Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all articles
Browse latest Browse all 14385

เปิดคำพิพากษา จำคุก 3 ปี 4 เดือน ขายซีดีสารคดีข่าว ABC-วิกิลีกส์ ผิด 112

$
0
0

ศาลสั่งจำคุกเอกชัย 5 ปี ปรับ 1 แสน จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้หนึ่งในสาม เหลือ 3 ปี 4 เดือน ปรับ 6 หมื่น ศาลอ้างอิงรัฐธรรมนูญ มาตรา 2,8,70,77 รัฐและประชาชนมีหน้าที่พิทักษ์สถาบัน จำเลยลุ้นประกันตัวเย็นนี้



 

 

28 มี.ค.56 ที่ศาลอาญา รัชดา มีการพิพากษาคดีของเอกชัย (สงวนนามสกุล) จำเลยซึ่งถูกฟ้องจากกรณีขายซีดีสารคดีเกี่ยวกับการเมืองไทย ซึ่งผลิดตโดยสำนักข่าว ABC ประเทศออสเตรเลีย และเอกสารวิกิลีกส์ 2 ฉบับ โดยศาลพิพากษาให้จำเลยมีผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ลงโทษจำคุก 5 ปี ความผิดฐานไม่มีใบอนุญาตขายซีดี ตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ลงโทษปรับ 100,000 บาท จำเลยนำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน ปรับ 66,666.66 บาท  ทั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าฟังการพิจารณาคดีราว 20 คน โดยมีตัวแทนจากสถานทูตสวีเดน ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ รวมถึงสำนักข่าวเอบีซีด้วย

หลังทราบคำพิพากษา เอกชัยถูกควบคุมตัวไปยังห้องขังของศาลอาญาทันที ทนายความและบิดาวัย 80 กว่าปีของเขากำลังทำเรื่องประกันตัวซึ่งน่าจะทราบผลภายในเย็นนี้

เอกชัยกล่าวว่า เขารู้สึกผิดหวังที่ศาลตัดสินลงโทษเขาและไม่เข้าใจเจตนาของเขาที่ต้องการเผย แพร่ข่าวสารที่เป็นกลาง

เมื่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามว่ามีอะไรจะฝากถึงสำนักข่าว ABC หรือไม่ เอกชัยตอบว่า ไม่มี แต่ก็ขอขอบคุณที่ผลิตสารคดีการเมืองไทยที่ดีๆ ออกมา 

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายเอกชัย ในวันที่ 10 มี.ค.54  บริเวณอนุสาวรีย์ทหารอาสาข้างสนามหลวง โดยทำการล่อซื้อวีซีดีที่เขาขายแผ่นละ 20 บาท แล้วแจ้งข้อหาคดีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112  และคดีจำหน่ายวีดิทัศน์โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน พร้อมด้วยของกลางเป็นวีซีดีกว่า 100 แผ่น เครื่องไรท์ซีดี 1 เครื่อง พร้อมด้วยเอกสารของวิกิลีกส์จำนวน 10 ฉบับ เขาถูกจำคุกอยู่ราว 9 วันก่อนที่บิดาของเขาจะนำหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาทยื่นประกันตัวต่อศาล และศาลอนุญาตปล่อยชั่วคราว


 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมถึงรายละเอียดคำพิพากษา สรุปความได้ว่า การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดประกอบธุรกิจจำหน่ายวีดิทัศน์หรือซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่นั้น ตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 54 บัญญัติว่า ห้ามผู้ ใดประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวีดิทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทน เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่าจำเลยจำหน่ายแผ่นซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิด ส่วนที่อ้างว่ามีหลายร้านที่ไม่มีใบอนุญาตและขายซีดีการปราศรัยของคนเสื้อแดงอยู่ก่อนแล้วจำเลยจึงนำมาขายบ้าง จำเลยไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบเพื่อสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยสามารถจะจำหน่ายแผ่นวีดิทัศน์ได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาต ข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง

ส่วนความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จะต้องพิจารณาถึงฐานะที่ทรงดำรงอยู่ในความรู้สึกของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ประกอบข้อความดังกล่าวด้วย ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 2 บัญญัติว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มาตรา 8 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ มาตรา 70 บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 77 บัญญัติว่า ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ประมวลกฎหมายอาญายังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดต่อสถาบันเป็นพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ตามมาตรา 112 ด้วย

“จึงย่อมเห็นได้โดยชัดแจ้งว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดหรือใช้สิทธิเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดมิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดำรงอยู่คู่ประเทศตลอดไป ไม่เพียงแต่ในกฎหมายแม้ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ให้ความเคารพสักการะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าตลอดมาตั้งแต่โบราณกาล” คำพิพากษาระบุ

คำพิพากษายังระบุถึงความเห็นของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนด้วยว่า เมื่ออ่านข้อความในปรากฏในซีดีและในเอกสารวิกิลีกส์แล้วเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นหมิ่นประมาท สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชินีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันโดยเป็นการกล่าวหาเจ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ มีพระจริยวัตรไม่เหมาะสมกับฐานะองค์รัชทายาท รวมทั้งมีการใช้คำว่า “ฮาเร็ม” ซึ่งส่อความหมายในแง่ไม่ดี รวมถึงการกล่าวหาเรื่องพระชายาลับที่เยอรมนี นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเอกสารวิกิลีกส์ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2551 แล้วยังมีข้อความในลักษณะเป็นการกล่าวหาว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ มีความเชื่อมโยงกับการรัฐประหารปี 2549 และความยุ่งเหยิงของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ข้อความดังกล่าวเป็นไปในลักษณะจาบจ้วงล่วงเกิน หรือเสียดสีเปรียบเปรยทำให้พระองค์เสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทพระราชินีและองค์รัชทายาท

นอกจากนี้คำพิพากษายังมีการะบุถึงคำเบิกความของตำรวจซึ่งเป็นพยานโจทก์อีกว่า จำเลยจำหน่ายซีดีและเอกสารในการชุมนุมของกลุ่มแดงสยาม มีการตั้งเวทีปราศรัยเพื่อพูดถึงนายสุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งถูกกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ย่อมบ่งชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่ากระทำการเพื่อต้องการโฆษณาให้ประชาชนที่มาร่วมกันชุมนุมหลงเชื่อข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าว โดยประการที่น่าจะทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท ทรงเสียพระเกียรติยศ ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง

คำพิพากษาระบุอีกว่า ภายหลังจับกุมจำเลยพร้อมของกลาง จำเลยรับว่าเป็นผู้จัดทำซีดีและเอกสารขึ้นมาเองโดยดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตและยอมรับว่าเห็นข่าวดังกล่าวครั้งแรกในอินเทอร์เน็ตแสดงให้เห็นว่าก่อนนำมาจำหน่ายจำเลยย่อมทราบถึงข้อความดังกล่าวแล้วว่ามีความผิดตามกฎหมาย แม้จำเลยนำต่อสู้ว่า จำเลยดูแล้วไม่รู้สึกว่าเนื้อหาข่าวดังกล่าวมีลักษณะผิดกฎหมาย และเพียงแต่ต้องการเผยแพร่ข่าวสารจากสำนักข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับการเมืองไทยซึ่งมีน่าเชื่อถือ มีมุมมองเชิงลึก และเป็นกลางเท่านั้น เห็นว่า เรื่องนี้ต้องดูความเข้าใจของวิญญูชนทั่วไปที่ได้อ่านข้อความนั้น มิใช่ตามความเข้าใจหรือความรู้สึกของจำเลยไม่ได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระราชินีและรัชทายาทตามฟ้อง

“พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 54 วรรค 1 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

ความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชยาท จำคุก 5 ปี และฐานประกอบธุรกิจจำหน่ายวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 100,000 บาท ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชยาท คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน และฐานประกอบธุรกิจจำหน่ายวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 66,666.66 บาท รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือนและปรับ 66,666.66 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลาง” คำพิพากษาระบุ

 

อ่านรายละเอียดการสืบพยานทั้งหมดได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/th/case/68#detail  จัดทำโดยศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ โดย ไอลอว์

 

หมายเหตุ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเนื้อหา เวลา 15.00 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Viewing all articles
Browse latest Browse all 14385

Trending Articles