นนี้และเข้าใจดีว่ามีเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกรายล้อมอยู่ด้วย พวกเขาเข้าใจว่าหนังสือของไวลเดอร์มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์วรรณกรรมเด็กและจะยังคงมีคนอ่านอยู่จนถึงทุกวันนี้ และการตัดสินใจของพวกเขาอาจจะทำร้ายความรู้สึกของนักอ่านจำนวนมาก

การตัดสินใจเอาชื่อของไวลเดอร์ออกจากชื่อรางวัลวรรณกรรมเป็นการเคลื่อนไหวล่าสุดในสหรัฐฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมให้มีการเหยียดเชื้อชาติสีผิวน้อยลง จากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเสนอแผนการถอนอนุสาวรีย์ของผู้นำสมาพันธรัฐอเมริกาที่ส่งเสริมการเหยียดเชื้อชาติสีผิวออกจากสถานที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามมีช้อโต้แย้งจากชาวอเมริกันส่วนหนึ่งว่าการนำอนุสาวรีย์สมาพันธรัฐออกจากเป็นการ "ลบเลือนวัฒนธรรม"ของฝ่ายใต้ในสหรัฐฯ แต่กลุ่มคนเชื้อชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนขาวโดยเฉพาะกลุ่มคนดำมองว่าอนุสาวรีย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหยียดหยามกดขี่พวกเขา

 

เรียบเรียงจาก

Laura Ingalls Wilder removed from book award over racist language, BBC, 25-06-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กัมพูชากลายเป็นประเทศส่งออกจักรยานให้อียูมากที่สุด แซงหน้าไต้หวัน

$
0
0

สื่อพนมเปญโพสต์รายงานว่ากัมพูชากลายเป็นแหล่งผู้ผลิตจักรยานรายใหญ่ที่สุดให้กับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปในปี 2560 แซงหน้าประเทศไต้หวันที่เคยครองตำแหน่งผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดให้กับอียูมากว่า 20 ปี ก่อนหน้านี้ ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 7


พนมเปญโพสต์อ้างอิงข้อมูลดังกล่าวจากรายงานของเว็บไซต์ Bike-EU.com ที่ประกาศเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่ากัมพูชาส่งออกจักรยาน 1.42 ล้านคันเมื่อปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากเดิมที่ส่งออก 1.29 ล้านคันในปี 2559 ขณะที่ประเทศไต้หวันซึ่งครองอันดับหนึ่งมาตลอด 20 ปี ลดปริมาณการส่งออกจักรยานลงร้อยละ 15 จากจำนวนการส่งออก 1.56 ล้านคันในปี 2559 เหลือ 1.31 ล้านคันในปีที่แล้ว ส่วนไทยมีเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 7 ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ

ที่มาภาพจาก: Bike Europe Conneting Professionals

แสง ทาย (Seang Thay) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชากล่าวว่าการผลิตจักรยานในกัมพูชาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงที่ละน้อยจากการเน้นผลิตชิ้นส่วนจักรยานเพื่อส่งออก กลายมาเป็นอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนภายในประเทศ ทำให้กัมพูชากลายเป็นผู้ส่งออกไปยังอียูแบบปลอดภาษีภายใต้โครงการ "ทุกอย่างที่ไม่ใช่อาวุธ" (Everything but Arms) ที่ให้การงดเว้นภาษีและโควตาการเข้าถึงตลาดเดียวของอียูได้

โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวอีกว่าการเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของกัมพูชาหมายความว่าชื่อเสียงของพวกเขาในฐานะผู้ส่งออกในเวทีต่างชาติดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งจะทำให้พวกเขา "มีการจ้างวานให้ผลิตมากขึ้นและเกิดการสร้างงานให้กับประชาชน"

ในเงื่อนไขการงดเว้นภาษีของอียูกำหนดให้ชิ้นส่วนการผลิตร้อยละ 30 ต้องเป็นชิ้นส่วนที่มาจากท้องถิ่นภายในประเทศ ถึงแม้ว่าในบางกรณีการใช้วัตถุดิบที่มาจากประเทศอื่นในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนก็นับเป็น "ชิ้นส่วนจากท้องถิ่น"ได้

ทั้งนี้พนมเฟญโพสต์ระบุว่าผู้ผลิตจักรยานภายในกัมพูชาเกือบทุกรายมีพื้นเพมาจากไต้หวันซึ่งยังคงมีสำนักงานใหญ่อยู่ในไต้หวันเอง ซึ่งโฆษกกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่ามีผู้ผลิตในกัมพูชา 5 ราย ที่ตั้งการผลิตอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ

จัน โสพาล (Chan Sophal) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายกล่าวว่าการที่กัมพูชากลายเป็นผู้ส่งออกจักรยานอันดับหนึ่งถือเป็นเรื่องดีทำให้เกิดการกระจายความหลากหลายทางภาคส่วนการส่งออกมากขึ้นจากเดิมที่เน้นการส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทออย่างเดียว อย่างไรก็ตามโสพาลเตือนว่ากัมพูชาควรจะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนการผลินที่อาศัยวัตถุดิบภายในประเทศรวมถึงการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมจักรยานด้วย

 

เรียบเรียงจาก

Kingdom becomes top bicycle supplier to EU, Phnom Penh Post, 27-06-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐพันลึก: บทบาทระบบราชการในการเมืองไทย | วรรณภา-เกษียร-วสันต์-พิชญ์ [คลิป]

$
0
0

คลิปจากเวทีเสวนา "รัฐพันลึก: บทบาทระบบราชการในการเมืองไทย"เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 จัดที่ห้อง ร.202 ชั้น 2 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ร่วมเสวนาโดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผศ.ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ สาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเอสไอ รับคดีบิลลี่หายเป็นคดีพิเศษ

$
0
0

28 มิ.ย.2561  พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่าจากการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 1/2561 มีมติให้รับคดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ ‘บิลลี่’ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 เป็นคดีพิเศษ อยู่ในการดูแลของ DSI

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ประชุมมีมติ ตนได้มอบหมายให้กองคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ รับไปดำเนินการเร่งรัดสืบสวนสอบสวนเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยไม่มีกรอบระยะเวลาของการทำงาน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้มีการข้อมูลการสืบสวนสอบสวนไปบ้างแล้ว และการรับเป็นคดีพิเศษคดีในครั้งนี้ก็จะใช้ข้อมูลที่เคยเก็บมาก่อนหน้านี้เป็นแนวทางในการทำคดี

ด้าน น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจที่เรื่องไม่ได้เงียบไป แม้เวลาผ่านมา 4 ปีแล้วก็ตาม"อยากให้นำเลือดที่พบในรถเจ้าหน้าที่อุทยานไปตรวจที่ต่างประเทศ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าเลือดนั้นเป็นเลือดของบุคคลใด เพื่อจะได้รู้ให้แน่ชัดว่าเลือดที่พบนั้นเป็นเลือดของใครกันแน่"ภรรยาของ บิลลี่ กล่าว 

ก่อนหน้านี้ ดีเอสไอ ได้เคยนำเครื่องใช้ ก้นบุหรี่ เส้นผมที่ติดอยู่ในเสื้อของบิลลี่รวมถึงได้เก็บดีเอ็นเอของลูกชาย เพื่อไปตรวจเทียบดีเอ็นเอกับคราบเลือดที่พบในรถเจ้าหน้าที่อุทยานว่าเป็นเลือดของบิลลี่หรือไม่ แต่ผลการตรวจดังกล่าว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่ามีตัวอย่างเลือดน้อยไป ไม่สามารถระบุได้ รู้แต่เพียงว่าเป็นเลือดของเพศชายเท่านั้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สังคายนา ‘ประมวลกฎหมายยาเสพติด’ ผู้เสพคือเหยื่ออาชญากรรม ไม่ดำเนินดดี

$
0
0

สังคายนาแนวทางจัดการยาเสพติด ดันร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด บูรณาการหน่วยงานสาธารณสุขและยุติธรรม แยกผู้ค้ากับผู้เสพให้ชัด ไม่เอาผิดผู้เสพเพราะเป็นเหยื่ออาชญากรรม ไม่ดำเนินคดี แต่ทำการบำบัดรักษาไม่จำกัดครั้ง

ผู้ต้องขังประมาณร้อยละ 80 ในเรือนจำประเทศไทยเกิดจากคดียาเสพติด ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดภาวะคนล้นคุกและนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ในเรือนจำ ขณะเดียวกัน วิธีการปราบปรามที่ผ่านมาก็ไม่สามารถสกัดยับยั้งปัญหายาเสพติดได้ และยังสร้างผลกระทบลูกโซ่ตามมาอีกมาก ทั้งเรื่องการละเมิดสิทธิ์ การทุจริตของเจ้าหน้าที่ เป็นต้น จึงมีความพยายามแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อหาแนวทางอื่นๆ ในการจัดการ

15 พฤษภาคม 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด 3 ฉบับ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.... , ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ...) พ.ศ.... ขณะนี้กำลังอยู่ในการพิจารณาวาระ 2 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งจะเป็นการปรับแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดอีกครั้ง

จิตรนรา นวรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด กล่าวว่า เดิมทีกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดในประเทศไทยมีอยู่ 7 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดย 2 ฉบับนี้ดูแลโดยกระทรวงสาธารณสุข พ.ร.บ.ควบคุมการใช้สารระเหย ซึ่งดูแลร่วมกันโดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด ซึ่งดูแลโดยกระทรวงยุติธรรม

ทั้ง 7 ฉบับจะถูกยกเลิกและทำการปรับปรุงแก้ไขพร้อมกันเหลือเพียง 3 ฉบับคือประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด

“กฎหมายนี้ตั้งใจเปลี่ยนวิธีคิดของสังคมทั่วไปและผู้ใช้กฎหมายโดยตรง ทัศนคติของประชาชาทั่วไป ไม่ยอมรับผู้ที่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เราต้องการชี้ให้เห็นว่าในคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผู้ค้าต้องจัดการแบบหนึ่ง ผู้เสพถือว่าเป็นเหยื่อของอาชญากรรมต้องจัดการด้วยวิธีอีกแบบ ซึ่งสังคมต้องเข้าใจก่อน ไม่อย่างนั้นการออกกฎหมายจะต้านสังคม จะทำให้ขับเคลื่อนยาก

“กฎหมายนี้จะลงโทษให้เข้มข้นกับคนที่ค้ายา มีมาตรการใหม่ๆ ออกมา ส่วนแนวทางการบำบัดรักษาและจัดการผู้เสพยาเริ่มเปลี่ยนไป ในภาพรวม การจัดการผู้ติดยาเดิมเรามีแนวคิดว่าต้องลงโทษมานานมาก จนยอมรับความจริงว่าไม่สามารถทำให้ผู้เสพเลิกได้ ถ้าเอาแต่โทษจำคุก แนวทางของกระบวนการยุติธรรมที่จะใช้กับผู้เสพยาคือแม้จะมีความผิดอยู่ แต่ไม่ลงโทษถึงจำคุก ทุกวันนี้แนวทางนี้ชัดเจนมาสิบกว่าปีแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแนวทางดังกล่าวเป็นเพียงนโยบาย ครั้งนี้จะทำให้มีความชัดเจนขึ้นโดยการบัญญัติให้เป็นกฎหมาย แต่การเขียนกฎหมายว่าไม่มีความผิดฐานเสพยาเสพติด สังคมไม่ยอมรับและจะเกิดผลกระทบมากกว่า จิตรนรา กล่าวว่า กฎหมายจึงเลี่ยงคำว่า ไม่มีความผิดฐานเสพและไม่มีการดำเนินคดี เป็นการใช้คำว่า ต้องสงสัยโดยมีพฤติการณ์เชื่อว่าเสพยาเสพติด ให้นำตัวเข้ากระบวนการบำบัดรักษา ทั้งนี้ก็เพื่อเลี่ยงการแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุม รวมทั้งเขียนในกฎหมายให้ชัดเจนว่าให้นำตัวไปบำบัดรักษาตามกระบวนการที่กำหนด หรือหากสมัครใจรับการบำบัดรักษาเองก็จะไม่มีการดำเนินคดี

“เดิมการแก้ไขปัญหายาเสพติดค่อนข้างแยกจากกันระหว่างหน่วยงานยุติธรรมกับหน่วยงานสาธารณสุข เพราะถือกฎหมายกันคนละฉบับ การแก้กฎหมายให้มาอยู่ในฉบับเดียวจะทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน ยิ่งกฎหมายเกี่ยวกับการฟื้นฟูมีการจัดกลุ่มใหม่หมด โดยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายสาธารณสุขจากเดิมที่อยู่กับฝ่ายยุติธรรม”

ประเด็นจำนวนครั้งในการบำบัดรักษาว่า ถ้าเข้าบำบัดกี่ครั้ง แล้วยังกลับไปเสพจะถูกดำเนินคดี จิตรนรา กล่าวว่า จะไม่มีการกำหนดจำนวนครั้ง

“การนำคนมาบำบัดรักษาอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยออกไปข้างนอก ในกระบวนการบำบัดรักษาอย่างหนึ่งคือทำให้การใช้ยาเสพติดน้อยลง ไม่เกิดอันตรายมากนัก เพราะบางทีความต้องการเสพยาของเขาอาจทำให้เขาต้องก่ออาชญากรรมมากมายและนำความสูญเสียแก่คนรอบตัว เราอาจจะเบื่อหน่ายในการบำบัดรักษา แต่ถ้าเขายังมาหาเราเพื่อบำบัดรักษาอยู่ ดีกว่าที่จะปล่อยเขาไปเลย ผมไม่ได้เอาจำนวนครั้งเป็นตัวตั้ง แต่เราไม่ได้ปล่อยไปเรื่อยๆ กระบวนการบำบัดรักษาจะมีรายละเอียด เช่น ครั้งแรกๆ รักษาเบาๆ ก่อน ไม่ต้องอยู่ในการควบคุม ถ้ายังไม่เลิกก็จะมีกระบวนการที่เข้มข้นขึ้น แต่ไม่ได้เอาไปติดคุก อาจจะไปอยู่สถานบำบัดที่เข้มงวด แต่ไม่ใช่ 3 ครั้ง 5 ครั้งเลิก แล้วนำไปดำเนินคดี เราไม่จำกัดครั้ง”

อย่างไรก็ตาม กฎหมายทั้ง 3 ฉบับยังอยู่ในการพิจารณาของ สนช. ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการแก้ไขเนื้อหาหรือไม่ อย่างไร

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

27 มิถุนา วันรัฐธรรมนูญฉบับแรก: เหลียวหลังแลหน้ารัฐธรรมนูญ [คลิป]

$
0
0

เสวนา "27 มิถุนา วันรัฐธรรมนูญฉบับแรก: เหลียวหลังแลหน้ารัฐธรรมนูญ"ห้อง PBIC210 วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

อภิปรายโดย ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชาลินี สนพลาย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดำเนินรายการโดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยานานาชาติ ปรีดี พนมยงค์

จัดโดย มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ร่วมกับ โครงการไทยศึกษา วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เยี่ยมชมรัฐสภา จาก 2475 ถึงปัจจุบัน (และอนาคต)

$
0
0

ในโอกาสครบรอบ 86 ปี การประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อ 28 มิถุนายน 2475 ขอพาคุณผู้อ่านย้อนเวลา-เยี่ยมชมอาคารซึ่งใช้เป็นที่ทำการรัฐสภา 3 แห่ง ทั้งในอดีต ปัจจุบัน (และอนาคต) ประกอบด้วย พระที่นั่งอนันตสมาคม (2475-2517) อาคารรัฐสภา (2517-ปัจจุบัน) และสัปปายะสภาสถาน ซึ่งหากไม่เลื่อนอีก คาดว่าจะแล้วเสร็จธันวาคมปี 2562

วันนี้เมื่อ 86 ปีที่แล้วหรือเมื่อ 28 มิถุนายน 2475 ถือเป็นวันประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันแรก

โดยภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475"เมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 "โดยที่คณะราษฎรได้ขอร้องให้อยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม เพื่อบ้านเมืองจะได้เจริญขึ้น""และโดยที่ได้ทรงยอมรับตามคำขอร้องของคณะราษฎร"[อ่านเพิ่มเติม]

และต่อมาในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สภาผู้แทนราษฎรอันประกอบด้วย สมาชิกซึ่งคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้ตั้งขึ้น จำนวน 70 นาย ได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และมีการเลือกฝ่ายบริหารคือ "คณะกรรมการราษฎร"หรือคณะรัฐมนตรีชุดแรก 14 คน โดย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร เทียบได้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน

ในโอกาสครบรอบ 86 ปีของสภาผู้แทนราษฎร จึงขอพาท่านผู้อ่านเยี่ยมชมสถานที่ซึ่งใช้เป็นที่ทำการรัฐสภาตลอดยุคการเมืองไทยสมัยใหม่ จากอดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต

 

พระที่นั่งอนันตสมาคม(.. 2475-2517)

ใช้เป็นรัฐสภาตั้งแต่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 2517

หลัง พ.ศ. 2517 ยังคงใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา

ปัจจุบันปิดปรับปรุงแบบไม่มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560

ก่อสร้าง 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 แล้วเสร็จพ.ศ. 2458

งบประมาณก่อสร้าง 15 ล้านบาท หรือ 21.43% ของงบประมาณแผ่นดินปี พ.ศ. 2458 (69,991,604 บาท)

การเดินทาง:รถเมล์สาย 70 (ถ.อู่ทองใน), 72, 503 (ถ.ศรีอยุธยา)

รถไฟฟ้า BTS สถานีพญาไท (ห่างออกไป 3.12 กม.)

เส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคต

MRT สายสีม่วง สถานีสามเสน (ห่างออกไป 1.18 กม.)

MRT สายสีม่วง สถานีหอสมุดแห่งชาติ (ห่างออกไป 1.15 กม.)

 

พระที่นั่งองค์นี้นับได้ว่า เป็นรัฐสภาแห่งแรกของประเทศไทย โดยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ต่อมาหลังประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ในวันถัดมาคือวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้แต่งตั้งผู้แทนราษฎร 70 คน และมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและประชุมกันเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดให้สภาผู้แทนราษฎรประชุมกันที่พระที่นั่งนี้ได้ต่อไป

พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นรัฐสภา โดยเฉพาะการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และในบางยุคที่มี 2 สภา คือมีพฤฒสภาหรือวุฒิสภา ก็จะใช้พระที่นั่งอภิเศกดุสิต ภายในพระราชวังดุสิตเป็นที่ประชุมพฤฒสภา

กระทั่งเมื่อสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และต้องมีที่ทำการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา จึงมีการวางโครงการสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ แต่โครงการทั้ง 3 ครั้งก็ไม่สำเร็จ เพราะคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเสียก่อน จนกระทั่งมาสำเร็จในครั้งที่ 4 เริ่มก่อสร้างสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยเริ่มก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่เมื่อ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยอาคารรัฐสภาแห่งใหม่เปิดใช้ประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517

พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 (ที่มา: โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย)

ส่วนพระที่นั่งอนันตสมาคมยังคงใช้ในทางรัฐพิธีเกี่ยวกับรัฐสภา เช่น รัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเคยมีการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ก่อนที่ในปี 2541 จะย้ายไปจัดแสดงที่ห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา อาคารรัฐสภา

ทั้งนี้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธี รัฐพิธี สำคัญๆ มากมาย อาทิ รัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยล่าสุดคือพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

และยังเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ และการเสด็จออกมหาสมาคมของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอีก 4 ครั้ง

อาคารที่ถูกใช้เป็นที่ทำการรัฐสภาแห่งแรกคือพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยตัวพระที่นั่งเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2458 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมใช้เวลาสร้างทั้งหมด 8 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อพระที่นั่งว่า พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งเป็นชื่อพระที่นั่งองค์หนึ่งภายในพระอภิเนาว์นิเวศน์ พระบรมมหาราชวัง สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระอภิเนาว์นิเวศน์นี้ต่อมามีสภาพทรุดโทรมยากแก่การบูรณะจึงได้รื้อลง

พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อมองจากภายนอก ภาพถ่ายเมื่อ 3 กันยายน 2017
ที่มา: Midhun Subhash/Wikipedia (CC0)

การประชุมรัฐสภา สมัยรัฐบาล พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา
ภาพถ่ายราว พ.ศ. 2480 ที่มา: รัฐสภาไทย/
Wikipedia (Public Domain)

ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม

ผู้ออกแบบ

หัวหน้าสถาปนิกคือ มาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) มีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง และมีพระยาประชากรกิจวิจารณ์ (โอ อมาตยกุล) เป็นผู้ช่วย วิศวกรคือ ซี อัลเลกรี นอกจากนี้ยังมีเอกฤทธิ์ หมั่นเฟ้นดี (Ercole Manfredi) สถาปนิกชาวอิตาลี สังกัดกระทรวงโยธาธิการ เป็นผู้รับผิดชอบติดตั้งแผ่นทองแดงหลังคาโดมพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยคุมการก่อสร้างหลังคาโดมจนแล้วเสร็จ

โดยตามาญโญ ผู้มีผลงานออกแบบอาคารสถานีรถไฟหัวลำโพง พระที่นั่งอัมพรสถาน บ้านนรสิงห์ (ทำเนียบรัฐบาล) บ้านพิษณุโลก วังบางขุนพรหม (ที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย) ฯลฯ

ลักษณะสถาปัตยกรรม

พระที่นั่งอนันตสมาคม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ (Neo Renaissance) และนีโอคลาสสิก (Neo classic) ตกแต่งพระที่นั่งด้วยหินอ่อน ซึ่งสั่งมาจากเมืองคาร์รารา ประเทศอิตาลี โดยมีจุดเด่น คือมีหลังคาโดมคลาสสิกของโรมอยู่ตรงกลาง และมีโดมเล็กๆ โดยรอบอีก 6 โดม รวมทั้งสิ้นมี 7 โดม โดยโดมทั้งหมดทำขึ้นจากทองแดง ต่อมาเกิดสนิมสีเขียวขึ้นตามกาลเวลา ขนาดขององค์พระที่นั่งฯ ส่วนกว้างประมาณได้ 49.50 เมตร ยาว 112.50 เมตร และสูง 49.50 เมตร

ลักษณะของโดมมีอิทธิพลมาจากโดม วิหารเซนต์ปีเตอร์ แห่งนครรัฐวาติกัน และโบสถ์เซนต์ปอลแห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

บนเพดานโดมมีภาพเขียนเฟรสโก เขียนบนปูนเปียก เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ของรัชกาลที่ 1-6 จำนวน 6 ภาพ โดยฝีมือเขียนภาพของกาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) และผู้ช่วยคือ คาร์โล ริโกลี (Carlo Riguli) และโจวันนิ สะกวันซิ (Giovanni Sguanci)

ว่ากันว่าศิลปินผู้มีชื่ออย่าง "เหม เวชกร"ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นเด็กชายเหมอายุราว 11-12 ปี มีโอกาสใกล้ชิดกับจิตรกรเหล่านี้ด้วย เนื่องจากพ่อแม่หย่าร้างกันทำให้เขาอยู่กับลุงผู้อุปการะเป็นเวลาสั้นๆ คือ ม.ร.ว.แดง ทินกร โดย ม.ร.ว.แดงทำงานกับเจ้าพระยายมราช ผู้กำกับดูแลการก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม และ ม.ร.ว.แดง ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลจิตรกรชาวอิตาลี

และก็ด้วยคาร์โล ริโกลี เห็นฝีมือวาดภาพของเด็กชายเหม ที่เขียนสีชอล์กจนเปรอะสะพานท่าน้ำ จึงชักชวนและขออนุญาตจาก ม.ร.ว. แดง ให้เหมไปอยู่เป็นลูกมือบดสี ส่งพู่กัน ในงานเขียนภาพจิตรกรรมบนเพดานโดม ของพระที่นั่งอนันตสมาคม อย่างไรก็ตามเหมไม่มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อด้านศิลปะที่อิตาลี เนื่องจากพ่อของเด็กชายเหมทราบเข้า จึงให้คนมาลักตัวเด็กชายเหมไปเสียก่อน

สำหรับภาพเขียนบนปูนเปียก บนเพดานโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมมีรายละเอียดดังนี้

เพดานโดมด้านทิศเหนือ เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เสด็จกลับจากราชการทัพที่เขมร

เพดานโดมด้านทิศตะวันออก เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุปถัมภ์งานศิลปะ

เพดานโดมด้านทิศตะวันตก เป็นภาพเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับเบื้องหน้าพระพุทธชินสีห์ แวดล้อมด้วย พระภิกษุและนักบวชต่างชาติศาสนนิกายต่างๆ แสดงนัยแห่งพระราชจรรยา ที่ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของทุกศาสนาโดยไม่รังเกียจกีดกัน

เพดานโดมด้านทิศใต้ของท้องพระโรงกลาง เป็นภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานอภัยทาน และทรงเลิกประเพณีทาส

เพดานโดมด้านทิศตะวันออกของท้องพระโรงกลาง เป็นภาพเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกประทับ ณ พระที่นั่งบุษบกมาลาที่มุขเด็จ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อ พ.ศ. 2454

เพดานโดมกลาง ซึ่งเป็นโดมใหญ่ที่สุด มีจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “จปร.” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เพดานนับจากจากใต้โดมตลอดทั้งบริเวณท้องพระโรงกลางมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “จปร.” สลับกัน “วปร.” อันเป็นพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

อ่านเพิ่มเติม

ศรันย์ ทองปาน. "ความทรงจำแห่งสยาม ของ กาลิเลโอ คินี",ใน นิตยสารสารคดี ปีที่ 17 ฉบับที่ 207 เดือน พฤษภาคม 2545 [อ่านออนไลน์]

ศรันย์ ทองปาน. "จิตรกรไร้สำนักเรียน ช่างเขียนนอกสถาบัน", ใน นิตยสารสารคดี ปีที่ 16 ฉบับที่ 188เดือนตุลาคม 2543 [อ่านออนไลน์]

พระที่นั่งอนันตสมาคม, วิกิพีเดีย [เข้าถึงข้อมูล 13 มิถุนายน 2561] [อ่านออนไลน์]

Mario Tamagno, Wikipedia [เข้าถึงข้อมูล 13 มิถุนายน 2561] [อ่านออนไลน์]

 

อาคารรัฐสภา

ใช้เป็นรัฐสภาตั้งแต่ 19 กันยายน พ.. 2517 จนถึงปัจจุบัน

ก่อสร้าง 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 แล้วเสร็จ พ.ศ. 2517

งบประมาณก่อสร้าง 51 ล้านบาท หรือ 0.14% ของงบประมาณแผ่นดินปี พ.ศ. 2517 (36,000,000,000 บาท)

การเดินทาง: รถเมล์สาย 70 (ถ.อู่ทองใน) 18, 28ร, 125ร, 515 (ถ.ราชวิถี)

รถไฟฟ้า BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ห่างออกไป 2.91 กม.

เส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคต

MRT สายสีม่วง สถานีสามเสน (ห่างออกไป 0.78 กม.)

 

ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม

สถาปนิก พล จุลเสวก

สถาปัตยกรรม โมเดิร์น

อาคารรัฐสภาและประวัติศาสตร์การเมืองไทย

อาคารรัฐสภาที่ตั้งอยู่บน ถ.อู่ทองใน ตัดกับ ถ.ราชวิถีนั้น เริ่มมีการวางโครงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ หลังจากจำนวนสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้นตามอัตราประชากรที่เพิ่มขึ้น และจำต้องมีที่ทำการของข้าราชการฝ่ายรัฐสภา จึงจำต้องสร้างอาคารรัฐสภาที่รับความต้องการดังกล่าวได้ โดยมีการวางแผนสร้างถึง 4 ครั้ง แต่สามครั้งแรกไปไม่ตลอดรอดฝั่งเพราะคณะรัฐมนตรีซึ่งริเริ่มโครงการต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน ในครั้งที่สี่ เริ่มโครงการก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 มีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ

หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่น ๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง

หลังที่ 2 เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา

หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา

สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สมัยรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ สมัยที 2 ส่วนพระที่นั่งอนันตสมาคมใช้แต่ในทางรัฐพิธีเกี่ยวกับรัฐสภา เช่น รัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ

โดยอาคารรัฐสภาหลังปัจจุบันอยู่ร่วมกับการเมืองไทยสมัยใหม่หลายครั้งหลายหน โดยมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 12-13 ธันวาคม พ.ศ. 2517 สมัยรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ผู้เสนอญัตติคือสมัคร สุนทรเวชและคณะ เกิดขึ้นที่อาคารรัฐสภาแห่งนี้ นับเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบ 27 ปี หลังจากทิ้งช่วงไปตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 19-27 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 สมัยรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ร.น. ซึ่งผู้เสนอคือ พ.ต.ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

โดยอาคารรัฐสภาปัจจุบันถูกใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนับตั้งแต่ครั้งที่ 6 เรื่อยมาจนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 41 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 และลงมติเมื่อ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีผู้เสนอคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (อ่านสถิติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ)

และนอกจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาคารรัฐสภาแห่งนี้ยังผ่านร้อนผ่านหนาวมากับการเมืองไทยสมัยใหม่หลายหน ทั้งรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้ง รัฐบาลกึ่งพลเรือน รัฐบาลทหาร ตั้งแต่การลงมติให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2540 จนถึงการแย่งเก้าอี้สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาเมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 กรณี เชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ โยนเก้าอี้ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่พอใจที่ ส.ส.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ยอมให้อภิปรายเรื่องราคายางพารา เมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2556 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

จนถึงการลงมติผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม "เหมาเข่ง"เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ที่ปิดประชุมในเวลา 04.25 น. (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)เป็นเหตุแห่งการชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่บานปลายเป็นการชุมนุมของ กปปส. และเกิดการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ในเวลาต่อมา ฯลฯ

อ่านเพิ่มเติม

ประมวลข้อมูลรายงานการประชุม การภิปรายทั่วไปในรัฐสภา พ.ศ. 2477-ปัจจุบัน, เว็บไซต์รัฐสภา [อ่านออนไลน์]

อาคารรัฐสภาไทย, วิกิพีเดีย [อ่านออนไลน์]

 

สัปปายะสภาสถาน (กำลังก่อสร้าง)

จะใช้เป็นรัฐสภาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 (ถ้าแล้วเสร็จ)

ก่อสร้าง 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 (คาดว่าจะแล้วเสร็จธันวาคม พ.ศ. 2562)

(เดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ต่อมามีการขยายเวลาก่อสร้าง 3 ครั้ง รวม 1,482 วัน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562)

งบประมาณก่อสร้าง 22,987,266,200 บาท

ปี 2561 รัฐบาลอนุมัติเพิ่ม 512,500,000 บาท

รวมใช้งบประมาณ 23,499,766,200 บาท คิดเป็น 0.78 ของงบประมาณปี พ.ศ. 2562 (3,000,000,000,000 บาท)

การเดินทาง:รถเมล์สาย สาย 3, 16, 30ร, 32, 33ร, 49, 65, 66, 505 (ถ.สามเสน)

รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน/สายสีม่วง สถานีเตาปูน ห่างออกไป 2.34 กม.

เส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคต

MRT สายสีม่วง สถานีรัฐสภา

 

สัปปายะสภาสถานและการเมืองไทยในยุคอันใกล้นี้

สัปปายะสภาสถาน เป็นโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ของประเทศไทยและแห่งที่ 3 ของประเทศไทยแทนที่อาคารเดิมบริเวณ ถ.อู่ทองใน ข้างสวนสัตว์ดุสิต ข้อมูลจากวิกิพีเดียโครงการก่อสร้างตั้งอยู่ติดริ่มฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บนถนนทหาร (เกียกกาย) แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต โครงการได้ริเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 สมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมจัดหาสถานที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จนมีมติเลือกที่เดินราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต เป็นสถานที่ในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่

สัปปายะสภาสถาน เป็นผลงานชนะเลิศการประกวดแบบของธีรพล นิยม ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) จากผู้ส่งประกวดรอบสุดท้ายทั้งหมด 5 ราย โดยนับเป็นการประกวดแบบครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศนับตั้งแต่การประกวดแบบสนามบินสุวรรณภูมิ ชิงเงินรางวัลชนะเลิศสูงถึง 200 ล้านบาท มีผู้ส่งเข้าประกวดทั้งหมด 133 ราย และผ่านเข้าในรอบสุดท้ายทั้งหมด 5 ราย

โดยเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ก็ได้มีการตัดสินคัดเลือกแบบของธีรพล นิยม โดยมีกรรมการ 12 คนประกอบไปด้วย สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ด้านสถาปัตยกรรมสถาน สภาวิศวกรรม และศิลปินแห่งชาติ พิจารณาการประกวดโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่

สำหรับอาคารได้รับการวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารรัฐสภาแห่งใหม่

โครงการได้เริ่มวางเสาเข็มตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 โดยมีบริษัทซิโนไทยเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเดิมต้องแล้วเสร็จภายใน 900 วัน หรือในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 แต่ปัจจุบันโครงการได้ล่าช้าออกไป เนื่องจากปัญหาการส่งมอบพื้นที่และการปรับรายละเอียดแบบก่อสร้างในบางส่วน ทำให้โครงการได้เลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2562

ส่วนปัญหาที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้านั้น จเร พันธ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่าเป็นเพราะการส่งมอบพื้นที่ไม่เป็นไปตามสัญญา พื้นที่บางส่วนยังไม่ได้รับมอบคืนจากหน่วยงานเดิม การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้างไม่เป็นไปตามแผน และปัญหาอุทกภัยปี พ.ศ. 2554

 

ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม

สถาปนิก ธีรพล นิยมและคณะ

งานสถาปัตยกรรมไทย ภิญโญ สุวรรณคีรี และเผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี

สวน ปิยเมศ ไกรฤกษ์

โครงสร้าง เสาเข็มทั้งหมดจำนวน 1,673 ต้น

เสาไม้สักจำนวน 4,000 ต้นล้อมรอบอาคาร

พื้นที่ใช้สอย 424,000 ตร.ม.

จากข้อมูลในวิกิพีเดียสำหรับชื่อ "สัปปายะสภาสถาน"เป็นการรวมคำระหว่าง "สัปปายะ"และ "สภาสถาน"โดย "สัปปายะ"หรือ "สัปปายะ 7"ซึ่งแปลว่า สิ่งที่สบาย, สภาพเอื้อ, สิ่งที่เกื้อกูล, สิ่งที่เหมาะสมกัน เมื่อรวมกับ "สภาสถาน"จึงมีความหมายถึง สภาที่มีแต่ความสงบร่มเย็นสบาย

โดยสถาปนิกได้ออกแบบนำเสนอคติและสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของไทยในอดีตผสมผสานไปกับเทคโนโลยีการก่อสร้าง ระบบโครงสร้างทางสังคม และระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขในปัจจุบัน ผ่านทางรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่บนพื้นฐานทางภาษาและฉันทลักษณ์ตามอย่างสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณี ตามคติ ไตรภูมิ ที่นอกจากจะแสดงเอกลักษณ์ทางจิตวิญญาณถึงความเป็นไทย ยังมีความหมายเพื่อให้คนไทยและเหล่า ฯพณฯ ที่ดี และพวกบรรดานักการเมืองในเสื้อสูทประชาธิปไตย เมื่อเข้ามาอยู่ในสภาจะสำนึกถึง "บาปบุญคุณโทษ"พลิกฟื้นจิตใจผู้คนให้ประกอบกรรมดี นอกจากนี้ยังใช้แนวคิดของ "สถาปัตยกรรมสีเขียว" (Green Architecture) ซึ่งเห็นได้จากการปลูกต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบอาคาร

สัปปายะสภาสถาน เป็นโครงการสร้างรัฐสภาขนาดใหญ่ บนพื้นที่ดิน 191,356 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอยในอาคาร 424,000 ตารางเมตร มีความสูงจากฐานถึงยอดเจดีย์พระสุเมรุ 134.56 เมตร ภายในประกอบด้วยโถงรับรอง ส.ส. และ ส.ว., ห้องประชุมของ ส.ส. หรือที่เรียกว่า "ห้องพระสุริยัน", ห้องประชุม ส.ว. หรือที่เรียกว่า "ห้องพระจันทรา", โถงรัฐพิธี, พิพิธภัณฑ์ประชาธิปไตย, ห้องอาหาร ส.ส., ห้องอาหาร ส.ว. ในส่วนของดาดฟ้าอาคาร ประกอบด้วยกำแพงแก้วล้อมรอบส่วนเจดีย์และพิพิธภัณฑ์ชาติไทย

สัปปายะสภาสถาน ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งการวิจารณ์ว่าออกแบบที่เหมือน "วัด"โดย ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ได้ออกมาวิจารณ์ในช่วงที่มีการประกวดแบบในปี พ.ศ. 2552 ว่า ใช้ความหมายเดิมๆ ศีลธรรมเป็นเรื่องจอมปลอม ไม่คำนึงถึงปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาของสังคม และการใช้งานไม่เอื้อให้เป็นพื้นที่ของประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งการใช้แนวคิดด้านพระพุทธศาสนามากเกินไปจนไม่มีมุมมองด้านประชาธิปไตย หรือการออกแบบที่อยู่ในกรอบของภาษาความเป็นไทยทางสถาปัตยกรรม (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

อ่านเพิ่มเติม

สัปปายะสภาสถาน, วิกิพีเดีย [อ่านออนไลน์]

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้เปิดชื่อนายทหารพม่าเอี่ยวโจมตีชาวโรฮิงญา-เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

$
0
0

แอมเนสตี้เปิดรายงานล่าสุด พบนายทหารกองทัพพม่ารวมทั้ง ผบ.สส. พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากการโจมตีชาวโรฮิงญา จนทำให้เกิดคลื่นผู้อพยพมากกว่า 7 แสนคน พร้อมให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างการบังคับบัญชา และการตรึงกำลังพลของกองทัพพม่า รวมทั้งการจับกุม การบังคับบุคคลให้สูญหาย และการทรมานผู้ชายและเด็กผู้ชายชาวโรฮิงญา ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ก่อนที่วิกฤตผู้อพยพชาวโรฮิงญารอบล่าสุด

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลสามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างกว้างขวางและน่าเชื่อถือ เพื่อเอาผิดกับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพพม่าและบุคคลอีก 12 คนในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ระหว่างการล้างเผ่าพันธุ์ประชากรชาวโรฮิงญาในตอนเหนือของรัฐยะไข่

รายงานนี้มีชื่อว่า “เราจะทำลายทุกอย่าง”: ความรับผิดชอบของกองทัพต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในรัฐยะไข่, พม่า (We Will Destroy Everything”: Military Responsibility for Crime Against Humanity in Rakhine State, Myanmar) เรียกร้องให้มีการยื่นกรณีที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือพม่า ไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อการสอบสวนและดำเนินคดี [อ่านรายงานฉบับภาษาอังกฤษ]

แมทธิว เวลส์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านวิกฤตแห่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ทั้งการสังหารบุคคล การข่มขืนกระทำชำเรา การทรมาน การเผาและบังคับให้ต้องอดอาหาร ที่เป็นการกระทำของกองกำลังความมั่นคงของพม่าในหมู่บ้านต่างๆ ตลอดทั่วตอนเหนือของรัฐยะไข่ ไม่ได้เป็นแค่การกระทำของทหารหรือหน่วยทหารที่ประพฤติมิชอบเพียงบางส่วน หากมีพยานหลักฐานจำนวนมากที่ยืนยันว่าการกระทำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่วางไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อโจมตีทำร้ายประชากรชาวโรฮิงญา

“คนที่มือเปื้อนเลือดทุกลำดับชั้นของสายการบังคับบัญชา จนถึงพลเอกอาวุโสมินอ่องลาย ต้องรับผิดชอบจากบทบาทของตน ในการบังคับบัญชาและมีส่วนก่อให้เกิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงอื่น ๆ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ”

ในรายงานฉบับนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังระบุชื่อเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาเก้านายของผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพพม่า และชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพิทักษ์ชายแดนสามนาย ซึ่งมีบทบาทในปฏิบัติการล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้

ผลจากการวิจัยอย่างเข้มข้นเป็นเวลาเก้าเดือน ทั้งในพม่าและบังคลาเทศ รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลฉบับนี้ นับเป็นเอกสารที่มีเนื้อหาครอบคลุมมากสุด ให้รายละเอียดว่ากองทัพพม่าได้ใช้กำลังบังคับผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กกว่า 702,000 คน หรือกว่า 80% ของประชากรชาวโรฮิงญาในตอนเหนือของรัฐยะไข่ ให้ต้องหลบหนีไปยังบังคลาเทศนับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนี้

รายงานฉบับนี้ยังให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างการบังคับบัญชา และการตรึงกำลังพลของกองทัพพม่า รวมทั้งการจับกุม การบังคับบุคคลให้สูญหาย และการทรมานผู้ชายและเด็กผู้ชายชาวโรฮิงญาเป็นเวลาหลายสัปดาห์โดยกองกำลังความมั่นคง ซึ่งเกิดขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนวิกฤตครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลยกฟ้อง คดี 112 'ทอม ดันดี'เป็นคดีที่ 2 จาก 4 คดี ชี้โจทก์บรรยายฟ้องไม่แจ้งชัด

$
0
0

ศาลยกฟ้อง คดี 112 'ทอม ดันดี'เป็นคดีที่ 2 จาก 4 คดี ชี้โจทก์บรรยายฟ้องยังไม่มีความแจ้งชัด ว่าเป็นการใส่ความ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทตามฟ้อง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ส่วน 2 คดีแรกศาลลงโทษจำคุกรวมแล้ว 10 ปี 10 เดือน อยู่ในเรือนจำมาแล้วกว่า 4 ปี

แฟ้มภาพ เพจ Banrasdr Photo

29 มิ.ย.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้  เวลาประมาณ 9.45 น. ศาลจังหวัดราชบุรีอ่านคำพิพากษาคดี ธานัท ธนวัชรนนท์ หรือ ทอม ดันดี จำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง 

สรุปความได้ว่า เนื่องจากคำปราศรัยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นยังไม่มีความแจ้งชัดว่าเป็นการใส่ความ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทตามฟ้อง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตา 185 วรรคหนึ่ง จึงพิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ภรรยาและเพื่อนทอม ดันดี มาร่วมฟังคำพิพากษาราวสิบกว่าคน และก่อนศาลจะอ่านคำพิพากษาได้สอบถามว่าใครเข้าฟังบ้าง พร้อมกำชับสื่อมวลชนให้รายงานให้ถูกต้องครบถ้วนและถือเป็นคำสั่งศาล หากเกิดความผิดพลาดจะถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล 

โดย คดีนี้อัยการเพิ่งฟ้องเมื่อเดือนมกราคม 2561 เหตุจากการปราศรัยเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2553


ทั้งนี้ ทอม โดนทยอยฟ้องตามมาตรา 112 รวมทั้งสิ้น 4 คดี คดีนี้เป็นคดีสุดท้ายที่ตัดสิน โดยบวร ยสินธร ประธานเครือข่ายราษฎรป้องกันสถาบัน เป็นผู้แจ้งความกล่าวโทษ เหตุจากการปราศรัยของทอม ดันดี ในปี 2553 ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องคดี 112 จากการปราศรัยของทอม ดันดี ที่จังหวัดลำพูนเมื่อปี 2554 ในงานแรงงานสร้างบ้านแป๋งเมือง แม้ว่าตัวเขาจะตัดสินใจรับสารภาพไปแล้ว ส่วน 2 คดีแรกศาลตัดสินลงโทษจำคุกรวมแล้ว 10 ปี 10 เดือน ขณะนี้เขาอยู่ในเรือนจำมาแล้วกว่า 4 ปี

ทอม ถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2557 และถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ไม่มารายงานตัว ศาลลงโทษจำคุก 6 เดือนแต่ให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนคดีตามมาตรา 112 นั้นเขาถูกทยอยฟ้องทั้งสิ้น 4 คดี ทั้งหมดมาจากการปราศรัย คดีแรกและคดีที่สองมาจากคลิปการปราศรัยของเขาที่โพสต์ในยูทูบโดยบุคคลอื่นในปี 2556 ด้วยระยะเวลาห่างกันราว 1 สัปดาห์ คดีแรก ศาลอาญาพิพากษาจำคุกกรรมละ 5 ปี รวม 3 กรรม 15 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงเหลือโทษจำคุก 7 ปี 6 เดือน อีกคดี ศาลทหารลงโทษจำคุก 5 ปี แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 3 ปี 4 เดือน และให้นับโทษต่อจากคดีของศาลอาญา รวมแล้ว จำคุก 10 ปี 10 เดือน 

นอกจากคดี ทอม แล้ว เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญา รัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีประเวศ ประภานุกูล ซึ่งอัยการฟ้องในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำนวน 10 กรรม มาตรา116 จำนวน 3 กรรม และ มาตรา14 (3) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 โดยศาลตัดสินว่า จำเลยไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมเท่ากับปฏิเสธสิทธิที่จะสู้คดี การโพสต์เฟสบุ๊คของจำเลยตั้งค่าเป็นสาธารณะ ข้อความดังกล่าวมีความผิดตามมาตรา 116 และมาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษในบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จึงให้ลงโทษจำคุกในความผิดมาตรา 116 จำนวน 3 กรรม กรรมละ 5 เดือน รวม 15 เดือน นอกจากนี้ให้ลงโทษจำคุกฐานไม่ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือในชั้นสอบสวนตามประกาศ คปค.ที่ 25/2549 อีก 1 เดือน รวมโทษจำคุกทั้งหมด16 เดือน ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง อย่างไรก็ตามในคำพิพากษาที่อ่านในวันนี้มิได้บรรยายการวินิจฉัยมาตรา 112 แต่อย่างใด

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เว็บทำเนียบฯ ปล่อยถอดเทป 'ประยุทธ์'ให้สัมภาษณ์ TIME

$
0
0

เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล เผยแพร่ ถอดเทปบทสัมภาษณ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ นิตยสารไทม์ แต่ไม่มีส่วนที่ไทม์วิจารณ์ หลังมีข่าวห้ามเผยแพร่ในไทย และกิจกรรมแปลของนักศึกษาจุฬาฯถูกขอในยุติงาน 

29 มิ.ย.2561 จากเมื่อ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา นิตยสารไทม์ (TIME) ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขึ้นปกฉบับล่าสุด โดยมีเนื้อหาวิจารณ์ว่าแทนที่ผู้นำไทยคนนี้จะฟื้นฟูประชาธิปไตย กลับพยายามกุมอำนาจมากยิ่งขึ้น

ต่อมา วอยซ์ออนไลน์รายงานว่า สมาชิกรายหนึ่งของร้านหนังสือ 'เอเชียบุ๊ก'ซึ่งเป็นร้านแฟรนไชส์ที่จัดจำหน่ายนิตยสารไทม์ในประเทศไทย เปิดเผยกับ 'วอยซ์ออนไลน์'ว่าได้โทรไปสอบถามกับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของเอเชียบุ๊ก ได้รับการชี้แจงว่านิตยสารไทม์ ฉบับ 2 ก.ค. 2561 หน้าปก พล.อ.ประยุทธ์ มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จึงจะไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่ฉบับอื่นๆ ต่อจากนี้จะยังนำเข้ามาจำหน่ายตามปกติ อย่างไรก็ตาม เอเชียบุ๊กไม่ได้ชี้แจงว่าเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับเรื่องใด 

วอยซ์ออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ สาขาเอ็มควอร์เทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้วางจำหน่ายนิตยสารไทม์ตามปกติ แจ้งกับลูกค้าที่ไปหาซื้อนิตยสารดังกล่าวว่าจะไม่มีการวางจำหน่ายไทม์ ฉบับที่เป็นหน้าปก พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน แต่ไม่ได้ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ธนวัฒน์ วงศ์ไชย ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ยังเปิดเผยด้วยว่าถูกผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอให้ยกเลิกการจัดกิจกรรม “แปลภาษาอังกฤษให้ประวิตรฟัง” ที่กำหนดจะจัดขึ้นที่จุฬาฯ เมื่อ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมาอีกด้วย

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ถึงกระแสการสั่งห้ามขายนิตยสารไทม์ ฉบับดังกล่าว โดยยืนว่าไม่มีห้ามขายทั้งสิ้น และจะไปอุดหนุนซื้อมาสัก 10 ฉบับเก็บไว้

จนล่าสุดวานนี้ (28 มิ.ย.61) เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล www.thaigov.go.thเผยแพร่ (ถอดเทป) บทสัมภาษณ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ นิตยสารไทม์ ซึ่งสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใน ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นการถามตอบระหว่างผู้สัมภาษณ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่ได้ระบุส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งการบริหารงาน การละเมิดสิทธิ การตรวจสอบและปิดกั้นการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเรียกว่า "สฤษดิ์น้อย (Little Sarit)" ตามชื่อของ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ผู้ยึดอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี 2500 และได้ช่วยยกสถาบันกษัตริย์ให้มีบทบาทสูงสุดในสังคมไทยขณะนั้นด้วย

โดยบทสัมภาษณ์พิเศษ พล.อ. ประยุทธ์ และบทวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองไทย ในเว็บไซต์ไทม์ยังสามารถเข้าถึงได้

รายละเอียดถอดเทป ที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลเผยแพร่ : 

(ถอดเทป) บทสัมภาษณ์ นรม. กับ นิตยสาร Time ศุกร์ 1 มิถุนายน 2561  เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

TIME : นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนตนเองจากการเป็นทหารสู่งานการเมืองอย่างไร ?
พล.อ.ประยุทธ์ : ในขณะที่ยังเป็นผู้นำทางทหาร ก็พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เรียนรู้มิใช่เฉพาะงานด้านทหาร เพราะว่าทหารมีความสำคัญในการช่วยเหลือบ้านเมืองทางด้านการพัฒนา มิใช่เพียงแค่เพื่อการสู้รบ แต่ทหารยังต้องเรียนรู้ที่จะพัฒนา และในรัฐธรรมนูญไทยได้กำหนดว่า ทหารไทยมีบทบาทสำคัญที่สุดคือ การป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงภายใน และในเรื่องการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงให้ความช่วยเหลือส่วนราชการต่างๆ และแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องจากพวกเราเป็นทหารของประชาชน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นทหารของประเทศ เป็นทหารของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม ทหารทุกคนมีบทบาทในเชิงสร้างสรรค์ และในช่วงที่ผ่านมา ผมได้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ทุกอย่างกับทุกรัฐบาล ซึ่งผมเป็นทหารยาวนานกว่า 40 ปี โดยเป็น ผบ.ทบ. 4 ปี  เพราะฉะนั้นผมได้มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ พัฒนาองค์กรของผมด้วย เพื่อพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลในทุกอย่าง
 
TIME : รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ของประเทศไทย จะช่วยให้ประเทศไทยกลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างไร?   
พล.อ.ประยุทธ์ : ที่ผ่านมา เรามีรัฐธรรมนญหลายฉบับด้วยกัน ประเด็นสำคัญคือ เราจะทำอย่างไรให้รัฐธรรมนูญของเรามีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น มีการพัฒนาในเชิงสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือ เปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วม เราต้องสร้างคนให้ได้แบบนั้น เพื่อไม่ให้มีการแก้ไขอยู่ตลอดเวลา อันเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งที่ผ่านมา

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ควรเป็นความคาดหวังของคนไทยทั้งประเทศ และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับต่างประเทศด้วย ดังนั้นต้องมีบริบทของความเป็นไทยเข้าไป เพิ่มเติมลงไปด้วยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ผ่านการประชามติตามกระบวนการประชาธิปไตย โดยมีคนมาลงคะแนนเสียงสนับสนุนคิดเป็น 60% และมีจำนวนคนกว่า 16 ล้านคน ที่มาออกเสียงทำประชามติ ผมถือว่ารัฐธรรมนูญที่ได้มาฉบับนี้น่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ในการที่จะใช้เป็นรัฐธรรมนูญดำเนินการปกครองและบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้

ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ตอบโจทย์หลายอย่าง ได้แก่ การมีส่วนร่วม ตรงตามความต้องการของประชาชน ป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น การขัดกันของผลประโยชน์ มีกลไกต่าง ๆ ครบถ้วน เพราะไม่อยากให้ประเทศมีความขัดแย้งอีกต่อไป จึงต้องบริหารประเทศตามแนวทางของรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกฉบับต่าง ๆ ที่ประกอบกัน ต้องสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นที่จะใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน

ข้อสำคัญที่สุดก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เราจะต้องจัดการกฎหมายลูกให้ครบถ้วน และเราก็มี พรบ. หลายตัวที่เราต้องทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งเดิมในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ อาจจะจัดทำกฎหมายลูกได้ไม่ครบถ้วน เลยทำให้การบังคับใช้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดปัญหาขึ้น จึงมีกฎหมายลูกตามมาอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะพูดถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งประเทศไทยไม่เคยเขียนไว้ วันนี้ก็มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีแผนการปฏิรูป ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแผนของสภาพัฒน์และนโยบายความมั่นคงของชาติ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราทำให้ครบถ้วนทั้งหมด ในกระบวนการของรัฐธรรมนูญทั้งหมดไปจนถึงกฏหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

เพราะฉะนั้น 20 ปี ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปผูกขาดอำนาจตลอดไป 20 ปี หรือแก้ไขอะไรเลยไม่ได้ 20 ปี เพราะว่ามันเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว มีการประเมินทุก 5 ปี ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบกับการทำงานของเรา ทุกรัฐบาลก็สามารถดำเนินการได้ ไม่ได้มองว่าผมต้องการจะสืบทอดอำนาจต่าง ๆ ไม่เลย

เรามีประชาธิปไตยในประเทศไทยมากว่า 80 ปี แล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ ผมมองว่าเป็นยุคใหม่ของการเมืองไทย ที่กำลังมี New Political Era เรามุ่งสู่อนาคต มีเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์ คือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ประเด็นเด่นสำคัญก็คือ การมีธรรมาภิบาลในระยะยาว ป้องกันการทุจริต และประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองให้มากยิ่งขึ้น ในช่องทาง ในวิถีทางที่มันถูกต้อง
 
Time: นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐธรรมนูญจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในอดีตได้ แต่ผมได้คุยกับกลุ่มสนับสนุนตระกูลชินวัตรว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อปิดกั้นตระกูลชินวัตร  นายกรัฐมนตรีมีความกังวลหรือไม่ว่า หลังการเลือกตั้ง จะเกิดความขัดแย้งแบบเดิมขึ้นมาอีกครั้ง?
พล.อ.ประยุทธ์ : ในเรื่องดังกล่าวผมก็มีความกังวลอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ของการเมืองไทย ของประชาธิปไตยไทย ซึ่งคนไทยได้ทำมาเป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของการขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนยังไม่ให้ความสนใจกับกฎหมายลูกและพรบ.ที่เกี่ยวข้องเลย ซึ่งการกระทำเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นในประเทศฝั่งตะวันตกและตะวันออกที่มีการพัฒนาสูงแล้ว ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในขั้นตอนดังกล่าวอยู่ หรือเรียกว่า “ระยะเปลี่ยนผ่าน” เพราะฉะนั้น ผมก็ยังคงกังวลอยู่ แต่ต้องมีการผลักดันความเข้าใจ การอธิบาย การเข้าถึง การมีส่วนร่วมให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงต้องมีอุปสรรค

การไม่เคารพกฎหมาย ก็มีกลุ่มคนแค่บางกลุ่มที่ไม่เคารพกฎหมาย ได้พยายามใช้กฎหมายเป็นตัวกลางในการสร้างความขัดแย้ง ไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และเป็นช่วงการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของผม ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้เวลาในการตัดสินใจไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยมิได้เป็นการตัดสินใจมาก่อนล่วงหน้า แต่เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และผมไม่สามารถยอมรับได้หากประเทศเกิดความเสียหายไปมากกว่านี้หรือประชาชนสูญเสียและบาดเจ็บไปมากกว่านี้ ผมจึงตัดสินใจในขณะนั้น และผมก็ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และผมรับฟังปัญหาทุกอย่างที่สะสมในอดีต รับฟังความคิดเห็นของประชาชนจากสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการ ผมรับฟังทั้งหมดมาประยุกต์ และประมวลผลว่า จะต้องทำงานไปในทิศทางใด ซึ่งอยากให้เข้าใจถึงเหตุผลและความเป็นมาที่ผมต้องเข้ามารับตำแหน่งนี้

ผมเองไม่ได้ต้องการเข้ามาสู่อำนาจในลักษณะนี้ ไม่เคยคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีแบบนี้ แต่เนื่องด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังที่กล่าวไปแล้วว่าจะให้ประเทศชาติล่มสลายไม่ได้ เพราะผมได้ให้เวลาเพื่อปรับเปลี่ยนตามกลไกประชาธิปไตยแบบปกติ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ให้มีการพูดคุยกัน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่ขัดแย้ง แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะว่ามีการบาดเจ็บสูญเสีย ใช้อาวุธสงคราม ผมในฐานะเป็นทหารของประชาชนจึงยอมรับไม่ได้ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น นั่นคือการตัดสินใจของผม ตอนนี้ผมต้องการให้ประเทศกลับไปสู่การเป็นประชาธิปไตย หากผมต้องการอำนาจ ผมคงไม่เสนอร่างรัฐธรรมนูญ วาง Roadmap การเลือกตั้ง เพื่อที่จะอยู่ในอำนาจได้ยาวนาน แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น
 
Time: หากนายกรัฐมนตรีไม่รู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจครั้งนั้น , ท่านคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?
พล.อ.ประยุทธ์ : ทุกวันนี้ก็ยังไม่เสียใจ เพราะไม่มีการบาดเจ็บสูญเสียจากการที่ผมเข้ามาเลย ซึ่งก่อนหน้าผมจะเข้ามา ซึ่งเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลที่ผ่านมา มีการบาดเจ็บสูญเสียมากพอสมควร ตั้งแต่ผมเข้ามายังไม่มีการบาดเจ็บสูญเสียในเรื่องนี้เลย ประชาชนก็ยังสนับสนุน ยังให้ผมทำงานมาถึง 4 ปี นี่คือสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง ถ้าผมทำไม่ดีเลย ผมคงอยู่ไม่ได้ ปีเดียวก็คงอยู่ไม่ได้ แสดงว่าผมก็ต้องทำอะไรที่มันเกิดผลสัมฤทธิ์มาได้บ้าง   

4 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ 4 ปี แห่งการใช้อำนาจ เป็น 4 ปีแห่งการแก้ปัญหาเดิมและอุปสรรคเดิม พร้อมกับสร้างความมีเสถียรภาพและเดินไปข้างหน้า มองถึงอนาคต ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด และได้ดำเนินการตามนี้มาโดยตลอด และวันนี้มันก็ถึงเวลาแล้วว่า จะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอันเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ผมก็ได้กำหนดวิธีทางไว้ทั้งหมดแล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญพร้อม กฎหมายลูกพร้อม ก็สามารถเลือกตั้งได้ ผมไม่เคยหวงหรือยึดอำนาจไว้
 
Time : ในห้วง 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้กลับมามีเสถียรภาพทั้งในด้านการค้า การส่งออก รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น  นายกรัฐมนตรีจะยังคงบริหารด้วยระบบรัฐบาลแบบปัจจุบัน หรือให้คำมั่นที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตย ?
พล.อ.ประยุทธ์ : ทุกอย่างผมคิดว่าจะดีกว่านี้ถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบสากลโดยรัฐบาลที่เป็นสากล นำไปสู่การเลือกตั้ง โดยรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล เป็นรัฐบาลที่ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ สิ่งที่ผมเริ่มวันนี้ จะต่อยอดไปข้างหน้าจะทำให้อนาคตดีขึ้นต่อไปได้อีกหลายรัฐบาล แต่ถ้าทุกคนย้อนกลับไปทำแบบเดิม ก่อนที่ผมจะเข้ามา สถานการณ์ก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม ระหว่างนี้ ที่ผมดำรงตำแหน่ง 4 ปี ผมอาจจะต้องมีอำนาจพิเศษ มีกฎหมายพิเศษของผมบ้าง ของรัฐบาลบ้าง เพื่อเสถียรภาพ มิฉะนั้นจะวุ่นวายมีความขัดแย้ง สิ่งที่มีปัญหาในรัฐบาลก่อน ก็จะยังมีปัญหาในรัฐบาลนี้ ประเทศชาติจะเดินหน้าไม่ได้ ขอให้เชื่อ การใช้กฎหมายของผม ผมใช้อย่างระมัดระวัง

ประเทศของเรา ตามที่ท่านได้พูดเรื่องเศรษฐกิจดีขึ้น การท่องเที่ยวดีขึ้น สิ่งเหล่านี้คือศักยภาพของไทยอยู่แล้ว รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องนำศักยภาพเหล่านี้มาขับเคลื่อนให้ได้จริง ตอบให้ตรงความต้องการของประชาชน นี่คือสิ่งสำคัญ

ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง ติดอยู่ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ใช้เครื่องจักรขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ มาประมาณ 40 ปีแล้ว ตอนนี้โลกก้าวไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ 4 เราจึงมีนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อผลักประเทศไทยให้มีรายได้สูงขึ้น มีหลายมาตรการ เช่น EEC เพิ่มการลงทุนใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก ต่อยอดจากการพัฒนาเมื่อ 40 ที่แล้ว ในโครงการ Eastern Sea Board มาสู่โครงการ EEC  IEECD การวิจัยพัฒนา เมืองอัจฉริยะ พัฒนาดิจิทัลให้สอดคล้องกับการเติบโตของโลก ด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล  เพราฉะนั้น นโยบายของไทยส่วนนี้จะสอดคล้องกับการพัฒนาของต่างประเทศด้วย เช่นของ อินโด แปซิฟิก และนโยบาย One Belt One Road เป็นนโยบายในภูมิภาคนี้ทั้งนั้น ส่วนสำคัญคือต้องมีความพร้อมของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มีการพัฒนาตัวเอง เราจึงไปร่วมกับการพัฒนาเหล่านี้ โดยไทยจะมีการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นทั้ง 10 และอุตสาหกรรมเดิม 5 จะเพิ่มรายได้ให้ประเทศ จะนำรายได้นี้มาดูแล ช่วยพัฒนาประชาชนที่มีรายได้ต่ำ โดยเฉพาะเกษตรกร เมื่อ EEC ได้รับความสำเร็จ ก็จะเป็นโมเดลไปพัฒนาพื้นที่อื่นของประเทศ จะเป็นแผนในอนาคต ในอีก 20 ปีข้างหน้า และเราต้องนำโครงการนี้ไปต่อยอดเป็น East-West Corridor และ North South Corridor ไปยังภาคอื่นๆ ในอนาคต
 
Time :  นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 (the Belt and Road Initiative )ซึ่งจะเชื่อมต่อกับโครงการ EEC  อยากทราบว่าการลงทุนจากจีนและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีนมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองของไทยอย่างไร?
พล.อ.ประยุทธ์ : ในส่วนของจีน ในฐานะที่เป็นคู่ค้าอันดับแรก อันดับหนึ่งของประเทศไทย มีอเมริกาและก็มีอีกหลายประเทศเป็น อันดับสอง อันดับสาม  อเมริกาเป็นลำดับสาม ถือเป็นมิตรประเทศของเราทั้งคู่ ทุกประเทศเป็นมิตรประเทศไทย ไทยเป็นประเทศเล็ก ไทยต้องสร้างสมดุลให้ได้ทั้งทางการเมือง การต่างประเทศ สร้างสัมพันธ์ที่ดี เพราะทุกประเทศเป็นมิตรกับเรามายาวนาน อย่างจีนมีประวัติศาสตร์กับเราเป็นพันปี ของอเมริกาก็กว่า 200 ปี และมีสิทธิประโยชน์ เหมือนกับคนไทยทุกประการ  มีหลายประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องปรับรูปแบบของการทำงานตรงนี้ เพราะว่าประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน ไม่ว่าจะลากเส้นมาจากไหนก็ตาม ต้องผ่านประเทศไทย  ต้องเอาศักยภาพตรงนี้ขึ้นมา เพื่อไปเชื่อมโยงกับอินโดแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น One Belt One Road ในกลุ่ม  BIMSEC  ในกลุ่มของ IORA  กลุ่มของ AMECES มันเชื่อมกันหมด เพราะไทยอยู่ตรงกลางของทวีป

ทุกๆประเทศ มีความสำคัญต่อไทยทั้งหมด เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ทั้งด้านความมั่นคง การค้า การลงทุน สังคมเศรษฐกิจ ต่างๆ เพราะเราอยู่ในโลกใบเดียวกัน อากาศเดียวกัน อยู่บนพื้นดินที่ติดต่อกันทั้งโลก  น้ำ เกาะ มหาสมุทร ติดต่อกันทั้งหมด  เราล้วนเป็นมนุษยชาติ ถือว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมกับทุกคนในการที่จะดูแลมนุษย์ชาติ ให้สงบ สันติ อย่างยั่งยืน ผมคิดอย่างนี้ 

เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ในทุกมิติ  อันที่ 1 ก็ คือ สร้างสมดุลกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น EU ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ฯ เราก็ให้ความสำคัญกับประเทศหมู่เกาะ ประเทศมุสลิม ประเทศ CLMV,  ASEAN,  Africa  เราให้ความสำคัญกับทุกกลุ่ม ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  Stronger Together  นี้คือ วิสัยทัศน์ของผม ผมไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อคนไทย  ผมทำหน้าที่เพื่อคนอื่นไปด้วย

ถามว่า  EEC ผมมั่นใจไหม ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดทำ EEC ขึ้นมา โดยไม่มีการประเมินว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่  สิ่งสำคัญที่กลับมาให้กับประเทศเราจะมากน้อยอย่างไร  สิ่งที่เราประเมินไว้ 5 ปีแรก เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวขึ้นอย่างน้อย ร้อยละ 5 ต่อปี  ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา เกิดการจ้างงานแสนอัตราต่อปี  สร้างฐานภาษีใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท  ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี  วันนี้ก็ 30 กว่าล้านแล้วนะครับ ก็ต้องเพิ่มให้ได้อีก  ลดรายจ่ายได้ 2 แสนล้านบาท  สร้างฐานรายได้ให้เพิ่มไม่น้อยกว่า  4.5 แสนล้านบาท  พูดถึงการลงทุน มูลค่าส่งเสริมการลงทุน ใน EEC สูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ ฯ ในปี 60 นะ  ในปี 61 ตั้งไว้ 1.5  หมื่นล้านสหรัฐ ฯ  จะช่วยกระจายรายได้ เพิ่มงาน เพิ่มการท่องเที่ยว ข้อสำคัญ คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วย  เพิ่มฝีมือแรงงาน และตอบรับสังคมผู้สูงวัย ที่จะมาภายใน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า จะสูงขึ้นในอนาคต มองไปข้างหน้าด้วยซึ่ง EEC จะตอบปัญหาเหล่านี้ได้

ที่บอกว่าต้องให้มี GDP สูงขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะตอนนี้ที่เราทำมา 4 ปีที่ทำมา เราทำได้ 4 เปอร์เซ็นต์ แล้ว เพราะฉะนั้นถ้า EEC มาเสริมอีกอาจจะทำให้ขึ้นเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความหวังของเราหรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้
 
Time: นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในเอเชีย แต่การลงทุนในประเทศไทยของสหรัฐฯ มีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับการลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นในขณะนี้ รวมทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็มีนโยบายในลักษณะชาตินิยม และ “อเมริกาต้องมาก่อน” (American First)  นายกรัฐมนตรีมีความเห็นว่า ในห้วงเวลานี้ความเป็นพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ลดน้อยลงหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ : ผมคิดว่าในช่วงที่ผ่านมานั้น สหรัฐอเมริกาจะมีภาระมากมายในพื้นที่ส่วนอื่นของโลก อาจจะห่างจากทางอาเซียนไปบ้าง แต่วันนี้เท่าที่ผมติดตามดูและได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผมก็เห็นว่าท่านให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น ท่านเข้าใจบริบทของความประเทศไทย ท่านบอกว่าไม่เคยมาประเทศไทย แต่ท่านก็ศึกษา อ่านหนังสือ ท่านก็เห็นประเทศไทยมีธรรมชาติสวยงาม มีอาหารอร่อย และมีประชาชนที่มีน้ำใจไมตรี ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านก็อยากมาเยี่ยมเยือน สิ่งที่ผมได้คุยกับท่านคือ เราจะหาความร่วมมือที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ ทางเราก็สนับสนุนคนไทยไปลงทุนที่สหรัฐอเมริกา และในช่วงที่ผมไปก็ไปลงทุนมากขึ้นในเรื่องของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องพลังงานหลายร้อยล้านเหรียญและคงจะเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมลรัฐโอไฮโอ รวมทั้งมีแผนที่จะไปพัฒนาส่วนอื่น ๆ มีการซื้อของ แลกเปลี่ยนกันทั้งเครื่องบินและอื่น ๆ ซึ่งมีการพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้ เป็นการหารือในเชิงสร้างสรรค์ และผมคิดว่าท่านเข้าใจ เราไม่ได้ลืมสหรัฐอเมริกา และยิ่งสหรัฐอเมริกามีนโยบายในเรื่องอินโด – แปซิฟิก เข้ามาด้วย ผมจึงคิดว่ามันสอดคล้องกันหมด ไม่ว่าจะเป็นอินโด – แปซิฟิก มาประเทศไทย หรือไม่ว่า one belt one road มา ก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของทุกประเทศ ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวหรือประเทศอื่นประเทศเดียว

ในส่วนของไทย – จีน วันนี้ เราร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ มีความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นความร่วมมือในทุกมิติ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องของไทยกับจีน ในส่วนของสหรัฐอเมริกา เราเป็นมิตรประเทศ หรือ ที่เรียกว่า Good Friends มีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนาน ตอนนี้ก็เพิ่งจัดงานในไทยไป ภายใต้ชื่อ Great and Good Friends  เราเข้าใจดีว่าทั้งสหรัฐฯ และจีน อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นไทยที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ ก็พร้อมยินดีร่วมมือกับทั้งสหรัฐฯ และจีน บนพื้นฐานของ 3M คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และการมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
 
Time: จีนมีระบอบการปกครองที่แตกต่างจากประเทศตะวันตก กล่าวคือระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคดูเหมือนว่ามีแนวโน้มจะมาใช้แนวทางดังกล่าว ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?
พล.อ.ประยุทธ์ : แนวทางมันก็มีส่วนดี ทุกอย่างก็ต้องมีส่วนดีส่วนไม่ดี เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่แต่ละประเทศจะเลือกใช้ ไม่ใช่ใช้อย่างนี้แล้วมันจะดีที่สุด อย่างเช่นการเป็นประชาธิปไตย เราก็มีประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ ในส่วนปลีกย่อยที่ต้องให้เหมาะสมและของแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง ไม่ใช่นำมาแล้วจะดีและเหมาะสมทั้งหมด ต้องมีการประยุกต์และใช้ให้ได้ ไทยเองยืนยันว่าเราเป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากลแบบตะวันตก เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราก็ต้องทำในแบบของเรา แต่เราก็ต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือได้ ไม่ว่าจะปกครองอย่างไรก็ตาม ต้องร่วมมือกันให้ได้ หาจุดที่จะมาสานสัมพันธ์กันให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะปกครองแบบใดก็แล้วแต่
 
Time: ผมอยากทราบถึง แนวทางประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เหมาะสมกับไทย?
พล.อ.ประยุทธ์ : ประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่เหมาะสมกับไทย คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างกลไกเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกต้อง และในเรื่องของการมีสิทธิและเสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และการละเมิดสิทธิต่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นสิทธิของประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น เพราะเส้นแบ่งระหว่างสิทธิมนุษยชนและเส้นแบ่งของการทำผิดกฎหมายเป็นเส้นเดียวกัน สิ่งนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญ

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของ หลักการประชาธิปไตย คือ หลักการที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ และต้องดูแลเสียงส่วนน้อยด้วย แต่ที่ผ่านมา ประชาธิปไตยของประเทศไทยสมัยก่อน เป็นแบบเคารพเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น มิได้ดูแลเสียงส่วนน้อย ดังนั้นผมจึงเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ เพื่อให้เกิดการรับฟังความคิดเห็น 2 ทาง การสื่อสาร 2 ทาง มีการใช้ Big Data ในการบริหารราชการแผ่นดิน มีการใช้ช่องทางออนไลน์ เพื่อเปิดช่องทางการเข้าถึงรัฐบาลได้ตลอดเวลา เรามีศูนย์ดำรงธรรม ที่รับฟังและแก้ไขปัญหาของประชาชน มากกว่า 2 ล้านเรื่อง ตลอดระยะเวลา 4 ปี และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาไปได้ร้อยละ 90 ของปัญหาทั้งหมด ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข เราแก้ไขไปมากกว่าล้านกว่าเรื่อง

เราต้องพิจารณาเจตนาของคนส่วนน้อยเหล่านี้ว่ามีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่ หากมีเจตนาบริสุทธิ์ รัฐบาลก็ต้องรับฟัง แต่หากเจตนาดังกล่าวไม่บริสุทธิ์ จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย วันนี้ก็กำลังมีปัญหาอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ ต้องไปดูเจตนารมณ์ของเสียงส่วนน้อย ฝ่ายใดเป็นคนกระทำ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนอลม่าน มิให้คนส่วนใหญ่เสียผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้
 
Time: ในกรุงเทพฯ ยังคงมีการชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งจากกลุ่มนักศึกษา ซึ่งมีบางคนถูกดำเนินคดี  อยากทราบว่า ในขณะนี้ควรอนุญาตให้มีการชุมนุมหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ :รัฐบาลมีช่องทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมสามารถเรียกร้องได้ มีการขออนุญาตและรับฟังความคิดเห็นและความต้องการดังกล่าวเพื่อนำมาแก้ไข เพราะหากรัฐบาลปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรีทั้งหมด อาจจะทำให้การเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยเป็นไปได้ยาก รัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยให้ได้ ต้องไปดูว่าเด็กนักเรียนต่าง ๆ ที่มาประท้วง ถ้าเราเข้าใจจริง ๆ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ได้อยากบังคับใช้กฎหมาย มีการผ่อนผัน และไม่ได้จับกุมหลายครั้ง แต่เด็กกลุ่มนี้ก็ยังทำเหมือนเดิม เพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้อาจริงเอาจัง มองว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นเด็ก เพราะฉะนั้นหากมีความจำเป็น ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิด ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ไม่ชอบเพราะทำให้บุคคลอื่นเกิดความเดือดร้อน รัฐบาลก็พยายามรับฟังว่าเขาต้องการอะไร วันนี้เขาต้องการให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังเสร็จ  กฎหมายเหล่านี้เสร็จ ก็จะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า จะเรียกร้องได้อย่างไรให้เลือกตั้งเร็วกว่านี้ ในเมื่อกฎหมายยังไม่เสร็จ แลรัฐบาลก็ไม่ได้เป็นคนไปดึงกฎหมาย หากมีความขัดแย้งก็ส่งศาลพิจารณา ไม่ได้มีการสั่งศาลว่าให้ออกเมื่อไหร่ ถ้ากฎหมายลูกออกครบ 10 ฉบับ กฎหมายที่สำคัญออกมาครบถ้วน มันก็จะดำเนินไปตามนั้น จะเลือกตั้งได้ไม่เกินต้นปีหน้า จะมาขอให้รัฐบาลทำให้เร็วขึ้น มาต่อต้านไม่ได้ เด็กกลุ่มนี้ หนังสือก็ไม่เรียน อยู่ในกลุ่มเคลื่อนไหวมาโดยตลอด แต่ผมเห็นเค้าเป็นเด็ก ผมก็เมตตาเขาอยู่เลย หากไม่บังคับใช้กฎหมายเลย คนที่เหลือก็จะมาเล่นงานรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยปะละเลยให้บ้านเมืองสับสนอลม่าน นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

วันนี้เราเปิดช่องทาง มี พรบ.การชุมนุม ถ้าชุมนุมโดยปกติ มาเรียกร้องอะไร รัฐบาลก็อนุญาตและพิจารณาให้ตลอด แต่หากสร้างความขัดแย้งในที่สาธารณะ เดี๋ยวก็จะมีอีกกลุ่มมาต่อต้าน ก็จะตีกันเหมือนเดิม กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่มาจากการเมือง มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย อีกกลุ่มที่ต้องการความสงบสันติสุข เขาก็จะเตรียมรวมกลุ่มออกมาเพื่อต่อต้านกลุ่มนี้ ก็จะกลับไปที่เดิม จึงต้องมีการบังคับใช่กฎหมายบ้าง
 
TIME : นายกรัฐมนตรียังคงยึดมั่นในเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ : ใช่ ตอนที่ให้ติดตามทั้งหมดมีเรื่องอะไร เรื่องสิทธิมนุษยชน แต่สิทธิมนุษยชนก็ต้องดูว่ามันมี... มันก็เหมือนกัน มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจับประเด็นเรื่องนี้มาเพื่อจะสร้างความไม่เข้าใจในเวทีโลกให้กับประเทศไทย คนเหล่านี้ก็รู้อยู่ว่าเป็นคนกลุ่มไหน ผมไม่กล่าวถึง แล้วมันก็มีกลุ่มที่จะเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกับกลุ่มเคลื่อนไหวเหล่านี้ ซึ่งจริงๆแล้วเราพยายาม ต้องดูว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนคืออะไร การละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คือการที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกินเลย ใช้ความรุนแรง มีการซ้อม มีการทรมาน รัฐบาลลงโทษทุกอัน ไม่ให้มีการทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องดูว่าคนเหล่านี้ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่นหรือเปล่า ทำคนอื่นเดือนร้อนไหม ทำการจราจรติดขัดไหม หรือคนที่ต้องการค้าขายทำมาหากิน แล้วพวกนี้ไปละเมิดเขาจนกระทั่งต้องปิดเมือง แล้วผมถามว่าไปละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วกฎหมายอยู่ตรงไหน ท่านคงเข้าใจอยู่แล้วล่ะ

เรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่ในสมัยรัฐบาลนี้ลงโทษหมด ไม่ว่าการบังคับใช้กฎหมายอะไรในปัจจุบัน ลงโทษหมด เจ้าหน้าที่ก็ลงโทษ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ มีการกล่าวอ้างว่ามีการทำร้ายร่างกาย ก็ลงโทษหมด หลายอย่าง ถือว่ารัฐบาลนี้แก้ไขได้มากที่สุด แต่เรื่องการละเมิดที่เค้าอ้างกันมา ที่เด็กๆไปละเมิดทางการเมืองอะไรทำนองนี้ก็ต้องไปดูว่า จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้อย่างไร

เขาต้องการให้มีการจับกุม เราก็ปล่อย แล้วก็มีการดำเนินการให้หยุดการชุมนุม แล้วก็เลิกหลายครั้งแล้ว แล้วก็มาใหม่ มาใหม่ ต้องการให้ภาพการจับกุม การใช้ความรุนแรง เพื่อจะไปข้างนอก อันนี้อาจจะเป็นกระบวนการทำของใครซักคน ผมไม่อยากไปกล่าวถึง
 
TIMES: ขอถามถึงความเป็นมาก่อนที่ท่านจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำไมท่านจึงตัดสินใจเลือกที่จะมารับราชการทหาร?
พล.อ.ประยุทธ์ : เพราะว่าอันที่หนึ่งคือ ครอบครัวผมเป็นทหาร ตอนเด็กๆบ้านผมอยู่ในค่ายทหาร ผมเห็นการมีระเบียบวินัย เห็นความเข้มแข็ง ความอดทนของเค้า เห็นถึงความรักชาติ  ไปประจำอยู่ชายแดน ไปรบต่างประเทศ ก็นึกในใจไว้ว่าเรามาเป็นทหาร เราต้องเสียสละ เราต้องทำเพื่อสถาบัน สิ่งที่เกิดกับผมมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็น ผบ.ทบ. จะเป็นใหญ่เป็นโต ขอแค่เป็นทหาร นั่นคือความคิดเด็กๆของผมนะ แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
 
TIMES: ผมทราบว่านายกรัฐมนตรีชอบการร้องเพลง และแต่งเพลงหลายเพลง  ท่านจะเป็นนักร้องอาชีพหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ : ผมชอบฟังเพลง อาจจะร้องเพลงไม่เก่ง แต่ชอบฟังเพลง และแต่งเพลง หลายอย่าง ทั้งเพลงไทย เพลงสากล สิ่งที่ผมฝึกตัวเองมาตั้งแต่เด็กคือการอ่านหนังสือมากๆ แล้วนิสัยคนไทยก็เจ้าบทเจ้ากลอน เพราะฉะนั้นการพูดอะไรที่คล้องจอง แล้วผมชอบเขียนหนังสือ การเขียนหนังสือก็ต้องใช้จิตวิญญาณในการเขียน มาร้อยเรียงให้สอดคล้องต้องกัน ร่างหนังสือก็สำคัญ เพราะฉะนั้นผมก็ใช้ประสบการณ์ผมในการเขียนหนังสือ ในการอ่านหนังสือ เอาคำต่างๆมาผสมผสานกัน แล้วคิดว่าการที่เขียนเพลง จริงๆผมเขียนเป็นบทกวี บทกลอนออกมา ที่อาจจะไม่เพราะมากแต่ต้องการจะถ่ายทอดความรู้สึกของผมภายในออกมา ผมคิดว่าเป็นวิธีการสื่อสารอีกวิธีหนึ่งที่ให้คนไทยได้รับรู้รับทราบว่าผมคิดอะไร ทำอะไร มีความตั้งใจอะไร อย่างที่บอกคนไทยเจ้าบทเจ้ากลอน เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นการสื่อสารที่ดีก็ได้ ผมก็แต่งออกมา

บทกวีบางบท คำบางคำ สามารถทดแทน คำพูดหลายหมื่นคำ ไม่ต้องสิ้นเปลืองเสียเวลา ผมอาจใช้บทกวีแทนคำพูดซัก 5 หน้ากระดาษก็ได้ แสดงให้เห็นว่าความคิดผมไม่เคยหยุดนิ่ง ผมจะร้อยเรียงทุกอย่างหมดในหัวผม เรื่องการบรูณาการ การบริหารจัดการ 20 กระทรวง ทุกอย่างอยู่ในหัวผมทั้งนั้น แล้วผมต้องจัดระเบียบสมองผมให้ได้ เพราะฉะนั้นการเขียนบทกวี บทกลอน ช่วยให้ผมเรียบเรียงได้ในหัวผม ช่วยตัวผมเองด้วย และการถ่ายทอดไปยังคนอื่นด้วย

TIME : นายกรัฐมนตรีจะทำอะไร เมื่อท่านพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว? 
พล.อ.ประยุทธ์ : ผมจะกลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว ผมต้องให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น ผมมีชีวิตในการเป็นทหารมา 40 ปี ในช่วงเวลา 40 ปี ผมได้อยู่กับครอบครัวมาช่วง 10 ปีสุดท้าย และลูกผมก็เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะผมอยู่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด และเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อรับตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูง วันนี้ผมยังติดค้างลูกอยู่ว่า หากผมเกษียณอายุราชการทหารแล้ว ผมจะพาลูกไปพักผ่อน ไปสถานที่ต่างๆ ซึ่งผมไม่เคยไปกับลูก ส่วนใหญ่ก็เป็นหน้าที่ของภรรยาที่พาลูกไป ผมถือว่าเป็นการเสียสละของครอบครัวอย่างยิ่ง และช่วง 4 ปีทีผ่านมา ความเป็นอิสระของคนในครอบครัวลดลง เนื่องจากการเดินทางที่สาธารณะต้องมีความมัดระวัง  ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นภาระของคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นผมถือว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญในสังคมไทย รวมไปถึงทุกประเทศก็เป็นเช่นเดียวกัน ในการให้ความสำคัญกับครอบครัว เพราฉะนั้นผมจึงต้องให้เวลากับคนในครอบครัว หากวันหนึ่งผมไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีผมก็จะไปพักผ่อน อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถระบุตรงนี้ได้ ผมได้แค่บอกคนในครอบครัวผมว่า ประเทศชาติต้องสำคัญกว่าทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ โดยเฉพาะประเทศชาติ และประชาชน อันมีสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นั่นคือหัวใจผมของลูกๆ

TIME: หลังจาก ก.พ.62 ท่านจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ? หรือจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่?
พล.อ.ประยุทธ์ : ผมคิดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสถานการณ์ในวันข้างหน้า ว่า เราต้องการสิ่งใด รวมไปถึงการสานต่อการทำงาน ผมยังไม่ได้คิดนอกเหนือจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งผมไม่สามารถกำหนดว่าผมจะอยู่ในฐานะใด โดยขึ้นอยู่กับประชาชน และสถานการณ์ในวันข้างหน้า ผมไม่สามารถกำหนดเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นเรื่องของประชาธิปไตย รวมถึงการเลือกตั้ง และเป็นสถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งต้องรอดูต่อไป
 
TIME: การที่ท่านเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา ท่านคิดว่า ท่านเป็นคนอีสาน? หรือเป็นคนไทย? หรือ เป็นทหารมากที่สุด? 
นรม. : พ่อของผมเป็นคนกรุงเทพฯ แม่ของผมเป็นคนภาคอีสาน และวันนี้ผมเป็นทหารมา 40 ปี ผมเป็นทหารให้กองทัพบก ดูแลคนทั้งประเทศ ในวันนี้ผมมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การเป็นทหารในแต่ละภูมิภาค แต่เป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ โดยมีจำนวน 70 ล้านคน ทั้ง 77 จังหวัด นี่คือตัวตนของผม

TIME: ผมได้คุยกับกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองจำนวนหนึ่ง  ท่านคิดว่าการบริหารประเทศของท่านในปัจจุบัน  เป็นการยุติความรุนแรงทางการเมืองหรือไม่?
พล.อ.ประยุทธ์ : ในวันนี้ต้องการที่จะทำให้คนมีความสุข เกิดการปรองดองกัน ไม่แค่ผมรักแค่คนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนไทยทุกคน รวมไปถึงนักการเมือง และทุกอาชีพ ต้องมีจิตใจมาก่อน ในเรื่องปรองดองสมานฉันท์ ไม่แบ่งฝ่าย ในตอนแรกผมคิดว่าคนไทยในทั้งประเทศมีความพร้อมในเรื่องดังกล่าว  แต่ก็มีบางคนที่พยายามแบ่งฝ่าย ซึ่งปัญหาดังกล่าวเราก็จะต้องใช้วิธีการที่เหมาะสม โดยปราศจากความรุนแรง ซึ่งผมมีความเป็นห่วงตรงจุดนี้ แต่สิ่งที่ผมได้ทำไป ผมไม่ได้คิดเอง เพราะได้มีการคิดวิเคราะห์ มีกระบวนการต่างๆ ที่นำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ด้วยความเข้าใจของคนไทยทุกคนต้องไม่เลือกกฎหมาย ไม่เลือกการบังคับ ซึ่งที่ผ่านมาผมบังคับคนในกองทัพบกรักษาวินัยควบคุมหน่วยทหารมา 40 ปี และเป็นผบ.ทบ. 4 ปี ทำให้ผมเบื่อในการใช้กฎหมาย แต่ก็จำเป็นต้องทำในสถานการณ์ขณะนี้ นอกจากนี้ การปฏิรูปต้องเริ่มจากทุกคน มาจากหัวใจของคนไทยทุกคน

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทางการไทยยันเดินหน้าแก้ปัญหาค้ามนุษย์ หลังถูกยกระดับอยู่ 'เทียร์ 2'

$
0
0

กระทรวงการต่างประเทศแถลงท่าทีกรณีไทยได้รับการปรับสถานะจากระดับ “เทียร์ 2 ต้องเฝ้าจับตามอง” ขึ้นเป็นระดับ “เทียร์ 2” จากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ยันเดินหน้าแก้ปัญหาต่อ กสม.ชี้รัฐบาลต้องเพิ่มศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมาย

29 มิ.ย.2561 จากกรณีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ออกรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือทิปรีพอร์ตปี 2561 (TIP Report 2018) โดยประเทศไทยได้รับการปรับสถานะจากระดับ “เทียร์ 2 ต้องเฝ้าจับตามอง” ขึ้นเป็นระดับ “เทียร์ 2” นั้น

กระทรวงการต่างประเทศ ออกคำแถลงท่าทีถึงกรณีดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศว่า การปรับอันดับของไทยให้อยู่ใน Tier 2 สะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกาตระหนักถึงความจริงจัง ความพยายาม และความคืบหน้าในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบที่รัฐบาลไทยได้มุ่งมั่นสร้างขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด การคุ้มครองดูแลผู้เสียหาย และการป้องกันการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยไทยพร้อมจะร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศ องค์การระหว่างประเทศ และนานาประเทศซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อผลักดันให้การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในเชิงกว้างและลึกมากยิ่งขึ้นในอนาคต

"การที่ไทยได้รับอันดับที่ดีขึ้นไม่ได้ทำให้รัฐบาลไทยนิ่งนอนใจต่อปัญหาการค้ามนุษย์ ไทยจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนากรอบกฎหมายและนโยบาย รวมทั้งหาทางเพิ่มพูนประสิทธิภาพการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวไทยและชาวต่างชาติในไทย ซึ่งเสมอกันด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมที่ไทยยึดถือตลอดมา"แถลงท่าทีของทางการไทยระบุ

กสม.แนะรัฐบาลต้องเพิ่มศักยภาพกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์

ขณะที่ ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า ว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเป็นผลมาจากการร่วมมือกันทำงานเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศไทยอย่างจริงจังในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จากจุดที่ต่ำสุดคือปี 2557-2558 ไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่เทียร์ 3 อยู่ 2 ปีซ้อน ซึ่งระหว่างนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้แก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ฉบับที่ 2 และฉบับที่ 3 โดยเฉพาะฉบับที่ 3 ที่มีผลบังคับใช้ต้นปี 2560 มีการแก้ไขสาระสำคัญในนิยามของ “การค้ามนุษย์” ซึ่ง กสม.ได้เข้าไปมีส่วนให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำกฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะให้คำนิยามของแรงงานบังคับ
 
ประกายรัตน์ กล่าวว่า กสม. ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของรัฐบาลมาโดยตลอด และในฐานะที่รับผิดชอบด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ขอเรียนว่า ในปลายปี 2558-2559 กสม. ได้มีการตรวจสอบการค้ามนุษย์ในเรื่องสำคัญ คือ การใช้แรงงานไม่เป็นธรรมของแรงงานชาวเมียนมาในฟาร์มไก่ในจังหวัดลพบุรี ซึ่งกรณีดังกล่าว กสม. ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการค้ามนุษย์ ในเรื่องการยึดบัตรประจำตัวของแรงงานต่างชาติว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและอาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่ง สนช. ได้มีการแก้ไขให้เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการ “แสวงประโยชน์โดยมิชอบ”  ซึ่งถือเป็นการ “ค้ามนุษย์” ตามกฎหมายนี้
 
ประกายรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ยังได้มีการแก้ไขให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องของ “แรงงานขัดหนี้” และการมีเด็กอยู่ในสถานที่ที่มีการค้ามนุษย์  เจ้าของสถานประกอบการก็จะมีความผิดด้วยแม้ว่าเด็กเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกค้ามนุษย์ก็ตาม เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็กในเรื่องสิทธิการมีชีวิตที่ดีและมีการพัฒนาที่เหมาะสมตามวัย อย่างไรก็ตามทิปรีพอร์ตปี 2561 นี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ไทยยังต้องทุ่มเทความพยายามเรื่องนี้ต่อไป ซึ่ง กสม. เห็นว่ากลไกระดับชาติที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อบูรณาการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จะต้องทำงานด้วยความรวดเร็ว มีเขตอำนาจที่แข็งแรงและเพียงพอที่จะดำเนินการเอาผิดกับขบวนการค้ามนุษย์ที่เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างดี ซึ่งตรงนี้ กสม. จะได้ทำการศึกษาเจาะลึกและนำเสนอต่อรัฐบาลถึงมาตรการที่เหมาะสมต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อาจารย์อักษรฯ จุฬาฯ เผย ผู้บริหารคณะขอไม่ให้จัดเสวนาวิชาการกรณีศึกษา 'ไทม์'

$
0
0

วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬาฯ เผยถูกผู้บริหารคณะบอกผ่านเพื่อนร่วมงาน ไม่ให้จัดเสวนาวิชาการเรื่องงานแปล กรณี 'ไทม์'สัมภาษณ์ประยุทธ์ เหตุเกี่ยวการเมือง หวั่นไม่เป็นวิชาการ ชี้ ไม่ควรห้ามปากเปล่าเพราะทำให้หลายเรื่องไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อผู้ใหญ่กระทำกับนิสิตกรณี ปธ.สภานิสิตจุฬาฯ อ้าง ถูกห้ามจัดกิจกรรมแปลไทม์ให้ประวิตรฟัง

เมื่อ 27 มิ.ย. ผศ.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสท์บนหน้าวอลล์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่าถูกทางผู้บริหารขอร้องมาอย่างไม่เป็นทางการไม่ให้จัดกิจกรรมวิชาการเรื่องการแปล สืบเนื่องจากข่าวที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวกับนักข่าวว่าไม่ได้อ่านบทสัมภาษณ์พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในนิตยสารไทม์เนื่องจากอ่านไม่ออก

วาสนาให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่ธนวัฒน์ วงศ์ชัย ประธานสภานิสิตจุฬาฯ ออกมาโพสท์เฟซบุ๊กว่าถูกผู้บริหารมหาวิทยาลัยขอให้เลื่อนจัด หรือให้ย้ายไปจัดกิจกรรม ‘แปลภาษาอังกฤษให้ประวิตรฟัง’  ที่นอกรั้วจุฬาฯ ตนก็ได้หารือกับศูนย์การแปลล่ามเฉลิมพระกียรติของคณะอักษรฯ จุฬาฯ ว่าจะจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการชื่อ “การเมืองเรื่องการแปล ประชาธิปไตยจากมุมมอง Time Magazine” โดยจะเป็นการคุยกันว่าควรจะแปลข่าวหรือสารคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองอย่างไร ในกรณีไทม์ที่เขียนเรื่องของประเทศไทย เวลาแปลจะมีปัญหาการเมืองเกี่ยวกับการแปลอย่างไร สื่อควรนำเสนออย่างไร ตั้งใจเชิญนักวิชาการทางด้านการแปล ด้านสื่อ อาจจะมีนักแปลอิสระมานั่งคุยกันเป็นงานวิชาการ

ปธ.สภานิสิตจุฬาฯ เลิกจัดแปล 'ไทม์'ให้ประวิตรฟังเหตุผู้บริหารขอมา มหา'ลัยปัดห้าม

หน้าปกนิตยสารไทม์ ฉบับที่มีบทสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดยเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา (27 มิ.ย.) วาสนาได้เขียนโครงการส่งให้ผู้บริหารคณะอักษรศาสตร์เนื่องจากจะขอจัดในนามหน่วยงานของจุฬาฯ ต่อมาเมื่อตอนเที่ยงได้สอบถามไปยังเพื่อนร่วมงานที่ศูนย์การแปลฯ ก็ได้รับแจ้งมาว่าผู้ใหญ่ขอว่าอย่าจัดเพราะมีความสุ่มเสี่ยงเนื่องจากเป็นเรื่องการเมืองและกลัวว่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งตนก็ตั้งข้อสังเกตว่าผู้บริหารควรประกาศให้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน

“ที่รู้สึกไม่ค่อยถูกต้องเพราะมีประเด็นนิสิตจะจัดงานแปลอังกฤษให้ประวิตรฟังแล้วก็บอกว่าถูกผู้บริหารห้ามไม่ให้จัด ต่อมาจุฬาฯ ก็มีแถลงการณ์ว่าไม่ได้ห้าม นิสิตโกหก ถ้าเขามาบอกว่าห้ามจัดแต่ไม่มีหลักฐานเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรก็แย่เหมือนกัน แต่อันนี้นิสิตก็ออกมาบอกว่าโดนห้ามไม่ให้จัดจริงๆ”

“พอถึงเวลางานเราเองก็ส่งเอกสารขอให้จัด แต่พอจะไม่ให้จัดก็เป็นการบอกกันปากเปล่า ก็รู้สึกว่าตกลงจะเชื่อได้ไหม เราจะจัดการกับความไม่ชัดเจนเหล่านี้อย่างไรในเมื่อไม่รู้ว่าโดนแบนหรือไม่โดนแบน”

“ที่เพื่อนบอกต่อๆ มาอย่างไม่เป็นทางการคือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง กลัวจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เหมือนเราไม่ได้ทำเป็นงานวิชาการจริงๆ ตัวเองก็รู้สึกว่าถ้าผู้บริหารมีความรู้สึกอย่างนั้นก็ควรประกาศออกมาเลยว่าอย่าทำ เข้าใจว่าทำไมเขาไม่อยากประกาศ เพราะถ้าประกาศออกมาเลยก็จะเหมือนว่าไม่เชื่อมั่นในบุคลากรทางวิชาการของตัวเองว่าจะมีความเป็นวิชาการมากพอก็ดูไม่ดี ก็ไม่รู้เหมือนกัน” วาสนากล่าวเพิ่มเติมกรณีที่ถูกขอไม่ให้จัดกิจกรรม

อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การขอจัดงานแล้วไม่ได้จัดเป็นเรื่องปรกติในกรณีที่มีข้อท้วงติงให้แก้ไข เพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ แต่ตนไม่พอใจกับความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่ธนวัฒน์ที่เป็นนิสิต ถูกห้ามจัดกิจกรรมอย่างไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมากกว่า

“ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่มากที่ขอจัดงานแล้วไม่ได้จัด เพราะมันก็เคยเกิดมาแล้วและมันก็คงจะเกิดอีก แต่ที่รู้สึกแย่มากๆ เพราะไม่พอใจแถลงการณ์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่บอกว่านิสิตโกหก เขาอาจจะโกหกจริงๆ แต่เราก็คิดว่ามันเป็นไปได้ไหมว่าเขาโดนเหมือนเรา และเขา (ธนวัฒน์) ก็ประกาศออกมาว่าเขาโดนอย่างนี้ มหาวิทยาลัยก็ออกมาประกาศว่าไม่เคยห้าม สรุปธนวัฒน์โกหกหรือเปล่า ถ้าธนวัฒน์โกหกจริงก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าธนวัฒน์ไม่ได้โกหก แบบนี้มันคือผู้ใหญ่รังแกเด็กแบบขี้โกงซึ่งเรารู้สึกไม่ดี”

“ถ้าจะแบนก็กรุณารับผิดชอบกับการตัดสินใจที่จะแบนหน่อย ถ้าจะไม่แบนก็ให้เขาจัดไป (กรณีธนวัฒน์) ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ สั่งไม่ให้จัด แล้วพอเขาบอกว่าจุฬาฯ บอกว่าไม่ให้จัด แล้วค่อยออกมาปฏิเสธ มันไม่เหมาะสม” วาสนากล่าวทิ้งท้าย

ล่าสุดวานนี้ (28 มิ.ย.61) เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล www.thaigov.go.th เผยแพร่ (ถอดเทป) บทสัมภาษณ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ นิตยสารไทม์ ซึ่งสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใน ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นการถามตอบระหว่างผู้สัมภาษณ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่ได้ระบุส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งการบริหารงาน การละเมิดสิทธิ การตรวจสอบและปิดกั้นการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเรียกว่า "สฤษดิ์น้อย (Little Sarit)" ตามชื่อของ จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ผู้ยึดอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี 2500 และได้ช่วยยกสถาบันกษัตริย์ให้มีบทบาทสูงสุดในสังคมไทยขณะนั้นด้วย

โดยบทสัมภาษณ์พิเศษ พล.อ. ประยุทธ์ และบทวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองไทย ในเว็บไซต์ไทม์ยังสามารถเข้าถึงได้

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยนโยบายรัฐบาลพม่าเลือกปฏิบัติ กีดกันชาวพม่ามุสลิมพิสูจน์สัญชาติ-ทำบัตรแรงงาน

$
0
0

เครือข่ายสิทธิมนุษยชนพม่า (BHRN) เปิดตัวรายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม"ชี้แรงงานข้ามชาติชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมถูกเลือกปฏิบัติจากนโยบายสัญชาติของทางการพม่า โดยมีชาวพม่ามุสลิมจำนวนมากไม่สามารถยื่นขอหนังสือสำคัญประจำตัว หรือ CI ได้ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถขอจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติจากทางการไทยที่กำลังจะถึงเส้นตาย 30 มิถุนายนนี้ได้ โดย BHRN เรียกร้องรัฐบาลพม่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย นับรวมชนกลุ่มน้อยในประเทศ ยุติบทบาทกองทัพ และขอทางการไทยจัดทำใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว

เครือข่ายสิทธิมนุษยชนพม่า (Burma Human Rights Network - BHRN) แถลงข่าวและเผยแพร่รายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม" (Existence Denied) เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) โดยเปิดเผยว่ายังคงมีแรงงานข้ามชาติชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมที่ไม่สามารถยื่นขอหนังสือสำคัญประจำตัว (Certificate of Identity - CI) จากศูนย์พิสูจน์สัญชาติของทางการพม่า ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบในขั้นตอนจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ การยื่นขอใบอนุญาตทำงานของทางการไทยที่กำลังจะถึงเส้นตาย 30 มิถุนายนนี้ (อ่านรายงานฉบับเต็ม)

หน้าแรกของรายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม"ของเครือข่าย BHRN

จ่อวิน ผู้อำนวยการเครือข่าย BHRN แถลงว่า ที่เรียกรายงานฉบับนี้ว่า "พลเมืองที่ถูกลืม" (Existence Denied) ก็เพราะชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมที่แม้จะเกิด เติบโต และมีบรรพบุรุษอยู่ในพม่า แต่พวกเขากลับถูกโดดเดี่ยวและถูกปฏิเสธการมีตัวตนจากนโยบายสัญชาติ และการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลพม่า

โดยในรายงาน "พลเมืองที่ถูกลืม"เครือข่าย BHRN ได้เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2561 สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 36 ครอบครัวแรงงานข้ามชาติชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมใน 4 พื้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยเน้นสัมภาษณ์สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ซึ่งในระยะหลังพวกเขาเป็นผู้ที่เป็นปากเสียง และมีบทบาทในชุมชนในการทำเรื่องเอกสาร เรื่องสัญชาติ

สำหรับภูมิลำเนาของกลุ่มสำรวจครอบครัวชาวพม่ามุสลิม 34 ใน 36 ครอบครัวมาจากรัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และภาคย่างกุ้ง โดยมีเพียง 2 ครอบครัวที่ระบุว่ามาจากรัฐยะไข่ ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่ประสบวิกฤตมนุษยธรรมกรณีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญามุสลิม

โดยรายงานของ BHRN พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ 78% ไม่มีเอกสารแสดงความเป็นพลเมืองที่ออกให้โดยรัฐบาลพม่า ทั้งที่ทุกคนเกิดในพม่ามาหลายรุ่น มีเพียง 3% ที่ถือบัตรประชาชนพม่า และอีก 19% ถือบัตรพิสูจน์สัญชาติหรือ (tri-fold) ที่ออกให้พลเมืองผู้อาศัยและพลเมืองแปลงสัญชาติ

 

กฎหมายสัญชาติยุครัฐบาลทหารพม่า ต้นเหตุกีดกัน-เลือกปฏิบัติ

ทั้งนี้ตามกฎหมายสัญชาติของพม่าฉบับที่มีการบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) สมัยรัฐบาลทหารของนายพลเนวิน กำหนดสถานะประชากรเป็น 1. พลเมืองพม่า 2. พลเมืองผู้อาศัย และ 3. พลเมืองแปลงสัญชาติ โดยผู้ที่จะถือเป็นพลเมืองพม่าจะต้องมีพ่อแม่เป็นพลเมืองพม่า หรือมีชาติพันธุ์ 1 ใน 135 ชาติพันธุ์ที่พม่ารับรอง คุณสมบัติอื่นคือสามารถพิสูจน์ได้ว่าบรรพบุรุษอยู่ในพม่าก่อนปี พ.ศ. 2367 (ค.ศ.1824) หรือก่อนสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 1 ที่ทำให้ราชวงศ์คองบองสูญเสียดินแดนมณีปุระ อาระกัน และตะนาวศรี

ขณะที่ประชากรกลุ่ม 2. พลเมืองผู้อาศัย และ 3. พลเมืองแปลงสัญชาติ ภายใต้กฎหมายสัญชาติ 1982 พวกเขาจะถูกจำกัดสิทธิหลายประการ โดยไม่สามารถรับราชการ ไม่สามารถเรียนในวิทยาลัยแพทย์และวิศวกรรมศาสตร์ได้ โดยส่วนมากประชากรพม่าที่บรรพบุรุษมาจากอินเดียและจีนจะถูกจัดให้อยู่ในประชากรกลุ่มนี้

จ่อวิน ผู้อำนวยการเครือข่าย BHRN ยังกล่าวด้วยว่า "สิ่งนี้เกิดขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วไปในพม่า และเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลพม่า ก่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศเพื่อนบ้าน และจะทำให้เกิดคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และผู้อพยพเกิดขึ้นจำนวนมากในประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับพม่า"

ในรายงานสรุปของเครือข่าย BHRN อ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไทยท่านหนึ่งที่อธิบายถึงวิกฤตการณ์นี้ว่า "ในอนาคต เราจะยังคงต้องเจอคนไร้สัญชาติกลุ่มนี้ต่อไป อีกหลายชั่วอายุคน"

เครือข่าย BHRN ยังค้นพบหลักฐานความไร้สัญชาติของแรงงานข้ามชาติชาวพม่ามุสลิมกลุ่มนี้ว่าเป็นเหมือนมรดกที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตอนนี้หลายคนที่ยังไม่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายนั้น อย่างน้อยเป็นคนรุ่นที่สองของครอบครัวที่กำลังประสบปัญหาความไร้สัญชาติอยู่ แรงงานข้ามชาติชาวพม่ามุสลิมส่วนใหญ่ที่ทาง BHRN สัมภาษณ์กล่าวว่า ลูกของพวกเขาไม่มีบัตรประชาชนของทั้งพม่าและไทย พวกเขาอาจจะเป็นรุ่นที่สามของครอบครัวที่ถูกบังคับให้อยู่อย่างไร้สัญชาติ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เว้นแต่จะมีการดำเนินมาตรการต่างๆ โดยรัฐบาลของประเทศใดประเทศหนึ่งเพื่อรับรองพวกเขา

เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศไทยกำหนดให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในประเทศจำนวน 1 ถึง 2 ล้านคน พิสูจน์สัญชาติโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประเทศพม่า โดยพวกเขาจะได้รับ "หนังสือสำคัญประจำตัว" (CI) และใบอนุญาตทำงานที่ออกให้โดยกรมจัดหางานของไทยภายหลัง

อย่างไรก็ตามชาวพม่าเชื้อสายมุสลิมแจ้งกับเครือข่าย BHRN ว่า เมื่อพวกเขายื่นขอหนังสือสำคัญประจำตัว (CI) ต่อศูนย์พิสูจน์สัญชาติของทางการพม่า พวกเขาจำเป็นต้องพิสูจน์รากเหง้าในพม่า โดยต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งมากกว่าเอกสารที่เจ้าหน้าที่เรียกจากพลเมืองพม่ากลุ่มอื่น นอกจากนั้นหลายคนแจ้งกับเครือข่าย BHRN ว่าเมื่อพวกเขาพยายามพิสูจน์สัญชาติของพวกเขาตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานข้ามชาติฉบับปัจจุบัน เจ้าหน้าที่บอกพวกเขาว่า "เราไม่ให้หนังสือสำคัญประจำตัว (CI) แก่ชาวมุสลิม"โดยกรณีศึกษาของ BHRN พบว่าชาวพม่ามุสลิมถูกปฏิเสธการขอหนังสือสำคัญประจำตัว (CI) สูงกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับจำนวนชาวพม่ามุสลิมที่ได้รับการรับรองหนังสือ CI

ทั้งนี้หลังพ้นเส้นตาย 30 มิถุนายน 2561 ที่เป็นวันสุดท้ายของการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ ผู้ที่ไม่สามารถดำเนินตามกระบวนการนี้ได้ตามเวลาที่กำหนด จะถูกพิจารณาว่าเข้ามาทำงานในประเทศไทยผิดกฎหมาย หากจับได้จะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 50,000 บาท ซึ่งเป็นค่าปรับที่สูง เมื่อเทียบกับค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนของแรงงานที่ไม่มีเอกสารประจำตัวที่ได้เพียงเดือนละ 8,000 บาท และนอกจากค่าปรับแล้ว แรงงานข้ามชาติที่ขาดเอกสารที่ราชการไทยออกให้จะถูกเนรเทศและห้ามไม่ให้ยื่นขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี

BHRN เปิดเผยด้วยว่า แม้จะเกิดภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้นจากการปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่ แต่ชาวพม่ามุสลิมเกือบทั้งหมดที่ให้ข้อมูลกับ BHRN ได้สัมภาษณ์กล่าวว่าพวกเขาอยากอยู่ในประเทศไทยมากกว่าที่จะเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนาของพวกเขา เพราะกองทัพยังคงมีบทบาทในประเทศ ในอดีตกองทัพพม่าได้กีดกันสิทธิพื้นฐานและความต้องการของกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนามาโดยตลอด และสิ่งเหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไปภายใต้รัฐบาลกลางที่นำโดยอองซานซูจี

ในรายงานสรุปของ BHRN ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพม่านำข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิการเป็นพลเมืองตามบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมาใช้เพื่อกำจัดทหารออกจากทุกบทบาททางการเมืองภายในประเทศ คนชายขอบในพม่าส่วนใหญ่จะต้องต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีทั้งในและนอกประเทศพม่าต่อไป

ข้อเสนอจากรายงาน

"พลเมืองที่ถูกลืม" (Existence Denied)

โดยเครือข่ายสิทธิมนุษยชนพม่า (BHRN)
 
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลพม่า
เพื่อแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมที่เกิดจากระบบโครงสร้าง
 
1. ต้องเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นกลางและมีประชาธิปไตย เพื่อที่จะใช้กำจัดทหารออกจากทุกบทบาททางการเมืองในประเทศพม่าอย่างรวดเร็ว ต้องทำให้แน่ใจว่ามีการรวมไว้ซึ่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาของประเทศพม่า และระบุกลไกอย่างชัดเจนเพื่อปกป้องและส่งเสริมสิทธิของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้
 
2. การระบุเชื้อชาติต้องไม่รวมอยู่ในสิทธิการเป็นพลเมือง ดังนั้น BHRN แนะนำให้ไม่ต้องระบุเชื้อชาติและศาสนาในบัตรประชาชน เนื่องจากปัจจุบันมีการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเลือกปฏิบัติ
 
3. สร้างคณะกรรมการจากผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับรากหญ้าที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาเพื่อร่างกฎหมายสัญชาติให้สอดคล้องกับหลักบรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชน
 
ในระหว่างนี้ 4. ให้ยกเลิกกฎหมายเชื้อชาติและศาสนา
 
5. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องหยุดการบังคับให้ชาวมุสลิมขอสัญชาติเป็นชาวต่างชาติ ด้วยเหตุว่าพวกเขามีลักษณะทางชาติพันธุ์ซึ่งมีการพยายามจัดหมวดหมู่ให้พวกเขาเป็นกลุ่ม "เลือดผสม"ซึ่งเป็นการจำแนกประเภทซึ่งเชื่อมโยงกับการเลือกปฏิบัติไปตลอดชีวิตของพวกเขา
 
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย
1. (ก) ระงับกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ (CI) ไว้ชั่วคราว และจัดทำใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วอย่างเร่งด่วน
 
(ข) ร่วมมือกับกลุ่มสิทธิแรงงานข้ามชาติ เพื่อกำหนดระบบการจัดทำเอกสารใหม่ที่จะช่วยให้แรงงานข้ามชาติทุกคนสามารถอาศัยและทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรีในประเทศไทย
 
(ค) ร่างนโยบายอย่างมีมนุษยธรรมเพื่อแก้ปัญหาสถานะทางกฎหมายของผู้ที่อยู่ในความดูแลของแรงงานข้ามชาติทั้งผู้สูงอายุ เด็ก และคนพิการ และงดเว้นการควบคุมตัวและการเนรเทศผู้ดูแลพวกเขาเหล่านั้นออกจากประเทศ
 
2. อนุญาตและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงให้กับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนชุมชนเคลื่อนย้ายที่ไม่มีเอกสารประจำตัว เช่น ชาวพม่ามุสลิม ให้มากขึ้น
 
ข้อเสนอแนะต่อรัฐนานาชาติและผู้มีส่วนร่วม
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีการสนับสนุนทางการเงินหรือความชอบธรรมใดๆ ให้กับสถาบันและหน่วยงานของรัฐที่มีนโยบายผลักดันให้ชาวมุสลิมและชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและศาสนาอื่นๆ ที่อยู่ในความเสี่ยงออกจากประเทศพม่าเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
 
2. สร้างแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลพม่าในการร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นกลางและมีประชาธิปไตย ที่จะกำจัดทหารออกจากทุกบทบาททางการเมืองในประเทศ และให้ครอบคลุมถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนาของพม่า
 
3. เพิ่มงบประมาณให้กับองค์กรชุมชนในประเทศไทยที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจากพม่า ในการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของพวกเขาโดยเฉพาะช่วงวิกฤตและช่วงที่ถูกปราบปราม

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวบ้านแม่แตงนับพันร้องเรียนถูกจำหน่ายรายการทะเบียนราษฎรกว่า 10 ปี

$
0
0

ชาวบ้าน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่นับพันบุกอำเภอแม่แตงเร่งให้ทางอำเภอและกรมการปกครองแก้ไขปัญหาที่ถูกจำหน่ายรายการออกจากระบบทะเบียนราษฎรมากว่า 10 ปี โดยไม่มีการแก้ไขและจัดทำทะเบียนใหม่ให้

29 มิ.ย. 2561 สันติพงษ์ มูลฟอง ประธานมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคลกล่าวว่า มูลนิธิฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านแม่แตงมากว่า 10 ปี แต่การแก้ไขปัญหาก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า จนเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กรมการปกครอง, จังหวัดเชียงใหม่, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล ในการแก้ไขปัญหานี้ แต่ผ่านมาครบ 1 ปีแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน  ปัจจุบันมูลนิธิฯ ได้ลงพื้นที่พบชาวบ้านใน 8 หมู่บ้านยังประสบปัญหาการไม่มีเอกสารแสดงตนเนื่องจากการถูกจำหน่ายรายการทางทะเบียนราษฎรถึง 667 คน

ศราวุธ ไทยเจริญ นายอำเภอแม่แตง ชี้แจงว่า ทางอำเภอแม่แตงไม่ได้นิ่งนอนใจ  แต่เรื่องนี้มีมาก่อนที่ตนจะมารับตำแหน่งนายอำเภอแม่แตง  ปัจจุบันได้ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตลอด  แต่ติดขัดที่บางกลุ่มไม่มีความชัดเจน  จึงอยากให้ทางกรมการปกครองกำหนดแนวทางที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการทำงานของทางอำเภอ

ด้านบุญสม ขุนทอง หัวหน้ากลุ่มงานการทะเบียนบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองกล่าวว่า สำนักบริหารการทะเบียนกำลังทำหนังสือเสนออธิบดีกรมการปกครอง ในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้  โดยกลุ่มที่มีหลักฐานชัดเจน แต่ต่อมากำหนดเลข กำหนดกลุ่ม ผิดประเภท ผิดกลุ่ม จะดำเนินการคืนเลขและสถานะเดิมให้  และจะทำหนังสือแจ้งให้อำเภอแม่อายทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ส่วนพัน ลุงดอย ชาวบ้านบ้านมืดกา ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ ผู้ได้รับผลกระทบกล่าวว่า ตนรอเอกสารทางทะเบียนราษฎรมาเนิ่นนานแล้ว  10 ปีที่ผ่านมาไม่สามารถทำอะไรได้เลย อยากให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาให้โดยเร็วที่สุด  พวกตนยินดีให้ข้อมูลทุกอย่างตามที่เป็นจริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการประกาศจะกวดขันจับกุมตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ยิ่งทำให้เป็นกังวลมาก  จึงขอให้ทางกรมการปกครองลงมาแก้ไขปัญหานี้อย่างรวดเร็วและจริงจัง

สุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ

ในส่วนสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมากว่า 10 ปีแล้ว พบว่ามีการลงรายการของชาวบ้านผิดกลุ่มผิดประเภท โดยเจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ  ดังนั้นจึงต้องรีบคืนรายการตามที่เป็นจริงให้กับชาวบ้านอย่างเร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยให้ล่าช้ามานับ 10 ปี

จึงขอเสนอให้ 1. ทางอำเภอแม่แตงออกเอกสารรับรองตัวบุคคลชาวบ้านว่า อยู่ระหว่างการพิสูจน์และดำเนินการด้านสถานะบุคคล โดยชาวบ้านต้องได้เอกสารก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการผ่อนผันและจะมีการกวดขันจับกุมคนต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารทะเบียนราษฎรและไม่มีใบอนุญาตทำงาน   2. กลุ่มชาวบ้านที่ตรวจสอบแล้วว่าได้สถานะมาอย่างถูกต้อง จำนวน 70 คน ให้เร่งดำเนินการคืนเลขและสถานะเดิมภายใน 2 สัปดาห์  3. กลุ่มชาวบ้านที่ต้องพิสูจน์ตัวบุคคลแต่อยู่มาเนิ่นนานแล้ว ให้จัดทำบัตรและทะเบียนบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เป็นการชั่วคราวไปก่อนในระหว่างพิสูจน์ตัวบุคคล  โดยกลุ่มที่มีข้อมูลว่าอยู่มาก่อนวันที่ 30 กันยายน 2542 ให้จัดทำบัตรและทะเบียนตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล เป็นกลุ่ม 0/89  และกลุ่มที่อยู่หลังจากนั้น ให้จัดทำบัตรและทะเบียนตามพรบ.การทะเบียนราษฎร มาตรา 38 วรรคสอง เป็นกลุ่ม 0/00  ซึ่งควรเร่งรัดดำเนินการให้ชาวบ้านทุกคนมีเอกสารแสดงตนแบบชั่วคราวนี้ภายใน 3 เดือนคือ 30 กันยายน 2561 นี้

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทม์ไลน์ปมทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่ง ก่อนอดีตปลัด พม.กินยาฆ่าตัวตาย

$
0
0

เปิดลำดับเหตุการณ์กรณีทุจริตเงินสงเคราะห์คนยากจนไร้ที่พึ่ง ก่อนการกินยาฆ่าตัวตาย ของ อดีตปลัด พม.

แฟ้มภาพ

29 มิ.ย.2561 มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อช่วงสายของวันนี้ (29 มิ.ย.61) พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อายุ 60 ปี เสียชีวิตแล้ว จากการกินยาฆ่าตัวตาย โดยภรรยา ได้กินยาฆ่าตัวตายเช่นกัน มีอาการบาดเจ็บสาหัส นอนอยู่บนเตียงคู่กับร่างสามี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปทุมธานีเป็นการด่วน บนโต๊ะ มีแก้วไวน์ น้ำดื่มวางไว้ข้างๆ 

สำหรับ พุฒิพัฒน์ เขาเป็นอดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง) ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ ให้ดำเนินคดีอาญาความผิด หลังพบว่า พุฒิพัฒน์ และพรรคพวก มีการโยกย้ายเงินที่ทำการทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่ง ไปแปลงเป็นทรัพย์สินอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 88 ล้านบาท และให้ออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้กรณีทุจริตเงินสงเคราะห์คนยากจนไร้ที่พึ่ง มีข้าราชการระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง รวม 12 ราย

โดยกรณีการเปิดเผยการทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่งมีลำดับเวลาดังนี้

7 ส.ค.– ปลาย ก.ย. 2560ปณิดา ยศปัญญา หรือ แบม นิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่เข้าฝึกงานในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น  ในระหว่างเข้าฝึกงานผู้อำนวยการศูนย์ คือ พวงพะยอม จิตรคง และเจ้าหน้าที่อีก 3 คน ได้ให้ ปนิดา ช่วยทำเอกสารเบิกเงินสงเคราะห์ ผู้มีรายได้น้อยและเอกสารของผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยให้กรอกข้อมูลในสำเนาบัตรประชาชน และเอกสารการเบิกเงินจำนวน 2,000 ราย แต่ตนเห็นว่าการกระทำทั้งหมดนั้นเป็นการปลอมแปลงเอกสาร จึงตัดสินใจร้องเรียนเรื่องการทุจริตเงินสงเคราะห์ หรือ เงินคนจนกับสื่อมวลชน

21 ก.ย.2560ปนิดา ยื่นเรื่องร้องเรียนโดยตรงต่อผู้ตรวจราชการของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ที่ได้ลงพื้นที่ตรวจงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง โดยผู้ตรวจราชการ แจ้งว่า ไม่สามารถรับเรื่องได้ แต่แนะนำให้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ปนิดา บอกเรื่องการปลอมแปลงเอกสารให้อาจารย์ที่ปรึกษาการฝึกงาน แต่อาจารย์ได้เรียกไปไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำเอกสารปลอมร่วมกับผู้อำนวยการ แต่คู่กรณีไม่ยอมและบังคับให้ก้ม “กราบขอขมา” ถึงจะอภัยให้และให้ฝึกงานจบ และในวันที่ 11 ต.ค.2560 ปนิดาตัดสินใจทำหนังสือร้องเรียนส่งไปยังป.ป.ช. และเลขาธิการ คสช.

19 ต.ค.2560ป.ป.ช.เรียกสอบปากคำ ปนิดา ที่ จ.ขอนแก่น ในช่วงเดือน พ.ย. 2560 เลขาธิการ คสช. ประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐหรือ ป.ป.ท. และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2561 จึงมีคำสั่งย้าย ผอ.ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3 คน เพื่อให้เกิดความชัดเจน และเหมาะสมต่อกระบวนการสอบสวน

11 ก.พ. 2561 ป.ป.ท. เขต 4 ตรวจสอบ พบ การนำรายชื่อชาวบ้าน เอกสารบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ไปเบิกเงินโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน หรือเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มรายได้ไม่เพียงพอต่อการครองชีพ รายละ 2,000 บาท เงินสงเคราะห์ผู้ติดเชื้อเอดส์รายละ 2,000 บาท และทุนประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อย รายละ 3,000 บาท แต่จ่ายเงินจริงให้เพียงรายละ 1,000 บาท เท่านั้น หรือบางรายไม่ได้รับเงินเลย

13 ก.พ.2561 ป.ป.ท. ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งจะทำการไต่สวนผู้ร้องเรียนเรื่องทุจริต 5 คน ประกอบด้วย นิสิต 2 คน และอีก 3 คน เป็นเจ้าหน้าที่ในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น ส่วนกลุ่มผู้ถูกกล่าวมีจำนวน 6 คน เป็นข้าราชการ 2 คน ส่วนอีก 4 คนไม่ใช่ข้าราชการ แบ่งเป็นพนักงานราชการ 3 คน และพลเรือน 1 คน โดยทางบอร์ด ป.ป.ท. ได้ตั้งกรอบไว้ 6 เดือนในการสืบหาข้อเท็จจริง ในการสรุปสำนวนส่งอัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาล ต่อมาคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงเข้าพบ สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พร้อมขอให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวก ต่อมาในวันที่ 18 ก.พ. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริจในหน่วยงานภาคัฐ หรือ ป.ป.ท. เขต 4 จ.ขอนแก่น ส่งทีมพนักงานสอบสวนลงพื้นที่สอบปากคำบุคคลตามรายชื่อเบิก-จ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้เพื่อสรุปสำนวนคดีทุจริต จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการสรุปสำนวนและเรียก ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น และพวกรวม 6 คนมารับทราบข้อกล่าวหากับทาง ป.ป.ท.

23 ก.พ.2561พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัด พม. และณรงค์ คงคำ รองปลัด พม. มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมและให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งเงินเพิ่มพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ให้อยู่ในความควบคุมและกำกับดูแลของรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นผลสืบเนื่องจากการตรวจพบความผิดปกติการเบิกจ่ายเงินงบอุดหนุนของกระทรวง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และในวันที่ 27 ก.พ. พุฒิพัฒน์ ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อรายงานตัว

11 มี.ค. 2561พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบทุจริตการเบิกจ่ายงบประมาณอุดหนุนประเภทเงินสงเคราะห์ว่า มีการกำหนดการตรวจสอบเบื้องต้น 40 จังหวัด พบพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตแล้ว 24 จังหวัด จากนั้นจะรวบรวมว่าจังหวัดไหนที่ตรวจสอบเบื้องต้นเสร็จก่อน ก็สามารถนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ท. เพื่อขออนุมัติการตั้งคณะอนุกรรมไต่สวนข้อเท็จจริง ต่อมาในวันที่ 12 มี.ค. วันนพ เปิดเผยผลการตรวจสอบว่าพบความผิดปกติ จำนวน 44 จังหวัด เป็นงบประมาณทั้งสิ้น 97,842,000 บาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 80 ของงบประมาณศูนย์ฯ

27 มี.ค. 2561พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กรรมการสำนักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เผย หลังมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี 2560 ประเภทเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง เงินงบประมาณทั้งสิ้น 123,159,000 บาท จากการตรวจสอบทั้งหมด 53 จังหวัด และอยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 24 จังหวัด รวมเป็น 77 จังหวัดทั่วประเทศ จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าจังหวัดไหนจะไม่ทุจริต

3 เม.ย. 2561 จากการตรวจสอบบุคคลที่อยู่นอกศูนย์ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต พบผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการระดับกรมในสังกัด พม. จำนวน 3 คน เป็นข้าราชการที่เกษียณอายุ 2 คนและยังอยู่ในตำแหน่ง 1 คน ซึ่งพบหลักฐานการกระทำผิดเกี่ยวกับการอนุมัติงบประมาณและมีบางคนมีเส้นทางการเงินไหลกลับเข้ามาเชื่อมโยงกับ ผอ.ศูนย์ ทั้ง 37 แห่ง ซึ่งได้ส่งให้ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ต่อมาในวันที่ 6 เม.ย. 61 พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวภายหลังจากที่ได้เสนอคณะกรรมการ หรือ บอร์ด ป.ป.ท.พิจารณาสำนวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทุจริตเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จำนวน 25 จังหวัดเพื่ออนุมัติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีอาญา ซึ่งหลังการประชุมบอร์ด ป.ป.ท.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพิ่มอีก 16 จังหวัด รวมมีผู้ถูกกล่าวหา 60 คน แบ่งเป็น ผอ.ศูนย์ 18 คน และเจ้าหน้าที่และผู้สนับสนุน 42 คน

19 เม.ย.2561พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวถึงกรณีสังคมออนไลน์เผยแพร่เอกสารราชการของ พม. แจ้งผลสอบเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการศูนย์คนไร้ที่พึ่งแจ้งผลสอบเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการศูนย์คนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น โดย เลขาธิการ ป.ป.ท ยืนยันว่า ป.ป.ท.จะไม่ไปก้าวก่ายการสอบสวนภายในของ พม. แต่ถ้าผลการตรวจสอบของ ป.ป.ท. ยืนยันว่าผิดร้ายแรงจริงก็จะต้องลงโทษตามผลสรุปของ ป.ป.ท.

2 พ.ค. 2561นภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเปิดเผยความคืบหน้าการสอบวินัยร้ายแรงการทุจริตการจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยว่ามีการพิจารณาโทษไล่ออกจากราชการ กับผู้อำนวยการศูนย์ฯ และหัวหน้าฝ่ายสวัสดิการสังคม สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการรวม 2 คน และในวันเดียวกันที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ฐณิฎฐา จันทนฤกษ์ ผอ.ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.สมุทรปราการ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้ลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะนี้กำลังถูกตรวจสอบกรณีทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง ฐณิฎฐา กล่าวว่า หลักฐานการกระทำความผิดอดีตปลัด พม.ที่มีไม่ใช่เชิงการทุจริตของข้าราชการทั่วไปแต่ทำกันเป็นกระบวนการ

5 พ.ค. 2561คณะอนุกรรมการสามัญมีมติแจ้งข้อกล่าวหา พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวง และ ณรงค์ คงคำ รองปลัด พร้อมข้าราชการระดับสูงอีก 9 คน ฐานทำผิดวินัยร้ายแรง เนื่องจากมีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลังการทุจริตเงินสงเคราะห์คนยากจนไร้ที่พึ่ง หลังจากนี้ 15 วัน ให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง หากฟังไม่ขึ้นจะมีโทษตามระเบียบคือ ไล่ออก หรือ ปลดออกจากตำแหน่งข้าราชการ และ ป.ป.ท.ได้ตรวจสอบการทุจริตศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ พบมีการกระทำความผิด 67 จังหวัด มีเพียง 9 จังหวัด ที่ยังไม่พบหลักฐานการทุจริต ต่อมาในวันที่ 22 พ.ค. 2561 มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ตำแหน่งปลัดกระทรวง นายณรงค์ คงคำ ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง นายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง พ้นจากตำแหน่งในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จากกรณีมีเอี่ยวทุจริตเงินคนไร้ที่พึ่ง

13 มิ.ย.2561พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รองเลขาธิการ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. เผยว่า คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้อายัดทรัพย์สินของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด พม. ได้แก่ พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดพม. ณรงค์ คงคำ อดีตรองปลัด พม. และนายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ อดีตผู้ตรวจราชการ พม.กับพวก รวม 12 คน จำนวน 41 รายการ มูลค่าประมาณ 88 ล้านบาท หลังทุจริตยักยอกเงินช่วยเหลือคนยากไร้ โดยผู้ที่ถูกอายัดทรัพย์สามารถเข้าชี้แจงได้ที่ ปปง. ภายในระยะเวลา 90 วัน หลังถูกอายัด

19 มิ.ย. 2561วิทยา นีติธรรม เลขานุการ ปปง. เดินทางมา ปปป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีทุจริตยักยอกเงินช่วยเหลือคนยากไร้ วิทยา กล่าวว่า วันนี้มากล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีอาญา ฐานฟอกเงิน กับพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัด พม. และหญิงสาวคนสนิท อดีตข้าราชการ พม. โดยหลังเข้าสู่กระบวนการสอบสวน จะทำการขยายผลหาผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

จนกระทั่งสายวันที่ 29 มิ.ย. 2561 พุฒิพัฒน์ และภรรยา กินยาฆ่าตัวตายที่บ้านพักในหมู่บ้านชื่อดัง จ.ปทุมธานี 

เรียบเรียงจาก โพสต์ทูเดย์ 1, 2, 3, 4, 5ไทยพีบีเอส, ไทยรัฐออนไลน์ 1, 2, 3, 4  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ประชาไท และสปริงนิวส์

รายงานโดย ทัศมา ประทุมวัน ปัจจุบันเป็นนักศึกษาฝึกงานกับประชาไท ประจำปีการศึกษา 1/2561 จากคณะศิลปศาสตร์ สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีความสนใจด้าน ข่าว การเมือง การ์ตูน และซีรีส์เกาหลี

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หอภาพยนตร์เผยแพร่ฟิล์มเก่า "งานฉลองรัฐธรรมนูญ" 2476 และ 2497

$
0
0

ในช่วงครบรอบ 86 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ใน YouTube บัญชี Film Archive Thailand (หอภาพยนตร์) ของหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้เผยแพร่ไฟล์ภาพยนตร์เก่า 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานฉลองรัฐธรรมนูญที่จัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม ได้แก่ "งานฉลองรัฐธรรมนูญ 2476"และ "งานฉลองรัฐธรรมนูญ 2497"

โดยแฟ้มภาพยนตร์แรกคือ "งานฉลองรัฐธรรมนูญ 2476"เป็นภาพขาวดำ ไม่มีเสียง โดยระบุว่าผู้สร้างคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ความยาว 5.05 นาที

โดยมีคำบรรยายท้ายภาพยนตร์ว่า "ภาพของประชาชนที่ต่างหลั่งไหลกันมาชมงานขบวนแห่ขององค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญในปี 2476 เริ่มต้นที่ขบวนทหารม้า ตามมาด้วยรถหุ้มเกราะ รถขนส่งทหาร ขบวนรถม้า รถถังที่ลากรถปืนใหญ่ติดมา ขบวนแห่ซึ่งมีรูปปั้นม้าจำลอง ขบวนแห่ซึ่งมีช้างจำลองบนหลังช้างมีพานรัฐธรรมนูญตั้งอยู่ ขบวนรถตกแต่งที่ด้านข้างจะเขียนว่า “ความปลอดภัยของชาวทะเล” ขบวนแห่ที่ทำเป็นเรือรบ ขบวนแห่ที่จำลองระเบิดตอร์ปิโด พร้อมกับเขียนไว้ด้านข้างว่า “ตอร์ปิโด สมัย 30 ปีเศษ แต่เรายังใช้อยู่” ภาพเครื่องบินรบใบพัดจำลองที่ทำด้วยจักรยาน ขบวนรถถังจำลองลากเครื่องบินรบใบพัด ต่อด้วยขบวนแห่แฟนซีต่าง ๆ ขบวนแห่ของกระทรวงวัง ขบวนแห่ที่จำลองเป็นเรือสำเภาของหอการค้าไทย ขบวนแห่แฟนซีของหน่วยงานอื่น ๆ ตามมาด้วยขบวนแห่ของเนติบัณฑิตยสภาที่แต่งรถเป็นทรงพานรัฐธรรมนูญ ขบวนแห่ของศาลาเฉลิมกรุง ขบวนแห่ที่ทำเป็นรถไฟ ขบวนรถที่ขับพาหญิงไทยห่มสไบนั่งมาที่กระบะหลังรถ ขบวนแห่ของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ขบวนแห่ที่เป็นสัตว์ ทั้ง ม้า ช้าง เสือ ขบวนแห่ที่เป็นชาวนา รถสามล้อลากที่มีคำภาษาจีนคันหนึ่ง ส่วนอีกคันเป็นคำว่าโอวัลติน"

"จากนั้นเป็นภาพผู้คนที่อยู่กันขวักไขว่บนท้องถนน และภาพรถยนต์ขณะวิ่งฝ่าน้ำที่ท่วมอยู่บนถนน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง และภาพวิถีชีวิตของผู้คนที่ออกมาเดินเที่ยวทำมาหากินกันที่ถนนหน้าพระลาน จากนั้นเป็นภาพผู้คนที่มาเดินเที่ยวกันที่เรือรบไทยขนาดใหญ่ลำหนึ่ง และภาพบรรดาเรือรบที่แม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมกับเครื่องบินทุ่นลอยน้ำ จากนั้นเป็นภาพเครื่องบินบนท้องฟ้า ภาพตัดมาที่เรือเฉลิมฉลองต่าง ๆ ที่ตกแต่งประดับประดับซึ่งลอยลำอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา และภาพตัดมาที่บริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดารามตรงถนนหน้าพระลาน และภาพท้องสนามหลวงที่มีพลับพลาพิธีตั้งอยู่ และจบที่ภาพเรือต่าง ๆ ที่สัญจรไปมาในแม่น้ำเจ้าพระยา"

อีกแฟ้มภาพยนตร์คือ "งานฉลองรัฐธรรมนูญ 2497"เป็นภาพสี ไม่มีเสียง ความยาว 15.30 นาที จัดสร้างโดย กรมยุทธศึกษาทหารเรือ โดยงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2497 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

โดยเขียนคำบรรยายท้ายภาพยนตร์ว่า "งานฉลองวันรัฐธรรมนูญเมื่อปี พ.ศ. 2497 ณ สวนลุมพินี มีการออกร้านของหน่วยงานราชการต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน มีประชาชนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีการนำรถไฟจำลองมาวิ่งบริการผู้ที่มาเทียวงานซึ่งเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากโดยเฉพาะเด็กๆ"

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทรงเปิดงาน เมื่อเสด็จฯ ถึงประธานจัดงานถวายการต้อนรับแล้วเสด็จฯ ยังที่ประทับ ประธานจัดงานกล่าวถวายรายงานแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเปิดงานแล้วทรงกดปุ่มปล่อยลูกโป่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะเสด็จฯ กลับ กองทัพเรือได้เข้าร่วมในงานเฉลิมฉลองนี้ด้วย โดยตัวอาคารที่จัดแสดงของกองทัพเรือทำเป้นรูปประภาคาร อาภากร นอกจากนี้ก็มีหน่วยงานอื่นๆ เช่น กองทัพอากาศ กระทรวงเกษตร กองปราบปราม กรมตำรวจ และยังมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา มีอาคารของกระทรวงสหกรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"

"ที่บริเวณสระน้ำมีการแสดงเล่นสกี การขับเรือเร็ว มีประชาชนมาชมอยู่ริมสระน้ำโดยรอบเป็นจำนวนมาก เมื่อประธานจัดงานมาถึงบริเวณพิธี กรรมการจัดงานกล่าวรายงาน จากนั้นประธานจัดงานมอบรางวัลให้กับตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งตัวแทนจากกองทัพเรือด้วย ในตอนกลางคืนมีการประดับไฟอาคารต่างๆ ภายในงานสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ มีการแสดงต่างๆ เช่น การควงกระบองไฟ การเล่นยิมนาสติก การแสดงประกอบเพลง ในส่วนของกองทัพเรือมีการมอบของที่ระลึกเป้นสัญญลักษณ์ของกองทัพเรือให้กับบุคคลต่างๆ ด้วย"

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ'คนรุ่นใหม่ผู้ล้มยักษ์ในการเลือกตั้งผู้แทนฯ ท้องถิ่นรัฐนิวยอร์ก

$
0
0
สื่อนิวยอร์กไทม์รายงานเรื่องคนรุ่นใหม่รายล่าสุดที่ชนะการเลือกตั้งผู้แทนออกเสียงท้องถิ่นจากนิวยอร์กรอบแรกเธอเป็นนักกิจกรรม นักการศึกษา และผู้จัดการชุมชน ที่อายุเพียง 28 ปี และยังใช้หนี้การศึกษาไม่หมด แต่ก็สามารถฟาดฟันกับผู้แทนพรรคเดโมแครตรุ่นพ่อที่ครองเก้าอี้มานานจนสามารถเอาชนะได้ นอกจากนี้เธอยังมาจากองค์กรสังคมนิยมประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ซึ่งน้อยครั้งจะได้เห็นในเวทีการเมือง

 

ที่มาภาพ: Wikimedia Commons
 
28 มิ.ย. 2561 อเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ เป็นหญิงอายุ 28 ปี ที่ไม่เคยมีประวัติได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาก่อนและยังคงทำงานใช้หนี้การศึกษายังไม่หมด แต่เธอก็สามารถเอาชนะโจเซฟ โครว์ลีย์ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากว่า 19 ปี และเป็นผู้ได้รับความนิยมในย่านควีนส์มาตลอด 14 ปีได้ อย่างที่สื่อนิวยอร์กไทม์พาดหัวข่าวไว้ว่าเป็นการ "ล้มยักษ์"
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซ เป็นคนที่เกิดในย่านบรองซ์ เป็นนักกิจกรรมการจัดการในชุมชนรวมถึงเป็นสมาชิกของพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งอเมริกา (DSA) ที่ไม่ใช่สองพรรคใหญ่ในสหรัฐฯ ขณะที่โครว์ลีย์เป็นเบอร์ 4 ของผู้แทนพรรคเดโมแครตซึ่งกำลังมีโอกาสเป็นดาวรุ่งของพรรคถ้าหากได้รับชัยชนะ แต่เขาก็พ่ายให้กับโอแคซิโอ-คอร์เทซ เสียก่อน ซึ่งถ้าหากโอแคซิโอ-คอร์เทซ สามารถเอาชนะผู้แทนจากพรรครีพับลิกันอย่าง แอนโธนี ปาปาส ได้ เธอก็จะกลายเป็นหญิงคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถเข้าสู่สภาได้
 
นิวยอร์กไทม์ระบุว่าโอแคซิโอ-คอร์เทซ แสดงความรู้สึกแปลกใจเช่นกันที่เธอได้รับชัยชนะ เธอกล่าวว่าถึงเธอจะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากแต่ในฐานะที่เธอเป็นคนจัดการชุมชนเป็นคนที่อาศัยและมองเห็นการบริหารจัดการของคนในชุมชนเหล่านี้ เธอก็เข้าใจว่ามันเป็นไปได้
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซ มีแม่เป็นชาวเปอร์โตริโกและมีพ่อเกิดในย่านบรองซ์ของนิวยอร์ก เธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยบอสตันในสาขาเศรษฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เคยทำงานเป็นบริกรและบาร์เทนเดอร์หลังจากเรียนจบเพื่่อช่วยหารายได้ให้แม่ซึ่งทำงานเป็นคนทำความสะอาดบ้านและเป็นคนขับรถเมล์ พ่อของเธอซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ เสียชีวิตเมื่อ 3 ปีที่แล้วจากโรคมะเร็งทำให้ครอบครัวเธอต้องปิดกิจการ ทั้งแม่ของยายของเธอต่างก็ต้องย้ายไปอยู่ที่่ฟลอริดา
 
ตัวโอแคซิโอ-คอร์เทซเคยทำงานทางการเมืองมาตั้งอยู่อยู่ในมหาวิทยาลัยโดยการช่วยงานวุฒิสมาชิกเดโมแครตประจำแมสซาชูเซตต์ เอ็ดเวิร์ด เอ็ม เคนเนดี ในประเด็นเรื่องผู้อพยพ จากนั้นก็ทำงานในประเด็นรากหญ้าที่กลายมาเป็นตัวตนทางการเมืองในฐานะผู้แทนสำหรับเธอ หลังจากที่เธอกลับมายังบรองซ์เธอก็เริ่มส่งเสริมการศึกษาและการรู้หนังสือให้เด็ก มีการตั้งบริษัทหนังสือเด็กที่นำเสนอภาพด้านบวกในท้องถิ่นของเธอ เธอเชื่อว่าการศึกษามีความสำคัญมาตั้งแต่เธออายุยังน้อย แต่ในบรองซ์ยังขาดโรงเรียนดีๆ อยู่
 
นอกจากนี้โอแคซิโอ-คอร์เทซ ยังเคยทำงานช่วยจัดตั้งในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2559 ให้กับเบอร์นี แซนเดอร์ส ส.ว. จากเวอร์มอนต์ที่มีภาพลักษณ์เป็นฝ่ายซ้ายสำหรับการเมืองระดับใหญ่ของอเมริกัน อย่างไรก็ตามโฮแคซิโอ-คอร์เทซบอกว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนตัวเล็กๆ อย่างเธอจะลงมาเล่นการเมืองได้ เธอคิดว่ามีแต่คนทุนหนาและมีอิทธิพลทางสังคมสูงๆ เท่านั้นถึงจะชนะได้ นิวยอร์กไทม์ระบุว่านี้ยังทำให้เธอกลายเป็นความหวังให้กับคนที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้าในสหรัฐฯ ที่ไม่แค่ต้องการขับไล่รีพับลิกันแต่ยังไม่ชอบเดโมแครตสายกลางทั้งหลายด้วย
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซ เคยเป็นส่วนหนึ่งในการประท้วงต่อต้านท่อก๊าชดาโกตาแอคเซสไปป์ไลน์ ทำให้ได้รับการติดต่อเข้าร่วมองค์กรแบรนนิวคองเกรสซึ่งเป็นองค์กรสายก้าวหน้าที่เพิ่งเปิดใหม่ ประเด็นอื่นๆ ที่เธอเคยเข้าร่วมยังมีเรื่องการเรียกร้องสวัสดิการสุขภาพที่ทุกคนเข้าถึงได้ ให้วิทยาลัยรัฐไม่เก็บค่าธรรมเนียมการศึกษา และยกเลิกหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอมีภาพลักษณ์เป็นรองคู่แข่งเธอ โครว์ลีย์ ผู้ที่เธอกล่าวหาว่ารับเงินบรรษัทใหญ่ รวมถึงไม่เคยใช้ชีวิตในท้องถิ่นที่เขาเข้ามาทำงาน
 
ตัวโอแคซิโอ-คอร์เทซ เองรับเงินจากการบริจาคเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้หาเสียงแทนการขอบริจาคจากองค์กรบรรษัท ซึ่งร้อยละ 70 ของที่เธอได้รับมาจากการบริจาครายบุคคลที่ต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ นอกจากนี้พื้นที่สื่อที่มักจะนำเสนอเรื่องราวของเธอก็มักจะเป็นสื่อกระแสรองหรือสื่อใหม่อย่าง Mic ที่เน้นผู้อ่านเป็นคนรุ่นใหม่หรือ Refinery29 ซึ่งเน้นผู้อ่านผู้หญิง จนกระทั่งเธอชนะการเลือกตั้งถึงได้ออกมาสู่หน้าสื่อหลัก
 
โอแคซิโอ-คอร์เทซเคยวิพากษ์พรรคเดโมแครตไว้ในการหาเสียงเมื่อเดือน พ.ค. ว่า ตัวแทนพรรคเดโมแครตส่วนหนึ่งไม่ควรเป็นผู้แทนของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ เพราะพวกเขา "ไม่ได้ส่งลูกเข้าโรงเรียนเดียวกับพวกเรา ไม่ได้ดื่มน้ำดื่มแบบเดียวกับพวกเรา ไม่ได้สูดอากาศของเมืองพวกเรา"
 
"ฉันหวังว่าสิ่งนี้จะย้ำเตือนเราว่าพรรคเดโมแครตควรจะเป็นอย่างไร นั่นคือพวกเขาควรจะมีความรับผิดชอบต่อชนชั้นแรงงานเป็นอย่างแรก"โอแคซิโอ-คอร์เทซกล่าว
 
สังคมนิยมประชาธิปไตยในแบบของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจหลากหลายประเด็น
 
ในแง่ขององค์กรสังคมนิยมประชาธิปไตย DSA ที่โอแคซิโอ-คอร์เทซสังกัดอยู่นั้น สื่อ Vox เคยระบุข้อมูลไว้ว่า DSA เป็นองค์กรที่เชื่อว่ารัฐบาลควรทำให้บรรษัทเอกชนมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เช่น การให้อำนาจการตัดสินใจของคนทำงานมากขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ใช่องค์กรพรรคการเมืองแบบเก่าที่เน้นการอยู่ในระเบียบพรรคที่เข้มงวดแบบเดิมๆ DSA นิยามตัวเองว่าเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับประเด็นที่หลากหลาย (Multi-tendency) ทำให้พวกเขาสนใจอัตลักษณ์ อุดมการณ์ วาระ กลุ่มผลประโยชน์ และมุมมองที่หลากหลาย ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ สตรีนิยม กลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ ฯลฯ 
 
จากบทความใน Vox ระบุว่าสิ่งที่พวกเขาต่อสู้ไม่ใช่แค่ระบบชนชั้นในตลาดทุนนิยมเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้กับระบบลำดับขั้นทางสังคมที่อยู่ในประเด็นอื่นๆ ด้วย นั่นหมายความว่าสังคมนิยมสำหรับพวกเขาคือการทำให้เกิดประชาธิปไตยในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง ในโรงเรียน ในครอบครัว แจร์เร็ด แอ็บบ็อต กรรมาธิการขับเคลื่อนของ DSA เคยกล่าวว่า "สังคมนิยมคือการทำให้เกิดประชาธิปไตยในทุกพื้นที่ของชีวิต รวมถึงเศรษฐกิจด้วยแต่ก็ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะแค่เรื่องนี้อย่างเดียว"
 
 
เรียบเรียงจาก
Alexandria Ocasio-Cortez: A 28-Year-Old Democratic Giant Slayer, New York Times, 26-06-2018
 
Alexandria Ocasio-Cortez is a Democratic Socialists of America member. Here’s what that means, Vox, 27-06-2018
 
 
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพื่อไทย'แปลกใจ 'สุริยะ-สมศักดิ์'เคลื่อนไหวเกิน 5 คนได้ไม่โดนคดี

$
0
0
รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเย้ยรายชื่อ 'พลังประชารัฐ'แค่พวกปั่นราคา ยันไม่กระทบเพื่อไทย แปลกใจ 'สุริยะ-สมศักดิ์'เคลื่อนไหวเกิน 5 คนได้ไม่โดนคดี 'ประวิตร'อ้างไม่ใช่รวมตัวหาเสียงการเมือง ชี้เพื่อไทยก็ทำได้แต่ห้ามด่ารัฐบาล

 
30 มิ.ย. 2561 มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมานายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงรายชื่ออดีต ส.ส.ที่กลุ่มสามมิตรเปิดตัวว่าจะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐว่า เท่าที่เห็นรายชื่อส่วนใหญ่ก็มีต้นกำเนิดมาจากในทำเนียบฯ ซึ่งเป็นเครือข่ายของพวกตระกูล ส.ที่เคยพยายามทำพรรคเพื่อแผ่นดินขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทินและนายอนุชา นาคาศัย ก็ล้วนมาจากพรรคกิจสังคม ดังนั้นรายชื่อที่เปิดออกมาแทบจะไม่ได้เกี่ยวกันกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง หลายคนยุติบทบาททางการเมืองตั้งแต่ปี 2547 เรียกได้ว่าไม่มีสถานะเป็นนักการเมืองอะไร หลายคนก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ไม่มีสถานะเป็น ส.ส. ที่สำคัญตนยังไม่เห็นว่าจะมีรายชื่อไหนที่จะมีผลช่วยให้พรรคพลังประชารัฐแข็งแรงได้ เป็นเพียงความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามทำตัวเองให้ดูมีคุณค่า มีราคาค่างวด ส่วนคนที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยแล้วมีชื่อว่าจะไปร่วมงานพลังประชารัฐ เช่น นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือนายศรีเรศ โกฎคำลือ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ เป็นต้น ตนได้พูดคุยกับทั้งคู่แล้ว ต่างก็บ่นว่าเป็นการปล่อยข่าวฝ่ายเดียว ไม่รู้เรื่องเลย และต่างก็ยืนยันว่ายังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ดังนั้นรายชื่อเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พรรคเพื่อไทยรู้สึกกังวล และไม่ได้กระทบอะไรกับพรรค เป็นแค่กระบวนการตีน้ำให้ขุ่น หวังให้ปลาตกใจ จะได้ช้อนง่ายขึ้น
 
อดีต ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย พร้อมรับใช้พี่น้องประชาชน ไม่รับใช้เผด็จการ ไม่เอารัฐธรรมนูญที่ตีกรอบ ไม่สนับสนุนนายกฯ ที่มาด้วยวิธีพิเศษเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอยู่ ก็ยังยืนหยัดอยู่กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็จะได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินวางซื้อเหมือนกับพรรคอื่น เราใช้แค่อุดมการณ์ ส่วนใครที่ไปก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คัดเลือกเลือดใหม่ๆ เข้ามา ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นเมื่อปลดล็อกให้พรรคเคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้” นายภูมิธรรม กล่าว
 
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่ายินดีที่กลุ่มสามมิตรสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อ พร้อมทั้งระบุว่ากลุ่มนี้สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เพราะไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลนั้น ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นการรับลูกกัน กลุ่มสามมิตรแถลงข่าวชุมนุมเกิน 5 คนได้ แต่กลับไม่โดนคดีเหมือนพวกตน ถือเป็นการกระทำที่ฟ้องให้สาธารณชนได้เห็น ซึ่งก็จะช่วยให้ประชาชนมั่นใจว่าใครเป็นอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
 
'ประวิตร'อ้างไม่ใช่รวมตัวหาเสียงการเมือง ชี้เพื่อไทยก็ทำได้แต่ห้ามด่ารัฐบาล
 
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2561 MGR Onlineรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคเพื่อไทยออกมาตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มสามมิตร เดินสายดูดพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ ว่าเขาไม่ได้ไปหาเสียงอะไร ขณะนี้พรรคการเมืองยังไม่มีการเปิดตัว
 
เมื่อถามว่าการรวมตัวกันเกิน 5 คน เพื่อพูดคุยประเด็นการเมืองถือว่าผิดหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “เขาไม่ได้คุยกันเรื่องต่อต้านอะไร ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อปั่นป่วนทำให้เกิดความวุ่นวายในรัฐบาล การพูดคุยดังกล่าวเป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช่เรื่องการทำงานทางการเมือง”
 
เมื่อถามย้ำว่าการเชิญบุคคลพูดคุย แต่ไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง สามารถทำได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า หากทำกิจกรรมเพื่อปั่นป่วนไม่สามารถทำได้  เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยนัดพูดคุยโดยไม่มีการปั่นป่วน สามารถทำได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็อย่าด่ารัฐบาล หากทำอะไรไม่นำไปสู่ความขัดแย้งได้ทั้งนั้น ส่วนตอนนี้มีพรรคหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวสวนกลับว่า “ไม่มี พักผ่อน”
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลฎีกายกฟ้อง 'เทพไท'คดีหมิ่น 'ทักษิณ เป็น 'ผีปอบ'

$
0
0
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วมีคำพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ คดี 'เทพไท'หมิ่นประมาท 'ทักษิณ เป็น 'ผีปอบ'หลังสู้กันมา 12 ปี 3 ศาล

 
เว็บไซต์ข่าวสดรายงานเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2561 ว่าที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตโฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยฐานร่วมกันหมิ่นประมาท กรณีเมื่อวันที่ 17 – 19 พ.ค. 2549 ต่อเนื่องกัน ในกรณีที่จำเลยทั้งสองร่วมกันแถลงข่าวใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ทำนองว่า โจทก์บริหารประเทศแบบซีอีโอ และเปรียบเทียบโจทก์เหมือนเป็น ผีปอบ ที่เข้าร่างไม่ได้ และถ้อยคำอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ
 
โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือ เเล้วมีคำพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์
 
ด้านนายเทพไท ระบุว่า คดีนี้สู้กันมาเป็นเวลา 12 ปี ซึ่งทั้ง 3 ศาล ได้ให้ความเป็นธรรมในการยกฟ้อง โดยคดีนี้เกิดขึ้นยาวนาน ทำให้ข้อมูลความจำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์เลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็มีประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า นายทักษิณหนีคดีไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ทำไมถึงมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในชั้นศาลได้ ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นความเห็นทางการเมือง
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปปง.อายัด 134 ล้าน กลุ่มอดีตพระเถระทุจริตเงินทอนวัด

$
0
0
ปปง. อายัดเงินฝากธนาคาร 134 ล้านบาท กลุ่มอดีตพระเถระทุจริตเงินทอนวัด พร้อมอายัด 'อาคาร 100 ปี ธรรมกาย'หลังพบฟอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสร้างอาคาร 1,458 ล้านบาท

 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2561 ว่าสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ลงประกาศในเว็บไซต์ คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย. 82/2561 เรื่องอายัดทรัพย์สินของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุจริตอนุมัติและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาและเพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยมิชอบ หรือทุจริตเงินทอนวัด ตามที่สำนักพระพุทธศาสนายื่นคำร้อง
 
โดยการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มบุคคลทุจริตเงินงบประมาณของพ.ศ.และพวก ปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวและพวกมีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด โดยทรัพย์สินดังกล่าวเป็นประเภทเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอนย้าย ปกปิด ซ่อนเร้นได้โดยง่าย บอร์ด ปปง. จึงมีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว 10 รายการ มูลค่า 134,793505.17 บาท พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.-20 ส.ค. 2561
 
สำหรับรายงานที่ถูกอายัด 10 รายการ ประกอบด้วย บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อของพระพรหมสิทธิ หรือนายธงชัย สุขโข อดีตเจ้าอาวาสวัดสะเกศ จำนวน 7 บัญชี มูลค่า 132,857,543.91 บาท, บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อของพระพรหมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม จำนวน 1 บัญชี มูลค่า 162,151.76 บาท, บัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อพระพรหมดิลก หรือนายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา จำนวน 1 บัญชี มูลค่า 1,745,953.37 บาท และบัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือนายเทิด วงศ์ชอุ่ม อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสะเกศ จำนวน 1 บัญชี มูลค่า 27,876.08 บาท
 
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย. 87/2561 เรื่องอายัดทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ในคดีฟอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรมเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา บอร์ด ปปง. มีมติให้อายัดอาคารโครงการ 100 ปีคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดิน 91 แปลง ในชื่อมูลนิธิธรรมกาย และมูลนิธิธรรมประสิทธิ์ หลังตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีการยักยอกเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และโอนเข้าบัญชีของน.ส.ศศิธร โชคประสิทธิ์ และพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย โดยนายศุภชัยสั่งจ่ายเป็นเช็คจำนวน 27 ฉบับ เป็นจำนวนเงิน 1,458,560,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้นำไปใช้ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว อาคาร 100 ปีจึงเป็นทรัพย์เกี่ยวกับการทำผิด จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการจำหน่าย โอน ปกปิดหรือซ่อนเร้นเกี่ยวกับทรัพย์สินที่กระทำผิด ดีเอสไอจึงขอให้บอร์ด ปปง.มีมติอายัดอาคารดังกล่าว และที่ดิน 91 แปลง ตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน
 
ดังนั้น คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติอายัดทรัพย์ 1 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการมีมติคือ 12 มิ.ย. – 9 ก.ย. 2561 โดยให้รวมถึงทรัพย์สินหรือเงินที่ได้มาจากการจ่ายโอน และในกรณีผู้ถูกอายัดทรัพย์ตามคำสั่งหรือผู้มีส่วนได้เสียประสงค์ขอเพิกถอนทรัพย์สินดังกล่าว ให้ยื่นคำร้องต่อเลขาธิการ ปปง. พร้อมนำหลักฐานที่แสดงว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินมายื่นด้วย นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือทราบคำสั่งนี้
 
ปัจจุบันนายศุภชัย ถูกคุมขังในเรือนจำ หลังศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ วงเงิน 22 ล้านบาท ระยะเวลา 14 ปี ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือ 7 ปี นอกจากนี้ ยังมีคดีฟ้องร้องและคดีแพ่งที่ให้ชดเชยเงินคืนกับสมาชิกสหกรณ์กว่า 9 พันล้านบาท ส่วนพระอยู่ระหว่างการหลบหนีฟอกเงิน สบคบกันฟอกเงิน และรับของโจร โดยมหาเถรสมาคม (มส.) มีคำสั่งให้ถอนสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2560 ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยกับผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 200 คดี
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live