Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

พล.อ.ประยุทธ์เยือนเวียดนามหวังเชื่อมโยงแนวเศรษฐกิจ 4 ทิศ-ลงนามความร่วมมือ 3 ฉบับ

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ หารือนายกรัฐมนตรีเวียดนาม หวังขยายการค้า-ลงทุน เชื่อมโยงการเดินทางไทย-เวียดนามทั้งทางบก เรือ อากาศ เสนอเปิดการเดินรถโดยสารเชื่อมภาคอีสานสู่เวียดนามภาคกลาง เชื่อมโยงเส้นทางการบิน ลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฉบับ พร้อมทั้งสถาปนาบ้านพี่เมืองน้องฉะเชิงเทรา-เกิ่นเทอ

นายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2557 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ คือ 1. แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม 2. แผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนว่าวัฒนธรรมไทย – เวียดนาม 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับนครเกิ่นเทอ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2557 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

 

27 พ.ย. 2557 - เว็บไซต์รัฐบาลไทยรายงานว่า เมื่อเวลา 16.05 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. พบหารือกับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ณ สำนักนายกรัฐมนตรีเวียดนาม สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามมีความใกล้ชิดและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภายหลังการประกาศความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เมื่อเดือนมิถุนายน 2556 ทั้งนี้ในปี 2559 ไทยและเวียดนามจะครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ด้านการค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้ามูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี ค.ศ. 2020 ทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินหน้าหาช่องทางในการขยายการค้าระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์เพื่ออำนวยความสะดวกและผลักดันให้มีการส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างกันมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกัน ได้แก่ ข้าวและยางพารา ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ด้านการลงทุน นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลเวียดนามที่ดูแลนักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามมาโดยตลอด และขอเสนอให้หน่วยงานส่งเสริมการลงทุนสองฝ่ายพิจารณาจัดตั้งกลไกหรือคณะทำงานส่งเสริมและคุ้มครองด้านการลงทุนระหว่างกัน เพื่อใช้ความตกลงด้านการลงทุนที่มีอยู่ เช่น ความตกลงคุ้มครองการลงทุน และอนุสัญญายกเว้นการเก็บภาษีซ้อนให้ได้ประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมให้ธนาคารไทยมาเปิดสาขาในเวียดนามมากขึ้น

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังยินดีที่ทราบว่า รัฐบาลเวียดนามอนุมัติให้บริษัท ปตท. ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีในเขตเศรษฐกิจเญินโห่ย จ. บิ่งห์ดิ่งห์ รวมทั้ง บริษัท EGAT I ของไทยเข้ามาลงทุนโรงงานผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานทั้งในไทย เวียดนามและภูมิภาค

ด้านการเชื่อมโยง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่จะช่วยทำให้การรวมกลุ่มของอนุภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ โดยให้ความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากเส้นทาง R8 R9 และ R12 เชื่อมต่อไทย ลาวและเวียดนามโดยฝ่ายไทยขอเสนอให้เปิดบริการรถโดยสาร ในเส้นทางระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับภาคกลางของเวียดนาม ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระตุ้นการค้าและการลงทุนแล้ว ยังจะเพิ่มการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคโดยรวมด้วย นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนให้สายการบินต้นทุนต่ำเปิดเส้นทางการบินใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของสายการบินเองและช่วยสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนและนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ รวมทั้งให้มีการพัฒนาการเดินเรือตามแนวชายฝั่งทะเล เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของการท่องเที่ยวระหว่างกัน

สำหรับสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ในฐานะผู้ประสานงานอาเซียน - จีน ไทยมุ่งส่งเสริมให้การเจรจาจัดทำ COC มีความคืบหน้า และส่งเสริมให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันเพื่อความสงบในพื้นที่และในภูมิภาค

โดยโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีเชิญนายกรัฐมนตรีเวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการและเป็นประธานร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ที่ฝ่ายไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2558 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้คณะรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารือความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนในด้านต่าง ๆ

นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ตอบรับคำเชิญของนายกรัฐมนตรีที่จะเข้าร่วมการประชุม GMS ที่จัดขึ้นในไทย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ในต้นปีหน้า

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เวียดนามพร้อมที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก-ตะวันตก และเหนือ-ใต้ รวมทั้งความร่วมมือในมิติอื่นๆ ทั้ง การศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า พร้อมจะสนับสนุนไทยในทุกเวที ทั้งระดับประเทศ ภูมิภาคและภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ที่มีความเข้มแข็งในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างสร้างสรรคแก่อาเซียน และภูมิภาคโดยรวม

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ คือ 1. แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-เวียดนาม 2. แผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนว่าวัฒนธรรมไทย – เวียดนาม 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับนครเกิ่นเทอ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง คดี 112 'ยุทธภูมิ'พี่ฟ้องน้อง

$
0
0
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง ยุทธภูมิ ซึ่งถูกกล่าวหาโดยพี่ชายแท้ๆ ว่าทำผิดมาตรา 112 
 
28 พ.ย.2557  ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา รัชดา เวลา 9.50 น. มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นายยุทธภูมิ เป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไปก่อนหน้านี้ วันนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจำเลยและญาติมาศาล รวมถึงผู้สังเกตการณ์คดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติราว 10 คน
 
ศาลอุทธรณ์ระบุว่า คดีนี้มีพยานซึ่งเป็นพี่ชายเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยพูดบ่นข้อความตามฟ้องระหว่างดูข่าวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็น ต่อมาอีก 5 วันพยานเห็นจำเลยเขียนข้อความไม่เหมาะสมลงแผ่นซีดี ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์เพียงลำพัง ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคง อีกทั้งคุณลักษณะพยานยังมีข้อบกพร่องเนื่องจากมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน คดีนี้พยานก็เป็นร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยเอง มีลักษณะเป็นการกระทำตอบโต้จำเลย อาจมีการปรุงแต่งข้อเท็จจริง ในการสืบพยานก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารายการทีวีดังกล่าวคือช่องใด ไม่มีการนำภาพข่าวดังกล่าวมาแสดงต่อศาล จึงนับเป็นการนำสืบอย่างเลื่อนลอย ส่วนซีดีแม้มีผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าเป็นลายมือของจำเลย แต่ก็เป็นเพียงความเห็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่มีการนำสืบถึงวิธีการตรวจพิสูจน์โดยละเอียดโจทก์นำสืบเพียงข้อสรุปว่าลายมือนั้นเป็นของจำเลย อีกทั้งผู้ตรวจพิสูจน์ยังยอมรับว่าการตรวจพิสูจน์ความหนักเบาของลายเส้นบนซีดีนั้นทำได้ยาก เนื่องจากมีพื้นผิวแข็งและลื่น จึงยังมีเหตุแห่งความสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
 
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากพี่ชายแท้ๆ ของยุทธภูมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจว่าน้องชายตนเองกระทำการหมิ่นสถาบันโดยการพูดระหว่างดูข่าวราชสำนักในบ้านและเขียนถ้อยคำลงบนปกซีดี เขาถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปให้ปากคำแล้วปล่อยตัว แต่ต่อมาเมื่ออัยการฟ้องคดีต่อศาล เขาก็ถูกจำคุกราว 1  ปีโดยไม่ได้รับการประกันตัว ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ย.2556 ให้ยกฟ้องจำเลยเนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง เนื่องจากมีพี่ชายคนเดียวที่เบิกความยืนยันและก่อนหน้านั้นทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงจนจะใช้อาวุธมีดทำร้ายกันหลายครั้ง จึงถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างรุนแรง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีสุภิญญาหมิ่นช่อง 3 – รีทวีตแคน สาริกา 1 ธ.ค. นี้

$
0
0

วันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. 2557 ศาลอาญา นัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ.2888/2557 ตามที่โจทก์ ได้แก่ บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด หรือ ช่อง 3 ยื่นฟ้องจำเลย คือ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.  ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท จากการให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา กับสื่อโทรทัศน์ อาทิ ช่อง Voice TV อาร์เอสทีวี พีพีนิวส์ ช่อง 7 สี และวิทยุ รวมทั้งทางสื่อต่างๆ ในประเด็นว่า หากช่อง 3 บีบบังคับ กสทช. ต้องผ่อนปรนช่อง 3 เท่ากับหักหลังผู้ให้บริการโครงข่าย ผู้ประมูลดิจิตอลทีวี และประชาชนที่จะได้รับคูปอง เพราะช่อง 3 ได้รับอภิสิทธิ์ ในระบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์มานานหลายปี รวมทั้ง กล่าวหาว่า จำเลยได้ใช้ทวิตเตอร์ @supinya รีทวีตข้อความของผู้ใช้ชื่อว่า “แคน สาริกา” @can_nw ที่ปรากฏข้อความเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ที่อาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์ใช้อำนาจทุนและความสัมพันธ์ส่วนบุคคลในการประกอบธุรกิจเพื่อให้ผูกขาด และเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค โดยเป็นการนำเข้า และจงใจยินยอมให้มีการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ ในคดีเดียวกัน โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลย กสท.ทั้ง 3 คน ได้แก่ นางสาวสุภิญญา พร้อมด้วย พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ และ ผศ.ดร.ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ ด้วยข้อหาร่วมกันและสนับสนุนให้มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2557 โดยมุ่งหมายเพื่อออกคำสั่งทางปกครองให้ระงับการนำสัญญาณของโจทก์ไปถ่ายทอดผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิล ต่อมา วันที่ 18 ก.ย. 57 ศาลได้ยกฟ้องคดีที่จำเลยทั้งสาม ข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ยังคงเหลือแต่คดีฟ้องหมิ่นประมาทเฉพาะนางสาวสุภิญญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  326, 328 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 และ 15 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ซึ่งศาลอาญาได้นัดไต่สวนในวันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. นี้ เวลา 13.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุสรณ์ ธรรมใจ คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นตัวโต 4-5%

$
0
0

27 พ.ย. 2557 ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แถลงข่าวเรื่อง การคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ ปี 2557 และแนวโน้มอุตสาหกรรม: ปัจจัยเสี่ยงและโอกาส โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. 2558 จะมีภาคการลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ภาครัฐมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายการลงทุนให้ได้ 87% จากงบประมาณที่ตั้งไว้ เมื่อเทียบกับปีงบประมาณปี พ.ศ. 2557 มีการเบิกจ่ายงบลงทุนเพียงแค่ 65% (ผลจากวิกฤตการณ์การเมือง) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ทำต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้วจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในปี พ.ศ. 2558 ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท

ส่วนการท่องเที่ยวพร้อมที่จะฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพหากมีการยกเลิกกฎอัยการศึก คาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. 2558 จะอยู่ที่ระดับ 4-5% มีกรณีพื้นฐานอยู่ที่ 4.5% โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวภาคการลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 5-5.8% อัตราการเติบโตของภาคการบริโภคจะอยู่ที่ 3-3.2%

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป คณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต พยากรณ์ว่า ดุลการค้าจะเกินดุล 23-24 พันล้านดอลลาร์  และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 8.5-9.5  พันล้านดอลลาร์ มูลค่าการส่งออกเติบโตได้ประมาณ 5-6% อัตราการขยายตัวของมูลค่านำเข้าอยู่ที่ระดับ 4-5%      

ทางคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต คาดการณ์ว่าหากเศรษฐกิจไทยขยายตัวในช่วงระหว่าง 4-5% อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี พ.ศ. 2558 จะอยู่ที่ 2.2-2.7% ไตรมาสสองอยู่ที่ 6.2-8.0% ไตรมาสสามอยู่ที่ 7.5-8.5% ไตรมาสสี่อยู่ที่ 0.2-1%  โดยที่กรณีพื้นฐานที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เศรษฐกิจทั้งปีจะเติบโตได้ที่ 4.5% โดยที่เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี พ.ศ. 2558 จะอยู่ที่ 2.2% ไตรมาสสองอยู่ที่ 7.2% ไตรมาสสามอยู่ที่ 8.5% ไตรมาสสี่อยู่ที่ 0.2% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า  

อนุสรณ์ แสดงความเห็นว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมีความผันผวนอย่างมากตามทิศทางปริมาณการค้าของโลกและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และวิกฤตการณ์การเมืองภายในประเทศ โดยที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. 2554 อยู่ที่ 0.1% พ.ศ. 2555 อยู่ที่ 6.5% พ.ศ. 2556 อยู่ที่ 2.9% พ.ศ. 2557 อยู่ที่ 1% และในปี พ.ศ. 2558 น่าจะเติบโตได้ที่ 4-5% อัตราการเติบโตโดยในเฉลี่ยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2554-2558 อยู่ที่  3% ซึ่งถือว่ามีอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทยอันเป็นผลมาจากความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลงจากคุณภาพทรัพยากรมนุษย์และการขาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการและความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง การทุจริตคอร์รัปชันที่เพิ่มต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ การเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดปัญหาวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในอนาคตและคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชนไม่ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

อนุสรณ์ วิเคราะห์ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ปัจจัยเสี่ยงและโอกาสที่จะต้องจับตา ได้แก่

1. การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ จะสร้างแรงกดดันต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นซึ่งจะมีผลต่อความผันผวนของตลาดการเงินและค่าเงินบาท เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง 

2. ทิศทางราคาน้ำมันโลกยังอยู่ในช่วงขาลงและทรงตัวอยู่ที่ระดับ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลโดยระดับราคามีโอกาสดีดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง การปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งต้วขึ้นเล็กน้อย 

3. การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่น มีผลทำให้ค่าเงินยูโรและค่าเงินเยนอ่อนค่าลงอย่างชัดเจน และเกิดภาวะ Yen Carry Trade และ Euro Carry Trade

4. ความเสี่ยงจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองอันเป็นผลมาจากการไม่จัดการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาและการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย

5. โอกาสและความเสี่ยงอันเกิดจากการปฏิรูปเศรษฐกิจและการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ 

อนุสรณ์ ประเมินแนวโน้มความเสี่ยงและโอกาสของภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมใน ปี พ.ศ. 2558 ว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 65% ซึ่งยังไม่ได้เป็นระดับที่จะมีการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติมจำนวนมาก จะมีเฉพาะบางอุตสาหกรรมเท่านั้น ที่จะมีการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเพราะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 75-85% เช่น ปูนและวัสดุก่อสร้าง IC และ Semiconductor เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น จะมีการควบรวมกิจการมากขึ้นระหว่างผู้ประกอบการภายในประเทศและระหว่างกิจการในประเทศกับต่างประเทศ

สินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าคงทนและผลิตจำหน่ายในประเทศขยายตัวเป็นบวกเล็กน้อย เช่น ยานยนต์ HDD (ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์) อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างขยายตัวดีและมีความเสี่ยงต่ำ อุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้ายังคงเติบโตต่ำและความสามารถในการแข่งขันลดลง ยังคงมีการทยอยย้ายฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอาหารยังคงขยายตัวได้ดีและยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง อุตสาหกรรมปิโตรเลียมขึ้นอยู่นโยบายพลังงานของประเทศในอนาคตว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และพลาสติกมีความเสี่ยงและต้นทุนลดลง อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจากการส่งออกในกลุ่มอาเซียน

ภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยพยากรณ์ว่าอัตราการเข้าพักโรงแรมฟื้นตัวจากระดับ 47%ในไตรมาสสองปี พ.ศ. 2557 มาอยู่ระดับ 65% ในปี พ.ศ. 2558 (แต่ต้องยกเลิกกฎอัยการศึกและมีเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ)  

ราคาสินค้าเกษตร รายได้และผลผลิตภาคเกษตรโดยรวมยังคงหดตัวแต่ขยายตัวติดลบน้อยลง  ยกเว้นปศุสัตว์ สินค้าประมงและปาล์มน้ำมัน ที่ขยายตัวเป็นบวก

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจโลก อนุสรณ์ ธรรมใจ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกในปี พ.ศ. 2558 น่าจะขยายตัวได้ในระดับ 3.8% โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนโดยเติบโตได้ในระดับ 3.2% การจ้างงานดีขึ้นอย่างชัดเจน การลดลงของหนี้สินภาคครัวเรือน สถานะของดุลการค้าดีขึ้นพร้อมกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซนมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ โดยน่าจะขยายตัวได้ในระดับ 1.1-1.2% (จากที่เติบโตเพียง 0.8-0.9% ในปี พ.ศ. 2557) เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอ่อนแอและขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งว่าจะได้รัฐบาลที่มีแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจังแทนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าหรือไม่ คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ระดับ 1.2% ในปีหน้า

ส่วนเศรษฐกิจจีนปีหน้าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยโดยน่าจะเติบโตได้ในระดับ 7.2-7.3% ทางด้านอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักอันดันหนึ่งของไทย (คิดเป็นสัดส่วน 26-27% ของมูลค่าส่งออก) ในปี พ.ศ. 2558 เติบโตเพิ่มขึ้น 5.8-6% (เทียบกับ 5.5% ในปี พ.ศ. 2557) การส่งออกของไทยจึงขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2558 จากอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นของปริมาณการค้าโลกที่ระดับ 5% ตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกแต่ส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าไทยส่วนใหญ่ของไทยไม่ดีขึ้นเพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยค่อนข้างทรงตัว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคีเครือข่ายนักวิชาการภาคใต้ฯ จี้ คสช. ยกเลิกกฎอัยการศึก เผยหลัง รปห. 291 คนถูกจับกุม

$
0
0

ภาคีนักวิชาการภาคใต้ นักกฏหมาย และนักกิจกรรม แถลงจี้ คสช.ยกเลิกกฏอัยการศึก หยุดคุกคามประชาชน และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้านข้อมูลสภาทนายความเผยหลัง รปห. 291 คนถูกจับกุม

28 พ.ย 2557 - ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ ได้มีการจัดกิจกรรมสัปดาห์สิทธิมนุษยชนครั้งที่ 3 "คืนสิทธิ คืนสุข (ศุกร) ประชาชน"ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 -27 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยเมื่อวานนี้ได้มีการออกแถลงการณ์การ ให้ยุติการละเมิดสิทธเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และยกเลิกกฏอัยการศึกษา โดยกลุ่มเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ มีเนื้อหาดังนั้

ภาพจาก : ASTV ผู้จัดการออนไลน์

00000

จากการยึดอำนาจการปกครองประเทศของโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้แสดงออกทางการเมืองที่ไม่ยอมรับต่อการรัฐประหาร ได้มีการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา และมีการจับกุมประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2557) จำนวนประชาชนที่ถูกจับ และควบคุมตัว 291 ราย ถูกควบคุมตัวโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาและได้รับการปล่อยตัว 229 ราย จำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาลทหาร 69 คดี จำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาลพลเรือน 33 คดี และจำนวนนักโทษที่ถูกดำเนินคดีด้วยเหตุทางการเมือง 102 ราย อันประกอบด้วย นักวิชาการ สื่อมวลชน นักกิจกรรมทางสังคม นักศึกษา และประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม หรือเสวนาทางวิชาการที่ถูกแทรกแซงไม่ให้จัด หรือควบคุมเนื้อหาอีกจำนวน 33 กิจกรรม ทำให้เกิดบรรยากาศภายในประเทศที่ประชาชนไม่สามารถแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของ ตนเองได้อย่างเสรีภาพ

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ เห็นว่า การกระทำดังกล่าวข้างต้นเป็นการคุกคาม และละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1.ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประชาชนทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการแสดงออก ผ่านการพูด เขียน การแสดง หรือวิธีการอื่นใดเพื่อสื่อสารกับผู้อื่น รวมทั้งมีเสรีภาพในทางความคิด ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองข้อ 18 และ 19 การกระทำของเจ้าหน้ารัฐโดยอาศัยอำนาจของกฎอัยศึกเป็นการละมิดต่อสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยสันติตามธรรมเนียมประเพณีในระบอบประชาธิปไตย

2.การที่เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมประชาชนซึ่งมีความเห็นต่างโดย เหตุปัจจัยทางการเมือง ทั้งที่ควรจะยอมรับในการแสดงออกในความเห็นที่แตกต่าง และไม่ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้กฎอัยการศึกจะให้อำนาจในการประกาศ และอำนาจในการสั่งห้ามประชาชนในการกระทำการต่างๆ อย่างกว้างขวาง แต่หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจพึงต้องระลึกว่าการใช้อำนาจต้องผูกพันตามสิทธิ เสรีภาพ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชน

3.นับแต่การรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีการใช้อำนาจ การประกาศใช้กฎอัยการศึก การดำเนินคดีต่อเหตุการณ์ และกิจกรรมทางการเมืองที่มีลักษณะเป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพ อิสรภาพของบุคคล เป็นการจำกัดพื้นที่ของการแสดงออก และการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสันติ ไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความปรองดองอย่างยั่งยืนที่สะท้อนต่อสภาพ และรากเหง้าของความขัดแย้ง อีกทั้งนำไปสู่การเพิ่มความขัดแย้ง ชิงชัง ให้บาดลึกในสังคมมากขึ้นไปอีก

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้

หน่วยวิจัยประชาธิปไตยชุมชนเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยทักษิณ

มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.)

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์บ่นนักข่าว-ถามแต่เลือกตั้งเมื่อไหร่ ทำไมไม่ถามนายกฯ เหนื่อยไหม

$
0
0

นายกรัฐมนตรีกลับมาจากเยือนเวียดนามแล้ว ระบุเห็นเพจ "เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ"แล้วบอกเลย "ทุเรศทุกอัน"พร้อมถามกลับนักข่าว แทนที่จะถามว่านายกรัฐมนตรีเหนือยไหม ทำไมถามแต่จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ รธน.เสร็จไหม บอกเลยยังไม่ร่างสักมาตรา เผยรู้หมดสื่อเขียนอะไร ด่าไม่ว่า แต่ขอความเป็นธรรม

พิธีต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างเยือนเวียดนามเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางกลับถึงกรุงเทพมหานครแล้ววันนี้ (ที่มา: แฟ้มภาพ/เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

28 พ.ย. 2557 - ภายหลังการเยือน สปป.ลาว และเวียดนาม ระหว่างวันที่ 26-27 พ.ย. ที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นั้น ล่าสุดวันนี้ (28 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังเดินทางกลับจากการเยือนเวียดนาม ทั้งนี้ นสพ.โลกวันนี้ รายงานว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกตั้งคำถามเดี่ยวกับการเมืองหลายเรื่องทำให้ถึงกับออกปากว่า "ทุกเรื่องลงผมหมด ผมเป็นนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบทุกเรื่อง ไม่ต้องห่วง ไม่ปัดรับผิดชอบหรอก"

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะมีเลือกตั้งตามโรดแมพ ไม่ต้องมาจี้กดดันเลือกตั้งเมื่อไหร่ จะเลือกตั้งพรุ่งนี้เลย พร้อมก็พร้อมนะ เลือกได้เลือกไป สื่ออย่าเอาทุกเรื่องมาพันกัน วันนี้รัฐธรรมนูญยังไม่ได้ร่างสักมาตราเลย มาพูดมาถามก็เกิดขัดแย้ง แค่ทีมร่างรัฐธรรมนูญก็หลายความเห็น ตีกันไม่เลิกแล้ว ไหนอีกกี่เวที นักศึกษาอีก จะตีกันอีกมั้ย ตกลงกันให้ได้ จะเอายังไง

“จะมาเอาอะไรกับผมนักวะ ผมกลับมาเหนื่อยๆ ไปประชุม ไม่ได้นอนเลย กลับมาแทนที่จะถามว่า นายกรัฐมนตรีเหนื่อยไหม เป็นยังไงบ้าง นี่กลับมา มีแต่ถามจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ รัฐธรรมนูญจะเสร็จไหม ก็ยังไม่ได้ร่างเลย สักมาตรา จะถามอะไรนักหนา ผมเหนื่อยนะ”

“ผมเนี่ย อ่านทุกฉบับ รู้หมดใครเขียนอะไร เขียนด่าไม่ว่า แต่ต้องให้ความเป็นธรรมผมบ้าง ไปทำงานเหนื่อยแสนเหนื่อย ทำงาน กลับมาต้องมาหย่าศึก อีกน่ารำคาญ จะมาอะไรนักหนา โธ่! เอ้ย นี่ไม่ได้อารมณ์เสียนะ ไม่ได้โมโหมา 3 วันแล้ว แต่จะเอาอะไรวะ นี่ไม่ได้บ่น นะ แต่เหนื่อย โมโห แต่มีสติ นะ โมโห แล้วทำมั้ย ทำงานทำมากกว่าเดิม เพราะคนคาดหวัง ผมก็ยิ่งกดดัน แต่ในความโมโห มีสติ เวลาโมโหมีแต่อาการ ออก แต่เวลาโมโห ผมต้องยิ่งรอบคอบ นะ”

ส่วนเพจ "เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ"ทวิตเตอร์ของ @Prachaya_Iceระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ เห็นแล้ว และกล่าวด้วยว่า "ทุเรศทุกอัน"

อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ประชาชนเบื่อรายการคืนความสุขแก่คนในชาติว่า เบื่อกันแล้วใช่ไหม ครังหน้าจะให้รำละครเอาไหม หรือจะไม่ให้พูดเลย ซึ่งตนทำได้ทุกเรื่อง นอกจากนี้ภายหลังบันทึกเทปรายการคืนความสุขแก่คนในชาติเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับคณะทำงานว่า อยากให้เปลี่ยนรูปเอาภาพอื่นมาใส่บ้าง ต้องเป็นภาพที่ดึงดูดและน่าสนใจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รับปาก อย่างไรก็ตาม ต่อมาหลังกระแสข่าวดังกล่าวได้มีแอดมินนิรนาม ทำเพจ "เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ"โดยทำไฟล์ภาพให้แฟนเพจนำไปตกแต่งฉากหลังใหม่ให้รายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รฟท.แจ้งปิด ถ.กำแพงเพชร 6 ช่วงหมอชิต- กม.11 เพื่อวางรางรถไฟสายสีแดง

$
0
0

การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปิดการจราจร ถ.กำแพงเพชร 6 ช่วงหลังขนส่งหมอชิต-ที่หยุดรถไฟ กม.11 ถาวรเริ่ม 30 พ.ย. นี้ เพื่อวางรากฐานทางวิ่งยกระดับ โครงการรถไฟสายสีแดง โดย รฟท. จะสร้างถนนเลี่ยงและจัดช่องจราจรใหม่

ความคืบหน้าการก่อสร้างทางรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต (ที่มา: Bangsue-rangsitredline.com)

28 พ.ย. 2557 - การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า จะปิดการจราจรบนถนนกำแพงเพชร 6 เริ่มตั้งแต่ด้านหลังสถานีขนส่งหมอชิต ถึง ที่หยุดรถไฟ กม.11 บริเวณใต้ทางด่วนศรีรัช ระยะทางประมาณ 700 เมตร เป็นการถาวร เพื่อใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างฐานรากทางวิ่งยกระดับ โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2557 เวลา 06.00 น.เป็นต้นไป

ในการนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางในบริเวณดังกล่าว รฟท. ได้ก่อสร้างถนนใหม่ทดแทน ตลอดแนวด้านข้างฝั่งทิศเหนือของสถานีขนส่งหมอชิต ขนาดความกว้างจำนวน 2 ช่องจราจร เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมถนนกำแพงเพชร 6 กับถนนกำแพงเพชร 2 และกำหนดจัดการจราจรในเส้นทางดังกล่าวให้เดินรถทางเดี่ยว

โดยผู้ที่ใช้ถนนกำแพงเพชร 2 ขาออก จากแยก อตก. มุ่งหน้าวัดเสมียนนารี หรือ ถนนวิภาวดี-รังสิต สามารถเลือกใช้เส้นทางดังนี้

1. ใช้ถนนกำแพงเพชร 2 (เส้นทางด้านหน้าสถานีขนส่งหมอชิต 2 ) ไปตามปกติ

2. ใช้ถนนกำแพงเพชร 6 (เส้นทางด้านหลังสถานีขนส่งหมอชิต 2 ) เข้าสถานีขนส่งหมอชิต ได้ตามปกติ จนถึงจุดที่ปิดการจราจร ให้เลี้ยวขวาเข้าถนนที่ตัดใหม่ แล้วเลี้ยวซ้ายกลับเข้าสู่ถนนกำแพงเพชร 2

ทั้งนี้ประชาชนที่ใช้เส้นทางดังกล่าว เพื่อสัญจรไป – มา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลและรับเรื่องร้องเรียนของโครงการ สำนักงานโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)  ช่วงบางซื่อ - รังสิต  โทร 02-159-8440-43 หรือ www.bangsue-rangsitredline.com

สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต มีจุดเริ่มต้นโครงการเริ่มจาก กม. 6 + 000 บริเวณสามแยกประดิพัทธ์ไปตามแนวเขตทางรถไฟในเส้นทางรถไฟสายเหนือผ่านเขตจตุจักร บางเขน หลักสี่ การเคหะ ดอนเมือง และไปสิ้นสุดที่สถานีรังสิต จังหวัดปทุมธานี ระยะทางประมาณ 26.3 กม. โดยก่อสร้างเป็นทางยกระดับจากบางซื่อ ไปถึงดอนเมืองระยะทาง 19.2 กม. และลดระดับลงอยู่ระดับพื้นดินจากสถานีดอนเมืองถึงสถานีรังสิตระยะทาง 7.1 กม. รองรับการเดินรถไฟ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบรถไฟทางไกล ระบบรถไฟฟ้าชานเมือง และระบบรถไฟขนส่งสินค้า โดยมีโครงข่ายเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฝากขังผลัด 2 คดี 112 เฟซบุ๊กปลอม

$
0
0

28 พ.ย.2557 ที่ศาลทหาร พนักงานสอบสวนนำตัวจารุวรรณ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาคดี 112 จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊กหมิ่นเบื้องสูง มาขออำนาจศาลฝากขังผลัดที่ 2 อีก 12 วัน โดยในวันนี้ มีการนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังเพิ่มอีก 2 คนคือ นายอานนท์ (สงวนนามสกุล) แฟนของจารุวรรณ และนายชาติ (สงวนนามสกุล) เพื่อนนายอานนท์ ซึ่งทั้ง 3 คน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพรบ. คอมพิวเตอร์  

โดยพนักงานสอบสวนระบุว่ายังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา ศาลอนุญาติให้ฝากขังตามคำร้องของพนักงานสอบสวน

เฟซบุ๊กที่ถูกระบุว่าโพสต์หมิ่นฯ

จารุวรรณ เคยหาให้การปฏิเสธพร้อมระบุว่าถูกกลั่นแกล้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ พนง.สส.มาขออำนาจศาลฯ ฝากขัง โดยระบุว่ามีผู้นำภาพและชื่อจริงไปโพสต์ข้อความหมิ่นฯ

รายงานข่าวแจ้งว่า เบื้องต้นทั้ง 3 รายให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยจารุวรรณ อายุ 26 ปี มีบุตร 2 คน พื้นเพเป็นชาวเพชรบูรณ์ จบชั้น ป.4 ทำงานโรงงาน อานนท์ อายุ 22 ปี จบชั้น ป.6 มีอาชีพช่างเชื่อม และไม่สามารถอ่านหนังสือได้ ส่วนชาติ อายุ 20 ปี จบป.6 เช่นกัน อาชีพทำประมง ผู้ต้องหาทั้ง 3 มีบุตรในการดูแล ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินประกันตัว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลทหารสั่งจำคุก 1 ปี สงวน พงษ์มณี อดีต ส.ส. เพื่อไทย ฐานขัดคำสั่ง คสช.

$
0
0

28 พ.ย. 2557 เมื่อวานนี้ เวลา 10.00 น. ที่ศาลทหารได้มีอ่านคำพิพากษาคดี สงวน พงษ์มณี อดีต ส.ส.ลำพูน เขต 1 พรรคเพื่อไทย ฐานกระทำผิดโดยการฝ่าฝืนคำสั่งให้มารายงานตัวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ด้านจำเลยได้รับสารภาพตามข้อกล่าวหา ศาลจึงตัดสินพิพากษาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท โดยให้รอลงอาญา 1 ปี

ทั้งนี้สงวนเคยให้ข้อมูลถึงสาเหตุที่ไม่ไปรายงานตัวว่า เป็นเพราะคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด และยังอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองใด ๆ แล้ว แม้จะมีตำแหน่ง สส.ลำพูน ก่อนที่ คสช.จะยึดอำนาจรัฐบาล ประกอบกับปัจจุบันมีโรคประจำตัวหลายอย่าง (อ่านข่าวเก่าที่นี่)

 

ข้อมูลจาก : iLaw

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลทหารให้ประกันตัวคดี 112 'บัณฑิต อานียา'ด้วยหลักทรัพย์สี่แสน

$
0
0

ศาลทหารให้ประกันตัวคดี 112 'บัณฑิต อานียา'หลัง ‘วาด รวี’ และญาติใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาท ยื่นประกัน พร้อมวางเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามแสดงความเห็นด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้เกิดการกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน

14.00 น. เจ้าหน้าที่ศาลทหารแจ้งว่า ศาลทหารมีคำสั่งให้ประกันตัวนายบัณฑิต อานียา ผู้ต้องหาตดี 112 ที่ถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.หลังแสดงความคิดเห็นในเวทีระดมความเห็นเรื่องการปฏิรูปของพรรคนวัตกรรม โดยมี วาด รวี นักเขียนชื่อดังเป็นนายประกัน และญาติใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาท ขณะที่ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเขียนคำร้องประกอบระบุถึงปัญหาสุขภาพที่จำเลยเหลือไตเพียงข้างเดียวและต้องมีถุงปัสสาวะติดลำตัวมาตลอดหลายปี

ก่อนหน้าจะทราบผลการประกันตัว วาด รวี ให้สัมภาษณ์ว่ามาเป็นนายประกันเนื่องจากเป็นนักเขียนด้วยกันและพอจะช่วยเหลือกันได้ เห็นผลงานของบัณฑิตมานานและคุ้ยเคยจากการพบเจอในงานวรรณกรรมและเสวนาทางการเมืองต่างๆ ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 2549

เขากล่าวอีกว่าคดีเก่าของบัณฑิตรอลงอาญาอยู่ ซึ่งทนายแจ้งว่าหากคดีนี้ถูกตัดสินว่าผิดจะโดนนับโทษรวมกับคดีเก่าด้วย ทั้งที่ข้อความของบัณฑิตที่แสดงความเห็นนั้นเป็นเรื่องการปฏิรูป ในสถานการณ์ปกติไม่น่าจะโดนคดีด้วยซ้ำ

"แต่ตอนนี้สังคมพารานอยด์(Paranoid) เจ้าหน้าที่ ก็ พารานอยด์ คำพูดแก พูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม และไม่พาดพิงตัวบุคคลเลย"วาด รวี กล่าว

ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงศาลได้เงื่อนไขในการให้ประกันตัวของบัณฑิตด้วยว่า ห้ามออกนอกราชอาณาจักร ห้ามชุมนุมทางการเมืองอันก่อให้เกิด ไม่สงบในราชอาณาจักร ห้ามแสดงความคิดเห็นด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใด หรือทำเป็นหนังสือ เพื่อให้เกิดความ ปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

148:31 สนช. มีมติไม่รับพยานหลักฐานเพิ่ม กรณีถอดถอน 'ยิ่งลักษณ์'

$
0
0

28 พ.ย. 2557 - ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้มีการพิจารณาคำรับขอยืนพยานหลักฐานเพิ่มเติมจำนวน 72รายการ สำหรับการพิจารณาถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ซินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานความผิดกรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดย นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีเข้ายื่นคำร้องขอต่อที่ประชุม สนช. ซึ่งมี พรเพชร วิชิตชลชัย เป็นประธานในที่ประขุม

โดยในที่ประชุม นรวิชญ์ ชี้แจงว่าพยานหลักฐานทั้ง 72 รายการ แม้ไม่ใช่หลักฐานใหม่ แต่มีหลักฐานพยานบุคคลและพยานเอกสารจำนวนมากที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.แล้วแต่กลับไม่ปรากฏอยู่ในสำนวน จึงต้องขอยื่นเพิ่มเติมต่อ สนช.

ด้าน วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การที่ทีมทนายความระบุว่า เอกสาร 72 รายการ มีการส่งให้ป.ป.ช.แต่ ป.ป.ช.ไม่รับพิจารณานั้น ขอยืนยันว่า เอกสารที่ส่งมาทั้งหมด ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิเสธการพิจารณา เพราะเรื่องเอกสารมีความสำคัญ อย่างไรก็ตามเอกสารที่ทีมทนายความส่งมาให้ป.ป.ช.มีเพียงแค่ 28 รายการเท่านั้น ไม่ใช่ 72 รายการได้แก่ รายการที่ 1-25 เรื่องคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรี รายการที่ 31และ 40 เรื่องผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และรายการที่72 เรื่อง เอกสารหลักเกณฑ์การคิดค่าเปลี่ยนแปลงสภาพข้าวหรือค่าเสื่อมราคาข้าวตามคำให้ การของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์ ส่วนเอกสารอีก 44 รายการ ไม่เคยยื่นต่อป.ป.ช.เลย

นรวิชญ์ ชี้แจงกลับว่า เอกสาร 28 รายการที่ป.ป.ช.ระบุว่า มีการยื่นต่อป.ป.ช.แล้ว แต่ในความจริงกลับไม่มีการนำมาพิจารณาอยู่ในสำนวน ส่วนอีก 44 รายการได้แก่รายการที่ 26-30 รายการที่ 32-38 และรายการที่ 41-71 นั้น ยอมรับว่า ยังไม่ได้ยื่นเอกสาร เนื่องจากเอกสารบางส่วนรวมอยู่ในคำชี้แจงของอดีตนายกรัฐมนตรีแล้ว และบางส่วนถูกป.ป.ช.ปฏิเสธการสอบปากคำพยานบุคคล เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ สมชาติ สร้อยทอง อดีตอธิบดีกรมการค้าภายใน ทำให้เอกสารเหล่านี้ไม่ถูกนำมาพิจารณา ดังนั้นทีมทนายต้องการให้สนช.นำหลักฐานเหล่านี้มาพิจารณาเพิ่มเติม

ด้าน วิชา ตอบโต้กลับว่า การตัดพยานบุคคลเช่น ร.ต.อ.เฉลิมทิ้งเนื่องจากเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องสอบปากคำ แต่ไม่ได้ปิดโอกาสให้ทีมทนายความยื่นเอกสารเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่เอกสารทั้ง 44 รายการ เมื่อไม่มีการยื่นมา ป.ป.ช.ก็ไม่สามารถพิจารณาให้ได้

จากนั้น พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุมจึงให้ทีมทนายความชี้แจงต่อในส่วนเอกสารที่ไม่ มีในสำนวน จำนวน 44 รายการ ก่อนให้ที่ประชุมลงมติ โดยเสียงส่วนใหญ่ 148:31 (งดออกเสียง 11) ไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมพยานหลักฐานตามที่ผู้ถูกกล่าวหาร้องขอ

สำหรับขั้นตอนจากนี้ ประธาน สนช. กำหนดให้สมาชิกที่ประสงค์จะเสนอญัตติประเด็นซักถาม สามารถยื่นเข้ามาได้ก่อนวันนัดแถลงเปิดคดีคือตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 8 ม.ค.58 ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการหมายเลข 108 อาคารรัฐสภา 2 ในวันและเวลาราชการ และเมื่อมีการแถลงเปิดคดีในวันที่ 9 ม.ค. 58 แล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งข้อซักถามของคณะกรรมาธิการซักถาม ก่อนเข้าสู่การแถลงเปิดคดีของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งขั้นตอนการพิจารณาจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน ตามข้อบังคับการประชุม สนช. ซึ่งตามกรอบคาดกำหนดวันลงมติว่าจะถอดถอนหรือไม่ ในช่วงต้นเดือน ก.พ. 58

 

เรียบเรียงจาก : ข่าวรัฐสภา , คมชัดลึกออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

องค์กรสื่อหนุนตั้งศาลคดีสื่อสารมวลชน

$
0
0
ตัวแทนสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ยื่นหนังสือเสนอไอเดียให้ สปช. หนุนตั้ง 'ศาลคดีสื่อสารมวลชน'พิจารณาคดีความที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกประเภท 

 
28 พ.ย. 2557 ตัวแทนสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย นำโดย น.ส.พิมพ์ชญา ทิพยธรรมรัตน์ เลขาธิการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อขอให้ทาง กมธ. ชุดดังกล่าว ประสานงานกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ระงับการพิจารณาและประกาศบังคับใช้ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการ และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ที่เกี่ยวข้องกับกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ออกไปก่อน และรอให้ สปช. ดำเนินการการปฏิรูปและสื่อให้มีความชัดเจน เนื่องจากทางสมาคมฯ เห็นว่า ร่างประกาศดังกล่าวอาจจะละเมิดต่อรัฐธรรมนูญฯ ชั่วคราว พ.ศ. 2557 และอาจจะขัดแย้งต่ออำนาจหน้าที่ กสทช. เนื่องจากยังมีเนื้อหาหลายส่วนที่ยังไม่มีความชัดเจนพอที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง และจะเปิดช่องให้มีการแทรกแซงสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนได้
 
นอกจากนี้ น.ส.พิมพ์ชญา ได้ระบุอีกว่า ทางสภาวิชาชีพวิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ยื่นหนังสือถึงประธานและรองประธาน สปช. รวมถึงคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ ถึงแนวทางในการปฏิรูปสื่อในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยทางสภาวิชาชีพฯ ได้ข้อเสนอให้มีการตั้ง 'ศาลคดีสื่อสารมวลชน'เพื่อพิจารณาคดีความที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกประเภท ยกเลิกระบบการประมูลการจัดสรรคลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ ในประเภทช่องรายการข่าวสารและสาระประโยชน์ และขอให้มีกฎหมายพิเศษด้านแรงงานของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แยกจากกฎหมายแรงงานทั่วไปด้วย
 
ที่มาข่าว
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยืนไว้อาลัย 2 นักเรียนเดชะฯ หน้าเสาธง เผย 10 ปีไฟใต้ เป้าหมายอ่อนแอเป็นเหยื่อ 73%

$
0
0

ผู้ว่าปัตตานีร่วมยืนไว้อาลัย 2 นักโรงเรียนเดชะฯ หน้าเสาธง ครูวอนขอให้หยุดทำร้ายเด็ก เยาวชนและสตรี DSID เผย 10 ปีไฟใต้ เป้าหมายอ่อนแอเป็นเหยื่อ 73% ศาลปัตตานีสั่งประหาร 5 จำเลยถล่มทหารที่มายอ

ยืนไว้อาลัย 2 นักเรียนเดชะฯหน้าเสาธง

เมื่อเวลา 08.00 น วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 นายวีรพงษ์ แก้วสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เดินทางไปร่วมเข้าแถวเคารพธงชาติกับอาจารย์และนักเรียนโรงเรียนเดชะปัตนยานุกูล อ.เมือง จ.ปัตตานีและยืนไว้อาลัยให้นายสุทธิพงษ์ ทองสุวรรณ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตและนายปรีชาพัฒน์ แววจันทร์ชยากร อายุ 17 ปี ชั้นม.5 ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะเดินทางกลับบ้านเมื่อช่วงเย็นวานนี้

พร้อมกันนี้ยังให้กำลังใจนักเรียนทุกคนด้วย โดยนายวีรพงษ์ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้านักเรียนทุกคน จากนั้นได้ร่วมประชุมกับผู้บริหารโรงเรียนในการปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในการเดินทางกลับบ้านหลังเลิกเรียนว่า ควรปฏิบัติอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อความไม่สงบ

จากนั้นคณะครูและอาจารย์บางส่วนได้เดินทางไปยังวัดมาลีนิเวศน์ อ.มายอ จ.ปัตตานี เพื่อร่วมพิธีรดน้ำศพนายสุทธิพงษ์ โดยที่โรงเรียนก็ยังคงเปิดเรียนตามปกติ

วอนขออย่าทำร้ายเด็ก สตรี

อาจารย์โรงเรียนเดชะปัตนยานุกูลคนหนึ่งกล่าวว่า ไม่คาดคิดเลยว่าคนร้ายจะก่อเหตุต่อเด็ก เยาวชน และสตรีเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนไม่มีทางที่พวกเขาจะต่อสู้กับผู้ก่อเหตุความไม่สงบได้ เพราะไม่มีอาวุธ มีเพียงแค่สมุด ปากกาและหนังสือเท่านั้น และที่สำคัญพวกเขาเป็นกำลังหลักของชาติในอนาคต

“ขอเรียกร้องให้หยุดทำร้ายเด็กและสตรีเถอะ เพราะคนที่ทำร้ายเด็ก เยาวชนและสตรีเป็นคนที่ไร้อุดมการณ์ แต่หากผู้ก่อเหตุไปปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารดิฉันยังพอจะรับได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธด้วยกัน และอยากให้ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติของเราให้มีความเจริญดีกว่ามาทะเลาะกัน”อาจารย์คนเดิมกล่าว

อาจารย์คนเดิมยังกล่าวด้วยว่า คนมุสลิมกับคนไทยพุทธในพื้นที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยไม่มีปัญหาใดๆ โรงเรียนเดชะปัตนยานุกูลก็มีทั้งนักเรียนมุสลิม ไทยพุทธและคริสต์ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ เป็นเพื่อนกันได้ เพียงแต่มีคนบางกลุ่มในพื้นที่พยายามสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างไทยพุทธกับมุสลิม” อาจารย์คนเดิมกล่าว

นักเรียนบาดเจ็บอาการยังโคม่า

วันเดียวกันที่ห้อง ICU โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ผศ.ปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เข้าเยี่ยมนายปรีชาพัฒน์ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เดียวกันด้วย

ขณะที่นางนลินภัสร์ แววจันทร์ชยากร มารดานายปรีชาพัฒน์ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อลูกชายได้รับการรักษาและฟื้นตัวแล้ว อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลส่งเสริมด้านอาชีพเพื่ออนาคตจะได้ดูแลตัวเองได้ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่มาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ

นายแพทย์พิพัฒน์ มงคลฤทธิ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ยะลา เปิดเผยว่า ผู้บาดเจ็บไม่มีบาดแผลถูกกระสุนปืน แต่มีบาดแผลจากกระถูกกระแทกบริเวณศีรษะด้านขวาจนกะโหลกแตก และแพทย์ได้ผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออก พร้อมทำบาดแผลและให้ยาระงับอาการปวด แต่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว แพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาการโดยรวมถือว่ายังโคม่าอยู่ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงเพื่อประเมินอาการอีกครั้ง

10 ปีความรุนแรง เป้าหมายอ่อนแอเป็นเหยื่อ73%

ฐานข้อมูลเหตุการณ์ชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้(DSID) ได้สรุปสถิติผู้ที่เสียชีวิตที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น เด็ก สตรี คนที่ไม่ได้ถืออาวุธ หรือ Soft Target จากเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 ถึง เดือนตุลาคม 2557 พบว่า มีจำนวน 4,578 ราย คิดเป็น 73.30% จากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6,245 ราย

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอพบว่า มีจำนวนถึง 6,573 ราย คิดเป็น 58.10% จากจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 11,313 ราย

สั่งประหาร 5 จำเลยถล่มทหารหน้ากล้องมายอ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ศาลจังหวัดปัตตานีได้อ่านคำพิพากษาประหารชีวิตในคดีคนร้ายใช้รถกระบะ 4 คันเป็นพาหนะใช้อาวุธสงครามยิงถล่มทหารสังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15321 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 ขณะลาดตระเวนเส้นทางด้วยรถจักรยานยนต์ 3 คัน บนทางหลวงหมายเลข 4061 มายอ–ปาลัส ท้องที่บ้านดูวา ม.3 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี จนเสียชีวิต 4 นาย

โดยศาลเห็นว่าพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์สอดคล้องต้องกัน ขณะที่ผลตรวจพิสูจน์อาวุธปืนที่ตามยึดได้ก็ตรงกับอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุ รวมทั้งหลักฐานจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดจึงพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย 5 คน ได้แก่ นายอิสมาแอ ดาโอง, นายมะซาฮาฟี มีทอ, นายกอเดร์เจะแต, นายนิมูหัมหมัด นิเซ็ง และ นายฮิสบุลลอฮบือซา

หลังจากฟังคำพิพากษา จำเลยทั้ง 5 คนพร้อมญาติที่มาให้กำลังใจถึงกับอึ้ง บางคนน้ำตาไหลออกมา อย่างไรก็ดีจำเลยยังมีสิทธิ์ที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จนท.ทูตสหภาพยุโรปพบกลุ่มดาวดิน-ย้ำจุดยืนเคารพเสรีภาพแสดงความคิดเห็น

$
0
0

หัวหน้าฝ่ายการเมือง สหภาพยุโรปประจำประเทศไทย พบ 2 สมาชิกดาวดิน พร้อมย้ำจุดยืนว่าสหภาพยุโรปมีความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พร้อมเรียกร้องให้ทางการไทยเคารพในสิทธิและเสรีภาพนี้

28 พ.ย. 2557 เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2557 เฟซบุ๊คของสหภาพยุโรป European Union in Thailandเผยแพร่ภาพ แซนดรา เดอ วาล (Sandra De Waele) หัวหน้าฝ่ายการเมืองของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยได้พบกับ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ วิชชากร อนุชน นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มดาวดิน ซึงร่วมกิจกรรมชูสามนิ้ว และแสดงเสื้อยืดแสดงข้อความ "ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร"ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ระหว่างเยือน จ.ขอนแก่น เมื่อ 19 พ.ย. ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ก่อนได้รับการปล่อยตัว

โดยข้อความที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊คของสหภาพยุโรปมีดังต่อไปนี้

"คุณ แซนดรา เดอ วาล หัวหน้าฝ่ายการเมืองของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยได้พบกับคุณจตุพัตน์และคุณวิชากรสมาชิกกลุ่มดาวดินที่ถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมาจากการที่ได้แสดงออกทางความคิดอย่างสันติในการที่ไม่เห็นด้วยกับทางรัฐบาล ทั้งนี้ สหภาพยุโรปมีความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในหลักการของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและขอเรียกร้องให้ทางการไทยเคารพในสิทธิและเสรีภาพนี้"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

งานวิจัยเผย “คนดี” มีแนวโน้มจะเป็น “คนโกง”

$
0
0

นักวิจัยพบว่าการคิดว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรมนำไปสู่พฤติกรรมสุดโต่ง และ “คนดีมีศีลธรรม” มองการโกงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยให้ความชอบธรรมว่ามันคือหนทางไปสู่ปลายทางแห่งศีลธรรม

ความเชื่อว่า คนที่มีศีลธรรมสูงกว่าคือคนดีของสังคม ถูกท้าทายด้วยงานวิจัยล่าสุดที่พบว่า สำนึกสูงกว่าทางศีลธรรมนั้นกลับชักนำไปสู่การละเมิดจรรยาบรรณ เช่น การโกง เป็นต้น และกลายเป็นว่า “คนดี” มีแนวโน้มที่จะเป็น “คนโกง

เมื่อถูกขอให้อธิบายเกี่ยวกับตัวเอง ผู้คนจำนวนมากก็มักจะบอกเกี่ยวกับกิจกรรมที่ตัวเองทำ เช่น ชอบโยคะ แต่ก็มีบางกลุ่มที่อธิบายตัวเองด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “อัตลักษณ์ทางศีลธรรม” ซึ่งคำตอบที่จะได้จากคนกลุ่มนี้ก็ได้แก่ “ฉันเป็นคนซื่อสัตย์” หรือ “ฉันมีความห่วงใยผู้อื่น”

งานวิจัยในอดีต ชี้ว่าคนที่อธิบายเกี่ยวกับตัวเองว่าเป็นคนซื่อสัตย์มีเมตตามักจะมีแนวโน้มว่าจะเข้าร่วมในกิจกรรมอาสาสมัคร และกิจกรรมต่างๆ ที่รับผิดชอบต่อสังคม

แต่หลายครั้งในชีวิตจริงที่ ความหมายของคำว่า ถูกและผิดนั้นมีลักษณะเบลอๆ ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวกับการสอบหรือในบริบทของการทำงาน เช่น บางคนจะอธิบายการโกงข้อสอบว่าเป็นวิถีทางที่จะพาไปสู่ความฝันว่าจะเป็นหมอเพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คน

เรย์โนลด์และ ทารา เซเรนิค จากมหาวิทยาลัย University of Washington Business School in Seattle ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาและผู้จัดการบริษัท รายละเอียดของงานวิจัยใหม่ชิ้นตีพิมพ์ในนิตยสาร Journal of Applied Psychologyในเดือนนี้ (พฤศจิกายน) นักวิจัยพบว่า เมื่อกลุ่มคนที่เชื่อว่าตัวเองมีศีลธรรมสูงเผชิญกับความกำกวมของเส้นแบ่งระหว่างถูกและผิด “คนดี” เหล่านี้จะสามารถกลายเป็นคนโกงอย่างที่สุด

“ทฤษฎีที่เราค้นพบก็คือว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการตัดสินใจด้านศีลธรรมแล้ว กลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์แข็งแกร่งด้านศีลธรรมจะเลือกกำหนดชะตากรรม (เพื่อสิ่งที่ดี หรือเพื่อสิ่งที่เลว) และอัตลักษณ์ทางศีลธรรมนั้นเองที่ผลักดันพวกเขาไปสู่ความสุดโต่ง และนี่ช่วยอธิบายว่าอะไรเป็นเหตุเกิดนักบุญผู้ยิ่งใหญ่กับคนมือถือสากปากถือศีล” สก็อต เรย์โนลด์ นักวิจัย กล่าว
เมื่อถามว่าทำไมคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์ถึงโกง นักวิจัยพบว่า “คนดีมีศีลธรรม” มองการโกงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยให้ความชอบธรรมว่ามันคือหนทางไปสู่ปลายทางแห่งศีลธรรม

หนึ่งในกลุ่มตัวอย่างที่นักวิจัยยกมาไว้ในงานวิจัยอธิบายว่า “ถ้าผมโกง ผมก็จะสามารถเข้ามหาวิทยาลัย และเมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็จะเป็นหมอได้ และคิดถึงคนที่จะเข้ามาขอให้ผมช่วยเหลือเมื่อผมเป็นหมอ”

ในสนามการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นในมหาวิทยาลัยหรือในธุรกิจ ล้วนสร้างแรงจูงใจในการโกง “การโกงคือหนทางที่ทำให้เหนือกว่าในการแข่งขัน และรางวัลที่ได้ก็คือสู่ชัยชนะเหนือคู่แข่งคนอื่น”  ดร. แดเนียล ครูเกอร์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนอธิบาย โดยกล่าวด้วยว่า ดูเหมือนว่าความต้องการและความคาดหวังว่าจะ “เป็นที่หนึ่ง” ในสังคมนั้นเพิ่มมากขึ้น และเขาไม่แปลกใจเลยที่การสำรวจพบกว่า ในกลุ่มตัวอย่างจากมหาวิทยาลัยกฎหมายมีการฉีกตำราบางหน้าออกจากหนังสือในห้องสมุดเพื่อไม่ให้นักเรียนคนอื่นๆ ได้อ่าน

เรย์โนลด์และ เซเรนิค ได้ทำการสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง 230 ซึ่งเป็นศึกษา มีอายุเฉลี่ย 21 ปี ที่เรียนในหลักสูตรธุรกิจขั้นสูง การสำรวจได้ทำการชี้วัดอัตลักษณ์ทางศีลธรรม  จากคำถาม 12 ข้อเกี่ยวบุคลิกภาพด้านศีลธรรมที่สำคัญๆ  เช่น ความมีเอื้อเฟื้อ เจตจำนงในการทำงานหนัก ความซื่อสัตย์และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และก็สิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพด้านศีลธรรม เช่นหนังสือ กิจกรรม และเพื่อน

และนักศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างถูกสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมคดโกง 13 ข้อ เช่น แอบพกโพยข้อสอบ การลอกนักเรียนคนอื่นเป็นต้น 

ผลสำรวจพบว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างเคยมีพฤติกรรมโกงอย่างน้อย 1 อย่างใน 13 อย่างที่ถูกสอบถาม และกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าพวกเขาไม่พูดอะไรเมื่อได้ประโยชน์จากการที่อาจารย์ให้คะแนนผิด เกือบร้อยละ 50 ยอมรับว่าเคยทำบางอย่างที่ไม่ถูกต้องนักไม่ว่าจะในงานกลุ่มหรือในงานที่ต้องทำคนเดียว  เกือบร้อยละ 42 เคยลอกข้อสอบเพื่อน

ผลการสำรวจพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนอัตลักษณ์ด้านศีลธรรมสูงและคิดว่าการโกงนั้นเป็นความบกพร่องทางศีลธรรม เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าโกงน้อยที่สุด ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่โกงที่สุดก็คือกลุ่มที่ให้ความชอบธรรมกับการโกงตามแต่สถานการณ์นั้นๆ

“ถ้าพวกเขาคิดว่ามันผิด เขาก็จะไม่ทำ แต่ถ้าเขาคิดว่าไม่เป็นไร เขาก็จะทำได้เต็มที่” เรย์โนลด์อธิบาย
การวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง 290 คนที่มีตำแหน่งผู้จัดการ ก็ได้ผลอย่างเดียวกัน การสำรวจนั้นสอบถามถึงพฤติกรรมต้องห้ามสำหรับที่ทำงาน 17 ข้อ เช่น พวกเขาเคยใช้บริการที่เป็นของบริษัทไปในทางส่วนตัวหรือไม่ ก็พบว่าผู้จัดการที่มีศีลธรรมสูงก็มีแนวโน้มสูงที่สุดที่จะทำพฤติกรรมเหล่านี้

“เมื่อมีอัตลักษณ์ด้านศีลธรรมแข็งแกร่ง ก็มักจะมองตัวเองว่าเป็นคนที่มีศีลธรรมดีเลิศ พฤติกรรมของพวกเขาก็มักจะสุดโต่ง” เรย์โนลด์กล่าว และบอกว่า แนวทางที่จะโน้มน้าวให้กลุ่มคนเหล่านี้ละพฤติกรรมการโกง เขาคิดว่าควรต้องศึกษาด้านศีลธรรม การเรียนในห้อง หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ต้องช่วยสื่อสารว่าอะไรคือพฤติกรรมที่ยอมรับได้ในทางศีลธรรม และอะไรที่ไม่ใช่

เรย์โนลด์ชี้ว่าระบบการเรียนแบบเก่าที่เน้นการให้รางวัลและการลงโทษนั้นมีส่วนช่วยมาก เพราะคนเราเรียนรู้จากการได้รางวัลและการถูกลงโทษ และสำหรับการคัดเลือกคนเข้าทำงาน การที่ผู้สมัครงานพูดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์นั้นไม่ใช่การยืนยันว่าเขาจะไม่โกง หากแต่ต้องมีการฝึกอบรมการทำงานที่ดีด้วย

 

ที่มา: Oddly, Hypocrisy Rooted in High Morals

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์แนะดูแต่ช่องบันเทิงไม่ได้-ต้องดูทีวีรัฐสภาด้วยเพื่ออัพเดตเรื่องปฏิรูป

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ ขอร้องอย่าต่อต้านรัฐบาล หันมาเสนอไอเดีย สปช. ดีกว่า จะถอยกลับไปก่อน 22 พ.ค. ไม่ได้-ต้องเดินหน้าลูกเดียว ย้ำรับฟังทุกกลุ่ม-รัฐบาลไม่มีศัตรู-ไม่จำกัดสิทธิใคร พร้อมแนะนำประชาชนดูแต่ช่องบันเทิงไม่ได้ ให้ดูทีวีรัฐสภาด้วยว่างๆ ลองเปิดดู จะได้รู้ว่าการปฏิรูปกำลังเดินหน้า-สนช.กำลังออกกฎหมาย

ที่มาของภาพ: เว็บไซต์รัฐบาลไทย

28 พ.ย. 2557 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา 20.15 น. ทั้งนี้มีการเปลี่ยนฉากหลังของรายการใหม่ เป็นภายในทำเนียบรัฐบาลแทนภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ปรารภเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ว่าจะเปลี่ยนฉากหลัง โดยเนื้อหาของรายการตามที่เผยแพร่ใน เว็บไซต์รัฐบาลไทยมีดังนี้

000

สวัสดีครับ วันนี้ก็ถือว่าเป็นอีกบรรยากาศหนึ่งเป็นการพูดคุยเล่าสู่กันฟังแล้วกันสบาย ๆ เพราะว่าเราก็ทำงานมามาก หลายวันแล้ว ในเรื่องของการประชุมบ้าง ในการไปพบปะกับหลาย ๆ หน่วยงานที่มีการจัดงานภายนอกบ้าง เดี๋ยวเกรงว่าฟังผมบ่อย ๆ แล้วก็จะรำคาญเสียเปล่า ๆ วันนี้ก็จะมาเล่าให้ฟังใช้เวลาให้น้อย ๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เพราะว่าเราพูดกันมานานแล้วว่าเราจะรักษาบรรยากาศในการปฏิรูป

ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ก็ได้มีการพบกับอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ ของกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้มีการนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของการป้องกันแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ซึ่งเราได้รับคำชมเชยเป็นที่น่ายินดีจากผู้อำนวยการองค์กรโลกเอดส์ ของ UN ท่านประธานท่านมาเอง เมื่อเดือนที่แล้ว และมาชื่นชมประเทศไทยว่าเหมาะสมที่จะเป็นประเทศที่เป็นตัวอย่างได้ และเป็นศูนย์กลางการแก้ปัญหาโรคเอดส์ในภูมิภาคด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ได้ และในโอกาสต่อไปก็คงเป็นของโลกด้วย เพราะเราแก้ปัญหาทั้งระบบ ทั้งในเด็ก ทั้งในผู้ใหญ่ และในส่วนของการรณรงค์การใช้โรคเอดส์ ที่เกี่ยวกับการรณรงค์การใช้เข็มสะอาด ซึ่งเป็นการริเริ่มของกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการมานานแล้ว อันนี้ผมนับว่าเป็นสิ่งที่ดีของประเทศไทย ว่าทำอย่างไรเราจะมีคนติดโรคเอดส์น้อยลง หรือในอนาคต ในอีก 25 ปี ข้างหน้าจะต้องไม่มีอีกเลย อันนี้เราก็ได้รับความไว้วางใจในเรื่องนี้ ก็มีทั้งนักวิชาการ มีทั้งคุณหมอ มีทั้งนักแสดงต่าง ๆ มาร่วมด้วย ผมถือว่าเป็นความร่วมมือระหว่างกัน ก็เตือน ๆ กันไปแล้วระมัดระวังโรคเอดส์อันตราย

วันนี้โรคเอดส์เราควบคุมได้ โรคซาร์ส เราก็ได้มาแล้ว วันนี้ก็เหลือโรคอีโบลา วันนี้ก็น่ายินดีอีกเหมือนกัน ว่าการที่มีข่าวว่ามีบุคคลที่อยู่ในการควบคุม โรคอีโบลานั้น ได้ออกมาจากสถานควบคุมอะไรก็แล้วแต่ วันนี้ก็ได้พบแล้ว และพบตัวแล้ว แล้วก็ตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้ติดเชื้ออะไร เป็นการเดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดของอีโบลา

ในส่วนของการทำงานในปัจจุบันนั้น ผมกราบเรียนว่าเราอยากจะฟังความเห็นทุกพวก ทุกกลุ่ม ในเรื่องของการปฏิรูป ในเรื่องของการทำงาน มีหลายท่าน ทั้งอดีตผู้นำรัฐบาล ทั้งในส่วนของนักวิชาการ นักศึกษา ได้ออกมาพูดในทำนองที่ว่าขอให้เรารับฟังความคิดเห็นของคนในทุกระดับบ้าง ผมก็ทำอยู่แล้ว ในวันนี้รับฟังจนมากไปหมดเลย ก็เพียงแต่ว่าขออย่าให้มีการต่อต้านกับการทำงานของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลย ถ้าหากว่าท่านจะรวมกลุ่มกัน แล้วก็สรุปผลการประชุมมา สรุปข้อคิดเห็นมา ส่งมาที่เราก็ได้ ส่งไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ได้ ส่งไปที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็ได้ ผมรับทุกช่องทาง ขอให้สรุปมา

วันนี้ก็มีหลายประการที่เรารับมาแล้ว เช่น การพูดคุยที่ธรรมศาสตร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราก็รับเข้ามา ฟังดูแล้วก็น่าจะมีเหตุผลดีพอสมควร ประเด็นก็คือว่าไม่ว่าใครจะเสนอมารับทั้งหมด กลุ่มไหนก็ตามรับหมด แต่เข้าช่องทาง ถ้าไปพูดแล้วสร้างความขัดแย้งเดินไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้กำจัดศัตรูเราไม่มีศัตรู และไม่ได้จำกัดสิทธิของใครเลยในวันนี้ เพราะฉะนั้นสถานการณ์ในวันนี้ ผมคิดว่าเราต้องเดินหน้าประเทศ พูดหลายครั้งแล้วว่าเราต้องเดินหน้าประเทศไปสู่ ความมั่นคงอย่างยั่งยืนในอนาคต วางพื้นฐานประเทศ

เพราะฉะนั้นหากเราจะถอยหลังกลับไป ไปเป็นเหมือนกับก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมาก็ถอยไปไม่ได้ วันนี้เรามีแต่เดินหน้ากันอย่างเดียว ทุกคนต้องช่วยกันทั้ง คสช. ทั้งรัฐบาล และภาคประชาชน นิสิต นักศึกษา ต้องช่วยกัน เคารพซึ่งกันและกัน วันนี้มีหลายพวก ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ประชาชน ธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน หลายคน หลายพวก ก็ฟังทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันใครมีส่วนร่วม เขาเรียกว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในเรื่องของการปฏิรูปต้องเข้ามาแล้วเสนอมา แต่ก็ขอให้มีพื้นฐาน มีแนวทาง มีหลักการบ้าง ถ้าคิดตามใจชอบก็ไปไม่ได้ วันนี้เราก็บอกแล้ว บอกให้ไปนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มา นำหลักการของต่างประเทศมา ประเทศนั้นประเทศนี้ เขามีการดำเนินการทางด้านการเมืองอย่างไร ในการบริหารประเทศลักษณะที่เป็นการใช้ระบบ รัฐสภาฯ เป็นอย่างไร ประชาธิปไตยในสิ่งที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร

ในเรื่องของการตรวจสอบการทุจริต การโปร่งใส หรือการใช้จ่ายงบประมาณก็ไปว่าอีกขั้นตอนหนึ่ง ต้องพูดให้ครบตั้งแต่ตอนเริ่มต้น การควบคุม การใช้จ่าย การตรวจสอบความสุจริตต่าง ๆ ไปว่ามา แต่ถ้านำทั้งหมดมาพันกันในเวลาเดียว เดินไม่ได้ หาข้อยุติไม่ได้ ขอความกรุณาด้วย วันนี้มีคนเห็นต่างกันมากมาย เพราะฉะนั้นต่างคนต่างทำบทบาทของตัวเองให้ดีที่สุดแล้วกัน และ คสช. ก็จะกำหนดบทบาทตัวเองชัดเจน รัฐบาลก็จะเกื้อกูลในการปฏิรูปให้ได้ โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด

ในเรื่องของการประชุม ครม. วันนี้มีการประชุมนาน ตั้งแต่ 09.00 น. ตอนเช้า และไปเสร็จเกือบบ่ายโมง ประมาณบ่ายโมง ทานอาหารเล็กน้อยก็มีการประชุมต่อ เป็นการประชุม BOI ซึ่งวันนี้ที่ผ่านมาของ BOI ก็มีหลายเรื่องที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข การวางยุทธศาสตร์ระยะยาว 7 ปี เราบอกแล้วว่าประเทศเราต้องเดินหน้า อย่างน้อยก็ 5 ปี 10 ปี วันนี้เรามีตามแผนเก่าอยู่เข้าปีที่ 2 เราก็เหลืออีก 2 ปี และอีก 10 ปี ข้างหน้าก็อีก 2 แผนพัฒนา ทำอย่างไรจะสอดคล้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปจะดำเนินการ ถ้าหากว่าถึงเวลานั้น ถ้าเราไม่วางวันนี้ไว้ วันหน้าก็ไปไม่ได้

วันนี้การประชุม ครม. ที่ว่ายาวเพราะว่ามีการประชุมในวาระปกติถึง 28 วาระด้วยกัน 28 วาระ ก็ถกแถลงกันนานพอสมควร หลาย ๆ ประเด็นก็กลุ่มงาน วันนี้ก็มีทั้งกลุ่มความมั่นคง ในเรื่องของสังคม จิตรวิทยา ในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ในเรื่องของการปฏิรูป เหล่านี้ต้องเข้ามาสู่ในกระบวนการขับเคลื่อนการทำงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง วันนี้มี 28 วาระ เร่งด่วนอีก 11 วาระ ก็ 30 กว่าวาระ ก็ประชุม ถกแถลงกันจนใช้เวลานานพอสมควร

ประเด็นสำคัญก็คือต้องหารือกันในเรื่องของการปฏิรูปว่าจะทำอย่างไร เราจะใช้เวลาที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม และทันเวลา และอะไรที่สำคัญก่อนสำคัญหลัง วันนี้ก็ตกลงกันว่าถ้าเราจะมีการเลือกตั้งกันในระยะเวลาอันใกล้วันหน้าจะต้องทำอย่างไรบ้าง คือการสร้างกระบวนการการเข้ามาสู่การบริหารราชการแผ่นดิน แล้วก็ในการบริหารราชการจะทำกันอย่างไร ทำให้ข้าราชการฝ่ายบริหาร มีความสมดุลกันกับข้าราชการที่จะต้องทำงานตามกรอบระเบียบของกฎหมายที่กำหนดไว้แล้วเดิม ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน คือถ้าเราบอกว่าข้าราชการก็ทำได้ แล้วก็ไม่ต้องเชื่อฟังคำสั่งฝ่ายบริหารก็ไม่ใช่ ต้องสมดุลกันทั้งคู่ ฟังซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาว่ามีความขัดแย้ง และมีการกล่าวล่วงในซึ่งกันและกัน

ในส่วนของกระบวนบริหารกับนิติบัญญัติจะทำกันอย่างไร ไม่ให้มีการทำทับซ้อน อันนี้ก็อีกเรื่องในเรื่องของกระบวนการตุลาการจะทำอย่างไร อย่าใช้เครื่องมือเหล่านี้ ซึ่งเป็นการถ่วงดุลอำนาจ 3 อำนาจแล้วมาพันกันไปมา ทำให้เกิดปัญหาในอนาคตด้วย

ในเรื่องของโครงการบริหารจัดการน้ำ ก็เคยเรียนมาหลายครั้งแล้วว่าที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็มีแผนงานบริหารจัดการน้ำมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ต่อเป็นภาคที่ครบวงจร วันนี้ผมก็ให้แนวทางไปแล้วไปคิดมาตั้งแต่สมัยที่เรามีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำใหม่แห่งชาติทั้งระบบ โดย คสช. วันนี้ผมก็ให้เขานำมาเสนอ ซึ่งมีท่านพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าก็ทำมาตั้งแต่สมัย คสช. แล้ว วันนี้มาให้ ครม. รับทราบ เราจะพูดถึงว่าต้นทุนน้ำจะมาจากไหนอย่างไร เราก็มีต้นทุนน้ำมาจากน้ำฝนใช่หรือไม่ อีกทีก็คือปริมาณน้ำจากน้ำฝนที่ล้นไป ท่วมไป ในช่วงหน้าฝนน้ำมาก ๆ เราจะทำอย่างไร นี่คือน้ำต้นทุนต้องเก็บไว้ให้มากที่สุด

เพราะฉะนั้นการสร้างอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ แล้วแต่จะต้องชัดเจน ตั้งแต่พื้นที่ตอนเหนือ ตอนกลาง และในพื้นที่ใช้น้ำ จะขยายกันอย่างไร ทั้งเก็บน้ำ และระบายน้ำให้ได้ พร่องน้ำให้เร็ว และกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ไม่ใช่ว่าน้ำมาปล่อยไปที่เดียวก็หมด กลัวน้ำท่วมอย่างเดียวไม่ได้ต้องวางแผนให้ทีเดียว ทั้งป้องกันภัยแล้ง และป้องกันน้ำท่วมด้วย เพราะปัญหาบ้านเรานั้นยังมีพื้นที่อีกมากมาย ซึ่งมีปัญหาเรื่องการใช้น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เรามีพื้นที่การเกษตรที่เราสามารถจัดส่งน้ำไปได้ในจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง อีกจำนวนมากซึ่งเราส่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อส่งไม่ได้ ต้องมีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดิน สภาพน้ำ หรือปริมาณน้ำที่มีอยู่ สภาพอากาศ ต้องไปตรงกับโซนนิ่งในวันข้างหน้าด้วย

ถ้าเราแก้ทั้งระบบเรื่องน้ำ เรื่องการโซนนิ่งไปด้วยกันจะแก้ได้ แต่วันนี้ผมบอกว่าไปกำหนดความเร่งด่วนมาว่าเราจะทำอันไหนก่อนอันไหนหลังตั้งแต่ต้นน้ำ ในเรื่องของการเก็บกักน้ำ เส้นทางที่จะลำเรียงน้ำมาทำอย่างไร และจะพร่องน้ำเหล่านี้อย่างไร และเก็บไว้ใช้ในฤดูแล้ง อันนี้เป็นแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว ท่านทรงรับสั่งไว้นานแล้ว เรื่องแก้มลิงบ้าง เรื่องอ่างเก็บน้ำ อ่างกวง เรื่องเขื่อนอะไรต่าง ๆ ยังไม่มีใครเคยพูดถึงเลยที่ไปถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่มีใครคิดจะสร้างอะไรทั้งสิ้น เป็นโครงการเก่า ๆ อย่านำมาล้วงแคะแกะเกากันออกมาอีก ถ้าทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ทำอย่างอื่น วันนี้อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป ในเรื่องของการที่จะทำให้ต้องไปทำให้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งประชาชนเขาคงไม่ยอมตรงนี้ แต่ทำอย่างไรเขาจะได้มีน้ำไว้ใช้ เพระฉะนั้น ประชาชนต้องเข้าใจเราเหมือนกันว่าต้องหาทางออกที่จะทำอย่างไร ทำเขื่อนไม่ได้จะทำอย่างไร ทำอย่างอื่นได้ไหม แล้วจะช่วยกันดูแลอย่างไรในระยะยาว

ในส่วนของน้ำเป็นประเด็น ก็คือว่า เคยมีโครงการบริหารจัดการน้ำแล้วตัวเลขเดิม ๆ ทราบอยู่แล้วผมไม่อยากจะเอ่ยจำนวนตัวเลข วันนี้เราไม่พูดถึงตัวเลขกัน มีจริง ๆ แล้วก็ประมาณการไว้คร่าว ๆ ก็ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรอาจจะใช้เวลาถึง 10 ปี ถ้าจะทำครบ ใช้งบประมาณสูงมากแต่เราก็จะพยายามใช้งบประมาณประจำปี ปีนี้ เราปี 2558 เราก็บางส่วนเราบรรจุใช้งบประมาณปี 2558 ดำเนินการจะเริ่มดำเนินการได้เลย อันนี้เป็นเสี่ยวหนึ่งเท่านั้นเอง น้อยมาก ในแผนบริหารจัดการภาพใหญ่แต่ก็อย่างน้อยก็จะบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนได้ในระดับหนึ่ง ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง ในเรื่องของการใช้อุปโภคบริโภค แหล่งน้ำประปาหรือไม่ก็เป็นในเรื่องของการเปลี่ยนไปเป็นปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยระยะเวลาสั้น ถ้าทำนาไม่ได้ ทำนาปรังไม่ได้ วันนี้เราทำนาปรังไม่ได้มากมายในหลายพื้นที่ด้วยกัน

ในส่วนนี้ก็คงต้องใช้งบประมาณประจำปี ถ้าจะต้องไปหางบประมาณอื่น ๆ มาร่วมทุนหรือกู้เงินต่าง ๆ ไปว่ากันอีกที ก็ต้องพิจารณากันให้ละเอียดอีกครั้งว่าเราพร้อมจะรักษาการในการกู้ต่าง ๆ หรือไม่ ในอนาคต เรื่องหนี้สาธารณะด้วย

ในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ วันนี้ก็มีกฎหมายหลายตัวที่เข้ามาเรื่องการลดความเหลื่อมล่ำ ถ้ายกตัวอย่างง่าย ๆ คือ ตอนนี้กระทรวงยุติธรรมมีการเสนอตั้งกองทุนยุติธรรมขึ้นมา เคยกราบเรียนไปแล้วว่า ทำอย่างไรคนที่มีรายได้น้อยหรือคนที่มีปัญหาเรื่องทางกฎหมายเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมก็จะตั้งกองทุนนี้ไว้ให้ ก็คงต้องจัดหาเงิน เม็ดเงินเข้าไปเติม นอกเหนือจากงบประมาณ จะนำเงินที่ไหนมาดีนำใส่เข้าไป แล้วก็เป็นการต่อสู้คดีความอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ หลักการอนุมัติไปแล้ว ก็คงต้องไปทำเรื่องกฎหมาย ในเรื่องงบประมาณต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง ก็จะทำให้ได้โดยเร็ว

ในเรื่องของการลงทุนทางด้านการค้า เราก็เคยคิดกันว่า ถ้ารัฐจะต้องลงทุนต่อไปในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ในเรื่องของการสื่อสาร การคมนาคมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ยกตัวอย่างเฉย ๆ  ถ้ารัฐอย่างเดียวไม่ทันเวลา เพราะฉะนั้น อาจจะมีการตั้งกองทุน มีสมาพันธ์ หรือว่ากองทุนเกี่ยวกับการสื่อสาร เกี่ยวกับพลังงาน ซึ่งมีอยู่บ้างแล้ว คราวนี้ทำอย่างไรจะเพิ่มมากขึ้น ทำอย่างไรประชาชนจะมีส่วนร่วม ผมว่าคนมีสตางค์ในเมืองไทยก็มีมาก แต่ว่าปัญหาอยู่ว่าถ้าตั้งกองทุนแบบนี้ขึ้นมาก็ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทนเขา ในวงเงินในอัตราดอกเบี้ยที่สูงพอสมควร อาจจะสูงกว่าการที่จะต้องไปกู้จากสถาบันทางการเงินอื่น ๆ  ก็ต้องไปทบทวนอีกที แต่อย่างไรก็เริ่มแน่นอน มีอยู่บ้างแล้วแต่จำนวนไม่มากนัก อันนี้เป็นเรื่องของการลงทุน

ในส่วนของการส่งเสริมธุรกิจ วันนี้เราจำเป็นต้องส่งเสริมทั้งในส่วนของระดับชาติ ในระดับต่างประเทศด้วยแล้ว และภายในประเทศด้วย ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เคยกราบเรียนไปแล้วในเรื่องของธุรกิจ SMEs  ก็ต้องให้ความสำคัญ เรามีถึงเป็นล้านล้านแห่ง ในวันนี้เป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เราต้องส่งเสริมให้เป็นจากเล็กเป็นกลางจากกลางเป็นขนาดใหญ่ขึ้น เราตั้งกองทุนแล้วในขณะนี้ก็กำลังปรับแก้คณะกรรมการต่าง ๆ แล้วก็ปรับแก้กองทุนต่าง ๆ เราจะโยกงบไหนมาใส่ตรงนี้ได้บ้างไหม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนส่วนหนึ่ง

อีกส่วนหนึ่งก็เป็นกองทุนในการที่จะขยายธุรกิจต่าง ๆ ก็ขอความร่วมมือพี่น้องที่ประกอบการธุรกิจร้านขนาดเล็กหลาย ๆ ประเภท 6 - 7 ประเภท การเกษตรก็มี ในเรื่องของการบริการก็มี อันนี้คงจะต้องไปหาช่องทางที่เข้าหากองทุนเหล่านี้ได้ วันนี้ก็มีสมาคมการค้าการอุตสาหกรรมอยู่แล้วก็ลองไปติดต่อจากทางโน่นเข้ามา เรามีการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) วันนี้ก็กราบเรียนอย่างนั้นก่อน

เรื่องการสร้างแบรนด์ในประเทศ ผมคิดว่ามีความสำคัญถ้าเราไม่คิดแบรนด์อะไรใหม่ ๆ เลย จะเป็นปัญหาในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร เกี่ยวกับเรื่องผลิตผลทางการเกษตร ทำอย่างไรให้มูลค่าสูง ผมยกตัวอย่าง วันนี้ผมก็คุยกันง่าย ๆ จะใช่หรือไม่ใช่ผมว่าก็ไปคิดแบบนี้ง่าย ๆ เช่น วันนี้ผมได้ข่าวว่า มีคนบางคนบอกแนะนำให้ทานบวบ ทานแล้วก็จะป้องกันมะเร็งได้อะไรได้  นี่ไปหาทีสิว่าจริงไม่จริง ถ้าจริงควรจะได้ปลูกบวบมากขึ้นไง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เท่านั้นเอง หลาย ๆ อย่าง บางคนก็บอกว่าใบหย่านางบ้างอะไรบ้าง อันนี้ คือ สมุนไพรทั้งหมดมีมากมายในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นคนก็รับประทานไป แล้วก็ไม่รู้ถึงคุณค่าของเขา บางทีก็นำไปทำลายทิ้งกำจัดวัชพืช วันนี้ต้องไปเพิ่ม เริ่มตั้งแต่เล็ก ๆ ในระดับหมู่บ้าน ชุมชน เขามีอยู่แล้ว เขาเรียกว่า ความรู้ในท้องถิ่น ปราชญ์ท้องถิ่น ทางการแพทย์หมอยาสมุนไพรไปดูสิทำได้แค่ไหนอย่างไร แล้วเรามาพัฒนาไปสู่การผลิต คือการเพาะปลูกแล้วก็ผลิต แล้วก็ทำเป็นสินค้าซื้อขายกัน เพิ่มมูลค่า

ในส่วนของการลงทุนเหล่านี้นั้น ผมอยากให้มีการลงทุนมากขึ้นในการประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในชุมชนขนาดเล็กขนาดใหญ่ด้วย ในทุก ๆ เรื่องเลย ทุก ๆ เรื่อง มีหลายสาขาที่เรียนไปแล้วประมาณ 7 สาขา ที่พอจำได้ การเกษตร นวดแผนโบราณ การท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ ต่อเนื่องกัน ไปดูก็แล้วกัน

ในการขับเคลื่อนปัญหาภายในประเทศ เกี่ยวกับเรื่องทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ วันนี้ก็คิดเรื่องข้าว เรื่องยาง คิดทั้งวันทั้งคืน ก็บอกพี่น้องชาวนา ชาวสาวนยางว่า เราพยายามอย่างเต็มที่ ว่าทำอย่างไรจะให้ราคาไม่ตกลงไปมาก วันนี้ก็ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา วันนี้ก็เห็นมีหลายคณะมาพบที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ก็เห็นเชิญกันไปคุยที่กระทรวงเกษตรแล้วว่า จะต้องใช้เวลาอย่างไรจะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าจะใช้เงินมาก ๆ คงไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ก็ช่วยไปมากแล้ว คงต้องใช้เวลาไม่มากในการที่จะสร้างมาตรฐานราคาให้สูงขึ้น ผมคิดว่าวันนี้ถ้าราคาน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ แต่อาจจะกำไรน้อยหน่อยสำหรับชาวนาที่ลงทุนสูง ผมถึงบอกไปแล้วว่าการลงทุนต้องไปลดอย่างไรค่าการลงทุนในการทำนาหรือการทำสวนยาง สวนยางก็ไปคุยสิว่าการดูแลสวนยาง การพัฒนาหรือการให้ปุ๋ยจะทำอย่างไร ปุ๋ยอินทรีใช้ได้หรือไม่ วันนี้มีปัญหามากที่สุดคือเจ้าของสวนยางกับใครกับผู้กรีดยางรับจ้าง ทั้งสองอย่างนี้ก็สัดส่วนต้องปรับอะไรกันหรือเปล่าแล้วจะต้องยอมรับกันอย่างไร ถ้าทั้งสองส่วนนี้ต้องการเพิ่มทั้งคู่ รัฐบาลก็ไปไม่ไหวทุกประเทศเป็นหมด

วันนี้ได้เสนอมีการประชุมร่วมกันมี 4 ประเทศ มี ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่ในส่วนอาเซียนด้วยกัน ในส่วนของจีน ส่วนของญี่ปุ่น ผมก็ได้ขอความร่วมมือไปแล้วว่าจะทำอย่างไรที่จะยกระดับสินค้าทางการเกษตรเหล่านี้

ในส่วนของการที่จะแก้ไขกฎหมายนั้น ผมเรียนว่าทั้งหมดนี้เท่าที่ไล่ในขณะนี้ ถ้าเรามองว่ากฎหมายทั้งหมดที่จะต้องแก้ไขในหลาย ๆ ประเภท ทั้งกฎหมายปกติ กฎหมายที่ออกยังไม่ได้คั่งค้างอยู่ กฎหมายที่เป็นสากล กฎระเบียบเกี่ยวกับการทำสัญญาทางการค้าเหล่านี้ ทั้งหมด 300 – 400 ฉบับ แล้วมีบางอย่างต้องออกใหม่เพิ่มเติมด้วยเรื่องลดความเหลื่อมล่ำ เรื่องการศึกษา เรื่องการเข้าถึงเหล่านี้มากมาย ก็ปรับมาขณะนี้ได้ประมาณสัก 163 ฉบับ ที่จะต้องออกให้ทันภายใน 1 ปี ที่มีการปฏิรูป เพราะฉะนั้น วันนี้ได้กำหนดไว้ว่า แต่ละเรื่อง ๆ ควรจะเท่าไร จำนวนเท่าไร ใน 3 เดือนแรก 3 เดือนต่อไป อันนี้ก็กราบเรียนทางสภานิติบัญญัติ แล้วก็สภาปฏิรูปด้วย ต้องสอดคล้องกันทั้งหมดแม่น้ำ 5 สายที่ว่ารัฐบาลก็จะขับเคลื่อนไป อะไรที่ทำได้ทำเลย อะไรต้องแก้กฎหมายก็แก้ให้ทันภายใน 1 ปี อะไรที่ยังทำไม่ได้ต้องไปเพิ่มเติมรายละเอียดอีกหลายอย่างก็ไปว่ากันในระยะยาว วันนี้อะไรที่ออกได้ต้องออกก่อน แต่ต้องฟังความคิดเห็นก่อน อันนี้ขอย้ำ

เรื่องเศรษฐกิจพิเศษ  เราก็พูดกันหลายครั้งแล้ว เดี๋ยวผมเกรงว่าหลาย ๆ คนจะไม่เข้าใจว่า ถ้าเรามุ่งหวังชุมชนอย่างเดียวหมู่บ้าน ตำบลอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เราก็ต้องสร้างทั้งในส่วนของการ Trading เขาเรียกว่าการค้า ถ้าเรายังสร้างสังคมที่เป็นผู้ผลิตอย่างเดียว หรือประเทศเราเป็นประเทศผู้ผลิตอย่างเดียว คือไม่มีการทำการค้าเอง ไม่ได้ วันนี้หลายอย่างที่เราต้องแก้ ระดับประชาชนก็ทำ พี่น้องประชาชนต้องหาทางว่า จะทำอย่างไรจะเกิดตลาดชุมชนให้ได้ ตลาดกลุ่มจังหวัดให้ได้ ลดในเรื่องของการควบคุมราคาต่ำ โดยพ่อค้าคนกลางอะไรแบบนี้ต้องแก้ไข ถ้าเราTrading เองหรือค้าขายกันเองผมว่าจะได้รายได้ดีขึ้น แล้วเรารวมกลุ่ม ใครมาซื้อของถูกเราก็ไปขายอะไรทำนองนี้ แต่ท่านก็ต้องรัฐบาลจะดูแลในเรื่องนี้ ในเรื่องของการ Trading ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐบาลกับต่างประเทศด้วย

วันนี้ก็มีการเตรียมการในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนในลักษณะบริษัทการเงินจากต่างประเทศ มาลงทุนในประเทศเรา เหมือนกับประเทศที่มีการลงทุนมากมาย ในปัจจุบันปัญหาของเราคือความยากง่ายในการประกอบการ และในเรื่องของการสร้างบุคลากรที่จะรองรับเรื่องเหล่านี้เราต้องเตรียมการให้พร้อม วันนี้ได้สั่งกระทรวงศึกษาธิการไปแล้ว เรื่องเพื่อการเตรียมการเรื่องเหล่านี้ ในเรื่องของการตั้งบริษัทเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนด้านการเงินวันนี้มีหลายประเทศสนใจ แล้วเราต้องแก้ไขกฎหมายเหมือนกันจะได้เร็วขึ้นแล้วก็ทำได้โดยเร็ว

ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการขาดน้ำ หรือน้ำท่วมปี 2558 ผมบอกไปแล้วว่า ถ้าเราทำแผนใหญ่ออกมาแล้ว ทั้งประเทศออกมาแล้ว ทั้งทุกระบบแล้วปี 2558 ต้องเกิดผล ในปี 2558 ตรงไหนไม่ควรจะท่วมอีกแล้วก็ต้องไม่ท่วม ตรงไหนที่จะไม่แล้งอีกแล้ว ก็ต้องไม่แล้งคงเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่โตมากนักเป็นบางพื้นที่เท่านั้น คงทั้งประเทศไม่ได้ ผมเรียนไปแล้วว่าทั้งประเทศ ใช้เวลาในการทำหลายปี เป็น 10 ปี ใช้งบประมาณสูงมาก แล้วก็ค่อยทำในช่วงที่มีความเดือดร้อนมากที่สุดก่อน ตรงไหนที่พอจะประคับประคองไปได้ก็ค่อย ๆ ทำไป แต่ทั้งหมดก็ต้องบูรณาการทั้งหมดที่

รัฐบาลได้ให้ไปแล้วกับทุกกระทรวงทบวงกรม การดูแลพ่อแม่พี่น้องต้องเฉลี่ยให้เข้าถึงมากน้อยก็ว่ากันมาอะไรที่เพิ่มได้ก็เพิ่ม งบเหลือจ่าย งบกลางปีอะไรต่าง ๆ ก็ไปว่ามา งบเงินกู้ก็ต้องไม่มีปัญหาทั้งกู้ในประเทศ ทั้งกู้ในต่างประเทศด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแล้วกัน

หลายเรื่องที่มีปัญหาก็คือเรื่องเงินทุน เรื่องคุณภาพของการทำงาน ก็คือบริษัทต่าง ๆ ที่มารับไปแล้ว บางทีคุณภาพไม่ได้ แล้วก็ในเรื่องของการผ่านการทำประชาพิจารณ์ เหล่านี้จะเป็นปัญหาหมดถ้าไม่ยอมกันเลยก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น วันนี้เรามีปัญหาเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค แหล่งน้ำประปา การส่งน้ำประปาให้ทั่วถึงยังมีปัญหา ผมคุยกับกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว ก็รับว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่สามารรถจะดำเนินการได้ โชคดีที่ทำมาโดยต่อเนื่อง อันนี้ก็ขอบคุณในส่วนที่เกี่ยวข้องหลาย ๆ ส่วนด้วยกันทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทยแล้วก็ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการที่จะช่วยดูแลประชาชน

ในเรื่องของการไปประชุมร่วมกับต่างประเทศ ในวันนี้ก็ให้นโยบายกับทุกกระทรวงว่า เวลาประชุมมีเรื่องหลายเรื่องที่จะไปพูดกับเขา ไปรับอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีข้อเสนอข้อเราไปด้วย ไม่ว่าจะเรื่องโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานสีเขียว ต้องมีข้อเสนอของประเทศเราไปด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องโลกร้อนเราไม่ใช่ประเทศที่สร้างโลกร้อนมลพิษมากนักแต่เรามีป่าไม้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรเราจะได้ให้เขาสนใจเราตรงนี้ว่า ประเทศใดที่มีประเทศที่รักษาป่าไม้ได้ดี เคยพูดกันมาแล้วในเรื่องของคาร์บอนเครดิตก็คงต้องทำให้ต่อเนื่องว่าทำอย่างไรประเทศเหล่านี้จะได้เงินมาสนับสนุนในเรื่องการดูแลป่าไม้ ในเรื่องของการรักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เพื่อจะได้เป็นปอดของโลก เราสร้างความสำคัญตรงนี้ให้ได้ก็แล้วกัน

เพราะฉะนั้นการประชุมในทุก ๆ เรื่องทุกกระทรวงต้องรู้ทุกเรื่องว่า เราจะไปพูดอะไรกับเขาเป็นฝ่ายเศรษฐกิจไปประชุมเศรษฐกิจก็พูดในเรื่องความมั่นคงได้ เพราะพันยึดโยงกันในขณะนี้ต้องมีข้อมูล เพราะฉะนั้นจะทำงานแบบอิสระกระทรวงใด กระทรวงหนึ่ง ไม่ได้แล้ว ต้องรู้กระทรวงอื่นเขาด้วย นั้นเวลาประชุม ครม. ผมจะพูดมาก ให้เข้าใจว่านโนบายของรัฐบาลว่าอย่างไร กระทรวงนั้น กระทรวงนี้มีส่วนเกี่ยวข้องตรงไหน อะไรหลักอะไรลอง อะไรเสริม จะได้มีเรื่องจะพูดกับเขา ไปยื่นข้อเสนอเขาบ้าง ไม่ใช่ไปรับเขามาอย่างเดียวไม่ได้

ในเรื่องของการค้าการลงทุนวันนี้เราแก้ไขไปหลายอย่างด้วยกัน เรื่องกฎ กติกา เรื่องขั้นตอนเวลา ระยะเวลา เดิมเคยใช้ระยะเวลาเป็นเดือน ๆ วันนี้ต้องเรียบร้อยภายใน 30 วัน และการลงทุนทั้งหมดต้องไปเข้าที่ BOI ก่อน แล้ว BOI จะชี้แจงได้ ถ้าเป็นต่างประเทศ ในประเทศก็ได้ คือถ้านึกอะไรไม่ออกก็ไปที่ BOI  แต่นึกอะไรไม่ออกมาที่รัฐบาลเลยก็ได้ ผมก็พร้อมที่จะชี้แจง พร้อมที่จะมีผู้นำพาหรือตอบรายละเอียด ผมว่าไปให้ถูกต้องดีกว่า ทางพาณิชย์ก็มี ทางอุตสาหกรรม ทาง BOI มีหมด ศูนย์ One Stop Service

เรื่อง One Stop Service ก็เหมือนกัน วันนี้ก็มีปัญหาอีกเรื่องการค้ามนุษย์ ผมให้ความสำคัญ ที่ทำมาทั้งหมด จดทะเบียนประเทศเพื่อนบ้านไปแล้ว แต่บางประเทศก็ยังไม่ได้จดทะเบียน เช่น เวียดนาม ก็ได้คุยกัน หารือกันแล้วว่า จะต้องตั้งขึ้นมา แล้วก็จดทะเบียนชาวเวียดนามที่ทำงานในประเทศไทย อีกประเทศหนึ่งที่ทำงานอยู่ ทางประเทศต้นทางเขาขอมา ปัญหาอยู่ที่ไหนทราบไหมครับ ปัญหาอยู่ที่ว่าการพิสูจน์สัญชาติทำได้ช้า ต้องมีชุดพิสูจน์สัญชาติเคลื่อนที่ไปอีก อะไรอีก วันนี้ที่ผ่านมา 2 ประเทศก็ยังทำอยู่ และใช้บัตรชั่วคราวไปก่อน เพราะฉะนั้นต่อไปก็คงต้องทำอย่างไรให้เร็ว และต้องเตรียมการให้รองรับ AEC ในปีหน้าด้วย ปีหน้าต้องเตรียมคนงาน แรงงานให้พร้อมทั้ง ไทยและต่างประเทศ ให้ถูกกฎหมาย ถ้าเปิดพื้นที่ขึ้นมา มีโรงงานมากขึ้น แล้วจะเอาคนงานจากที่ไหนมา ถ้าไม่เตรียมให้ขึ้นบัญชีไว้ เตรียมการไว้ด้วย

ปัจจัยวันนี้ที่ต้องการให้พวกเราทุกคนได้เข้าใจก็คือ ปัจจัยในการกำหนดให้ประเทศมีความก้าวหน้าได้อย่างไร สร้างความเข้มแข็งได้อย่างไร หลายประการด้วยกัน ไม่ใช่ปัจจัยแต่ในประเทศ ในประเทศขออย่างเดียวเสถียรภาพ มั่นคง และปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อันนี้เป็นหลักอันที่ 1 และวันนี้เกิดเรื่องอื่น ๆ มาอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ต่างประเทศ ด้านความมั่งคง ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ เมื่อสักครู่ดูข่าวในทีวี ทั้งไทย ต่างประเทศ ก็มีความขัดแย้งหลายประเทศด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอย่าทำให้เกิดขึ้นในประเทศเราดีกว่า เราจะได้รองรับความเจริญต่าง ๆ ที่จะเข้ามา ที่ไหนขัดแย้งมาก ๆ เขาก็ไม่ไป เขาก็จะได้มาที่เรา เพราะเราไม่ขัดแย้ง ฝากไว้ด้วย เพราะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจวันนี้ก็ต้องใช้คำว่า เป็นพลวัต ก็คือต่อเนื่องเชื่อมโยง หมุนเป็นพลวัต ไม่ใช่เดินมาแล้วก็หยุด แล้วก็หยุดรอเขา ไม่ได้ ต้องเดินไปเรื่อย ๆ เป็นพลวัตก้าวทดแทนกันไปเรื่อย ๆ เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ ขายขนาดอะไรไปเรื่อย ๆ

ในเรื่องของกติกาสากล เรื่องโรคร้อน เรื่องโรคระบาด เรื่องการใช้ความรุนแรง การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาส ต้องแก้ใหญ่โต วันนี้ประเทศไทยไม่ได้ดูแลลึกรายละเอียดมานาน วันนี้ต้องแก้ทั้งระบบ ต้องใช้เวลาให้เร็ว มีเวลาปีเดียว การพัฒนาความยั่งยืนเป็นเรื่องของกายภาพที่สำคัญ ถนนเส้นทาง สาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อันนี้พูดหลายครั้งแล้ว ทุกหน่วยงานต้องไปช่วยกัน ประชาชนก็ต้องร่วมมือช่วยกันในการที่จะแสดงความคิดเห็นหรือแสดงความต้องการ และในสิ่งที่เป็นไปได้ ถ้าต้องการเวลาเดียวเร็ว ๆ ไม่ได้หรอก

อีกอย่างหนึ่งที่จะมีผลต่อการพัฒนาประเทศก็คือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างในประเทศของเรากับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าความเชื่อถือระหว่างผู้นำของแต่ละประเทศมีความเชื่อถือกัน ให้ความสนใจซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนกัน นับถือซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกัน ก็พูดอะไรอย่างอื่นก็ได้ แต่อยู่ในกรอบที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติ อยากจะฝากว่า ขอเถอะ อย่าไปขัดแย้งกับใครอีกเลย ในประเทศก็ไม่ได้ ต่างประเทศก็ไม่ได้อีกแล้ว อย่าไปขัดแย้งกับเขา

วันนี้จริง ๆ ก็อยากจะพูดเบา ๆ พูดไปก็หลายเรื่องอีกเหมือนเดิม ปัญหาก็มากมาย แต่ค่อย ๆ แก้ไปแล้วกัน ในเรื่องของการสร้างความเข้มแข็งในอาเซียนมีผลกระทบกับประชาคมโลกด้วย เพราะเราเป็นแหล่งข้าว แหล่งน้ำ แหล่งอาหารโลก แหล่งพลังงานทดแทนของโลก อนาคตคิดว่าประเทศเราจะเป็นผู้นำทางด้านอาหารร่วมกับประเทศหลายประเทศในอาเซียนด้วย อดใจรอให้ถึงเวลานั้น วันนี้ก็ร่วมมือกัน ความขัดแย้งในประเทศจะเป็นตัวถ่วงความเจริญทุกด้านเลยไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปกดดันใคร ไม่ฟังความคิดเห็นของใคร ใช้การควบคุมอำนาจ มากำกับสิทธิเสรีภาพไม่ใช่ วันนี้ผมถือว่าเต็มที่แล้ว ที่เราผ่อนผันให้ทุกอย่าง ฉะนั้นขอร้องเรื่องการสร้างวาทกรรม สร้างผลกระทบที่มีต่อการปฏิรูป ขอเถอะนะ เพราะไม่เกิดประโยชน์

เรื่องการทุจริตผิดกฎหมาย หลายท่านก็เป็นห่วง คสช. ยังให้ความสำคัญอยู่ ให้เหมือนเดิม จะเห็นได้ว่ามีการสอบสวนดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้น้อยมากมายไปหมด ก็สอบสวนไป ใช้เวลาไป ก็ว่าไป อย่าไปเร่งรัดเลย ในส่วนของเรื่ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งจะมีการหมดอายุ ผมได้เสนอไปให้ ครม. พิจารณาแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาอยู่ว่าจะทำอย่างไร ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ ก็ให้รักษาการก่อนได้หรือไม่ น่าจะดีกว่า ผมคิดว่าอย่างนั้น พี่น้อง อปท. ก็เตรียมตัวให้ดีว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ข้อสำคัญคือท่านคิดแล้วกันว่าท่านจะทำอย่างไร ให้ประเทศชาติปลอดภัย และก้าวหน้าไปให้ได้ เพราะว่าต้องสอดคล้องทั้งรัฐบาล ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ต้องเดินไปให้ได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

ในสัปดาห์นี้ผมจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ 2 ประเทศ เป็นประเทศใกล้ ๆ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งมีการพบปะกับท่านผู้นำ 3 ครั้งแล้วในการประชุมที่ผ่านมา ก็คงไปพูดคุยเฉพาะทวิภาคีกันอีกครั้งหนึ่ง ว่าอะไรที่ตรงกัน อะไรที่จะขับเคลื่อน อะไรที่ยังค้างอยู่ ไปพูดกันให้หมด จะได้เดินหน้าประเทศทั้ง 2 ประเทศให้มีความก้าวหน้าไปให้เร็วขึ้น

ในช่วงต่อไป รู้สึกจะมีที่ประเทศทางใต้เรา คงเป็นประเทศสุดท้ายที่ใกล้ ๆ รอบบ้าน มาเลเซียเนื่องจากว่าเลื่อนกันมาหลายครั้งแล้ว ท่านก็ไม่ว่างผมก็ไม่ว่าง ก็ไปว่างกันตอนสิ้นเดือนอีกที คงไปอีกครั้งในช่วงนั้น นอกจากนั้นก็เป็นการประชุมตามวาระ มีที่เกาหลี เรื่องความร่วมมือครั้งหนึ่ง และมีการประชุมที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีกล่าวไว้ที่ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ก็เป็นระยะ ๆ ไป ความจริงแล้วผมอยากขับเคลื่อนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถ้าเรามัวแก้ปัญหาในประเทศอย่างเดียว คงไม่ได้ ก็ต้องไปเดินต่างประเทศด้วย ในประเทศ วันนี้ทุกคนในรัฐบาล ผมคิดว่าทุกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายก็เดินหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้งอาจจะสร้างการรับรู้ได้ไม่มากนัก เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการ ถ้าพูดไปทั้งหมด ก็อันตราย ที่พูดไปแล้วเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราก็จะค่อย ๆ สร้างการรับรู้ไปให้กับพี่น้องประชาชนไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ใจอย่าร้อนมากนัก ผมคิดหมด เพราะรับปัญหามาทั้งหมดอยู่แล้วในขณะนี้ ผมมีประสบประการณ์ยาวนานพอสมควร รับฟังปัญหามาตลอดระยะเวลาในการรับราชการ วันนี้ก็นำสิ่งเหล่านั้นมาทบทวน และนำเข้าสู่การปฏิบัติการขับเคลื่อน

เย็นนี้ ทุกวัน เวลา 18.00 น. ถ้าว่างก็ชมรายการเดินหน้าประเทศไทยด้วย 15 นาทีเองว่า เขาทำอะไรกันบ้าง ถ้าไม่ฟังเลย ก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้ว พอมาถามผม แล้วผมตอบไปบางทีไม่ครบ ก็เป็นปัญหาต่อไปในอนาคต และที่พิเศษอีกอย่าง ที่ผมสั่งการเพิ่มเติมในการประชุม ครม. ทุกครั้ง ผมจะให้โฆษกรัฐบาล สรุปและอธิบายชี้แจงเพิ่มเติมว่า การประชุมมีอะไรบ้าง ที่ผ่านมาอาจจะสร้างการรับรู้ไม่ได้มากนัก ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะให้มีการนำมา ย้อนหลังในรายการเดินหน้าประเทศไทยด้วย ลองติดตามดู จะได้รู้และจะได้ลดความเป็นห่วงว่าเรื่องนี้ผมทำหรือยัง เรื่องนั้นทำหรือยัง คิดหรือยัง ถ้าท่านติดตามแบบนี้ก็จะดี ทั้งเรื่องการปฏิรูป เรื่องกฎหมาย เรื่อง สนช. สปช. เรื่องรัฐบาล อีกช่องหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ดู ช่องโทรทัศน์รัฐสภา เขาถ่ายทอดทั้งวัน เป็นสาระใครชอบกฎหมาย ใครชอบการทำงานของรัฐบาลในลักษณะการบริหาร ดีไม่ดีลองเปิดดู ว่าง ๆ ก็เปิดดูก็ได้ อย่าไปดูบันเทิงมาก ๆ อย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูทุกอย่าง จะได้รู้ว่าประเทศเรา หนึ่งละครก็ดูได้ ภาพยนตร์ก็ไปชมได้ ไปเที่ยวที่ไหนก็สะดวกขึ้น และการปฏิรูปก็กำลังเดินหน้า สนช. กำลังออกกฎหมาย จะได้เข้าใจว่าประเทศเราไปตรงไหนตอนนี้ ถ้ายังเอาปัญหาพันไปพันมา ไม่ได้ ตอนนี้ต้องเคารพรักษากฎ กติกา ระเบียบให้เดินหน้าประเทศให้ได้ ผมพร้อมรับฟังทุกท่าน พร้อมรับฟังทุกกลุ่ม ขอบคุณในคำแนะนำ จากทุกท่านที่ได้กรุณาให้คำแนะนำกับรัฐบาล และ คสช. มา ขอบพระคุณครับ สวัสดีครับ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นำร่องใช้ 'e-Market และ e-Bidding'กับส่วนราชการ 12 แห่ง 1 ม.ค. 58

$
0
0
กรมบัญชีกลางพร้อมเดินหน้านำระบบ e-Market และ e-Bidding มาแทน e-Auction ในการจัดซื้อจัดจ้าง เริ่มใช้ทดลองนำร่องกับส่วนราชการ 12 แห่ง ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ลดปัญหาการฮั้วราคากันเองระหว่างภาคเอกชนที่เข้าร่วมประมูล

 
29 พ.ย. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า หลังจาก ครม. เห็นชอบแนวทางปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ด้วยการนำ ระบบ e-Market มาใช้แทนระบบเดิม ด้วยการให้เอกชนที่ผลิตหรือขายสินค้าประเภทต่างๆ นำราคาสินค้ามาขึ้นบนเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง เช่น สินค้าคุรุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือ ดิน สอ โต๊ะ ตู้เอกสาร นับหลายพันชนิดที่ใช้ในสำนักงาน เพื่อมเสนอราคาขายสินค้าผ่านระบบ e-Market  และให้หน่วยงานราชการเข้ามาดูและเปรียบเทียบราคาและใช้เป็นแหล่งอ้างอิง เพื่อใช้เปรียบเทียบระหว่างหน่วยงานรัฐในการจัดซื้อสินค้าประเภทเดียวกันเพื่อไม่ให้ราคาสินค้าเกิดความแตกต่างกันมากเกินไปสำหรับการลงทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเป็นกรณีพิเศษ ในการจัดจ้างบริการด้านต่างๆ แก่หน่วยงาน การสร้างงานศิลปะ ให้นำระบบ e-Bidding  เพื่อให้หน่วยงานราชการเสนอความต้องการในสินค้าและบริการเพื่อให้บริษัทเอกชนเข้ามารับจ้างผลิตสินค้า เพื่อเป็นฐานข้อมูลในอนาคต เพื่อนำมาทดแทนระบบ e-Auction หลังลดปัญหาการฮั้วราคากันเองระหว่างภาคเอกชนที่เข้าร่วมประมูล  เพื่อไม่ให้ผู้ร่วมประมูลได้เจอหน้ากันทั้งส่วนราชการและผู้ประมูล โดยประมูลผ่านระบบของกรมบัญชีกลาง ขณะที่ระบบเดิมจะทำการประมูล e-Auction ผ่านตลาดตัวกลางจากบุคคลภายนอก ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมเสนอรัฐบาลให้ใช้ประมูลในลักษณะเดียวกันด้วย เพราะเป็นหน่วยงานภาครัฐเหมือนกัน
 
สำหรับการเริ่มนำระบบ e-Market และระบบ e-Bidding  ให้เริ่มใช้ทดลองนำร่องกับส่วนราชการ 12 แห่ง ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 โดยเป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลัง 9 แห่ง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมธนารักษ์ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเลิดสิน โรงพยาบาลราชวิถี และสถาบันโรคทรวงอก โดยเร่ิงใช้กับสินค้านำร่องซึ่งเป็นวัสดุสำนักงาน 5 ประเภท ได้แก่ กระดาษถ่ายเอกสาร ผงหมึก ตลับหมึก แฟ้มเอกสาร เทปกาว ซองเอกสาร และยารักษาโรค 2 ชนิด ได้แก่ ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และยารักษาโรคเบาหวาน ทั้งนี้เพื่อให้ขยายโครงการดังกล่าวไปยังส่วนราชการอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วิษณุ'คาดเลือกตั้ง ก.พ.59 ยันยังไม่มีพิมพ์เขียว รธน.

$
0
0
“วิษณุ เครืองาม” คาดเลือกตั้งกุมภาพันธ์ 2559  ชี้ไม่สามารถร่าง รธน.ไปพร้อมกับร่างกฎหมายลูกได้  ส่วนการจะเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรม เชื่อเป็นการโยนหินถามทาง ด้าน “พรเพชร วิชิตชลชัย” ยัน สนช.ไม่ใช่ตรายางของ คสช. ชี้กฎหมายนิรโทษกรรมนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ 

 
29 พ.ย. 2557 ในการสัมมนาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประจำปี 2557 ณ โรงแรมเดอะ รีเจนท์ ชะอำบีช รีสอร์ท จ.เพชรบุรี  นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บรรยายเรื่อง “บทบาทของ สนช.กับการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน” โดยกล่าวชื่นชมการทำหน้าที่ของประธาน และรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการควบคุมการประชุม และชื่นชมบทบาทของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. ที่วางระบบโครงสร้างการทำหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง ถือเป็นต้นแบบในการทำงาน พร้อมขอให้ สนช.รักษามาตรฐานในการทำหน้าที่ตลอดวาระการทำงาน เพื่อให้เกิดเป็นประเพณีปฏิบัติในอนาคต
 
นายวิษณุ แสดงความพอใจการทำงานของ สนช. ที่สามารถพิจารณากฎหมายไปกว่า 60 ฉบับ และสามารถผ่านร่างกฎหมายได้ถึง 30 ฉบับในช่วงเวลา 4 เดือน และขอให้เตรียมการพิจารณาร่างกฎหมายอีกกว่า 300 ฉบับ ที่จะถูกผลักดันเข้าสู่การพิจารณา โดยยืนยันว่ากฎหมายที่จะเสนอหลังจากนี้จะเป็นกฎหมายที่มีคุณภาพ เพราะมีเวลาในการพิจารณารายละเอียดต่างจากกฎหมายก่อนหน้านี้ที่เป็นกฎหมายค้างเก่า
 
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ในสัปดาห์หน้า เตรียมหารือที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งเรื่องไปยัง สนช.ให้ออกพระราชบัญญัติเพื่อยกเลิกกฎหมาย ซึ่งเป็นประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บางฉบับ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการยกเลิกประกาศของ คสช.ที่ผ่านมา
 
“นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึง 5 แนวทางในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ได้แก่ พิมพ์เขียว  โรดพแมป แม่น้ำ 5 สาย ทำทันที ทำต่อไป ทำอย่างยั่งยืน และต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ขอยืนยันว่าไม่มีการจัดทำพิมพ์เขียวร่างรัฐธรรมนูญ โดยหลังจากนี้จะเป็นการพิจารณารายละเอียดของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ส่วนโรดแมปในระยะที่ 2 จะไปเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จากนั้นจะเข้าสู่ระยะที่ 3 มีการเลือกตั้ง เพื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
 
นอกจากนี้นายวิษณุยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าอาจจะมีการเลือกตั้งช่วงกลางปี 2559 ว่า เป็นการคาดการณ์มากเกินไป จากการสอบถามนายสมหมายแล้ว  นายสมหมายให้ความเห็นนี้เพราะไม่ทราบว่าร่างรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จเมื่อใด อีกทั้งคำนวณเรื่องการทำประชามติอีก 3 เดือนด้วย
 
“ส่วนตัวคาดว่าจะมีการเลือกตั้งประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เพราะรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จประมาณต้นเดือนกัยายน 2558 และเมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว คาดว่าจะโปรดเกล้าฯ ในเดือนกันยายน หรือตุลาคม จากนั้นก็ใช้เวลาร่างกฎหมายลูกประมาณ 3 เดือน คือ เดือนธันวาคม 2558 และเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง  กกต.ก็ประกาศให้จัดตั้งพรรคการเมือง รวมทั้งให้หาเสียง โดยใช้เวลา 60-90 วัน ก็จะเกิดการเลือกตั้ง เมื่อคิดในทางที่เป็นไปได้และเร็วที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคม 2559 ดังนั้นการจัดเลือกตั้งจะไม่ถึงกลางปี 2559” นายวิษณุ กล่าว
 
ส่วนที่จะมีการร่างงกฎหมายลูกไปพร้อมกับการร่างรัฐธรรมนูญนั้น นายวิษณุ กล่าวว่าไม่สามารถร่างพร้อมกันได้ เพราะถ้าตราบใดรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ข้อยุติ กฎหมายลูกก็ทำได้ยาก อีกทั้งคนร่างกฎหมายทั้งกฎหมายแม่และกฎหมายลูกเป็นคนละคน จะทำพร้อมกันไม่ได้
 
นายวิษณุ กล่าวถึงการเสนอแนวความคิดให้ใช้ระบบจัดเลือกตั้งแบบประเทศเยอรมนีว่าไทยเคยใช้ระบบเลือกตั้งแบบเยอรมนีแล้วคือระบบปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งการเลือกตั้งแบบเยอรมนีเป็นเรื่องยาก และหากมีความยุ่งยากซับซ้อน อาจเกิดปัญหาขึ้นได้
 
ส่วนที่คณะอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ ที่มีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน เตรียมเสนอให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ได้สนใจ เพราะเป็นเพียงคณะอนุฯ และยังมีในชั้นคณะกรรมาธิการฯ ทั้งนี้อยากให้คณะอนุฯ และกรรมาธิการฯ เสนอความเห็นที่เป็นรูปธรรมกว่านี้ และเชื่อว่าหากออกกฎหมายนิรโทษกรรม คงจะปรองดองได้บ้าง แต่ไม่ได้ทั้งหมด และเรื่องนี้มีเพียงนายเอนกเท่านั้นที่โยนหินถามทาง จึงต้องถามความคิดของคณะกรรมาธิการฯ และคณะอนุฯ ทั้งหมดว่านิรโทษกรรมให้กับใคร  ซึ่งเท่าที่ได้ฟังมานั้น เป็นการนิรโทษกรรมให้ผู้ชุมนุมที่ก่อความไม่เรียบร้อย ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ทุจริต ซึ่งสังคมอาจรับได้ เพราะไม่ใช่สุดซอย และอยู่ในหมวดของคำว่าปรองดอง
 
“พรเพชร” ยัน สนช.ไม่ใช่ตรายางของ คสช.
 
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พร้อมด้วย นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย และนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช. ได้พบปะและตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน ระหว่างการสัมมนาของ สนช.ที่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยนายพรเพชร ประเมินการทำงานของ สนช.ว่าทำหน้าที่ได้ดีในระดับเกรด A พิจารณาได้จากการปฏิบัติหน้าที่การประชุม การลงมติ และคุณภาพของกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจาก สนช. และจะเน้นการทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะการรับฟังความเห็นจากประชาชนเพื่อชดเชยในส่วนที่ สนช.ไม่ได้มาจากประชาชน ขณะเดียวกันแสดงความพอใจการทำหน้าที่ของ สนช.ในด้านนโยบายการต่างประเทศ ที่พบว่าต่างชาติให้การยอมรับ สนช.ชุดนี้ โดยหลังจากนี้จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มอาเซียนควบคู่ไปด้วย
 
“ขอยืนยันว่า สนช.ไม่ใช่ตรายางของ คสช. เห็นได้จากกฎหมายหลายฉบับมีการปรับปรุงแก้ไขจากร่างเดิม พร้อมขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจการทำงานของ สนช.ที่ถือเป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สายที่จะต้องร่วมมือกันทำงาน” นายพรเพชร กล่าว
 
ขณะที่นายสุรชัย กล่าวถึงภารกิจหน้าที่ในการปฏิรูปประเทศของ สนช. โดยเฉพาะการเสนอความเห็นประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการรวบรวมความคิดเห็น การจัดทำรัฐธรรมนูญ โดยจะรวบรวมข้อเสนอแนะจากกรรมาธิการสามัญทุกคณะในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ และจะประมวลสรุปเสนอต่อประธาน สนช.เพื่อบรรจุในระเบียบวาระ โดยคาดว่าจะบรรจุได้ไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคม เพื่อให้ประธาน สนช.ส่งความคิดเห็นไปยังสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 19 ธันวาคม 2557 และเมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างฯ จัดทำร่างแรกเสร็จประมาณกลางเดือนเมษายน 2558  สนช.จะทำหน้าที่ให้ความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
 
นายสุรชัย ยังกล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่สาธารณะ ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อำนาจรัฐดูแลความสงบ ให้การชุมนุมไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น และปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้นต้องจัดให้มีความสมดุลใน 2 ส่วน ส่วนการออกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น ตนเห็นว่าการตรากฎหมายต้องเป็นในเชิงนโยบายของรัฐบาล โดยยอมรับว่ากฎหมายนิรโทษกรรมเป็นประโยชน์ต่อการปรองดอง แต่ก็เป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว ซึ่งการดำเนินการเรื่องนี้จะต้องพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ นิรโทษความผิดในห้วงเวลาใดบ้าง และนิรโทษฐานความผิดใดบ้าง
 
 
ที่มาข่าว
 
สำนักข่าวไทย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สิ้น ‘ศักดิชัย บำรุงพงศ์’ เจ้าของนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’

$
0
0

‘ศักดิชัย บำรุงพงศ์’ เจ้าของนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533 ผู้เขียนนิยายเรื่อง ‘ปีศาจ’ เสียชีวิตแล้ว

29 พ.ย.2557 เมื่อเวลา 16.42 น. เฟซบุ๊ก ‘ซาร่า ปทุมรส’ บุตรของ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ หรือนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’  นักการทูต นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533 โดยซาร่าได้โพสต์ภาพประกอบข้อความระบุว่าบิดาตนเองเสียชีวิตลงแล้ว

ศักดิชัย เริ่มเป็นนักการทูตในต่างประเทศ ใช้ชีวิตอยู่ในรัสเซีย (2490-2497) อาร์เจนตินา (2498-2503) อินเดีย (2505-2508) ออสเตรีย (2511-2515) อังกฤษ (2516-2518) ได้เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเอธิโอเปีย เมื่อ พ.ศ. 2518 และเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ. 2521 หลังเกษียณอายุ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ รับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาในเครือมติชน และมีงานเขียนนวนิยาย "คนดีศรีอยุธยา" (2524) "ใต้ดาวมฤตยู" (2526) และเขียนบทความประจำในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ได้รับการเชิดชูเกียรติ รางวัลศรีบูรพาคนแรก ในปี พ.ศ. 2531 รางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533 และรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2541

ศักดิชัย บำรุงพงศ์ สมรสกับเครือพันธ์ ปทุมรส เมื่อ พ.ศ. 2496 มีบุตรธิดา 4 คน โดยเครือพันธ์ พึงเสียชีวิตไปเมื่อ ก.ค.ที่ผ่านมา

นามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’ เป็นที่รู้จักมากกับงานเขียนนิยายเรื่อง ปีศาจ โดยเฉพาะคำพูดเรื่อง ‘ปีศาจแห่งกาลเวลา’ ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสักคมกับการพยามเหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลงของสังคมนำไปสู่สิ่งที่ สาย สีมา ตัวเอกของเรื่องเรียกว่า ‘ความละเมอหวาดกลัว’ โดย สาย สีมา กล่าวต่อหน้าสมาคมของชนชั้นสูงว่า

"...สำหรับท่านที่อยู่ในปราสาทนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตะต้อง เพราะอย่างไรก็จะต้องเสื่อมสลายไปตามเวลา ท่านไม่สามารถจะยับยั้งความเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลาได้ดอก เมื่อคืนวันเวลาล่วงไป ของเก่าทั้งหลายก็นับวันจะเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ยิ่งขึ้น

ท่านเข้าใจผิดที่คิดว่าผมจะลอกคราบตัวเองขึ้นเป็นผู้ดี เพราะนับเป็นการถอยหลังกลับ เวลาได้ล่วงไปมากแล้วระหว่างโลกของท่านกับโลกของผมมันก็ห่างกันมากมายออกไปทุกที ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว

และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนวันนี้ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้แต่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ยงคงกะพันยิ่งกว่าอคิลลิสหรือซิกฟรีด เพราะเขาอยู่ในเกราะกำบังแห่งกาลเวลา"

 

สัมภาษณ์เสนีย์ โดย Bookmoby Comเมื่อปี 55

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลได้โพสต์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของศักดิ์ชัย ด้วยดังนี้

ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อการจากไปของคุณเสนีย์ เสาวพงศ์ (ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์) หนึ่งในนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของไทย

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คุณเครือพันธ์ ปทุมรส-บำรุงพงศ์ ภรรยาคุณศักดิ์ชัย ถึงแก่กรรม ในขณะนั้น ผมอยู่ในระหว่างระหกระเหเร่ร่อน ก็ตกใจเมื่อทราบข่าว และเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ร่วมแสดงความไว้อาลัย

ผมและภรรยา รู้จักกับครอบครัวคุณ เสนีย์-เครือพันธ์ ผ่านทาง "จ๊ะ"ศรัญยา บำรุงพงศ์ (ภรรยาอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียคนที่แล้ว) ซึ่งเป็นรุ่นน้องรัฐศาสตร์ (และประธานนักศึกษาคณะ) ต่อจากภรรยาผม เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้พบทั้งคุณศักดิ์ชัย และคุณเครือพันธ์ ด้วยตัวเอง

แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ระหว่างที่ผมทำการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพือเขียนบทความ "50 ปี การประหารชีวิตกรณีสวรรคต"ผมได้มีโอกาสโทรศัพท์พูดคุยขอข้อมูลจากคุณเครือพันธ์ ที่เป็นบุตรสาวคุณเฉลียว ปทุมรส หนึงในสามผู้บริสุทธิ์คดีสวรรคตที่ถูกทำร้ายอย่างไม่ยุติธรรม คุณเครือพันธุ์ได้ให้ความเมตตา พูดคุยให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เป็นพระคุณต่อผมอย่างมาก เมื่อปีที่แล้ว (2556) ผมยังได้มีโอกาสโทรศัพท์ไปหาคุณเครือพันธ์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพูดคุยสอบถามข้อมูลอีกบางอย่างทีนักเขียนบางท่านเสนอเกี่ยวกับกรณีสวรรคตอีก ขณะนั้นคุณเครือพันธ์ชราและสุขภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังเมตตาพูดคุยกับผม และยังบอกด้วยว่า คุณศักดิ์ชัย ก็สุขภาพไม่ดี ชรามาก ซึงผมก็ได้แต่ฝากความเคารพและความห่วงใย

ผมไม่เคยได้พบตัว "เสนีย์ เสาวพงศ์"ตัวจริง แต่ "ปีศาจ"ของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นแรงบันดาลใจอย่างสูงต่อผม และเพื่อนในรุ่นเดียวกันจำนวนมาก ตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นนักเรียน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เราหันมาพยายามเปลี่ยนแปลงสังคม เราทุกคน และชีวิตวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ เป็น "หนี้"คุณศักดิ์ชัย มาจนทุกวันนี้

ด้วยความเคารพอย่างสูง

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

29 พฤศจิกายน 2557

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน "อัครพงศ์ปรีชา"ให้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม

$
0
0

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเผยได้รับหนังสือยกเลิกชื่อสกุล "อัครพงศ์ปรีชา"แล้ว โดยผู้ที่เคยได้รับพระราชทานนามสกุลต้องกลับไปใช้นามสกุลเดิม

ที่มาของภาพ: สำนักข่าวไทย

29 พ.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 28 พ.ย. กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทำหนังสือที่ พว 0005.1/2557 เรื่อง ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” เรียน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ด้วยกองกิจการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ขอยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน "อัครพงศ์ปรีชา"โดยให้ผู้ใช้ชื่อสกุลพระราชทานนี้ในปัจจุบันกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม ลงชื่อ พล.อ.อ.สถิตพงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการ กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

ไทยรัฐออนไลน์รายงานวันนี้ (29 พ.ย.) ว่า พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีประกาศหนังสือยกเลิกชื่อนามสกุล "อัครพงศ์ปรีชา"ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ซึ่งผู้ที่เคยได้รับการพระราชทานนามสกุลดังกล่าว ก็ต้องกลับไปใช้นามสกุลเดิม คือ "เกิดอำแพง"และกระบวนการต่อไป ทางกระทรวงมหาดไทยจะต้องไปดำเนินการถอดถอนต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live