Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all articles
Browse latest Browse all 14385

พบมะเร็งตับ-ท่อน้ำดี มากสุดในอีสาน เร่งพัฒนาเครือข่ายดูแลผู้ป่วย

$
0
0

สปสช.จับมือสธ.พัฒนาเครือข่ายดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา ลดรอคิวฉายแสงและเคมีบำบัด ยกย่องเขต 10 อุบลฯ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ มุกดาหาร จัดเครือข่ายดูแลผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการรักษาเร็ว หลังพบมีคนเสียชีวิตด้วยมะเร็งอันดับหนึ่ง 

เมื่อวันที่ 29-30 สิงหาคม 2556 ณ จ.อุบลราชธานี และจ.ศรีสะเกษ นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วยนำคณะสื่อมวลชนศึกษาดูงานการจัดระบบบริการสาธารณสุขเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี และโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ จ.อุบลราชธานี พร้อมความร่วมมือกับเทศบาลเมืองศรีสะเกษในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี

นายแพทย์วินัย กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมาตั้งแต่ปี 2542 ในปี 2554 มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 61,082 คน ไทยพบผู้ป่วยมะเร็งประมาณ 150 คนต่อประชากรแสนคน มะเร็งที่พบบ่อยในเพศชายคือ มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ในเพศหญิง คือ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับ ขณะที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ประเทศไทยในปี 2563 หรืออีก 7 ปี จะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 148,729 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็ง 95,804 ราย และอีก 17 ปี หรือปี 2573 จะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 176,301 คน และมีผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิต 120,689 คน

ดังนั้นเพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการรักษา สปสช.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพัฒนาเครือข่ายโรคมะเร็ง เชื่อมโยงระหว่างรพ.เพื่อรักษาใกล้บ้านผู้ป่วยมากที่สุด ตั้งแต่การคัดกรอง วินิจฉัยเบื้องต้น ส่งต่อ และการดูแลพักฟื้นเยียวยาระยะสุดท้าย ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับบริการโรคมะเร็งในทุกจังหวัด โดยเฉพาะเคมีบำบัด มีอัตราการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดร้อยละ 90 สำหรับรังสีรักษาสามารถส่งต่อและรอคอยการรักษาไม่เกิน 2 เดือน มีโรงพยาบาลระดับตติยภูมิด้านโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 35 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ
         
เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหามะเร็งที่สำคัญ คือ มะเร็งท่อน้ำดี มีผู้ป่วยประมาณ 10,000 รายในแต่ละปี แต่สามารถให้การผ่าตัดได้เพียง 300 คนต่อปี เนื่องจากผู้ป่วย 1 รายใช้เวลาผ่าตัด 8 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้การจัดเครือข่ายดูแลผู้ป่วยมะเร็งจึงมีความจำเป็น เพราะจะทำให้นำทรัพยากร และจุดแข็งของแต่ละรพ.มาเสริมแรงกันได้ ดังเช่นที่การดำเนินงานของเขต 10 ที่มีรพ.สรรพสิทธิประสงค์ และรพ.มะเร็งอุบลราชธานี เป็นรพ.ระดับตติยภูมิขั้นสูงเป็นแม่ข่ายร่วมกับรพ.ระดับอื่นในเขต
         
แพทย์หญิงกนกวรรณ มิ่งขวัญ แพทย์ผู้ชำนาญการพิเศษ รพ.โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์และประธานคณะกรรมการดำเนินงานเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งเขตบริการสุขภาพที่ กล่าวว่า  จ.อุบลราชธานีอยู่ในเขตบริการสุขภาพที่ 10 (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ มุกดาหาร) จากการวิเคราะห์อัตราการเสียชีวิตพบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง โดยพบมากคือมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี จากอัตราตาย 33.54 รายต่อแสนประชากรในปี 2550 เพิ่มเป็น 42.86 รายต่อแสนประชากรในปี 2553 ดังนั้นการจัดเครือข่ายดูแลผู้ป่วยมะเร็งในระดับจังหวัดและระดับเขตจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในเขต 10 นี้ มีรพ.สรรพสิทธิประสงค์ และรพ.มะเร็งอุบลราชธานี เป็นรพ.แม่ข่าย

แพทย์หญิงกนกวรรณ กล่าวต่อว่า การรักษาแต่ละราย มีความซับซ้อน ยุ่งยาก ต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องมือและยาราคาแพง ใช้บุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รพ.สรรพสิทธิประสงค์ มีความพร้อมด้านการผ่าตัด เคมีบำบัด เวชศาสตร์นิวเคลียร์ ส่วนรพ.มะเร็งอุบลราชธานี มีความพร้อมด้านเคมีบำบัด รังสีรักษา การรักษาประคับประคอง และการผ่าตัดบางโรค ดังนั้นเพื่อให้การรักษาครบถ้วนแล้วเสร็จภายในเขต จึงต้องอาศัยความร่วมมือการส่งต่อระหว่างรพ.ให้บริการแก่ผู้ป่วยในส่วนที่ขาด โดยได้จัดตั้งเป็นเครือข่ายบริการด้านโรคมะเร็งครอบคลุมทั้งในจังหวัดตั้งแต่ปี 2547 และขยายในระดับเขตอีก 4 จังหวัด ผลการดำเนินงานพบว่าสามารถลดการส่งต่อผู้ป่วยนอกเขตลงได้ จากที่รพ.สรรพสิทธิประสงค์เคยส่งต่อนอกเขต 89 รายในปี 2554 ลดลงเหลือ 55 รายในปี 2555  และลดระยะเวลารอคอยการผ่าตัดจาก 7-14 วัน เหลือ 2-3 วัน โดยนำผู้ป่วยจากรพ.สรรพสิทธิประสงค์ ไปผ่าที่รพ.มะเร็งอุบลฯ ช่วยลดความแออัดในรพ. และผู้ป่วย

นายแพทย์พงศธร ศุภอรรถกร โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี รองประธานคณะกรรมการดำเนินงานเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งเขตบริการสุขภาพที่10 กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างรพ.สรรพสิทธิประสงค์นำผู้ป่วยและตามไปผ่าตัดที่รพ.มะเร็ง อุบลราชธานี) ทำให้ลดระยะเวลารอคอยผ่าตัดจาก 7-14 วัน เหลือ 2-3วัน ลดความแออัดที่รพ.ศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ (จำนวนผู้ป่วยผ่าตัด 1 ม.ค.56- 30มิ.ย.56 เท่ากับ 30 ราย) ผู้ป่วยสามารถเลือกผ่าตัดมะเร็งบางโรค เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ ในรพ.ใกล้บ้าน ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนมารับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาที่รพ.สรรพสิทธิประสงค์ หรือรพ.มะเร็งอุบลฯได้

นายแพทย์พงศธร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีระบบส่งต่อเพื่อรับรังสีรักษาโดยผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินด้านมะเร็งได้รับการฉายรังสี ภายใน 1-3 วัน การรักษาด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์  มีระบบ fast tract หรือช่องทางด่วน ลดระยะเวลารอคอย จากเดิม 1 เดือน ลดเหลือ 7 ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายมีระบบส่งต่อเพื่อการดูแลประคับประคองใกล้บ้าน ทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปี 2555 มีผู้ป่วยมะเร็งรักษาแบบประคับประคองประมาณ 900 ราย และมีการประสานความร่วมมือดูแลผู้ป่วยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) เช่น การส่งผู้ป่วยระยะสุดท้ายกลับบ้านโดยรถขององค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย (โครงการพาคนรักกลับบ้าน) และประสานตรวจคัดกรองผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีร่วมกับเทศบาลเมืองศรีสะเกษ เพื่อค้นหาผู้ป่วยและให้การรักษาแต่ระยะเริ่มต้นก่อนจะลุกลามรักษายากและส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Viewing all articles
Browse latest Browse all 14385

Trending Articles