5 มิ.ย.56 ที่ศูนย์อาหาร Citymall โรงแรมสุนีย์ แกรนด์แอนคอนเวนชั่นเซนเตอร์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี สื่อสร้างสุขอุบลราชธานี โดยโครงการสะพานจากการสนับสนุนของ USAID เชิญนักการศึกษาทั้งเอกชนและรัฐถกนโยบายยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กได้หรือเสีย โดยมีผู้ปกครอง อดีตผู้บริหารสถานศึกษา ประชาชนทั่วไปสนใจร่วมรับฟัง
นายกมล หอมกลิ่น ผู้ดำเนินรายการได้สอบถาม ดร.อภิสิทธิ์ บุญยา รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 ถึงความจำเป็นที่กระทรวงศึกษาต้องยุบรวมโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนน้อย โดยมีเหตุผลสำคัญจากอะไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 20 คนในจังหวัดอุบลราชธานี แต่มีครูถึง 4-5 คน มีอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความจำเป็นต้องยุบไปรวมกับโรงเรียนอื่น เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนของนักเรียน และลดภาระด้านงบประมาณรายจ่ายประจำที่เป็นเงินเดือนของครู ซึ่งปัจจุบันครูแต่ละคนมีเงินเดือนเฉลี่ย 2-3 หมื่นบาท เมื่อมีการยุบรวม ทำให้ครูทำงานให้กับรัฐได้คุ้มค่ากับเงินเดือน สำหรับเด็กนักเรียนที่ถูกยุบรวมและอาจต้องเดินทางไกลจากถิ่นที่อยู่ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายจัดรถตู้มาช่วยรับ-ส่งให้กับนักเรียนเหล่านั้นให้เดินทางได้สะดวกด้วย
สำหรับคำถามเกี่ยวกับมูลค่าการสั่งซื้อรถตู้ที่มีราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาด ดร.อภิสิทธิ์บอกว่า เป็นการตั้งงบในราคากลาง เมื่อมีการจัดซื้อจริงราคาจะต่ำกว่านั้น แต่เรื่องการจัดซื้อรถตู้เป็นเรื่องของกระทรวงไม่เกี่ยวกับสถานการศึกษาแต่ละแห่ง
นักการศึกษารายนี้บอกอีกว่า การจะยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนของจังหวัดอุบลราชธานี คำตอบสำคัญขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของชุมชนด้วย โรงเรียนบางแห่งที่มีนักเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ 60 คน แต่มีระบบการจัดการเรียนการสอนดีกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนมาก โรงเรียนแบบนี้จะไปยุบก็ไม่ได้ เพราะชุมชนไม่ยอมแน่นอน
ขณะที่นายเสมอ หาริวร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าลัง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนชายขอบติดแม่น้ำโขงกล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนของตนมีนักเรียนเพียง 39 คน ครู 3 คน แต่โรงเรียนแห่งนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน
มีระบบจัดการเรียนการสอนเน้นให้นักเรียนนำไปใช้ดำรงชีวิตประจำวันได้จริง ไม่เน้นการสอนใช้ทำคะแนนแข่งขันระบบโอเน็ตเอเน็ต
หากมีการเอามาตรฐานการสอบโอเน็ตเข้ามาเป็นตัวชี้วัด นักเรียนสอบไม่ผ่านแน่นอน แต่นักเรียนที่เรียนจบจากโรงเรียนนี้ไปแล้วสามารถเอาความรู้ไปใช้ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตของตนเองได้เพราะโรงเรียนสอนให้เอาความรู้ไปใช้สร้างความสุข และเอาความสุขของชุมชนมาเป็นตัวชี้วัด มีการจัดระบบการเรียนการสอนโดยเอาปราชญ์ของหมู่บ้านมาแนะนำ
"แต่หากมองความเจริญคือ เป็นบ้านหลังใหญ่ แต่ต้องสร้างรั้วขังตัวเองเอาไว้ แต่หมู่บ้านนี้ มีบ้านหลังเล็ก
แต่ทุกคนในหมู่บ้านเดินไปมาหาสู่กันได้ สิ่งของไม่เคยหาย จึงเป็นความเจริญแบบมีความสุข จึงมีการจัดระบบการสอนเพื่อตอบสนองชุมชน ไม่ได้จัดการสอนเพื่อตอบสนองการสอบเอาคะแนนอย่างเดียว"
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าลังยังกล่าวแนะนำให้นักการศึกษาที่คิดยุบโรงเรียนขนาดเล็กลองเข้าไปศึกษาเรียนรู้ที่ชุมชนจะทราบความจริงคุณภาพการศึกษาไม่ใช่เอาขนาดของโรงเรียนหรือจำนวนเด็กมาวัดแต่คุณภาพการศึกษาคือ ต้องสอนเด็กให้มีความรู้อย่างมีความสุข นำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
ขณะที่ ผศ.ดร.อารี หลวงนา รองอธิการบดีฝ่ายวัฒนธรรมและการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กล่าวถึงการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้าน เช่นกัมพูชาก็มีครูและนักเรียนในโรงเรียนแต่ละแห่งน้อยเช่นกัน แต่สามารถจัดระบบการเรียนการสอนได้ และในประเทศยุโรปที่มีการศึกษาตามอัธยาศัยที่ให้ผู้ปกครองที่มีความรู้เป็นผู้สอนลูกหลานหรือโฮมสคูล ก็ทำได้ดี โรงเรียนในต่างประเทศถือว่า การมีนักเรียนจำนวนน้อยเป็นเรื่องดีและท้าทายความสามารถของครูผู้สอน และรัฐยิ่งสนับสนุนระบบไอทีให้มาก เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงได้มาก พร้อมติงว่าแนวความคิดยุบโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการขณะนี้ ถือเป็นการทำร้ายพ่อแม่และตัวเอง เพราะก่อนจะได้เรียนในโรงเรียนใหญ่ ต้องผ่านโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้มาก่อน การยุบโรงเรียนขนาดเล็ก จึงเท่ากับไม่สามารถรักษามรดกทรัพย์สินที่พ่อแม่ให้ไว้ได้
เขายังแนะทางออกของการศึกษาที่โรงเรียนมีเด็กนักเรียนจำนวนน้อยคือต้องจัดระบบการบริหารจัดการ เพราะถ้าเทียบระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
ก็ถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก แต่มหาวิทยาลัยราชภัฏอยู่ได้มาถึงวันนี้ เพราะมีระบบการบริหารที่ดี
ครูที่ดีต้องเป็นครูที่มีความคิดสร้างสรรค์
ขณะที่นายคิด แก้วคำชาติ นักการศึกษาจากเครือข่ายการศึกษาทางเลือกของจังหวัดระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการเกาไม่ถูกที่คัน ที่คิดยุบโรงเรียนตามชุมชน เพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องมีรากเหง้าเกิดจากชุมชนก่อนต่อยอดไปสู่ด้านนอก
การยุบโรงเรียนชุมชนเท่ากับผลักดันให้เด็กออกห่างจากชุมชน ส่วนการแก้ระบบการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ต้องไปแก้ที่ตัวกระทรวงศึกษาธิการ แก้หลักสูตร และแก้บุคลากรให้ครูเป็นครูของจริง ไม่ใช่นักขายสินค้าในคราบครู แล้วโทษว่าเด็กโง่ ที่อ่านเขียนหนังสือไม่ได้ กระทรวงศึกษาธิการต้องยอมรับความจริงข้อนี้ก่อน
การที่โรงเรียนมีนักเรียนจำนวนน้อย ยิ่งถือเป็นเรื่องดีที่นักเรียนได้ใกล้ชิดเข้าถึงตัวผู้สอนได้ง่าย หากคนที่สอนเป็นครูของจริง นักเรียนยิ่งได้ประโยชน์ ส่วนที่มองว่าต้องสูญเสียงบประมาณด้านเงินเดือนครูอยู่ที่ไหนก็สอนได้ โรงเรียนไหนมีครูมากเกินไป ก็เกลี่ยไปให้โรงเรียนที่ขาดแคลนครูเท่านี้ก็เป็นการแก้ปัญหาครูมากกว่านักเรียนได้
นายคิดเสนอว่าไม่ต้องเอาเรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอน หรือรถตู้มาหลอกเด็ก เพราะการใช้รถตู้ขนส่งนักเรียน
ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณกว่าการจ้างครูมาสอนเสียอีก อดีตกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายคืนครูสู่ท้องถิ่น
เมื่อคนในหมู่บ้านเรียนจบก็บรรจุเข้าเป็นครูให้สอนอยู่ในชุมชน นอกจากครูจะเข้าใจวัฒนธรรมของชุมชนที่ตัวเองเติบโตขึ้นมาแล้ว ยังช่วยประหยัดทั้งเรื่องค่าที่พัก ค่าเดินทางมาสอน
นักการศึกษาทางเลือกรายนี้ ยังชี้ต่อว่า ปัจจุบันการจัดระบบการศึกษาของไทยตอบสนองระบบทุนการศึกษามากกว่าตอบสนองชุมชน นักเรียนปัจจุบันจึงเป็นนักเรียนประเภท "ท่องจำ แต่ทำไม่เป็น"เพราะมองแต่ตัวเลขที่ใช้เป็นเกณฑ์มาวัด และการยุบโรงเรียนขนาดเล็กตามชุมชนยังเป็นการทำลายเสาหลักทางวัฒนธรรมของชุมชนที่ต้องมีบ้าน วัด และโรงเรียน ที่ต้องอยู่ด้วยกันด้วย
ด้านผู้ฟังที่เป็นผู้ปกครองและอดีตผู้บริหารการศึกษาแสดงความเห็นว่า รัฐบาลควรสนับสนุนการศึกษาโดยลดภาษีให้กับโรงเรียนเอกชนขนาดเล็ก เหมือนการลดภาษีรถหรือบ้านหลังแรก เพราะการศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ขณะนี้กระทรวงศึกษามองถึงการลงทุนทางการศึกษาว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มหรือไม่คุ้มทุนซึ่งเป็นการมองที่ผิดพลาดอย่างมากโรงเรียนในชนบทขนาดเล็กบางแห่งใน อ.นาตาล นักเรียนสามารถสอบทำคะแนนโอเน็ตได้เป็นที่หนึ่งของเขตการศึกษา จึงไม่ควรหว่านแหมองโรงเรียนขนาดเล็กเป็นโรงเรียนขาดคุณภาพ ทั้งที่ความจริงโรงเรียนขนาดใหญ่คือ ธุรกิจการศึกษาที่ให้กับผลกำไรกับผู้บริหารการศึกษา แต่สร้างความทุกข์ให้กับผู้ปกครอง ปัญหาเด็กนักเรียนน้อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของครูแต่ปัญหาอยู่ที่เด็กเกิดมาน้อย ครูก็ต้องปรับวิธีบริหารการจัดการ ไม่ใช่มีเด็กน้อยก็ไม่อยากสอน แล้วแก้ปัญหาโยนเด็กให้ไปหาที่เรียนใหม่ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด
ผู้ปกครองกล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาเรื่องบประมาณใช้จ่ายในโรงเรียนชุมชน ทั้งพื้นกระดานชำรุด เก้าอี้พัง ผนังร้าว ชุมชนจัดผ้าป่าหาเงินมาซ่อมแซมแก้ไขกันเอง ชุมชนไหนเข้มแข็งร่วมกันสร้างตัวอาคารใช้เรียนใช้สอนใหม่กันเองแค่รัฐจัดหาคนที่เป็นครูมาสอนให้เท่านั้น งบประมาณที่สูญเสียไปมากขณะนี้ และตกลงมาไม่ถึงเด็ก ก็เพราะมีการตั้งตำแหน่งทั้งครูชำนาญการ ครูชำนาญการพิเศษ ต่อไปอนาคตจะมีตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษที่พิเศษยิ่งกว่าขึ้นมากอีก เพื่อครูหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยเด็กไม่ได้รับประโยชน์จากตำแหน่งเหล่านี้ ที่กระทรวงตั้งขึ้นมาเลย