โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงชี้แจงกรณีข้อมูลบิดเบือนใส่ร้าย จนท.ซ้อมทรมาน ‘อาดีล สาแม’ ผู้ต้องสงสัยเหตุระเบิดยะลา เตรียมประสานดำเนินคดีตามกฎหมายต่อ ‘มูลนิธิผสานวัฒนธรรม’
8 พ.ค. 2557 ที่อาคารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วย พล.ต.ต.งามศักดิ์ เกื้อจรูญ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.อ.พิเชษฐ์ ชุติเดโช ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 41 และ พ.ต.อ.กรณ์ณพัชญ์ กิตติพิบูลย์ รองผู้บังคับการงานสืบสวนสอบสวนตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันชี้แจงข้อเท็จจริง
สืบเนื่องจาก กรณี น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ และทำหนังสือเปิดผนึกถึงแม่ทัพภาคที่ 4 โดยกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการซ้อมทรมาน นายอาดีล สาแม ในขณะเข้าติดตามจับกุม เมื่อ 26 เม.ย. 2557 เวลา 12.30 น. เป็นเหตุให้ นายอาดีล สาแม ได้รับบาดเจ็บสาหัส และสลบ ก่อนที่ญาติจะนำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา พร้อมกับได้อ้างว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ออกใบรับรองแพทย์ว่าถูกทำร้ายร่างกายจริง ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น
พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าขอชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเข้าใจว่า ท่านแม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้สำนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และนิติวิทยาศาสตร์ กองอำนวยการรักษาความมันคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชุดสืบสวนคดีสำคัญศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 และนายแพทย์รุสกี เจ๊ะแอ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย นายอาดีล สาแม มาชี้แจง
ข้อมูลที่ได้พบว่า การจัดกำลังเข้าติดตามจับกุม จำนวน 4 ชุดปฏิบัติการ ประกอบด้วย กรมทหารพรานที่ 41 จำนวน 2 ชุด ชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองยะลา และชุดสืบสวนคดีสำคัญศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยละ 1 ชุด พร้อมด้วยหมู่ทหารพรานหญิง ปฏิบัติตามขั้นตอนในการติดตามจับกุม โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เป็นไปตามพันธกรณีตามมาตรฐานองค์การสหประชาชาติ เรื่องกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยเฉพาะ เรื่องปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลให้พ้นจาการถูกกระทำทรมาน และหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลัง และอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทุกประการ
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยความละมุนละม่อมภายใต้หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชน ไม่มีการทำร้ายร่างกายตามคำกล่าวอ้าง ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกคำให้การของ นายอาดีล สาแม ที่กล่าวว่า ไม่ได้ถูกซ้อมแต่เกิดจากความเครียดที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมกับการก่อเหตุระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อวันที่ 6-7 เม.ย. 2557 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดอาการชักเกร็ง โดยเจ้าหน้าที่เป็นผู้เรียกรถมูลนิธินำไปส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา
“ผลการตรวจร่างกายของนายแพทย์รุสกี เจ๊ะแอ แพทย์เวรประจำห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลศูนย์ยะลา เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2557 ซึ่งระบุในใบรับรองแพทย์ว่า กล้ามเนื้อบริเวณลิ้นปี่อักเสบ โดยนายแพทย์รุสกี เจ๊ะแอ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ผลการตรวจร่างกายโดยทั่วไปปกติ ไม่มีอาการแสดงปวด บวม แดง ร้อน หรือเลือดออก รอยจ้ำหรือร้อยช้ำใดๆ รวมทั้งได้ทำการตรวจทางรังสีวิทยา (X-ray) บริเวณหน้าอก ผลการตรวจไม่พบการแตกหักของกระดูกช่องอก ไม่พบอันตรายของเนื้อเยื่อของปอด และไม่พบลม หรือน้ำในช่องปอด จึงลงความเห็นว่า กล้ามเนื้อบริเวณลิ้นปี่อักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้งานมากเกินปกติ โดยอาจเป็นผลมาจากการชักเกร็งในภาวะเครียดด้านจิตใจ มิใช่เกิดจากการกระแทก (ผลการ X-ray ) ซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจร่างกายของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 และวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ซึ่งยืนยันว่า ไม่พบบาดแผลถลอก บาดแผลฉีกขาด หรือแผลฟกช้ำในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้น จึงไม่เป็นไปตามข้อร้องเรียนที่อ้างว่า ถูกเจ้าหน้าที่ซ้อมจนสลบ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ออกใบรับรองแพทย์ว่าถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าว
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังกล่าวอีกว่า สำหรับมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร เป็นหนึ่งในหลายๆ องค์กร ที่เข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้พยายามนำประเด็นความผิดพลาดจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนและเสนอรายงานสู่องค์กรระหว่างประเทศ โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ทั้งๆ ที่สามารถดำเนินการได้ รวมทั้งกรณี นายอาดีล สาแม ซึ่งได้แสดงเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่สร้างความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายด้วยความทุ่มเท เสียสละ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ และทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีสากล
จึงขอเรียกร้องให้มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ทำหน้าที่ด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมาและตรวจสอบได้ และแสดงความรับผิดชอบต่อเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง และนำเสนอเรื่องราวอันเป็นเท็จไปสู่การรับรู้สาธารณะ ดังเช่นเหตุการณ์ครั้งนี้ และที่ผ่านๆ มาเพื่อไม่ให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในพฤติกรรม และเจตนาที่แท้จริงไปมากกว่านี้
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะยังคงให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม ให้การเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และไม่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรเครือข่ายต่างๆ ที่มีเจตนาบริสุทธิ์ ในการเข้ามาตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ในทุกกรณี
ทั้งนี้ ในการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนดังกล่าวของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็อาจจะมีการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อให้ทางมูลนิธิฯ รับผิดชอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.งามศักดิ์ เกื้อจรูญ ผู้บังคับการงานสืบสวนสอบสวนตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ในเรื่องของการซ้อมทรมาน การทำร้ายซึ่งกฎบัตรอนุสัญญาภาคีก็ได้กำหนดให้ประเทศไทยเป็นอนุสัญญาภาคีด้วย ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับบัญชา ตั้งแต่ท่านผู้บัญชาการทหารบก ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านแม่ทัพภาค 4 ตลอดจนท่านผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เน้นย้ำกำชับแก่ผู้ปฎิบัติการระดับล่างทุกนาย ว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิดทางอาญา โทษถึงจำคุก และให้ออกจากราชการ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย ซึ่งขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไม่มีการดำเนินการซ้อมทรมานต่อผู้ต้องสงสัยทุกรายอย่างแน่นอน รวมทั้งการควบคุมตัวก็เป็นไปตามหลักสากลที่ใช้ปฏิบัติกัน
ที่มา: ภาคใต้ ASTV ผู้จัดการ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai