ผู้กำกับหนังเมืองคานส์ เสนอโมเดล ตั้งสภาภาพยนตร์ ให้อุตสาหกรรมคนทำหนังและโรงภาพยนตร์กลั่นกรองกันเอง คนทำหนังพ้อ ภาพยนตร์ตกขอบของสื่อที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ นักกฎหมายชี้ ภาพยนตร์เป็นสื่อเดียวที่ยังต้องถูกตรวจ “ก่อน” การนำเสนอ
1 มิ.ย. 56 สาขาวิชาการภาพยนตร์ วีดีทัศน์ ม.เกษมบัณฑิต สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย มูลนิธิหนังไทย และ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) จัดงานเสวนาเรื่อง "สิทธิหนังไทย: ฐานะสื่อและการกำกับดูแล"ณ ห้อง Auditorium ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
ก้อง ฤทธิ์ดี นักวิจารณ์ภาพยนตร์ กล่าวถึง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ พ.ศ. 2551 ฉบับปัจจุบัน ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับคนวงการภาพยนตร์เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำระบบเรตติ้งมาใช้ แต่กลับติดปัญหาว่ายังคงมีระบบการแบนภาพยนตร์อยู่ โดยที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ที่โดนแบนไปสามเรื่อง คือ Insects in the Backyard เชคสเปียร์ต้องตาย(Shakespeare Must Die)และ ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ที่เดิมมีคำสั่งแบน แต่ได้รับแจ้งในภายหลังว่าให้ฉายได้แต่ต้องตัดบางส่วนของภาพยนตร์ออกไป
ปรับทุกข์ แลกประสบการณ์การโดนเซ็นเซอร์
นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับฟ้าต่ำแผ่นดินสูง กล่าวถึงเหตุการณ์การแบนภาพยนตร์ของเขาว่า ภาพยนตร์ของเขามีเนื้อหาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร เมื่อส่งภาพยนตร์เข้าตรวจพิจารณาในแผนกดีวีดี ผลการพิจารณาออกมาว่าห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักรไทย เมื่อถามเจ้าหน้าที่ว่ามีปัญหาตรงไหน เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า “ก็มีปัญหาทั้งเรื่อง”
จากนั้นเขาก็โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าภาพยนตร์ของเขาถูกแบน ปรากฏว่ามีกระแสสนใจและนำไปสู่การเสนอข่าวทั่วโลก สองวันต่อมา ทางคณะกรรมการภาพยนตร์โทรศัพท์มาแจ้งว่าขอโทษในความผิดพลาด เพราะขั้นตอนที่ถูกต้องนั้นจะต้องเรียกคนทำภาพยนตร์เข้ามาชี้แจงก่อน และก็แจ้งเขาว่า ภาพยนตร์ของเขามีฉากที่เป็นปัญหา คือ ฉากงานปีใหม่ที่ราชประสงค์ ในฉากชวนคนเคาท์ดาว์นและผู้ประกาศบอกว่า มาร่วมเฉลิมฉลองให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนนทวัฒน์ยอมที่จะดูดเสียงตรงนี้ไป
"ผมกลัวว่าถ้าไม่ยอมดูดเสียง หนังผมจะถูกแบน และอาจถูกดึงไปเกี่ยวข้องในเรื่องอื่นๆ"นนทวัฒน์กล่าว
ด้านพันธ์ธัมม์ ทองสังข์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องไอ้ฟักเล่าประสบการณ์ที่เคยมีกับการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์เช่นกันว่า หนังเรื่องไอ้ฟักที่เขาทำ เขาเขียนบทให้ไอ้ฟักรักกับสมทรงแล้วแต่งงานกัน แต่ไอ้ฟักก็ไม่ยอมจะมีเซ็กส์กับสมทรงเพราะเป็นเมียพ่อ พอยื่นหนังให้คณะกรรมการฯ ตรวจ ก็ได้รับแจ้งว่า ให้ตัดฉากที่สมทรงทายาหม่องให้ไอ้ฟัก โดยคณะกรรมการฯให้เหตุผลว่า ฉากดังกล่าวดูแล้วเกดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งพันธ์ธัมม์บอกว่า ตัดไม่ได้ เพราะผมต้องการให้เกิดอารมณ์ทางเพศ
ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
ด้านธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Insects in the Backyard เล่าประสบการณ์ว่า กรณีการแบนที่พบมาต่างจากกรณีเช็คสเปียร์ต้องตายและกรณีฟ้าต่ำแผ่นดินสูง เพราะไม่มีโอกาสได้ชี้แจงเหตุผล มีแต่เจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาถามว่า "จะตัดไหมคะ จะตัดไหม"เมื่อถามว่าจะให้ตัดตรงไหนก็ได้รับคำตอบว่า ก็ทุกตรงที่มันผิดศีลธรรม สุดท้ายภาพยนตร์เรื่อง Insects in the Backyard ก็ถูกแบน และนำไปสู่การฟ้องศาลปกครอง
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ นักกฎหมายจาก iLaw กล่าวถึงประเด็นหนึ่งในการฟ้องศาลปกครองว่า คณะกรรมการภาพยนตร์จะใช้คำสั่งลอยๆ เพียงว่า ภาพยนตร์นั้นมีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรม จึงสั่งไม่อนุญาตให้ฉายไม่ได้ แต่ต้องระบุเหตุผลให้ชัดเจน ปัจจุบันคดีผ่านมาสามปี แม้ยังไม่มีคำพิพากษาแต่ความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเห็นได้คือ พบว่าคณะกรรมการภาพยนตร์ได้ทำงานตามขั้นตอนมากชึ้น เช่น ก่อนพิจารณามีการเรียกตัวแทนคนทำภาพยนตร์เข้าไปชี้แจง และมีการออกคำสั่งโดยละเอียด ดังที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์เรื่องเช็คสเปียร์ต้องตายและฟ้าต่ำแผ่นดินสูง
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
ต้านเซ็นเซอร์ คนทำภาพยนตร์ต้องรวมพลัง
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ และตัวแทนกลุ่ม Free Thai Cinema เล่าถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Free Thai Cinema ว่าเมื่อ 4-5 ปีก่อนหน้านี้ หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องแสงศตวรรษของเขาถูกตัด ก็มีการเคลื่อนไหวในกลุ่มคนทำภาพยนตร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การรณรงค์ก็แผ่วเบาลงไป มันทำให้เห็นความอ่อนแอว่าเราไม่ได้สนใจสังคมที่เราอยู่เลย จนทุกวันนี้ พอเกิดการแบนหนังครั้งหลัง เราก็มารวมกลุ่มและรณรงค์กัน ซึ่งการเคลื่อนไหวมันก็ซ้ำรอย มันเดจาวูมาก
รศ.บรรจง โกศัลวัฒน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาภาพยนตร์ วีดิทัศน์ ม.เกษมบัณฑิต กล่าวว่านับแต่อดีตจนปัจจุบัน ภาพยนตร์ไทยเหมือนถูกคุมกำเนิดอยู่ตลอดเวลา ตอนร่างรัฐธรรมนูญ 2540 วงการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ให้ตื่นตัวเรื่องเสรีภาพสื่อ แต่ผู้สร้างภาพยนตร์ไทย สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์ไม่มีใครสนใจ
"พวกเรา ผู้สร้างภาพยนตร์ควรต้องรวมพลังกันหน่อยไหม อาจจะรวมพลังต้องการที่จะพูดหรือแสดงออก ซึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว หลายท่านบอกว่า ผมพูดมาซ้ำๆ ซากๆ ก็ไม่เห็นเกิดผล แต่สิ่งเหล่านี้มันจำเป็นที่จะต้องพูดกันไป"รศ.บรรจง กล่าว
อภิชาติพงศ์กล่าวว่า มันมีภาวะที่น่ากลัว คือ ภาวะของการสมยอมของคนทำงาน อย่างในหนังเรื่องฟ้าต่ำแผ่นดินสูงหรือเช็คสเปียร์ต้องตาย ที่คนทำหนังจะไปสู่ว่าเราไม่ได้ทำหนังเข้าข้างใครหรือเราเป็นกลาง เขาเห็นว่าในแง่การให้เหตุผล คนทำหนังต้องไม่ใช้เทคนิคการปรองดอง ซึ่งมันเป็นเทคนิคของรัฐบาล ดังนั้น ไม่ต้องแก้ตัว เราไม่ต้องหน่อมแน้มกับเขา ถ้าผมไม่เป็นกลางก็ต้องมั่นใจว่าไม่เป็นกลาง ถ้าสังคมมันจะแตกแยกก็ต้องแตกแยก อย่างไรก็ดี การควบคุมภาพยนตร์ก็ยังมีความจำเป็นในกรณีการปกป้องเด็กและเยาวชน
"ภาพยนตร์"ก็เป็น "สื่อ"ไม่ควรต้องส่งตรวจก่อนออกฉาย
ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่ององก์บาก เล่าถึงกระบวนการเคลื่อนไหวจนมาถึงพ.ร.บ.ภาพยนตร์ฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ที่สู้เรื่องระบบเรตติ้ง แต่ทำไปทำมาก็ยังมีระบบแบนอยู่ ซึ่งแม้ในรัฐธรรมนูญจะรับรองเสรีภาพสื่อไว้ แต่ในนิยามก็ไม่ได้รวมถึงภาพยนตร์ว่าเป็นสื่อ เขากล่าวว่าตรงนี้มันเหมือนเป็นอุบัติเหตุแค่นิดเดียวเองที่ทำให้ภาพยนตร์ไม่ถูกรวมอยู่ในสื่อที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แล้วเจ้าหน้าที่รัฐก็ทำตามตัวอักษร มันแค่ไม่มีคำว่า "ภาพยนตร์"ในมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ นักกฎหมายจาก iLaw
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จาก iLaw กล่าวถึงรัฐธรรมนูญที่กำหนดคุ้มครองสื่อว่า “การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่น จะกระทำมิได้” จากท่อนนี้ของกฎหมายก็กำหนดชัดแล้วว่ารัฐธรรมนูญคุ้มครองสื่อจำพวกหนังสือพิมพ์ แต่ยังคลุมเครือในกรณีที่เป็นสื่อภาพยนตร์ ไม่เพียงเท่านั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 45 วรรค 5 ให้การคุ้มครองไว้ว่า การตรวจเนื้อหาของสื่อ “ก่อน” นำเสนอเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เลย แต่ปัจจุบัน ภาพยนตร์เป็นสื่อเพียงประเภทเดียวที่ยังคงต้องส่งให้รัฐพิจารณาก่อนออกฉาย ซึ่งนี่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคทางภาษากฎหมาย หากภาพยนตร์ถูกจัดเป็นสื่อแล้ว การส่งให้ตรวจก่อนก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เลย
เขากล่าวว่า ถ้าจะแก้ไขกฎหมายยังสามารถทำได้ผ่านกระบวนการเสนอกฎหมายภาคประชาชนที่อาจใช้วิธีระดมหนึ่งหมื่นชื่อ และหากอยากให้ภาพยนตร์เป็นสื่อ ก็อาจแก้ไขโดยเพิ่มนิยามของคำว่าภาพยนตร์ ว่าเป็นสื่อมวลชนได้เช่นกัน
ยกเครื่อง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ เสนอตั้งสภาภาพยนตร์
รศ.บรรจง โกศัลวัฒน์ นักวิชาการด้านภาพยนตร์ จาก ม.เกษมบัณฑิต กล่าวว่า ตอนนี้พ.ร.บ.ฉบับนี้กลายเป็นล็อกสองชั้น คือมีทั้งเรตติ้งและเซ็นเซอร์ แต่ยังไงก็ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฉบับนี้ไม่มีประโยชน์อะไร สามารถยกเลิกได้เลย เพราะถ้ากลัวคนทำหนังโป๊ หรือทำเรื่องกระทบต่อความมั่นคง แม้ไม่มีพ.ร.บ.ภาพยนตร์เราก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะมีประมวลกฎหมายอาญากำหนดอยู่
ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทย
ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากเป้าหมายของการแก้ไขพ.ร.บ.ภาพยนตร์คือ การตัดมาตรา 29 ที่กำหนดอำนาจให้คณะกรรมการภาพยนตร์สั่ง “ไม่อนุญาตให้ฉาย” ภาพยนตร์ได้ แต่กลวิธีในการตัด ไม่ใช่แค่การยื่นข้อเสนอ เพราะถ้าทำแบบนั้น สุดท้ายคณะกรรมการกฤษฎีกาก็คงไม่ยินยอม แต่ต้องหาวิธีเช่น หาคนที่สามารถเข้าถึงแล้วเจรจากับประธานกรรมการกฤษฎีกาชุดที่จะพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ และตัวแทนกลุ่ม Free Thai Cinemaก็รำพึงว่า "วิธีดังกล่าว "ไทย"มากเลย"และเสนอว่า สิ่งที่เราต้องการคือ เลิกระบบเดิม ที่ปัจจุบันคณะกรรมการภาพยนตร์มีทั้งหมด 7 คน มี 4 คนจากภาครัฐ 3 คนจากภาคอุตสาหกรรม ควรเปลี่ยนใหม่แล้วมาใช้องค์กรอิสระด้านภาพยนตร์แทน เช่น เป็นสมาคมวิชาชีพดูแลกันเอง
อภิชาติพงศ์ กล่าวว่า ทางกลุ่ม Free Thai Cinema เห็นปัญหาถึงความไม่โปร่งใสของการแต่งตั้งคณะกรรมการ และการคัดสรรของกระทรวงวัฒนธรรมก็เอาข้าราชการเกษียญอายุแล้วมาอยู่ในโควต้าของภาคเอกชน ซึ่งเป็นระบบพวกพ้องและละเลยเจตนารมณ์ของกฎหมายไป
อภิชาติพงศ์เสนอว่า เราควรมีสภาภาพยนตร์ โดยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ดูแลกันเองเหมือนสมาคมวิชาชีพสื่อแบบอื่นๆ หรือเหมือนแบบที่อเมริกา โดยสภาจะทำหน้าที่ "แนะนำ"การใช้เรท ซึ่งสุดท้ายแล้วคนทำภาพยนตร์จะไม่เชื่อตามเรทนั้นก็ได้
ด้านปรัชญา ปิ่นแก้ว เล่าว่ากรณีละครเหนือเมฆ 2 ที่ถูกเซ็นเซอร์ตอนจบนั้น เป็นรูปแบบที่ทางช่องเซ็นเซอร์เอง แล้วก็จะเห็นว่าสังคมมันจัดการกันเอง เวลามีการแบนก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนี่เป็นตัวอย่าง กรณีภาพยนตร์ก็ควรเป็นอย่างนั้น
ที่มา : โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) http://ilaw.or.th/node/2792