ผู้ก่อตั้งองค์กรเพื่อการข่าวที่เที่ยงตรงเขียนบทความเสนอว่า ในขณะที่สหรัฐฯ อ้างเรื่องการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียเพื่อทำสงคราม สื่อกระแสหลักก็มีเพียงแหล่งข่าวจากทางการสหรัฐฯ และไม่มีผู้เปิดโปงซึ่งนำเสนอข้อมูลอีกด้าน หลังรัฐบาลพยายามปราบปรามนักข่าวและผู้เปิดโปงหลายคน
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2013 นอร์แมน โซโลมอน ผู้ก่อตั้งสถาบันเพื่อความเที่ยงตรงต่อสาธารณะ (Institute for Public Accuracy) และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Rootsaction.org เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างผู้เปิดโปงความลับของทางการสหรัฐฯ กับแผนการณ์โจมตีประเทศซีเรีย ลงในเว็บ Common Dreams
นอร์แมนกล่าวว่า ประธานาธิบดีทุกคนที่ต้องการทำสงครามไม่สามารถทนต่อการมีผู้คอยเปิดโปงเรื่องต่างๆ ได้ เพราะพวกเขาต้องคอยแทรกแซงเหตุการณ์อย่างระมัดระวัง มีการบิดเบือนและโกหกผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ โดยที่ต้องนำความจริงไป "กักขัง"ไว้ไม่ให้เล็ดรอดออกมา
"เมื่อไม่มีผู้เปิดโปงความจริงแล้ว สื่อกระแสหลักก็มักจะติดอยู่กับการบอกเล่าเรื่องราวจากฝั่งของรัฐบาล"นอร์แมนกล่าวในบทความ "และในช่วงเวลาเช่นนี้ เรื่องราวจากฝั่งรัฐบาล (ของสหรัฐฯ) คือการปั่นกระแสเรื่องสงครามในซีเรีย"
นอร์แมน ระบุว่า ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อหลายแห่งอ้างแหล่งข่าวระดับสูงบอกว่ามีความเป็นไปได้มากที่สหรัฐฯ จะโจมตีซีเรียด้วยจรวดมิสไซล์ ซึ่งไม่ทราบว่ามีจุดมุ่งหมายอะไร และถามว่า แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือแหล่งอื่นๆ ที่น่าจะมีข้อมูลที่เห็นในทางตรงกันข้ามกับฝ่ายรัฐบาลหายไปไหน
นอร์แมน กล่าวว่า ในช่วงเวลาใกล้ประกาศสงครามเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะมีผู้เปิดโปงความลับออกมาให้ข้อมูล แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่ควรจะมีผู้เปิดโปงข้อมูล โดยเฉพาะคนที่นำเสนอข้อมูลด้านที่ต่างจากฝ่ายรัฐบาล ดังที่ผู้สื่อข่าวอิสระชื่อ ไอ.เอฟ. สโตน เคยกล่าวไว้ว่า "รัฐบาลทั้งหมดล้วนพูดโกหกและเราไม่ควรเชื่อในสื่งที่เขาพูด"ซึ่งเป็นคำเตือนว่าอย่าเพิ่งยอมรับข้ออ้างของรัฐบาลใดๆ โดยด่วนสรุป
บทความของนอร์แมนชี้ว่า รัฐบาลโอบามามีการสั่งลงโทษผู้เปิดโปงความจริงมากยิ่งกว่าประธานาธิบดีคนอื่นๆ รวมกัน และนอกจากนี้ยังมีการข่มขู่และสอดแนมนักข่าว เช่นในกรณีการดักฟังสำนักข่าวเอพีหรือกรณีพยายามสั่งจำคุกนักข่าวนิวยอร์กไทม์ เจมส์ ไรเซน จากการที่เขาไม่ยอมเปิดเผยแหล่งข่าวที่ทำให้ความลับของรัฐบาลรั่วไหล
ในบทความยังได้พูดถึงกรณีของการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ลงโทษเชลซี แมนนิ่ง และพยายามจับตัวเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน รวมถึงการดำเนินคดีกับโธมัส เดรก อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) ที่เปิดโปงความลับ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการปิดกั้นช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลไปสู่นักข่าว ทำให้เหลือแต่เรื่องจากทางการ
นอร์แมนยกตัวอย่างเรื่องการนำเสนอข่าวอย่างบิดเบือนในเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยเมื่อปี 1964 เพื่อผลักดันการสนับสนุนสงครามเวียดนาม และการสร้างเรื่องราวในปี 1990 อันนำไปสู่สงครามอ่าวกับอิรัก ทำให้มีผู้คนล้มตายและทุกข์ทรมานเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดนี้มาจากการที่ไม่มีผู้ออกมาเปิดโปง และความล้มเหลวในการที่ผู้สื่อข่าวจะออกมาท้าทายข้อมูลผิดๆ ของรัฐบาล
"พวกเราไม่มี 'วันคืนในอดีตที่ดี'ให้พูด ไม่มียุคไหนเลยที่จะมีผู้เปิดโปงและนักข่าวผู้เด็ดเดี่ยวออกมาเตือนประชาชนและลดทอนอำนาจการทำสงครามของทางการสหรัฐฯ"นอร์แมนกล่าวและว่า "แต่ในตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคแห่งความกลัว ผู้เปิดโปงมีสิ่งที่ทำให้ต้องกลัวมากขึ้น และนักข่าวกระแสหลักก็มีน้อยคนที่ท้าทายการเสพติดการทำสงคราม"
"ทุกครั้งที่ประธานาธิบดีตัดสินใจทำสงครามกับอีกประเทศ แรงผลักดันเหล่านั้นไม่มีใครหยุดยั้งได้"นอร์แมนกล่าวในบทความ เขาบอกอีกว่าการที่ไม่มีใครต่อต้าน นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตจำนวนมากและการสูญเสียทรัพยากรที่สามารถช่วยเหลือผู้คนแทนที่จะนำมาทำลายผู้คน
นอร์แมนยังได้เรียกร้องให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามโจมตีซีเรียช่วยกันส่งอีเมลให้กับวุฒิสมาชิกและส.ส. ผ่านเว็บไซต์ Rootsaction.org เพื่อเป็นการต่อต้านแรงผลักดันสงครามและเป็นการสนับสนุนให้มีผู้เปิดโปงความจริง
"ในเชิงปฏิบัติแล้ว งานข่าวที่แท้จริงจะไม่สามารถดำเนินไปได้หากไม่มีผู้เปิดโปง ประชาธิปไตยก็ทำงานไม่ได้หากไม่มีงานข่าวที่แท้จริง และพวกเราก็ไม่สามารถหยุดยั้งการทำสงครามได้โดยไม่มีประชาธิปไตย หากพูดถึงในระยะยาว การต่อสู้เพื่อสันติภาพและประชาธิปไตยถือเป็นเรื่องเดียวกัน"
เรียบเรียงจาก
What the Assault on Whistleblowers Has to Do With War on Syria, CommonDreams, 29-08-2013
http://www.commondreams.org/view/2013/08/28-0
เว็บไซต์เรียกร้องไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามซีเรีย
http://act.rootsaction.org/p/dia/action3/common/public/?action_KEY=8463