แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ความยุติธรรมและคุ้มครองผู้แสวงหาที่พักพิงชาวโรฮิงญา เผยเหตุหญิงชาวโรฮิงญาถูกข่มขืนและมีตำรวจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
แถลงการณ์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่าทางการไทยต้องรับประกันว่าจะมีการสอบสวนอย่างไม่ลำเอียง กรณีที่มีข้อกล่าวหาว่ามีการข่มขืนกระทำชำเราผู้แสวงหาที่พักพิงชาวโรฮิงญา และให้นำตัวผู้เกี่ยวข้องทุกคนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสู่การไต่สวนของศาลตามมาตรฐานสากล และประเทศไทยต้องประกันให้มีการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพทั้งแง่กฎหมายและการปฏิบัติต่อผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้เข้าเมืองที่เดินทางมาถึงชายฝั่งหรือพยายามขึ้นฝั่งในประเทศไทย
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556 หญิงสาวชาวโรฮิงญาสามคนและเด็กหญิงอายุ 9 และ 12 ขวบอีกสองคน ได้ออกจากที่พักพิงในจังหวัดพังงาไปกับผู้ชายสองคน ที่สัญญาว่าจะพาทั้งหมดไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อไปพบกับสามีและญาติคนอื่น ๆ โดยแลกกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ต่อมาพบว่าหนึ่งในชายทั้งสองคนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เขาหลัก จังหวัดพังงา ส่วนอีกคนเป็นชายชาวโรฮิงญาที่มาจากพม่า ระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายน 2556 มีรายงานว่าชายชาวโรฮิงญาคนดังกล่าวได้กักขังผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในสถานที่ห่างไกล และได้ข่มขืนกระทำชำเราเธอหลายครั้ง
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ลงพื้นที่ในจังหวัดพังงา และได้รับการยืนยันว่า ปัจจุบันชายชาวโรฮิงญาคนดังกล่าวได้ถูกควบคุมตัวและดำเนินคดีในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา การค้ามนุษย์ และการอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย เขาได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และอ้างว่ามีเจ้านายเป็นตำรวจ ยศดาบตำรวจ ซึ่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 และถูกดำเนินคดีฐานเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังจากนั้นไม่นานเขาได้รับการประกันตัวและถูกไล่ออกในที่สุด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของผู้แสวงหาที่พักพิงในประเทศไทย ที่อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์อันมาจากการขาดความคุ้มครองด้านกฎหมายในสถานะผู้ลี้ภัย เพราะประเทศไทยไม่กำหนดให้มีสถานะผู้ลี้ภัยตามกฎหมายในประเทศ และไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 (1951 UN Convention relating to the Status of Refugees) เมื่อขาดความคุ้มครองด้านกฎหมาย เป็นเหตุให้ผู้แสวงหาที่พักพิงเสี่ยงต่อการถูกจับกุม ควบคุมตัว และส่งกลับระหว่างอยู่ในเมืองไทย และเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกใช้ประโยชน์และถูกกระทำอย่างมิชอบโดยเฉพาะจากบรรดาขบวนการค้ามนุษย์
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่าผู้แสวงหาที่พักพิงที่ถูกกระทำอย่างมิชอบหรือถูกใช้ประโยชน์ในไทย รวมทั้งผู้หญิงเหล่านี้ ต้องมีโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างเต็มที่และเท่าเทียม รวมทั้งต้องมีทนายความและล่ามที่เป็นอิสระ และจำเลยในคดีนี้ก็ควรได้รับการคุ้มครองเพื่อรักษาสิทธิตามกฎหมายซึ่งเป็นไปตามข้อบท 14 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งไทยเป็นรัฐภาคี
นอกจากนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังเรียกร้องทางการไทยให้มีการสอบสวนอย่างถี่ถ้วนและอย่างรอบด้านต่อรายงานการค้ามนุษย์ทั้งหมด รวมทั้งข้อกล่าวหาที่ว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการค้ามนุษย์ ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรกที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ เมื่อปลายเดือนมกราคม 2556 กองทัพบกมีคำสั่งให้นายทหาร 2 นาย คือ นายทหารยศพันตรี และ นายทหารยศร้อยโท ออกจากราชการไว้ก่อน หลังมีข้อกล่าวหาว่าเข้าไปพัวพันกับขบวนการค้ามนุษย์ในภาคใต้ ต่อมาได้มีการบรรจุเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ให้ย้ายไปปฏิบัติราชการในหน่วยอื่นแทน และไม่มีการตั้งข้อกล่าวหากับพวกเขา
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุ หากพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนสนับสนุนการค้ามนุษย์ควรถูกสั่งพักราชการโดยทันที และให้ดำเนินคดีตามกระบวนการไต่สวนที่เป็นธรรม
สำหรับกรณีผู้หญิงสามคนและเด็กหญิงสองคนที่เป็นเหยื่อในกรณีจังหวัดพังงา พวกเธอได้เข้ามาอยู่ในที่พักพิงที่รัฐจัดให้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 พร้อมกับผู้หญิงและเด็กอีกกว่า 55 คน พวกเธอเป็นส่วนหนึ่งของชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นชาวมุสลิมกลุ่มน้อยในรัฐยะไข่ของพม่าหลายพันคน ที่หลบหนีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรงในพม่า และเดินทางมายังประเทศไทยด้วยเรือขนาดเล็กในช่วงปลายปี 2555 และต้นปี 2556 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2556 ทางการไทยประกาศให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นระยะเวลาหกเดือนสำหรับชาวโรฮิงญาในไทย ซึ่งประกาศดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2556
นอกจากจะมีผู้หญิงและเด็กชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในที่พักพิงแล้ว ยังมีการควบคุมตัวชายชาวโรฮิงญาอีกกว่า 1,500 คนในสถานกักตัวคนต่างด้าวที่แออัดและขาดแคลนความสะดวก ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในจังหวัดภาคใต้ของไทยตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เมื่อเร็ว ๆ นี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ในศูนย์กักตัวเหล่านี้ โดยทำเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลไทยลงวันที่ 10 มิถุนายน 2556 และยังเน้นประเด็นการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอีกสองรายที่ศูนย์กักตัวในจังหวัดสงขลา เป็นเหตุให้จำนวนชายชาวโรฮิงญาที่เสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวเพิ่มจำนวนเป็นเจ็ดคน นับแต่เดือนมกราคม 2556
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลชี้ว่าการควบคุมตัวผู้แสวงหาที่พักพิงชาวโรฮิงญาและผู้เข้าเมืองตามสถานกักตัวคนต่างด้าวและที่พักพิงต่อไป เป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีอิสรภาพซึ่งได้รับการรับรองตามกติกา ICCPR โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพการควบคุมตัวชายชาวโรฮิงญาไม่สอดคล้องกับมาตรฐานหลักเกณฑ์ขั้นต่ำว่าด้วยการปฏิบัติต่อนักโทษแห่งสหประชาชาติ (UN Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners) จึงเรียกร้องรัฐบาลไทยควรปล่อยตัวผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้เข้าเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ เพราะเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และประกันว่าสภาพการควบคุมตัวพวกเขาสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ ทั้งยังควรกำหนดให้มีกลไกระดับชาติเพื่อประกันว่า บุคคลซึ่งหลบหนีจากภัยคุกคามในประเทศของตนเองและต้องการแสวงหาที่พักพิง สามารถเข้าถึงขั้นตอนปฏิบัติที่เป็นธรรมและเป็นผลอย่างเต็มที่เพื่อให้มีการประเมินข้อเรียกร้องเพื่อขอที่พักพิง
ชาวโรฮิงญาหลายพันคนหลบหนีออกจากพม่าทางเรือมุ่งสู่ประเทศไทยและมาเลเซีย ภายหลังความรุนแรงระหว่างชุมชนพุทธและมุสลิมในรัฐยะไข่เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2555 ความรุนแรงครั้งนั้นเป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก มีการทำลายทรัพย์สินบ้านเรือนและทำให้คนต้องอพยพจำนวนมาก แม้ว่าชุมชนของทั้งสองศาสนิกในพม่าจะได้รับผลกระทบ แต่ผู้เป็นเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นชาวโรฮิงญา โดยชาวโรฮิงญากว่า 140,000 คน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วรัฐยะไข่ ทางการพม่าไม่ยอมรับสถานภาพของชาวโรฮิงญาอย่างเป็นทางการ และยังคงปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้าถึงโอกาสที่จะมีสัญชาติ ซึ่งเป็นการกระทำที่เลือกปฏิบัติ ทั้งยังมีการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางและสิทธิที่จะได้รับการศึกษา การทำงาน การแต่งงาน และการมีครอบครัวในระดับต่าง ๆ กัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai