Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

มติ สตช.กรณีทุจริตสอบนายสิบ เพิกถอนเฉพาะส่วนที่ทำผิด - จ่อขอหมายจับ 200 ราย

$
0
0

มติ สตช. กรณีทุจริตสอบนายสิบ ให้เพิกถอนบางส่วนที่กระทำผิดเท่านั้น ผบช.น. เผยรวบรวมหลักฐานจ่อขอหมายจับราว 200 ราย ย้ำเป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัย

18 ม.ค. 2560  ความคืบหน้ากรณีพบการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ วันนี้ (18 ม.ค.60) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ล่าสุดมติของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีมติไม่เห็นชอบการยกเลิกสอบนายสิบตำรวจทุกภาค แต่ให้เพิกถอนเฉพาะผู้ที่ตำรวจมีหลักฐานชัดเจนในการสอบ ซึ่งขณะนี้มีกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ที่สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงยังคงมีการประกาศผู้ผ่านการสอบคัดเลือกทุกกองบัญชาการ ภายในวันที่ 27 ม.ค.นี้ แต่ในส่วนของ กองบัญชาการตำรวจนครบาล จะประกาศภายในวันที่ 30 มกราคม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพยายามอัพเดตข้อมูลในเฟซบุ๊ก เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้

สำหรับแนวทางการเยียวยานั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีแนวทางในการเยียวยาผู้เข้าสอบอยู่แล้ว ขอผู้เข้าสอบอย่ารับฟังกระแสสังคม รวมถึงขณะนี้มีการขยายผลดำเนินคดีกับผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ทั้งผู้รับจ้างสอบ ผู้ได้รับผลประโยชน์ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

ผู้ต้องหาขอหมายจับราว 200 ราย

ขณะที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เปิดเผยกรณีนี้ ว่าตนได้สั่งการพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน ต้องใช้เวลาพิสูจน์ทราบ ส่วนจะมีการออกหมายจับเพิ่มผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 200 ราย นั้น เบื้องต้นอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพราะขบวนการเหล่านี้ต้องให้เวลาพนักงานสอบได้ทำงาน ตนจะไม่รอเพียงการซัดทอดของผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายเรียกก่อนหน้านี้ 52 ราย ในชั้นสอบสวนต้องมีหลักฐานแน่น และในชั้นพิจารณาของศาลจะยิ่งมีข้อสงสัยจนออกหมายจับไม่ได้ จึงจำเป็นจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อมัดแน่นตัวผู้กระทำผิดทั้งหมดซึ่งผู้ต้องหาส่วนใหญ่ไม่ให้การในชั้นพนักงานสอบสวนจะไปให้การในชั้นศาล
       
เมื่อถามว่าจากการสอบสวนพฤติกรรมความผิดของผู้ต้องหาสอดคล้องในข้อหาใดบ้าง พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพิจารณาเมื่อข้อเท็จจริงเข้าผิดองค์ประกอบฐานใดต้องตั้งข้อหาตามนั้น
       
เมื่อถามว่าสำนวนจะเสร็จภายในเดือนนี้หรือไม่ พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ตนอยากให้เสร็จภายในวันนี้พรุ่งนี้ด้วยด้วยซ้ำไป แต่ไม่อยากเร่งจนเกินไปต้องให้ชัดเจน แต่ต้องอยู่บนข้อมูลเชิงประจักษ์ หากมีข้อมูลที่เบาะแสเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีกลุ่มนี้แก๊งนี้หรือกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ย้ำเป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัย

“นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ครอบครัวไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง เรามองว่าครอบครัวไม่ได้ดูแลใกล้ชิดเพราะเหตุว่าน้องๆ ส่วนใหญ่ก็โตแล้ว ในส่วนนี้ครอบครัวกับทางเจ้าหน้าที่ต้องมาจับมือให้ความสำคัญร่วมกันมากกว่านี้ เพราะกลุ่มที่ทุจริตไปชักชวนโน้มน้าวทำให้เด็กเหล่านี้หลงผิดหลงทางไป ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลงมาให้ความสำคัญจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ทาง ผบ.ตร.และคณะกรรมที่ประชุม ตร.มีมติให้นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้ง” พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รบ.เตรียมออกแผนที่การเกษตร ยันไม่บังคับ - ลดขั้นตอนรับรองเกษตรแปลงใหญ่

$
0
0

รัฐบาลเตรียมประกาศแผนที่การเกษตร กำหนดพื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชแต่ละชนิด แต่ใม่ใช่มาตรการบังคับ ก.เกษตรฯ ลดขั้นตอนรับรองเกษตรแปลงใหญ่

18 ม.ค. 2560 พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมกรอบแนวทางแก้ปัญหาข้าวครบวงจร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแผนงานในปี 60 โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.นี้ เพื่อรับทราบข้อมูล เกี่ยวกับปริมาณการปลูกข้าว ความต้องการทั้งปริมาณการบริโภคในประเทศ และการส่งออก และใช้ในอุตสาหกรรม  ซึ่งมีความต้องการประมาณ 30 ล้านตัน และการปลูกข้าวในพื้นที่ปลูกนาปีประมาณ 58 ล้านไร่ และนาปรัง 5 ล้านไร่ หลังจากนั้นกระทรวงเกษตรฯเตรียมออกประกาศแผนที่ทางการเกษตร ในวันที่ 28 ก.พ.60 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะในการปลูกหรือทำการเกษตร หวังปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ และความต้องการของตลาด เช่น พื้นที่ใดไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวควรปลูกพืชชนิดอื่น เช่น การปลูกถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เพราะตลาดยังมีความต้องการ เช่น การเปลี่ยนจากปลูกข้าว ไปเลี้ยงปศุสัตว์ โดยภาครัฐพร้อมส่งเสริมการตลาดให้กับเกษตรกร ผ่านมาตรการส่งเสริมต่างๆ เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในเร็วๆนี้ ยอมรับว่าไม่ใช่มาตรการบังคับ  หากรายใดปลูกพืชสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจะได้รับการส่งเสริมผ่านมาตรการต่างๆจากภาครัฐ

ก.เกษตรฯ ลดขั้นตอนรับรองเกษตรแปลงใหญ่

ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานโครงการเกษตรแปลงใหญ่ปี 2559  มีแปลงใหญ่ทั้งสิ้น 600 แปลง พื้นที่ 1.538 ล้านไร่ เกษตรกร 96,554 ราย สำหรับปี 2560 กำหนดเป้าหมายไม่น้อยกว่า 900 แปลง คือ เดือนมกราคม 400 แปลง และพฤษภาคม 512 แปลง รวมทั้งสิ้น 1,512 แปลง ซึ่งปีนี้ต้องมีการปรับลดหลักการ เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจง่ายขึ้น ทั้งนี้ รายงานความสำเร็จที่สามารถตรวจวัดผลผลิตและประเมินผลได้มี 480 แปลง จาก 600 แปลง คิดเป็นร้อยละ 92 ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างประเมินผลผลิต เนื่องจากยังไม่เก็บเกี่ยว
 
“การปรับปรุงขั้นตอนการรับรองส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ได้ลดขั้นตอน โดยแต่งตั้งคณะทำงานรับรองแปลง Single Command (ประธาน/เกษตรจังหวัด/เลขานุการ)  จากเดิมต้องผ่านอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ของจังหวัด  โดยให้คณะทำงานรับรองแปลงรับรองและนำเสนออนุกรรมการฯ เพื่อรับทราบ อีกทั้งต้องมีฐานข้อมูลที่ชัดเจนทุกราย เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
 
โดย สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การดำเนินงานแปลงใหญ่ที่ผ่านมามีหลักเกณฑ์การดำเนินงาน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการขยายพื้นที่ เนื่องจากมีเกษตรกรต้องการเข้าร่วมแปลงใหญ่จำนวนมาก จึงมีการหารือร่วมกันและสรุปหลักการของแปลงใหญ่ ดังนี้ 1.ง่ายต่อการเข้าถึง รวมตัวกันได้ จับเป็นกลุ่มผลผลิตเกษตรชนิดเดียวกัน ดำเนินการได้ทันที  2. ขนาดพื้นที่เหมาะสม ไม่จำกัดขนาดและจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วม 3. พัฒนาให้ถึงเป้าหมาย คือ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ขยายโอกาส 4. พื้นที่ไม่เหมาะสมตาม Agri Map สามารถรวมเป็นแปลงใหญ่ได้ และใช้เทคโนโลยีเข้าไปปรับพื้นที่ให้เหมาะสม 5. ยกระดับมาตรฐานผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น 6. แหล่งน้ำ ตามความจำเป็นหรือความเหมาะสม 7. กระบวนการกลุ่ม คือ กลุ่มเดิม (สหกรณ์/วิสาหกิจชุมชน) กลุ่มย่อยทำแปลงใหญ่ได้ กรณีไม่มีกลุ่ม จะต้องมีการพัฒนาให้เกิดกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง 8. Economy of scale ตัดสินด้วยเกณฑ์ของแหล่งทุน ขึ้นกับกิจกรรมที่กลุ่มขอรับการสนับสนุน และ 9. ความสมัครใจเป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ และดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และเป้าหมายของแปลงใหญ่
 
ที่มา สำนักข่าวไทย 1, 2
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นพวรรณยันไม่เกี่ยวโพสต์แอนดรูว์ หลังตร.มาพบแม่ฝากเตือนหยุดโพสต์กระทบกษัตริย์

$
0
0

อดีตแม่ยาย  'แอนดรูว์ มาร์แชล' เผย ตร.มาพบที่บ้าน พร้อมฝากเตือนแอนดรูว์เลิกโพสต์กระทบสถาบันกษัตริย์ หลังโพสต์เนื้อหาในเอกสารลับของซีไอเอ ที่ถูกเปิดเผยออกมาหลังพ้นช่วงเวลาปกปิดเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ ขณะที่นพวรรณโพสต์ยันไม่รู้เรื่องและไม่สามารถไปสั่งให้แอนดรูว์ทำอะไรได้

ภาพ นพวรรณ พร้อมลูกชายวัย 3 ขวบ ขณะถูกนำตัวไปที่กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 22 ก.ค.59 โดยคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในบ้านถูกยึดตามหมายค้น (ที่มา แฟ้มภาพประชาไท)

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา นพวรรณ บรรลือศิลป์ อดีตภรรยาแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล (อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศไทย) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงตำรวจไทย และต่อมา แอนดรูว์ นำมาเผยแพร่ต่อผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ 

โดย นพวรรณ ระบุว่า ขอชี้แจงให้ทุกท่านทราบว่า ตนไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว และยืนยันอีกครั้งว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานของแอนดรูว์ ไม่เข้าใจว่าวันนี้เจ้าหน้าที่สันติบาลจะไปพบแม่ของตนที่บ้านที่ไทยเพื่ออะไร และบอกอีกด้วยว่าจะกลับมาอีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์

นพวรรณ ระบุด้วยว่า ทางตำรวจได้สอบสวนตนเมื่อ ก.ค.ปีที่แล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าตนบริสุทธิ์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของแอนดรูว์ แต่มาวันนี้ยังมีการเคลื่อนไหวและไปขอพบตนที่บ้าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนไม่ได้อยู่ไทย ตนขอให้พวกท่านยุติการเคลื่อนไหวที่ทำให้ครอบครัวตนกังวลและเดือดร้อน และการที่แอนดรูว์เป็นพ่อของชาลี(ลูกของนพวรรณ)มันก็ไม่ได้หมายความว่าตนต้องมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เค้าทำ หรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าทำ ซึ่งยืนยันไปแล้ว
 
"ดิฉันอยากฝากเอาไว้ว่าเราไม่รู้เรื่องและไม่สามารถไปสั่งให้แอนดรูว์ทำอะไรได้ พ่อแม่เค้ายังสั่งเค้าไม่ได้เลย เหนื่อยนะค่ะ ถ้าคุณมีปัญหากับแอนดรูว์ กรุณาไปสถานทูตของสหราชอาณาจักร และไปทำการเรียกร้องส่งตัวแอนดรูว์ไปไทย อย่าไปทำให้ครอบครัวของดิฉันที่ไทยต้องมามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องที่เค้าไม่ได้ทำเถอะค่ะ" นพวรรณ โพสต์
 

แม่นพวรรณ เผย ตร.ฝากเตือนแอนดรูว์เลิกโพสต์กระทบสถาบันเบื้องสูง

บีบีซีไทยรายงานด้วยว่า ฤดีวรรณ ล่าทิพย์ มารดาของ นพวรรณ เปิดเผย "บีบีซีไทย"ว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 18 ม.ค. มีผู้หญิง 2 คน มายืนอยู่หน้าประตูบ้าน จะขอเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางเสียงเห่าของสุนัข โดยอ้างว่าเป็น ตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบ แล้วได้แสดงบัตรตำรวจให้ดู ทราบว่ามียศ ดาบตำรวจ โดยบอกว่า มาหา นพวรรณ แต่เธอบอกให้พูดคุยหน้าบ้าน และบอกว่าลูกสาวอยู่ต่างประเทศ หญิงสองคนจึงบอกว่า นายสั่งให้มาขอความร่วมมือให้ไป "เตือน"แอนดรูว์ มาร์แชล ให้เลิกโพสต์ข้อความที่เป็นที่ระคายเคืองต่อสถาบันเบื้องสูง พร้อมทั้งขอเบอร์โทรศัพท์มือถือไป เพื่อการติดต่อมาเป็นระยะๆในอนาคต
 
"เขามาแบบสุภาพ พูดดี เขาบอกว่า ฝากคุณแม่ไปเตือนแอนดรูด้วย ชอบไม่ชอบ ให้เก็บไว้ในใจ อย่างมาลงรูปอะไรอีก...อีกหน่อยลูกหลานจะได้กลับมาเมืองไทยได้สบายๆ ไม่ต้องเป็นห่วง"ฤดีวรรณ กล่าวทางโทรศัพท์ พร้อมกล่าวด้วยว่า "แม่ตอบเขาไปว่า แทบไม่เคยคุณกับแอนดรู ส่วนใหญ่เวลาคุยโทรศัพท์กัน ก็มักคุยกับลูกสาวหรือหลาน"
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ได้โพสต์เนื้อหาในเอกสารลับของสำนักข่าวกรองกลาง ของรัฐบาลสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ที่ถูกเปิดเผยออกมาหลังพ้นช่วงเวลาปกปิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองตั้งแต่สมัยจอมพล ป.  พิบูลย์สงคราม ถูกรัฐประหาร ฯลฯ 
 
ทั้งนี้ นพวรรณ พร้อมลูกชายวัย 3 ขวบ เคยถูกนำตัวไปที่กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 22 ก.ค.59 โดยคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในบ้านถูกยึดตามหมายค้น มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนั้นนพวรรณระบุว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของสามี และยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ เย็นวันเดียวกัน เธอได้รับการปล่อยตัว มีรายงานด้วยว่า ต่อมานพวรรณและลูกชายได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังสกอตแลนด์

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว 1 เดือน (22 ส.ค. 59) แอนดรูว์เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เขาและภรรยา ได้แยกกันอยู่และตัดสินใจจะหย่ากันแล้ว 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสั่งปรับ 'หม่อมเต่านา' 500 หลัง จ้องหน้าคุกคามอัยการ คดีจำนำข้าว

$
0
0

19 ม.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 59 ระหว่างที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หยุดพักพิจารณาไต่สวนพยาน คดีจำนำข้าว นั้น ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล หรือ หม่อมเต่านา อดีตนักเขียนบทภาพยนตร์เเละผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งเข้าสังเกตการณ์ ได้แสดงพฤติกรรม อาทิ จ้องตา เขม่น ต่อหน้าพนักงานอัยการ ต่อมาศาลได้มีคำสั่งในคำร้องที่พนักงานอัยการ โจทก์ยื่นคำร้องกรณีถูกคุกคาม โดยองค์คณะได้มีคำสั่งให้ตั้งสำนวนไต่สวนละเมิดอำนาจศาล พร้อมทั้งออกหมายเรียก ม.ล.มิ่งมงคล และผู้ถูกกล่าวหาอีกหนึ่งรายมาไต่สวน

วันนี้ (19 ม.ค.60) มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อ 09.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองศาล วิรุฬห์ เเสงเทียน รองประธานศาลฎีกา พร้อมองค์คณะ 3  คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีละเมิดอำนาจศาล ที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา ม.ล.มิ่งมงคล และ ธรรศ วันพฤหัส อดีตเลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา สภาผู้แทนราษฎร มีพฤติการเเสดงท่าทาง จ้องหน้า และเดินตามคณะพนักงานอัยการ ที่ว่าความคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 59 เวลา 12.00 น. ระหว่างการหยุดพักพิจารณาคดี ซึ่งอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2559

โดยเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา องค์คณะได้มีหมายเรียกบุคคลทั้งสองมาสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งทั้งสองรับว่าตามวันเวลาดังกล่าวได้หันไปมองหน้าคณะอัยการจริง ซึ่งศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยจริง จึงงดการไต่สวนเเละนัดฟังคำสั่งในวันนี้
 
โดยในวันนี้ ม.ล.มิ่งมงคล พร้อมด้วยทนายความ และ ธรรศ ได้เดินทางมาฟังคำสั่ง
 
องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของ มิ่งมงคล และ ธรรศ เข้าไปยืนระยะประชิด และจ้องหน้าในลักษณะคุกคามพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในคดีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำในศาล จึงมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด ไม่รักษาความสงบเรียบร้อยในศาล ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรคสอง และประมวลกฎหมายพิจารณาแพ่ง มาตรา 31 (1) และมาตรา 33
 
ส่วน ธรรศ แม้ไม่ยอมรับตามข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยอ้างว่าไม่ได้เดินตามพนักงานอัยการในระยะประชิด และไม่ได้ถ่ายรูปพนักงานอัยการ แต่เห็นว่า ธรรศมาด้วยกันกับ ม.ล.มิ่งมงคล และเดินทางกลับด้วยกัน ตามหลักฐานภาพถ่ายในศาล จึงเชื่อได้ว่าหากมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นคงเข้าไปช่วยเหลือ ดังนั้น ธรรศจึงเป็นตัวการร่วมกับ ม.ล.มิ่งมงคล
 
เเต่เป็นเป็นการกระทำที่ไม่ร้ายแรงให้ ลงโทษสถานเบา สั่งปรับผู้ถูกกล่าวหาคนละ 500 บาท
 
ภายหลัง ม.ล.มิ่งมงคลกล่าวว่า ศาลมีคำสั่งเเล้วตนจะเขียนข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวให้รออ่าน ส่วนวันนัดไต่สวนคดีจำนำข้าวคงไม่ได้มาให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ เเต่หากต่อไปมีเวลาว่างก็คงจะมา 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับตาตุรกีแก้รัฐธรรมนูญ กลายเป็นการเพิ่มอำนาจผู้นำเหนือรัฐสภาหรือไม่?

$
0
0

ธ.ค. ปีที่แล้วพรรคเอเคพีซึ่งเป็นพรรครัฐบาลตุรกีภายใต้การนำของประธานาธิบดี เรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองตุรกี ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าจะกลายเป็นการทำลายระบบรัฐสภา เพิ่มอำนาจให้ประธานาธิบดีแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่

19 ม.ค. 2560 เรเซป ตอยยิบ เออร์โดกันเป็นผู้ที่มีอำนาจในตุรกีมากว่า 13 ปี เริ่มต้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2557 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเขาถูกเรียกว่าเป็น "ระบอบประธานาธิบดีสไตล์ตุรกี"เป็นการยกเลิกระบบรัฐสภาแบบเดิม สั่งยุบสำนักนายกรัฐมนตรีไปสู่ระบบประธานาธิบดีเปิดทางให้เออร์โดกันกลายเป็นผู้มีอำนาจบริหารหนึ่งเดียวในประเทศ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังอยู่ในการถกเถียงอภิปรายกันในสภา

ร่างรัฐธรรมนูญตุรกีฉบับนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาและผ่านการทำประชามติก่อน แต่ถ้าหากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของตุรกีมีผลบังคับใช้ จะทำให้ตุรกีไม่มีคณะรัฐบาลอย่างเป็นทางการแบบเดิมที่จะตอบรับกับรัฐสภา โดยจะเป็นการให้อำนาจประธานาธิบดีในการแต่งตั้งและปลดรัฐมนตรีออก นอกจากนี้ยังให้ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งได้ 5 ปี และยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองไปในเวลาเดียวกันได้ การเลือกตั้งสมาชิกสภาในตุรกีก็จะเปลี่ยนมาเลือกกันทุก 5 ปี แทน 4 ปี และต้องเลือกในวันเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี

ในแง่ของการจัดสรรอำนาจทางการเมือง รัฐบาลตุรกีมองว่าจะทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีรัฐบาลผสมที่อ่อนแออีกแบบในอดีต นายกรัฐมนตรี บินาลี ยิลดิริม เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อในเรื่องนี้ว่ารัฐสภาเองก็จะเข้มแข็งขึ้นด้วยโดยมีอำนาจประธานาธิบดีคอยจัดการฝ่ายบริหารเพื่อระงับความขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในตุรกีกลับจะทำให้รัฐสภาอ่อนแอลง ทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุล และอาจจะถึงขั้นทำให้ตุรกีกลายเป็นระบบการปกครองที่ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว จากเดิมที่ฝ่ายต่างๆ ของรัฐบาลได้แก่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการจะตรวจสอบถ่วงดุลกันเองไม่ให้ใครมีอำนาจมากเกินไป

ผู้วิจารณ์ในเรื่องนี้คือเบอร์ทิล เอ็มราห์ โอเดอร์  ศาตราจารย์ด้านกฎมายรัฐธรรมนูญจากมหาวิทยาลัยค็อกในอิสตันบูลกล่าวว่าจากข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้ประธานาธิบดียังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในขณะที่มีการเลือกตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีไปพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้ลงสมัครประธานาธิบดีมีอำนาจจะเลือกบัญชีรายชื่อ ส.ส. ได้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ส่งผลให้ประธานาธิบดีมีอำนาจควบคุมรัฐสภาและวาระการประชุมของสภา นำไปสู่การทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุล

เลเวนต์ คอร์คุต ศาตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเมดิโปลกล่าวในทำนองเดียวกันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ถึงขั้นทำให้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลถูกขจัดโดยสิ้นเชิงแต่จะทำให้ระบบแตกต่างออกไปจากระบบสภาแบบคลาสสิกหรือระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐฯ ที่มีผู้นำพรรคกับผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นคนละคนกัน ทำให้มีวาระของแต่ละคนต่างกันได้ ทำให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันได้ซึ่งระบบใหม่จะไม่มีในเรื่องนี้ คอร์คุตบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขยังขจัดสิทธิในการตั้งกระทู้ถามในสภาออกไป ทำให้ตั้งคำถามกับการกระทำของประธานาธิบดีไม่ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนรัฐธรรมนูญใหม่ตุรกีอย่าง เมห์เหม็ต อุคุม ที่ปรึกษาด้านตุลาการของเออร์โดกันกล่าวว่ารัฐธรรมนูญใหม่ของพวกเขาจะมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่ดียิ่งกว่าเดิม โดยอ้างว่าระบบปัจจุบันถ้าฝ่ายบริหารที่เป็นรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาก็จะผ่านร่างกฎหมายได้โดยไม่มีการต่อต้าน แต่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญระบุให้มีการแยกฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกันมากขึ้น อุคุมอ้างอีกว่าสิทธิในการตั้งกระทู้ถามเป็นเรื่องไม่จำเป็นในระบบที่อำนาจฝ่ายบริหารคือประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ริบอำนาจกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโดยสภาถ้าหากประธานาธิบดีกระทำความผิด

อย่างไรก็ตาม ระบบใหม่ของตุรกีจะมีการกระบวนการถอดถอนที่ซับซ้อนมาก โดยเริ่มจากการต้องใช้รายชื่อของผู้แทน 301 ใน 600 ของสภา และหลังจากนั้นต้องตั้งคณะกรรมการจากการโหวตลับโดยผู้แทน 360 เสียง และถ้าหากมีการไต่สวนพิจารณาแล้วว่าต้องส่งตัวประธานาธิบดีไปดำเนินคดีในศาลสูงสุด จะมีการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีได้ก็ต่อเมื่อมีการโหวตลงคะแนนลับๆ จากผู้แทนเกิน 400 เสียงเท่านั้น ซึ่งคอร์คุต บอกว่าเป็นระบบที่ทำให้การถอดถอนประธานาธิบดีโดยสภาเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ เพราะต้องอาศัยเสียงข้างมากในสภา 2 ใน 3 ในขณะที่รัฐสภาเต็มไปด้วยคนพรรคเดียวกับของประธานาธิบดี

โอเดอร์ ยังกล่าวถึงอีกมุมหนึ่งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่นี้อาจจะทำให้สูญเสียอิสรภาพด้านตุลาการด้วย จากการที่ประธานาธิบดีมีอำนาจกว้างขวางเหนือสภาสูงแห่งผู้พิพากษาและอัยการ ขณะที่อุคุมอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้ตุลาการ "เป็นอิสระมากขึ้น"จากการที่ "สภาสูงแห่งผู้พิพากษาและอัยการ"

ต้องดูกันต่อไปว่าถ้าหากร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญตุรกีจะผ่านความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ ซึ่งอัลจาซีราระบุว่ามีโอกาสที่ร่างการแก้ไขจะผ่านสูงมากเนื่องจากสองพรรคการเมืองอย่างเอเคพี กับเอ็มเอชพี ที่มีท่าทีสนับสนุนการแก้ไขมีจำนวนในสภามากพอที่จะทำให้ผ่านการลงมติได้ และหลังจากผ่านมติในสภาแล้วก็จะไปสู่ขั้นตอนการลงประชามติจากประชาชนซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะจัดในช่วงเดือน มี.ค. - เม.ย. ที่จะถึงนี้

 

เรียบเรียงจาก

Turkey's constitutional reform: All you need to know, Aljazeera, 18-01-2017
http://www.aljazeera.com/indepth/features/2017/01/turkey-constitutional-reform-170114085009105.html

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประกันสังคม'ส่ง จม.แจงปม ม. 39, 40 คนพิการและปฏิเสธแรงงานข้ามชาติ

$
0
0

สนง.ประกันสังคม ส่ง จม.ถึงประชาไท แจงกรณี ม. 39 ม.40 คนพิการ และปฏิเสธแรงงานข้ามชาติ โต้บทความ "ย้อนปี 59 กับ 10 แพ็กเกจ ก.แรงงาน “สร้างความทุกข์ สกัดความสุข ไม่หยุดยั้งการละเมิดสิทธิ” 

19 ม.ค.2560 บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท ได้รับจดหมายชี้แจงจาก ลักขณา บุญสนอง รองเลขาธิกร รักษาการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ลงวันที่ 12 ม.ค. 60 เรื่อง ชี้แจงข่าว "ย้อนปี 59 กับ 10 แพ็กเกจ ก.แรงงาน “สร้างความทุกข์ สกัดความสุข ไม่หยุดยั้งการละเมิดสิทธิ” (บทความดังกล่าวเขียนโดย บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา URL http://prachatai.org/journal/2017/01/69480)

จดหมายชี้แจงของ สนง.ประกันสังคม ระบุว่า ตามที่อ้างถึง เว็บไซต์ประชาไท เสนอข่าวที่มีผลกระทบต่อสำนักงานประกันสังคม ดังนี้ 1. ผู้ประกันตนมาตรา 39 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ไม่สามารถชำระเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ณ ที่ทำการสำนักงานประกันสังคมต่าง ๆ ได้ 2. ผู้ประกันตนที่เป็นผู้พิการต่อเนื่องจากบาดเจ็บในงานตามมาตรา 33 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ถูกบังคับให้ย้ายสิทธิไปอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผลจากคำสั่ง คสช. ที่ 58/2559

3. ประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ถูกละเลยจากกรรมการประกัยสังคมในการพิจารณาปรับสิทธิ์ประโยชน์เพิ่มขึ้น และ 4. สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมปฏิเสธแรงงานข้ามชาติเข้าถึงกองทุนเงินทดแทนแม้มีสถานะเป็น “ลูกจ้าง” ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2558

สำนักงานประกันสังคม ชี้แจ้งข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. กรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ไม่สามารถชำระเงินสมทบที่สำนักงานประกันสังคมต่าง ๆ ได้นั้น เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจให้ประชาชนเข้าถึงบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และสอดคล้องตามยุทธศาสตร์กระทรวงแรงงานในการสร้างความโปร่งใส ประกอบกับรองรับการก้าวเข้าสู่การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จึงเพิ่มช่องทางการรับจ่ายเงินเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสำนักงานนายจ้าง ผู้ประกันตน และการดำเนินการจ่ายประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตนโดยได้พัฒนาช่องทางการให้บริการของผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมิต้องเดินทางมาติดต่อ ณ สำนักงานประกันสังคม ทั้งนี้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สามารถชำระเงินสมทบผ่านธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาติ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม พร้อมรับใบเสร็จเงินทันที และช่องทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส เคาน์เตอร์ทำการไปรษณีย์ เคาน์เตอร์เซ็นแพทย์ ซึ่งมีร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จำนวน 22 สาขา โดยค่าธรรมเนียมเพียงรายการละ 10 บาท

2. กรณีผู้ประกันตนที่เป็นผู้พิการเนื่องจากบาดเจ็บในงานถูกบังคับให้ย้ายสิทธิไปอยู่ในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 58/2559 ลงวันที่ 14 ก.ย. 2559 เรื่องการรับบริการสาธารณสุขของคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนคนพิการ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา

ซึ่งที่ประชุมมีข้อสรุปดังนี้ 1) ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้พิการสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลของรัฐได้ทุกแห่งโดยสำนักงานประกันสังคมจะนำเสนอคณะกรรมการแพทย์ และคณะกรรมการประกันสังคม และที่ปรึกษาพิจารณาเพื่อให้เห็นชอบออกประกาศ ฯ มีผลใช้บังคับภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2559 2) กรณีผู้พิการที่เป็นผู้ประกันตนถูกโอนสิทธิไปใช้บัตรทองและไม่ได้รับความสะดวกต้องเขารับบริการในสถานพยาบาลเอกชนเดิมและสถานพยาบาลเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมสามารถนำใบเสร็จมายื่นเบิกกับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา โดยสำนักงานประกันสังคมจะพิจารณาจ่ายให้ตามเงื่อนไขของประกาศคระกรรมการการแพทย์ ฯ โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ภายใต้บทเฉพาะกาลของประกาศกระทรวงการคลังฯ และ 3) บัญชีประเภทและอัตราค่าอวัยวะและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรคกรณีสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรืออวัยวะบางส่วน สำนักงานประกันสังคมได้ปรับรายการและอัตราจาก 31 รายการ เป็น 95 รายการโดยผู้พิการไม่ต้องสำรองเงินจ่ายและให้สถานพยาบาลมายื่นเบิกกับสำนักงานประกันสังคม

สำนักงานประกันสังคม ชี้แจ้งข้อเท็จจริง เพิ่มเติมว่า 3. กรณีประโยชน์ทดแทนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ถูกละเลยจากกรรมการประกันสังคมในการพิจารณาเพิ่มขึ้น สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการพัฒนาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมตามมาตรา 40 โดยมีการพิจารณาเพิ่มขยายสิทธิประโยชน์เงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีประสบอันตราหรือเจ็บป่วยเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ เงินค่าทำศพ เงินบำเหน็จกรณีชราภาพ อัตราเงินสมทบทางเลือกที่ 1 และอัตราเงินสมทบทางเลือกที่ 2 ซึ่งผลการดำเนินการดังกล่าวได้ผ่านพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงแรงงานเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2559 โดยในขั้นตอนต่อไปกระทรวงแรงงานจะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามถึงคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นก่อนส่งร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป

และ 4. กรณีสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมปฏิเสธแรงงานข้ามชาติ แม้มีสถานะเป็นลูกจ้างขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวลูกจ้างเป็นแรงงานต่างดาวสัญชาติเมียนมา ขึ้นทะเบียนตามนโยบายของรัฐบาลไทย มีหนังสือเดินทาง (Passport) และใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) โดยทำงานตำแหน่งลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานกับสถานประกอบการ ต่อมาประสบอันตรายในพื้นที่จังหวัดนครปฐมสาขาสามพราน มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกฎกระทรวงกำหนด จ่ายค่าทดแทนกรณีหยุดพักรักษาตัวและจ่ายค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ และกรณีดังกล่าวลูกจ้างได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทนของสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีมติว่าลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน แต่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 โดยให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 50 เมื่อมีการแจ้งการประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย หรือมีการยื่นคำร้องขอรับเงินทดแทน หรือความปรากฎแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ว่าลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหายให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวน และออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิ

     

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.เห็นชอบพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดน รมว.คลัง ชี้ทำให้ทันสมัยตามมาตรฐานสากล

$
0
0

สนช. เห็นชอบพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดนและภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน รับหลักการร่าง พ.ร.บ.รับขนทาง อากาศระหว่างประเทศ และร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ สร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์

 

19 ม.ค. 2560 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็นชอบพิธีสาร 7 ระบบศุลกากรผ่านแดนและภาคผนวกทางเทคนิค : กฎเกณฑ์และพิธีการว่าด้วยศุลกากรผ่านแดนอาเซียน ด้วยคะแนนเห็นด้วย 196 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง

วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงสาระสำคัญของร่างพิธีสารดังกล่าวว่า เพื่อให้ความตกลงระหว่างประเทศมีผลผูกพันประเทศไทย ในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรผ่านแดนโดยประเทศสมาชิกอาเซียน และจะอนุญาตให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นขนส่งสินค้าผ่านแดนของตนเองได้ ยกเว้นสินค้าต้องห้าม ต้องจำกัดที่ได้กำหนดไว้ในพิธีสาร ทั้งนี้ต้องไม่มีการเก็บภาษีใดๆ สำหรับสินค้าที่ขนส่งผ่านแดน โดยศุลกากรของแต่ละประเทศสามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็น เพื่อให้สามารถควบคุมการขนส่งผ่านแดนเป็นไปอย่างเหมาะสม ให้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการปฏิบัติพิธีศุลกากรผ่านแดนอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกำหนดให้ผู้ประกอบการผ่านแดนของประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศวางหลักประกันครั้งเดียว โดยถือว่าหลักประกันดังกล่าวมีความสมบูรณ์ในทุกประเทศและครอบคลุมถึงสินค้าตลอดเส้นทางการขนส่งผ่านแดน กำหนดให้ใช้แบบสำแดงทางศุลกากรที่เหมือนกันทั้งภูมิภาค ในการขนส่งผ่านแดน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้าในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงยกระดับการพิธีการศุลกากรให้มีความทันสมัยตามมาตรฐานสากล เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ
 
สมาชิก สนช.ได้ให้ความเห็นในหลายประเด็น อาทิ ควรคำนึงถึงการได้ประโยชน์ เสียประโยชน์หรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ความเชื่อมโยงของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ความพร้อมของจุดผ่านแดนต่างๆในทางปฏิบัติ การควบคุม กำกับ ดูแลและการอำนวยความสะดวก

รับหลักการร่าง พ.ร.บ.รับขนทาง อากาศระหว่างประเทศ 

สนช. ยังมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.รับขนทาง อากาศระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเห็นด้วย 196 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงานของ คณะกรรมาธิการ 30 วัน     
 
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเพื่อการรวบรวมกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการรับขนระหว่างประเทศทางอากาศ ค.ศ. 1999 (Convention for the Unification of Certain Rules for  International Carriage By Air, 1999) แต่โดยที่พระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่าง ประเทศ พ.ศ. 2558 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีบทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การรับขนทาง อากาศระหว่างประเทศยังมี่ครอบคลุมครบถ้วน จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมทบบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวเพื่อให้การเป็นไปตามอนุสัญญา

รับหลักการร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ สร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์

นอกจากนี้ สนช. ยังมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอบางพลี อำเภอเมือง สมุทรปราการ และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ไว้พิจารณาด้วยคะแนนเห็นด้วย 198 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงาน 30 วัน
 
อาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ว่า เนื่องจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ทำการสำรวจที่ ที่จะต้องเวนคืน เพื่อสร้างทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ อ.บางพลี อ.เมืองสมุทรปราการ และ อ.พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2547 เสร็จแล้ว ทั้งนี้เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ตกลงขายที่ดินและยินยอมรับราคาค่าทดแทน ตามที่คณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินได้กำหนดให้ แต่มีเจ้าของที่ดินจำนวน 77 แปลงไม่มาตกลงทำสัญญาซื้อขายและรับเงินค่าทดแทนจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในการนี้เพื่อให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนมาเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย สมควรเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวต่อไป    
 
ขณะที่ สมาชิก สนช. ได้ให้ความเห็นและข้อสังเกตต่อร่างดังกล่าวอย่างหลากหลาย อาทิ ยังพบปัญหาในการเวนคืน ในกรณีเวนคืนที่ดินบางแปลงแต่แปลงที่เหลือไม่สามารถทำประโยชน์อื่นต่อได้ ราคาที่ให้ไม่เป็นไปตามท้องตลาดซึ่งเป็นการเอาเปรียบประชาชน จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและคำนึงถึงความเหมาะสม ความเป็นธรรมในการชดเชย การเยียวยาให้กับประชาชนที่ถูกเวนคืนที่ดิน พร้อมแนะควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์พื้นที่ว่างใต้ทางด่วน และฝากกรรมาธิการดูกรณีเจ้าของที่ดิน 77 รายข้างต้นว่า เหตุใดไม่มาทำสัญญาและรับเงินค่าทดแทน จนต้องออกกฎหมายให้เวนคืน เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมต่อประชาชน อย่างไรก็ตามเห็นว่า หากจะมีการเวนคืนที่ดินในลักษณะนี้อีกจะต้องมีแผนในการต่อเชื่อมและใช้สถานที่ให้มีประโยชน์ร่วมกัน สามารถเชื่อมต่อระบบจราจรต่างๆ เข้าด้วยกันได้ เพื่อให้ได้ประโยชน์และความคุ้มค่า
 
เรียบเรียงจากเว็บไซต์วิทยุรัฐสภา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธ.ค. 2559 ผู้ประกันตนว่างงาน 141,267 คน ถูกเลิกจ้าง 29,748 คน

$
0
0
พบเดือน ธ.ค. 2559 ผู้ประกันตน ม.33 ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน 141,267 คน ถูกเลิกจ้าง 29,748 คน

 
19 ม.ค. 2560 สำนักเศรษฐกิจการแรงงาน เปิดเผยตัวเลข  เศรษฐกิจแรงงาน ประจำเดือน ธันวาคม 2559 ระบุว่าภาวะการจ้างงานในตลาดแรงงาน เดือนธันวาคม 2559 การจ้างแรงงานในระบบประกันสังคม มีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จานวน 10,511,821 คน มีอัตราการขยายตัว 1.16% (YoY) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งมีผู้ประกันตน จำนวน 10,391,761 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่การทำงานเพิ่มขึ้นถึง 120,060 คน สำหรับการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคม มีจำนวน 141,267 คน มีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 14.35 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 0.33% (MoM) เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่มีจำนวน 146,168 คน อัตราการว่างงาน อยู่ที่ร้อยละ 1.34 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 29,748 คน คิดเป็นร้อยละ 0.28 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ร้อยละ 0.29
 
ในด้านสถานการณ์การจ้างงานจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2559 มีลูกจ้างที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม (ม.33) จำนวน 10,511,821 คน มีอัตราการขยายตัว 1.16% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือนธันวาคม 2558) ซึ่งมีจำนวน 10,391,761 คน หากพิจารณาอัตราการเปลี่ยนแปลง (YoY) ของเดือนธันวาคม 2559 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2559 พบว่าในเดือนธันวาคม 2559 มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 1.16% ขยายตัวจากเดือนพฤศจิกายน 2559 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 1.10% สถานการณ์การจ้างงานขยายตัวมากกว่า 1% จึงถือว่าสถานการณ์การจ้างงานอยู่ในภาวะปกติ
 
 
ในด้านสถานการณ์การว่างงานจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2559 มีผู้ว่างงานจำนวน 141,267 คน มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 14.35% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (เดือนธันวาคม 2558) มีจำนวน 123,536 คน ซึ่งตัวเลขลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2559 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2558 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 18.61 % และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน 2559) พบว่า มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 0.33% (MoM) และหากคิดเป็นอัตราการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเดือนธันวาคม 2559 อยู่ที่ 1.34% โดยอัตราการว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งอยู่ที่ 0.8 (ธันวาคม 2559)
 
 
ในด้านสถานการณ์การเลิกจ้างอัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 คิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่สานักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้าง ต่อจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33เดือนธันวาคม 2559 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 29,748 คน คิดเป็นร้อยละ 0.28 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ร้อยละ 0.29 และขยายตัวจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 0.26
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘คดีสุภัคสรณ์’ Hate Crime เกลียดต้องฆ่า (?) เพราะความเกลียดมีอยู่จริง

$
0
0

เสียงสะท้อน ‘คดีสุภัคสรณ์’ หรือนี่คืออาชญากรรมจากความเกลียดชังผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศที่เป็นทอม? ฟ้าสีรุ้งระบุอาชญากรรมที่เกิดกับทอมมีทุกพื้นที่ พบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทำกลุ่มหญิงรักหญิงไม่กล้าออกนอกบ้านตอนกลางคืน นักวิชาการชี้ ‘แก้ทอมซ่อมดี้’ เป็นวาทกรรมที่นำสู่ความรุนแรง แนะสังคมไทยเร่งทำความเข้าใจ Hate Crime

ภาพจาก http://doublethink.us.com/paala/2012/11/27/hate-crime-in-alabama-stand-up-for-love/

เหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปีถูกเปิดเผยออกมาไม่นานก่อนหน้านี้ ผู้ตายคือสุภัคสรณ์ พลไธสง หรือหญิง ซึ่งมีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นทอม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งไปที่ประเด็นชู้สาวเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าสังคมน่าจะรับรู้ที่มาที่ไปของคดีนี้ไปบ้างแล้ว

แต่ลักษณะการสังหารที่ค่อนข้างทารุณทำให้กรณีนี้เป็นประเด็นที่สังคมชวนตั้งคำถามว่า อาชญากรรมครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นจากความเกลียดชังต่ออัตลักษณ์ทางเพศของผู้ตายหรือไม่ หรือที่เรียกว่า Hate Crime อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง

‘ทอม’ มักตกเป็นเป้าของความเกลียดชังอันเกิดจากอคติ เห็นได้จากความคิดเห็นต่างๆ ที่พรั่งพรูในโลกโซเชียล มีเดีย กรณีสุภัคสรณ์อาจต้องรอการสืบสวนให้มากกว่านี้จึงจะสามารถฟันธงได้ว่า ส่วนผสมของแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมนี้เกิดจากความเกลียดชังด้วยหรือไม่ แต่ผลจากข่าวนี้ก็ทำให้ทอมจำนวนหนึ่งรู้สึกหวาดกลัว หรืออดไม่ได้ที่คนรอบข้างทอมเองจะรู้สึกเป็นห่วง ดังที่พริษฐ์ ชมชื่น นักกิจกรรมเพื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศ ทอมทรานส์ กล่าวในวงเสวนาสาธารณะ ‘อุ้ม ซ้อมทรมาน ฆาตกรรม: อาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง “ทอม” และความหลากหลายทางเพศ’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 ที่โรงเรียนเอเชีย ว่า หลังเกิดเหตุการณ์ ทอมจำนวนหนึ่งถูกขอให้ ‘เลิก’ เป็นทอมก่อน เนื่องจากคนในครอบครัวกลัวจะไม่ปลอดภัย

อาจฟังเป็นเรื่องขำขันเมื่อได้ยินครั้งแรก แต่เมื่อปล่อยให้เนื้อสารตกตะกอนก้องในความนึกคิด มันเป็นเรื่องเศร้าที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังขาดความเข้าใจต่อความหลากหลายทางเพศในระดับฉุกเฉินเพียงใด และชักพาให้ผิดประเด็น เพราะไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดมีสิทธิมาทำร้ายได้หรือละเมิดเนื้อตัวร่างกายผู้อื่นได้

คดีสุภัคสรณ์กลายเป็นข่าวใหญ่เพราะบิดาของผู้ตายเข้าแจ้งความ แล้วตัวผู้ต้องหาก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่นี่เป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีฐานของภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำที่ไม่ถูกมองเห็น

"วาทกรรมแก้ทอมซ่อมดี้ ชายจำนวนหนึ่งเชื่อว่าสามารถซ่อมทอมดี้ได้ ที่น่ากลัวคือทำอยู่บนความเชื่อว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง...ไม่ได้คิดว่าทำอาชญากรรม สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ สำหรับดิฉันถือเป็นความรุนแรงต่อหญิงที่มีอัตลักษณ์เป็นทอม สังคมไทยเชื่อว่าจู๋สามารถแก้ได้...มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องเพศในสังคมไทยนอกจากไม่คุยกันแล้ว ความรู้ความเข้าใจยังอ่อนแอมาก”

ทิพย์อัปสร ศศิตระกูล ผู้จัดการโครงการลดการตีตรา การเลือกปฏิบัติ การละเมิดสิทธิในหญิงรักหญิง กะเทย สาวประเภทสอง สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย บอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานว่า พบเจอกรณีการทำร้ายร่างกาย ข่มขืน ไปจนถึงการฆ่า ผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นหญิงรักหญิงบ่อยครั้ง บางกรณีเกิดจากคนในครอบครัวเพราะคิดว่าจะสามารถ ‘แก้ทอม ซ่อมดี้’ ได้ด้วยความรุนแรงทางเพศ หรือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีกรณีที่ทอมถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มขืนและฆ่า เพียงแต่ไม่ถูกนำเสนอเป็นข่าว หลายกรณีผู้เสียหายเลือกที่จะเงียบเพราะความอับอายและหวาดกลัว

“จากที่ทำงานลงพื้นที่มาสองปี จะได้ยินเหตุการณ์แบบนี้ปีละครั้งต่อหนึ่งภาค ตัวอย่างที่เราไปทำงานด้วย ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มันทำให้กลุ่มหญิงรักหญิงในพื้นที่ไม่กล้าไปไหนตอนกลางคืน ต้องหลบๆ ซ่อนๆ นัดเจอกันตามบ้านเพื่อน”

นอกจากนี้ คดีสุภัคสรณ์ยังดูเหมือนซ้อนทับกับการอุ้มฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ซึ่งในความเห็นของพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า

“ในเคสนี้ ในทางสิทธิมนุษยชนเป็นการอุ้มฆ่าหรือไม่ อุ้มหายกับอุ้มฆ่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐในฐานที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วย ต้องสืบสวนด้วยว่าเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานหรือไม่ ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่สำหรับกรณีนี้ เป็นแค่อาชญากรรมปกติ เพียงแต่ผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อยู่ในเครือข่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะการนำศพไปทำลายไม่ใช่เรื่องเล็ก”

ทั้งหมดนี้ กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ในกรณีของการอุ้มฆ่า-อุ้มหาย ยังถือเป็นจุดอ่อนของสังคมไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นนี้และไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้งจุดใหญ่ก็คือเจ้าหน้าที่รัฐอาจกำลังเชื่อว่าการอุ้มฆ่า-อุ้มหายของตนเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

“อย่างวาทกรรมแก้ทอมซ่อมดี้ ชายจำนวนหนึ่งเชื่อว่าสามารถซ่อมทอมดี้ได้ ที่น่ากลัวคือทำอยู่บนความเชื่อว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกับคดีอุ้มฆ่าที่เจ้าหน้าที่รัฐคิดว่าเขาทำถูก ไม่ได้คิดว่าทำอาชญากรรม สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ สำหรับดิฉันถือเป็นความรุนแรงต่อหญิงที่มีอัตลักษณ์เป็นทอม สังคมไทยเชื่อว่าจู๋สามารถแก้ได้ ในสังคมตะวันตกก็เป็น เพราะคิดว่าถ้าเจอของจริงแล้วจะหาย ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องเพศในสังคมไทยนอกจากไม่คุยกันแล้ว ความรู้ความเข้าใจยังอ่อนแอมาก”

กฤตยา เสนอว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องทำความเข้าใจอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง แสวงหาคำนิยาม และวางกฎกติกา เช่นที่ในตะวันตกมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ

ผู้เข้าร่วมฟังเสวนาคนหนึ่งตั้งคำถามว่า เราสามารถสรุปได้แน่ชัดแล้วหรือว่านี่คืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง เพราะแรงจูงใจในการก่อเหตุอาจเป็นได้หลายทาง แม้บางคนจะยังไม่มีการฟันธง แต่ข้อสรุปที่ดูจะได้คำตอบชัดเจนก็คือความเกลียดชังผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างนั้นดำรงอยู่จริง และผู้ที่ก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวผู้ที่ถูกเกลียดชังนั้นน้อยกว่าตน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรยันที่รัฐประหารได้เพราะปชช.เอาด้วย ย้ำไม่อยากยึดอำนาจใครอยากมาแทนก็มา

$
0
0

พล.อ.ประวิตร ระบุแนวคิดสร้างปรองดอง ให้นักการเมืองร่วมพูดคุย อยู่กันอย่างสันติ ยืนยันทหารเป็นตัวกลาง ไม่อยากปฏิวัติ อภิสิทธิ์ เผย ปชป.พร้อมร่วมมือปรองดอง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ที่มาภาพ แฟ้มภาพเว็บไซต์ทำเนียบฯ)

19 ม.ค. 2560 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวคิดการเชิญนักการเมืองมาปรึกษาหารือและมาลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อสร้างความปรองดองและยุติความขัดแย้ง ว่า เพราะอยากให้พรรคการเมืองอยู่กันอย่างสันติ

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า อยากให้ทหารลงนามเอ็มโอยูด้วยว่าจะไม่รัฐประหารอีก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทหารมีความเป็นกลาง ไม่มีความขัดแย้ง เช่นในสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ทำรัฐประหาร ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้ง แต่อยากให้บ้านเมืองสงบ ไม่มีใครอยากจะปฏิวัติ
 
“ไม่ต้องไปเซ็นหรอก นอกจากบ้านเมืองไปไม่ได้แล้วและเกิดความขัดแย้งเท่านั้น ทหารจึงจะทำ พรรคเพื่อไทยคงคิดไปเองว่าทหารจะออกมาปฏิวัติ ผมอายุ 70 กว่าแล้ว อยู่มาตั้งแต่เด็ก ยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยากปฏิวัติ คือถ้าจะปฏิวัติแล้วไม่มีประชาชนเอาด้วยก็ไม่มีทางทำได้เลย แต่ครั้งนี้ประชาชนเห็นชอบว่าเราจะเข้ามาทำให้เกิดความสงบ และเชื่อว่าทหารส่วนใหญ่คิดแบบนี้ ไม่มีใครที่อยากจะมายึดอำนาจ มามีอำนาจ ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ใครอยากมาแทนผมก็มาเลยผมไม่ว่า” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
ส่วนคำถามจะให้ความั่นใจกับนักการเมืองที่จะมาคุยอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่จะทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นจากพรรคการเมือง เพื่อทำข้อตกลงร่วมกัน ไม่มีระเบียบทางกฏหมายบังคับการคุย ถ้าคุยแล้วจะต้องออกมาเป็นระเบียบกฎหมายหรือพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ค่อยว่ากัน อะไรที่ต้องใช้กฎหมายต้องไปดูและต้องใช้ตามนั้น
 
“หรืออาจจะออกเป็นมาตรา 44 ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่ใช่ทหารอยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีบทลงโทษใด ๆ เพราะเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บทลงโทษมีอยู่แล้วในกฎหมายทั่วไป และไม่ห่วงหากพรรคการเมืองกลับคำ เพราะทุกฝ่ายรับรู้กันอยู่แล้วในข้อตกลงที่คุยกันร่วมกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
ส่วนกรณีที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูนิธิมวลมหาประชาชน ระบุว่าจะไม่ลงนามสัตยาบันร่วมด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต ต้องไปคุยกันเรื่องข้อตกลงก่อน ส่วนจะลงนามหรือไม่ลงนามเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เกิดความปรองดองและเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มองว่ามีความชัดเจนแล้ว
 

อภิสิทธิ์ เผย ปชป.พร้อมร่วมมือปรองดอง

ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลตั้งคณะทำงานมาดูเรื่องปรองดอง ว่า การที่จะให้คณะกรรมการชุดนี้เดินสายพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยินดีที่จะให้ข้อมูลและถือว่าการใช้วิธีการแบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ความปรองดองเดินหน้าไปได้ แต่สิ่งสำคัญจะต้องพูดคุยให้ครอบคลุมทุกฝ่าย รวมทั้งภาคสังคมและประชาชน อย่ายึดติดแค่พรรคการเมือง โดยต้องสรุปบทเรียนให้ถูกว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นล่าสุดไม่ได้เกิดจากพรรคการเมือง แต่เกิดจากความพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพราะหากตั้งโจทย์ผิด ก็ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับการให้พรรคการเมืองมาลงนามสัตยาบัน เพราะพรรคการเมืองไม่สามารถตอบแทนประชาชนทุกคนได้ แต่อยากให้รัฐบาลและทุกฝ่ายย้อนกลับไปดูว่าที่มีปัญหาขัดแย้งกันไม่ได้เกิดจากผลการเลือกตั้ง
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ที่มาภาพ เพจ Abhisit Vejjajiva)
 
“ผมไม่ทราบว่าเนื้อหาสาระที่อยากให้ตกลงทำสัตยาบันกันเป็นอย่างไร แต่อยากย้ำว่าเรื่องของการลงนามในเอกสาร ไม่ได้เป็นหลักประกัน เพราะคนที่ไปลงนามกล้ายืนยันหรือไม่ว่าประชาชนจะเห็นด้วยเหมือนกับตัวเอง เพราะแม้กระทั่งพรรคการเมืองก็พูดไม่ได้ ผมจึงอยากให้นำเรื่องความขัดแย้งมาพูดกันแบบเปิดใจ และที่เคยขอความเห็นฝ่ายต่าง ๆ มา ก็ควรนำมาสรุป ซึ่งผมก็พร้อมที่จะให้ข้อมูล และอยากให้ความขัดแย้งมันจบเร็ว ๆ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่อย่าเอามาผูกติดกับการเลือกตั้ง ถ้าหวังว่าพรรคการเมืองอยากเลือกตั้ง แล้วให้มาตกลงกัน ถ้าไม่ตกลงแล้วจะไม่มีเลือกตั้ง ผมว่ามันก็ไม่จบ ควรว่ากันด้วยเหตุด้วยผล และผมว่าอย่าจับกันเป็นคู่ขัดแย้ง แต่ผมว่าทุกคนที่มีบทบาทในสังคมควรไปรับฟังความเห็นจากเขา” อภิสิทธิ์ กล่าว
 
อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อยากให้คนที่ทำงานด้านความปรองดองคำนึงถึงเนื้อหาสาระและให้นำสิ่งที่คณะทำงานชุดเก่า ๆ เคยศึกษาและสรุปออกมา นำมาประกอบการทำงานสร้างความปรองดอง และสิ่งสำคัญขอยืนยันว่าการทำผิดกฎหมายหรือการใช้ความรุนแรงจะต้องมีความรับผิดชอบ โดยควรปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าทำงาน หากจะยกเว้น ก็ควรนิรโทษให้เฉพาะกรณีของประชาชนที่มาชุมนุมแล้วทำผิดกฎหมายพิเศษและทำผิดเพียงเล็กน้อย ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีก็พูดมาตลอดว่าต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงอยากให้ยึดหลักการในส่วนนี้ และอยากให้มองไปข้างหน้าว่าขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมการปลุกระดมและสร้างความขัดแย้ง โดยผ่านวิทยุชุมชน แต่ปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตและมีสังคมออนไลน์ที่จะต้องเข้าไปดูแลเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มเติม
 
ที่มา สำนักข่าวไทย 1, 2
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รบ.ขออังกฤษหนุนกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย

$
0
0

เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รัฐบาลไทยขอให้หนุนกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย

19 ม.ค. 2560 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.ท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร เป็นโอกาสอันดีที่จะเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศต่อไปในอนาคต และแสดงความขอบคุณที่สหราชอาณาจักรแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งนี้ออท. สหราชอาณาจักร ย้ำความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร และมีความสัมพันธ์อันดีในทุกระดับตั้งแต่ราชวงศ์ ไปจนถึงประชาชน การรับตำแหน่งครั้งนี้มุ่งหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์และแสวงหาโอกาสความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างกัน
 
ด้านสถานการณ์ทางเมือง นายกรัฐมนตรีทราบว่าสหราชอาณาจักรมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทย อย่างไรก็ดีไทยกำลังเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อยากให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยด้วย ซึ่งเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร แสดงความเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทย โดยเห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการเดินหน้าตาม Roadmap เพื่อปฏิรูปด้านต่างๆ และวางรากฐานไปสู่การมีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
 
นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่านายอะล็อก ชาร์มา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ สหราชอาณาจักร จะเดินทางเยือนไทยสัปดาห์หน้า (26-28 มกราคม 2560) และหวังจะได้ต้อนรับนายชาร์มาอีกครั้งในการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักรครั้งที่ 3 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศของไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปีนี้ เพื่อหารือถึงประเด็นความร่วมมือที่หลากหลายทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ความมั่นคง เป็นต้น
 
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความสำเร็จในการจัดการประชุมสภาผู้นำธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (TUBLC) ครั้งแรก กลไกดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนที่มีมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่างๆ ร่วมกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะเห็นการขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม จึงขอฝากออท. สหราชอาณาจักรในการร่วมมือกันเพื่อให้เกิดผลโดยเร็ว
 
ในด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีย้ำความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านหลัง Brexit ทั้งนี้ออท. สหราชอาณาจักร ยินดีสนับสนุนให้นักธุรกิจสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นตามนโยบาย New S-curve และ Thailand 4.0 ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล การบริหารทางการเงิน พลังงานแบบยั่งยืนและสาธารณสุข
 
ในด้านการศึกษานายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ สหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษากับไทยเป็นอันดับต้นๆ โดยไทยประสงค์จะเห็นโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรเข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งออท.สหราชอาณาจักรเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ และยินดีที่สหราชอาณาจักรจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมด้านภาษาอังกฤษ รวมถึงการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี การสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งจะช่วยสนับสนุนโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของไทยด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลล์ ชี้ 75.2% หนุนพรรคการเมือง-คู่ขัดแย้งให้สัจจะวาจาสร้างความปรองดอง

$
0
0

กลุ่มประชากรตัวอย่าง 47.2 % เชื่อมั่นค่อนข้างมาก หากลงนามข้อตกลง แล้วจะสร้างความปรองดอง 72.1% มอง ม.44 ยังจำเป็นอยู่ในการสร้างความสามัคคีปรองดอง 57.9% อยากให้ปฏิรูปให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง 

20 ม.ค. 2560 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ทางออกของความปรองดองในสังคมไทย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,216 คน พบว่า  ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.2 เห็นด้วยว่าควรให้พรรคการเมืองและคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือทางออกโดยทำสัจจะวาจาร่วมกัน และให้ลงนามข้อตกลง (MOU) เป็นลายลักษณ์อักษรให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความปรองดองให้แก่สังคม โดยในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่า  ประเทศจะเดินหน้าพัฒนาได้เร็วขึ้น (ร้อยละ 59.1) รองลงมาคือ จะได้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งได้เร็วยิ่งขึ้น (ร้อยละ 47.1) และจะได้มีหลักฐานชัดเจน ไม่มีใครกล้าละเมิดข้อตกลง (ร้อยละ 43.0) ขณะที่ร้อยละ 20.5 เห็นว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังไงก็กลับมาขัดแย้งอยู่ดี และร้อยละ 4.3 ไม่แน่ใจ
 
เมื่อถามต่อว่าเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใดว่าการสร้างความปรองดองโดยการทำ MOU ในข้างต้นจะช่วยทำให้สังคมเลิกขัดแย้ง แบ่งฝักฝ่ายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนใหญ่ร้อยละ 47.2 เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 43.8 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ที่เหลือร้อยละ 9.0 ไม่แน่ใจ
 
ส่วนข้อคำถามที่ว่า ม.44 ยังจำเป็นหรือไม่กับสังคมไทย หากรัฐบาลต้องการสร้างความสามัคคีปรองดอง ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.1 เห็นว่าจำเป็นอยู่ ขณะที่ร้อยละ 19.8 เห็นว่าไม่จำเป็นแล้ว ที่เหลือร้อยละ 8.1 ไม่แน่ใจ
 
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการรีเซ็ตนักการเมืองในปัจจุบัน ให้เว้นวรรคการเมือง 1 สมัย เพื่อให้ผ่านข้อครหาที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง และให้นักการเมืองรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน หากยังไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.2 ระบุว่า “เห็นด้วย” ขณะที่ร้อยละ 21.9 ระบุว่า “ไม่เห็นด้วย” และร้อยละ 10.9 ยังไม่แน่ใจ
 
สุดท้ายเมื่อถามว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้งหรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.9 อยากให้ปฏิรูปให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง ส่วนร้อยละ 35.9 อยากให้มีการเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้ และเดินหน้าปฏิรูปต่อไปพร้อมๆ กัน ที่เหลือร้อยละ 6.2 ยังไม่แน่ใจ
 
รายละเอียดการสำรวจ : 
 
วัตถุประสงค์การสำรวจ
1)เพื่อสะท้อนความเห็นถึงแนวทางการปฏิรูปสร้างความปรองดอง ในสังคมไทย
2)เพื่อสะท้อนความเห็นว่าควรปฏิรูปสร้างความปรองดองให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้งหรือเดินหน้าเลือกตั้งเลยตามโรดแมปที่วางไว้
 
ประชากรที่สนใจศึกษา  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
      
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error) การประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  ± 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีการรวบรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล  :  17 – 18 มกราคม 2560
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หลายบริษัทในญี่ปุ่นเริ่มให้คนทำงาน 4 วัน หยุดงาน 3 วันต่อสัปดาห์

$
0
0

กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นเผยว่าบริษัทร้อยละ 8 เริ่มให้มีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน หลายบริษัทใช้วิธีโปะชั่วโมงทำงาน บางแห่งก็ลดชั่วโมงทำงาน นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ส่วนหลายบริษัทเล็งให้แรงงานฝึกฝนทักษะ หรือมีเวลากลับไปดูแลเด็กและผู้สูงอายุ

ย่านชิบูยาในกรุงโตเกียว ภาพถ่ายปี 2015 (ที่มา: แฟ้มภาพ/IQRemix/Wikipedia)

20 ม.ค. 2560 นิเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่าสถานที่ทำงานของญี่ปุ่นโดยทั่วไปเริ่มมีการให้หยุดงานสัปดาห์ละ 3 วันกันมากขึ้น หลังจากที่กลุ่มคนทำงานเรียกร้องให้มีความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกร้องให้มีการปฏิรูปแรงงาน

กระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นสำรวจในปี 2558 พบว่ามีบริษัทร้อยละ 8 ของทั้งหมดที่อนุญาตให้มีวันหยุด 3 วันหรือมากกว่านั้นต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า 10 ปีที่แล้ว นิคเคอิระบุว่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ให้หยุด 2 วันเป็นต้นไปเพื่อให้คนมีเวลาเลี้ยงดูลูกหรือคนชราในบ้านมากขึ้นซึ่งจะเป็นการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในด้านนี้

หนึ่งในบริษัทใหญ่ที่เริ่มให้มีการหยุดงานเพิ่มขึ้นคือ เคเอฟซี โฮลด์ดิง เจแปน โดยในปีงบประมาณที่ 2559 เคเอฟซีญี่ปุ่นปรับลดเวลางานของลูกจ้างลงเหลือ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และให้พนักงานเลือกได้ว่าจะหยุดงานวันใดบ้างเป็นเวลา 3 วันในแต่ละสัปดาห์ โดยที่ทางบริษัทหวังว่าจะทำให้พนักงานยังคงอยู่ทำงานให้บริษัทต่อไป

อีกบริษัทหนึ่งคือฟาสต์ รีเทลลิง ซึ่งรู้จักกันดีในฐานะเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า Uniqlo ก็มีโครงการให้หยุดสัปดาห์ละ 3 วันเช่นกัน ในขณะที่บริษัทยะฮู เจแปน ก็วางเป้าหมายจะให้พนักงานสามารถหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ได้ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม่เพียงแค่ในใจกลางเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ธุรกิจบางส่วนที่อยู่นอกเมืองใหญ่อย่างเช่น สถานปฏิบัติการพยาบาลของอุจิยามะโฮลด์ดิงในจังหวัดฟุกุโอกะก็ขยายโครงการหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ตามสถานพยาบาลต่างๆ ของพวกเขารวม 81 แห่ง ให้กับคนงานมากกว่า 2,000 คนในช่วงปลายปีงบประมาณ 2559 แต่ของอุจิยามะจะยังคงนโยบายชั่วโมงทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่าเดิม นั้นหมายความว่าจะมีการทำงาน 10 ชั่วโมง ใน 4 วัน แทนแบบเดิมคือ 8 ชั่วโมง ใน 5 วัน

นิเคอิระบุว่าญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคส่วนการดูแลผู้สูงอายุ จึงมีการพยายามปรับสภาพการทำงานโดยหวังว่าการวางกะทำงานแบบใหม่จะดึงดูดคนสมัครงานมากขึ้นและทำให้คนทำงานเดิมยังคงทำงานกับพวกเขาต่อไป

อีกภาคส่วนหนึ่งคือผู้ผลิตเครื่องมือชื่อบริษัทซาตาเคะ ที่เป็นบริษัทจากฮิโรชิมา จะเริ่มให้พนักงาน 1,200 คนมีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ เริ่มจากตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีแผนการระยะยาวจะลดชั่วโมงทำงานลงเหลือร้อยละ 20 เหลือแค่ทำงาน 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ภายในปี 2561 ด้วยวิธีการตัดการประชุมและงานเอกสารที่ไม่จำเป็นซึ่งถือเป็นความไร้ประสิทธิภาพออกไป ซึ่งการลดชั่วโมงทำงานนี้บริษัทซาตาเคะหวังว่าจะส่งเสริมให้คนมีเวลาฝึกทักษะเพิ่มเติมเช่นการไปเรียนภาษาเพิ่มได้ด้วย

เท็ตสุ วาชิทานิ ศาตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชูโอกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีแต่บริษัทใหญ่ๆ เท่านั้นที่ให้มีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีบริษัทที่อยู่นอกเมืองใหม่ใช้ระบบหยุด 3 วันต่อสัปดาห์เพิ่มมากขึ้น โดยถ้าหากทำควบคู่ไปกับการจำกัดให้การไปเพิ่มเวลาทำงานต่อวันน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็จะอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้นด้วย

เรียบเรียงจาก

Japan Inc. moving toward 4-day work week, Nikkei Asian Review, 19-01-2017  http://asia.nikkei.com/Business/Trends/Japan-Inc.-moving-toward-4-day-work-week

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิฯ สรุปความคืบหน้า 21 คดีละเมิดสิทธิฯ จากใช้อำนาจทหาร เดือน ธ.ค.

$
0
0

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เผยแพร่รายงานความคืบหน้าในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเกี่ยวเนื่องกับการใช้อำนาจทหาร ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 และหมายนัดคดีในเดือนมกราคม 2560 

ความคืบหน้าคดีประจำเดือนธันวาคม 2559 จำนวน 21 คดี 

 

ลำดับ

ชื่อ

ความสำคัญคดี

หมายเลขคดี

ข้อหา

นัดหมาย

1

คดีโพสท์ สิทธิ

(นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์)

1พ.ค.2559 กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ได้นัดจัดกิจกรรมโพสต์ สิทธิ ที่สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เพื่อรณรงค์เรื่องเสรีภาพการแสดงออก กิจกรรมนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีตามพ.ร.บ.ความสะอาด 2 คนคือ ได้แก่ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์และนางสาวฐิตารีย์ อุทยานนุกูลศิริกุล (คดีนี้แยกฟ้องเป็นคนละคดี)

หมายเลขคดีที่นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ เป็นจำเลย ได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ 1619/2559ศาลแขวงพระนครใต้

 

พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 10 ,32 (1) ,54 และมาตรา 56

ศาลพิพากษาปรับจำเลยจำนวน 1000 บาท

2

นายธเนตร อนันตวงษ์

(คำร้องขอปล่อยจากควบคุมตัวมิชอบ)

ธเนตร อนันตวงษ์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบุกควบคุมตัว ขณะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิรินธร โดยเจ้าหน้าที่ไม่แจ้งข้อกล่าวหา และหมายจับ ไม่แจ้งสิทธิให้ทราบตามกฎหมาย แล้วนำตัวไป มทบ.11และควบคุมตัวนายธเนตรฯไว้เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

หมายเลขดำที่ ษ.99/2558

หมายเลขแดงที่ ษ.99/2558 ศาลอาญา

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90

นัดฟังคำสั่งศาลฏีกาในวันที่ 13 ม.ค. 2560 เวลา 09.30 น.

3

คดีสมบัติ บุญงามอนงค์

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ถูกคณะรัฐประหารดำเนินคดียุยงปลุกปั่นจากการโพสต์เฟซบุ๊กนัดจัดกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารของคสช.

คดีหมายเลขดำที่ 24 ก./2557

ศาลทหารกรุงเทพ

ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 116 และพรบ.คอมพิวเตอร์

นัดสืบพยานในวันที่ 17 ม.ค. 2560 

4

คดีนางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ

(ขัดขืนคำสั่ง)

ทนายความในคดี 14นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ ถูกตำรวจแจ้งความดำเนินคดี จากเหตุที่ทนายความทำหน้าที่รักษาสิทธิของลูกความ โดยไม่อนุญาตให้ตำรวจค้นรถเพื่อจยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาโดยไม่มีหมายค้น

อยู่ระหว่างพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม

ประมวลกฏหมายกฏหมายอาญา มาตรา 142 และ 368

นัดส่งตัวให้พนักงานอัยการ

วันที่ 17 ม.ค. 2560 เวลา 09.30 น. สำนักงานอัยการศาลแขวง 3 (ดุสิต)

5

คดี 8แอดมินเพจเรารักประยุทธ

(คำร้องขอปล่อยตัวจากการควบคุมตัวมิชอบ)

ทหารเข้าควบคุมตัวทั้ง8 คนไปควบคุมไว้ที่ มทบ.11 โดยไม่มีหมายจับ และไม่ให้ผู้ถูกจับกุมแจ้งให้ญาติหรือทนายทราบว่าตนถูกจับกุม

หมายเลขดำที่ ษ.34/2559

หมายเลขแดงที่ ษ.34/2559
ศาลอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90

นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในวันที่ 18 ม.ค. 2560 เวลา 10.00 น.

6

นายอมรโชติซิงห์ (สงวนนามสกุล)

นายอมรโชติซิงห์ถูกแจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามมาตรา 112 จากกการใช้เสื้อผ้าสีชมพู่เดินห้าง สรรพสินค้าแห่งหนึ่งในช่วงภายหลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 9

คดีอยู่ในระหว่างสอบสวน

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นัดฟังคำสั่งอัยการในวันที่ 18 ม.ค. 2560

7

คดีจัดกิจกรรมพูดเพื่อเสรีภาพ

มหาวิทยาลัยขอนแก่น

31 ก.ค. 2559 นักศึกษาได้จัดกิจกรรม “พูดเพื่อเสรีภาพ; รัฐธรรมนูญของคนอีสาน” ที่ม.ขอนแก่น เพื่อวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ภายหลังตำรวจออกหมายเรียกรับทราบข้อหา 11 คน โดยมี 2 คนเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์การจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เข้าร่วมสังเกตการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนเท่านั้น

 อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น

ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558  ข้อ 12  ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไป

นัดฟังคำสั่งพนักงานสอบสวนและส่งตัวอัยการ วันที่ 19 ม.ค. 2560 เวลา 10.00 น. สภ.เมืองขอนแก่น

8

คดีประชามติ ภูเขียว

ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังเข้าจับกุม 2 นักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) อีสาน ได้แก่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายวศิน  พรหมณี หลังทั้งสองคนทำกิจกรรมแจกเอกสารรณรงค์เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารโหวตโนของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ที่บริเวณตลาดสดเทศบาลภูเขียว จ.ชัยภูมิ ในวันที่ 6 ส.ค. 2559 ก่อนมีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61 วรรคสอง

คดีหมายเลจดำที่ 1370/2559

ศาลจังหวัดภูเขียว

พ.ร.บ.ิว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61(1) วรรคสอง วรรคสาม

นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 20 ม.ค. 2560 เวลา 09.00 น.

9

นายจือเซง  แซ่โค้วหรือสมอล บัณฑิต อานียา

นายจือเซง แซ่โค้ว หรือสมอล บัณฑิต อานียา เป็นนักเขียนอิสระถูกดำเนินคดีข้อ ป.อาญา มาตรา 112 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้มาก่อน โดยคดีเดิมศาลฎีกามีคำพิพากษารอลงอาญา เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ป่วยจิตเวช คดีนี้จำเลยได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมพรรคการเมือง ในลักษณะเป็นการตั้งคำถามต่อสภาพสังคมไทยเท่านั้น

คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558

ศาลทหารกรุงเทพ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นัดสืบพยานในวันที่ 20 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

10

คดีรินดา (สงวนนามสกุล)

จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมฯ แต่เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นเพียงการโพสต์เฟซบุ๊กที่มีข้อความหมิ่นประมาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภรรยา ทั้งนี้ศาลทหารเห็นว่าเป็นคดีหมิ่นประมาทจึงจำหน่ายคดีออกจากศาล แต่ปอท.ทำความเห็นสั่งฟ้องถึงอัยการศาลอาญาในข้อหาเดิม จากนั้นอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาตาม ม.14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 2550

อยู่ในระหว่างดำเนินการรอฟังคำสั่งอัยการจึงยังไม่มีหมายเลขคดี

นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ม.14พ.ร.บ.คอมฯ 2550

นัดพร้อมในวันที่ 23 ม.ค. 2560 เวลา 13.30 น.

11

คดี มาตรา 112 หมิ่นสมเด็จพระเทพฯ (กำแพงเพชร)

มีการใช้ป.อาญา ม.112มาใช้กล่าวหาจำเลยว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดโดยหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งกฎหมายไม่ครอบคลุมถึง

คดีดำหมายเลขที่1330/2559

ศาลจังหวัดกำแพงเพชร

ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112

นัดพิจารณาคดีในวันที่ 23 และวันที่ 26 ม.ค. 2560 เวลา 09.30 น.

12

คดีนักศึกษาฟ้องละเมิดเจ้าหน้าที่ที่สลายการชุมนุมที่หอศิลป์กรุงเทพฯ

วันที่ 22 พ.ค. 2558

22 พฤษภาคม 2559 นักศึกษาและนักกิจกรรมได้ทำกิจกรรมรำลึกรัฐประหาร 1 ปี บริเวณหน้าหอศิลป์ฯ กรุงเทพฯ แต่ทหารและตำรวจได้สลายการชุมนุมและจับกุมนักศึกษาและมีการดำเนินคดี 9 คน

คดีหมายเลขดำที่ พ.992/2559

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้

ละเมิดเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทน ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

นัดชี้สองสถาน วันที่ 24 ม.ค. 2560 เวลา 09.00 น.

13

 

นายบุรินทร์ (สงวนนามสกุล)

 

นายบุรินถูกกล่าวหาว่าแชทกับน.พัฒนรี แม่ของนายสิรวิชญ์โดยมีเนื้อหาที่เข้าข่ายผิด ม.112

ศาลทหาร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นัดสอบคำให้การในวันที่ 24 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

14

นายธเนตร อนันตวงษ์

(คดีตรวจสอบทุจริตอุทยานราชภักดิ์)

ประชาชนและนักศึกษาจัดกิจกรรมอย่างสงบและสันติ โดยการนั่งรถไฟไปตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ แต่ถูกทหารจับกุมและแจ้งความดำเนินคดี ต่อมามีการยื่นฟ้องนางสาวชนกนันท์ รวมทรัพย์ภายหลังจากการยื่นฟ้องนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กับพวก

คดีหมายเลขดำที่ 256/2559

ศาลทหารกรุงเทพ

ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12  ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไป

นัดสอบคำให้การในวันที่ 25 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

15

คดีป่าไม้ ผลกระทบจากนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม

คดีนี้จำเลยทั้ง 22 คนมีทีดินทำกินอยู่ในเขตที่คสช.ประกาศให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 17/2557

ต่อมาจำเลยทั้ง 22 คนถูกเจ้าหน้าที่ทหารอาศัยอำนาจตามกฎอัยการเข้าจับกุมและนำตัวไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาทำลายป่าไม้ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484

คดีหมายเลขดำที่ 3737/2557

ศาลจังหวัดนครพนม

พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 (30)

นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26  ม.ค. 2560

16

นายเจริญ (สงวนนามสกุล)

คดีนี้หลักฐานที่นำมาเอาผิดจำเลยโดยหลักก็มีเพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดเจนแต่อย่างใด และเจ้าหน้าที่รัฐยังพยายามสอบถามจำเลยเพื่อเชื่อมโยงไปถึงขบวนการความรุนแรงทางการเมืองใต้ดินอีกด้วย รวมไปถึงยังมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยถูกซ้อมทรมานด้วย

คดีหมายเลขดำที่ 20 ก./2559

ศาลทหารกรุงเทพ

ร่วมกันมีอาวุธระเบิด

นัดสืบพยานในวันที่ 27 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

17

คดีนักศึกษาดาวดิน จัดกิจกรรมครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร

นักศึกษาดาวดินถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58  จากการจัดกิจกรรมครบรอบ 1 ปี รัฐประหารที่จังหวัดขอนแก่นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 แต่คดีนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

จนกระทั่งนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ถูกจับกุมในคดีอันดับที่ 9 และได้ประกันตัวในวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ตำรวจจากสภ.เมืองขอนแก่น ได้อายัดตัวและนำตัวส่งให้อัยการทหารยื่นฟ้องต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23ตอนกลางคืน

คดีหมายเลขดำที่ 61/2559

ศาลมณฑลทหารบกที่ 23

ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58 ข้อ 12 เรื่องชุมนุมทางการเมืองจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

นัดตรวจพยานหลักฐาน วันที่ 30 ม.ค. 2559 เวลา 8.30 น.

18

คดีนางแจ่ม  (นามสมมุติ)

เป็นกรณีโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับข่าวการทุจริตคอรัปชั่นการสร้างอุทยานราชภักดิ์ฯ  โดยพาดพิงถึงบุคคลในรัฐบาล

อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการศาลจังหวัดพระโขนง

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ

นัดฟังคำสั่งอัยการ วันที่ 30 ม.ค. 2560 สำนักอัยการศาลจังหวัดพระโขนง

นัดคดีประจำเดือนมกราคม 2560 จำนวน 18 คดี

ลำดับ

ชื่อ

ความสำคัญคดี

หมายเลขคดี

ข้อหา

นัดหมาย

1

คดีโพสท์ สิทธิ

(นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์)

1พ.ค.2559 กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ได้นัดจัดกิจกรรมโพสต์ สิทธิ ที่สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เพื่อรณรงค์เรื่องเสรีภาพการแสดงออก กิจกรรมนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีตามพ.ร.บ.ความสะอาด 2 คนคือ ได้แก่ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์และนางสาวฐิตารีย์ อุทยานนุกูลศิริกุล (คดีนี้แยกฟ้องเป็นคนละคดี)

หมายเลขคดีที่นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ เป็นจำเลย ได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ 1619/2559ศาลแขวงพระนครใต้

 

พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 10 ,32 (1) ,54 และมาตรา 56

ศาลพิพากษาปรับจำเลยจำนวน 1000 บาท

2

นายธเนตร อนันตวงษ์

(คำร้องขอปล่อยจากควบคุมตัวมิชอบ)

ธเนตร อนันตวงษ์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบุกควบคุมตัว ขณะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิรินธร โดยเจ้าหน้าที่ไม่แจ้งข้อกล่าวหา และหมายจับ ไม่แจ้งสิทธิให้ทราบตามกฎหมาย แล้วนำตัวไป มทบ.11และควบคุมตัวนายธเนตรฯไว้เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

หมายเลขดำที่ ษ.99/2558

หมายเลขแดงที่ ษ.99/2558 ศาลอาญา

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90

นัดฟังคำสั่งศาลฏีกาในวันที่ 13 ม.ค. 2560 เวลา 09.30 น.

3

คดีสมบัติ บุญงามอนงค์

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ถูกคณะรัฐประหารดำเนินคดียุยงปลุกปั่นจากการโพสต์เฟซบุ๊กนัดจัดกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารของคสช.

คดีหมายเลขดำที่ 24 ก./2557

ศาลทหารกรุงเทพ

ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 116 และพรบ.คอมพิวเตอร์

นัดสืบพยานในวันที่ 17 ม.ค. 2560 

4

คดีนางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ

(ขัดขืนคำสั่ง)

ทนายความในคดี 14นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ ถูกตำรวจแจ้งความดำเนินคดี จากเหตุที่ทนายความทำหน้าที่รักษาสิทธิของลูกความ โดยไม่อนุญาตให้ตำรวจค้นรถเพื่อจยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาโดยไม่มีหมายค้น

อยู่ระหว่างพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม

ประมวลกฏหมายกฏหมายอาญา มาตรา 142 และ 368

นัดส่งตัวให้พนักงานอัยการ

วันที่ 17 ม.ค. 2560 เวลา 09.30 น. สำนักงานอัยการศาลแขวง 3 (ดุสิต)

5

คดี 8แอดมินเพจเรารักประยุทธ

(คำร้องขอปล่อยตัวจากการควบคุมตัวมิชอบ)

ทหารเข้าควบคุมตัวทั้ง8 คนไปควบคุมไว้ที่ มทบ.11 โดยไม่มีหมายจับ และไม่ให้ผู้ถูกจับกุมแจ้งให้ญาติหรือทนายทราบว่าตนถูกจับกุม

หมายเลขดำที่ ษ.34/2559

หมายเลขแดงที่ ษ.34/2559
ศาลอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90

นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในวันที่ 18 ม.ค. 2560 เวลา 10.00 น.

6

นายอมรโชติซิงห์ (สงวนนามสกุล)

นายอมรโชติซิงห์ถูกแจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามมาตรา 112 จากกการใช้เสื้อผ้าสีชมพู่เดินห้าง สรรพสินค้าแห่งหนึ่งในช่วงภายหลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 9

คดีอยู่ในระหว่างสอบสวน

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นัดฟังคำสั่งอัยการในวันที่ 18 ม.ค. 2560

7

คดีจัดกิจกรรมพูดเพื่อเสรีภาพ

มหาวิทยาลัยขอนแก่น

31 ก.ค. 2559 นักศึกษาได้จัดกิจกรรม “พูดเพื่อเสรีภาพ; รัฐธรรมนูญของคนอีสาน” ที่ม.ขอนแก่น เพื่อวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ภายหลังตำรวจออกหมายเรียกรับทราบข้อหา 11 คน โดยมี 2 คนเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์การจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เข้าร่วมสังเกตการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนเท่านั้น

 อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น

ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558  ข้อ 12  ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไป

นัดฟังคำสั่งพนักงานสอบสวนและส่งตัวอัยการ วันที่ 19 ม.ค. 2560 เวลา 10.00 น. สภ.เมืองขอนแก่น

8

คดีประชามติ ภูเขียว

ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังเข้าจับกุม 2 นักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) อีสาน ได้แก่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายวศิน  พรหมณี หลังทั้งสองคนทำกิจกรรมแจกเอกสารรณรงค์เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารโหวตโนของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ที่บริเวณตลาดสดเทศบาลภูเขียว จ.ชัยภูมิ ในวันที่ 6 ส.ค. 2559 ก่อนมีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61 วรรคสอง

คดีหมายเลจดำที่ 1370/2559

ศาลจังหวัดภูเขียว

พ.ร.บ.ิว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มาตรา 61(1) วรรคสอง วรรคสาม

นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 20 ม.ค. 2560 เวลา 09.00 น.

9

นายจือเซง  แซ่โค้วหรือสมอล บัณฑิต อานียา

นายจือเซง แซ่โค้ว หรือสมอล บัณฑิต อานียา เป็นนักเขียนอิสระถูกดำเนินคดีข้อ ป.อาญา มาตรา 112 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้มาก่อน โดยคดีเดิมศาลฎีกามีคำพิพากษารอลงอาญา เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ป่วยจิตเวช คดีนี้จำเลยได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมพรรคการเมือง ในลักษณะเป็นการตั้งคำถามต่อสภาพสังคมไทยเท่านั้น

คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558

ศาลทหารกรุงเทพ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นัดสืบพยานในวันที่ 20 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

10

คดีรินดา (สงวนนามสกุล)

จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมฯ แต่เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นเพียงการโพสต์เฟซบุ๊กที่มีข้อความหมิ่นประมาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภรรยา ทั้งนี้ศาลทหารเห็นว่าเป็นคดีหมิ่นประมาทจึงจำหน่ายคดีออกจากศาล แต่ปอท.ทำความเห็นสั่งฟ้องถึงอัยการศาลอาญาในข้อหาเดิม จากนั้นอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาตาม ม.14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 2550

อยู่ในระหว่างดำเนินการรอฟังคำสั่งอัยการจึงยังไม่มีหมายเลขคดี

นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ม.14พ.ร.บ.คอมฯ 2550

นัดพร้อมในวันที่ 23 ม.ค. 2560 เวลา 13.30 น.

11

คดี มาตรา 112 หมิ่นสมเด็จพระเทพฯ (กำแพงเพชร)

มีการใช้ป.อาญา ม.112มาใช้กล่าวหาจำเลยว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดโดยหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งกฎหมายไม่ครอบคลุมถึง

คดีดำหมายเลขที่1330/2559

ศาลจังหวัดกำแพงเพชร

ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112

นัดพิจารณาคดีในวันที่ 23 และวันที่ 26 ม.ค. 2560 เวลา 09.30 น.

12

คดีนักศึกษาฟ้องละเมิดเจ้าหน้าที่ที่สลายการชุมนุมที่หอศิลป์กรุงเทพฯ

วันที่ 22 พ.ค. 2558

22 พฤษภาคม 2559 นักศึกษาและนักกิจกรรมได้ทำกิจกรรมรำลึกรัฐประหาร 1 ปี บริเวณหน้าหอศิลป์ฯ กรุงเทพฯ แต่ทหารและตำรวจได้สลายการชุมนุมและจับกุมนักศึกษาและมีการดำเนินคดี 9 คน

คดีหมายเลขดำที่ พ.992/2559

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้

ละเมิดเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทน ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

นัดชี้สองสถาน วันที่ 24 ม.ค. 2560 เวลา 09.00 น.

13

 

นายบุรินทร์ (สงวนนามสกุล)

 

นายบุรินถูกกล่าวหาว่าแชทกับน.พัฒนรี แม่ของนายสิรวิชญ์โดยมีเนื้อหาที่เข้าข่ายผิด ม.112

ศาลทหาร

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นัดสอบคำให้การในวันที่ 24 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

14

นายธเนตร อนันตวงษ์

(คดีตรวจสอบทุจริตอุทยานราชภักดิ์)

ประชาชนและนักศึกษาจัดกิจกรรมอย่างสงบและสันติ โดยการนั่งรถไฟไปตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ แต่ถูกทหารจับกุมและแจ้งความดำเนินคดี ต่อมามีการยื่นฟ้องนางสาวชนกนันท์ รวมทรัพย์ภายหลังจากการยื่นฟ้องนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กับพวก

คดีหมายเลขดำที่ 256/2559

ศาลทหารกรุงเทพ

ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12  ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไป

นัดสอบคำให้การในวันที่ 25 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

15

คดีป่าไม้ ผลกระทบจากนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม

คดีนี้จำเลยทั้ง 22 คนมีทีดินทำกินอยู่ในเขตที่คสช.ประกาศให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 17/2557

ต่อมาจำเลยทั้ง 22 คนถูกเจ้าหน้าที่ทหารอาศัยอำนาจตามกฎอัยการเข้าจับกุมและนำตัวไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาทำลายป่าไม้ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484

คดีหมายเลขดำที่ 3737/2557

ศาลจังหวัดนครพนม

พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 (30)

นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26  ม.ค. 2560

16

นายเจริญ (สงวนนามสกุล)

คดีนี้หลักฐานที่นำมาเอาผิดจำเลยโดยหลักก็มีเพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดเจนแต่อย่างใด และเจ้าหน้าที่รัฐยังพยายามสอบถามจำเลยเพื่อเชื่อมโยงไปถึงขบวนการความรุนแรงทางการเมืองใต้ดินอีกด้วย รวมไปถึงยังมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยถูกซ้อมทรมานด้วย

คดีหมายเลขดำที่ 20 ก./2559

ศาลทหารกรุงเทพ

ร่วมกันมีอาวุธระเบิด

นัดสืบพยานในวันที่ 27 ม.ค. 2560 เวลา 08.30 น.

17

คดีนักศึกษาดาวดิน จัดกิจกรรมครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร

นักศึกษาดาวดินถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58  จากการจัดกิจกรรมครบรอบ 1 ปี รัฐประหารที่จังหวัดขอนแก่นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 แต่คดีนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

จนกระทั่งนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ถูกจับกุมในคดีอันดับที่ 9 และได้ประกันตัวในวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ตำรวจจากสภ.เมืองขอนแก่น ได้อายัดตัวและนำตัวส่งให้อัยการทหารยื่นฟ้องต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23ตอนกลางคืน

คดีหมายเลขดำที่ 61/2559

ศาลมณฑลทหารบกที่ 23

ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58 ข้อ 12 เรื่องชุมนุมทางการเมืองจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

นัดตรวจพยานหลักฐาน วันที่ 30 ม.ค. 2559 เวลา 8.30 น.

18

คดีนางแจ่ม  (นามสมมุติ)

เป็นกรณีโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับข่าวการทุจริตคอรัปชั่นการสร้างอุทยานราชภักดิ์ฯ  โดยพาดพิงถึงบุคคลในรัฐบาล

อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการศาลจังหวัดพระโขนง

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ

นัดฟังคำสั่งอัยการ วันที่ 30 ม.ค. 2560 สำนักอัยการศาลจังหวัดพระโขนง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บิดา 'ไผ่ ดาวดิน'แถลงหลังศาลฝากขังบุตรผัด 5 “เรากำลังสู้กับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ”

$
0
0

ศาลสั่งพิจารณาลับ ฝากขังผัด 5 คดีแชร์บทความบีบีซีไทย 'ไผ่ ดาวดิน'จำเลยแถลงค้านการพิจารณาลับ แต่ไม่เป็นผล จึงขอให้ทนายของตัวเองออกจากห้องพิจารณา ด้าน 'พ่อไผ่'แถลงไม่ได้สู้เรื่องการประกันตัวอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องสู้กับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

ส่วนหนึ่งของผู้ที่มาเยี่ยม 'ไผ่ ดาวดิน'และรอฟังผลการพิจารณาคำร้องขอฝากขังผัดที่ 5 ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น (จากซ้ายไปขวา) เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, ปิยบุตร แสงกนกกุล, สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และ วิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของไผ่ ดาวดิน 

20 ม.ค. 2560 เวลาประมาณ 13.15 น. ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ภายหลังจากที่ศาลได้พิจารณาคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ซึ่งขอให้ศาลฝากขัง จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นักศึกษา นักกิจกรรม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถูกจับกุมคุมขัง และถูกเพิกถอนสัญญาการประกันตัว จากฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ จากการแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai

โดยในวันนี้พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาฝากขังต่อไปเป็นผัดที่ 5 นับตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. – 1 ก.พ. 2560 โดยศาลได้สั่งให้การพิจารณาในวันนี้เป็นการพิจารณาลับและอนุญาติให้เพียงทนายความ และบิดา มารดา เท่านั้นที่สามารถเข้าฟังการพิจารณาคดีได้

ด้านทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้แถลงข่าวหลังจากศาลมีคำสั่งอนุญาตฝากขังผัด 5 โดยกฤษฎางค์นุตจรัส ทนายความได้แถลงว่า วันนี้ศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดไต่สวนคำร้องของพนักงานสอบสวนว่าจะฝากขังไผ่ต่อในผัดที่ 5 หรือไม่ โดยวันนี้ได้มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ได้มาร่วมให้กำลังใจกับไผ่ ดาวดิน และคาดหวังว่าจะได้เข้าร่วมฟังการไต่สวนคำร้องในวันนี้ แต่ศาลได้สั่งให้การพิจารณาไต่สวนคำร้องขอฝากขังไผ่วันนี้เป็นการพิจารณาในทางลับ และขอให้ผู้ร่วมเข้าฟังที่ไม่มีส่วนเกียวข้องกับจำเลยให้ออกจากห้องพิจารณาคดี

กฤษฏางค์ กล่าวด้วยว่า ไผ่ ได้แถลงโต้แย้งคำสั่งพิจารณาลับของศาล เนื่องจากเห็นว่า การพิจารณาคดีในชั้นนี้ เป็นเพียงการพิจารณาว่า ตำรวจควรจะขออำนาจศาลเพื่อฝากขังเขาต่อไปอีก 12 วันหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอผัดฟ้องมาตลอด ตามคำร้องก็ระบุไว้ด้วยว่า สวบสวนเสร็จแล้ว และกำลังเสนอให้คณะทำงานของพนักงานสอบสวนว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งไผ่เห็นว่าการพิจารณาตรงนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในคดี แต่ศาลให้เหตุผลว่าต้องพิจารณาคดีในทางลับ เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ซึ่งทางทนายความได้คัดค้านแล้วว่า การพิจารณาครั้งนี้ไม่ได้เป็นการพิจารณาที่เนื้อหาของคดี เป็นเพียงการพิจารณาว่าควรจะฝากขังไผ่ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ซึ่งควรจะมีการเปิดให้ไต่สวนโดยเปิดเผย เพราะเราถือหลักตามประมวลกฎหมายการพิจารณาคดีอาญา การไต่สวน หรือการพิจารณาคดีอาญาจะต้องมีการพิจารณาโดยเปิดเผยต่อสาธารณชน เพราะนี่คือหลักการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน

กฤษฏางค์ กล่าวต่อว่า หลังจากทนายความ และผู้ต้องหาได้คัดค้านการพิจารณาคดีในทางลับ ศาลได้เข้าไปประชุมกับองค์คณะ แล้วออกมายืนยันคำสั่งเดิมว่าให้การพิจารณาคดีเป็นไปในทางลับ และเชิญให้พูดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปจากห้องพิจารณา แต่ไผ่ ได้แถลงต่อศาลในทันทีว่า หากศาลยืนยันเช่นนั้น เขาก็ไม่ประสงค์ที่จะให้มีทนายความในห้องพิจารณา เพราะในเมื่อมีหรือไม่มีก็ตาม เขาก็ไม่สามารถที่จะขอให้เปิดพิจารณาคดีโดยเปิดเผยได้ ไผ่จึงขอให้ทนายความทั้งหมดของตัวเอง ออกจากห้องพิจารณาคดี โดยมีเพียงไผ่ กับวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดา เท่านั้นที่อยู่ในห้องพิจารณาคดี และสุดท้ายศาลได้สั่งให้ขังไผ่ เป็นผัดที่ 5 ทั้งหมด 12 วัน

กฤษฏางค์ กล่าวต่อไปว่า การที่ไผ่ ขอให้ทนายความออกจากห้องพิจารณาคดีเป็นเพราะเขาเห็นว่า การพิจารณาคดีในวันนี้ไม่ได้เป็นตามหลักการการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยตามที่เขาได้เรียนมา และเขาเองก็ไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาไต่สวนคำร้องขอฝากขังในวันนี้ จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่มาถามว่าทนายความจะเซ็นชื่อในเอกสารกระบวนการพิจารณาคดีในวันนี้หรือไม่ เราบอกว่า คงไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ เพราะเราไม่ได้อยู่ในกระบวนการพิจารณา เราไม่ทราบว่าไต่สวนอะไรไปบ้าง

“คุณไผ่ เขาก็บอกว่า เขาแทบไม่มีสิทธิเสรีภาพในการต่อสู้คดีอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาจะทำอะไรก็ให้ทำไปเถอะ” กฤษฏางค์ กล่าว

ด้าน วิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของไผ่ ดาวดิน ระบุว่า ไผ่ได้กล่าวกับตนเองว่า การพิจารณาคดี ไต่สวนคำร้องของฝากขังของศาลในวันนี้ไม่เป็นธรรมสำหรับเขา เพราะเขาต้องการให้สาธารณชนได้เห็นว่ากระบวนของศาลเป็นอย่างไร แต่ศาลก็ระบุว่า ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องให้สาธารณชนเข้าฟังการพิจารณาคดี เพราะสามารถไปอ่านจากคำสั่งของศาลภายหลังได้ ด้านไผ่ก็ได้แถลงต่อศาลว่า สิ่งที่ผ่านมานั้นทั้งในรายงาน หรือคำสั่งของศาลไม่สามารถที่ที่จะเห็นกระบวนการพิจารณา และอากัปกิริยาของศาล ของพนักงานสอบสวน เช่นเวลาเบิกความพนักงานสอบสวนตอบคำถามอย่างติดๆ ขัดๆ หรือกรณีตัวอย่างคือกระบวนการพิจารณาฝากขังที่ศาลไปทำกับเขาในผัดที่ 3 ตัวไผ่เองยังไม่รู้เลยว่าศาลได้พิจารณาฝากขัง แต่กลับมีการยืนยันจากศาลว่าได้มีการแจ้งกับไผ่ และไผ่ได้เซ็นชื่อว่าไม่คัดค้านการฝากขัง

“เขา (หมายถึงไผ่) เห็นกระบวนการอย่างนี้มาตลอด เขาเลยต้องการให้คนอื่นเข้ามาช่วยกันดู ว่าจริงๆและกระบวนการพิจารณาเป็นอย่างไร ไม่ใช่เห็นเพียงแต่คำสั่ง ศาลก็ไม่ยอม ไผ่จึงไม่ต้องการทนายอีกต่อ เพราะเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์แล้ว ในเมื่อเริ่มต้นหรือที่ผ่านมาทั้งหมดไม่มีอะไรที่จะเป็นหลักประกันในกระบวนการยุติธรรม สำหรับเขาเลย ฉะนั้นการมีทนายหรือไม่มีทนายความก็ไม่มีความหมาย” วิบูลย์ผู้เป็นบิดากล่าว และยังกล่าวต่อว่า วันนี้ไผ่ ได้ทำหน้าที่ทุกอย่างเอง ทั้งการซักค้าน และการแถลงต่อศาล ในกระบวนการไต่สวนคำร้องของฝากขังของศาล

“วันนี้เขารู้ว่าสู้แล้วก็จะแพ้ แต่เขาทำ ซักค้านพนักงานสอบสวน ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ พูดโยงนู่นโยงนี่ แล้วบางประโยคที่ไผ่ถามพนักงานสอบสวนใช้เวลากว่า 5 นาทีถึงจะตอบ ไผ่ก็บอกให้ศาลบันทึกไว้ด้วยว่าก่อนจะตอบคำถามใช้เวลานาน”

วิบูลย์ กล่าวต่อว่า ในกระบวนการพิจารณาฝากขัง ศาลได้ระบุว่า เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่สามารถขออำนาจฝากขังผู้ต้องหาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ทางไผ่ก็แถลงต่อศาลว่าตนเข้าใจข้อกฎหมายดี แต่การพิจารณาของศาลก็ควรที่จะคำนึงถือสิทธิของผู้ต้องหาด้วย หากไม่คำนึงถึงหลักการในข้อนี้ ศาลก็ไม่ควรที่จะนำตัวจำเลยมา และควรแก้กฎหมายเสียใหม่ว่าไม่ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้ต้องหา ให้เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนเพียงอย่างเดียว และสุดท้ายศาลก็ได้มีคำสั่งอนุญาตฝากขังในผัดที่ 5 ออกมา

วิบูลย์แถลงต่อว่า เรื่องการประกันตัวไผ่นั้น ต้องมาดูกันต้องว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์กระบวนการยุติธรรมในปัจจุบัน แต่สิ่งที่รู้สึกว่าจะต้องต่อสู้กันต่อไปในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องการเรียกร้องสิทธิประกันตัว ไม่ใช่เรื่องการคัดค้านการฝากขัง แต่มองว่าเรากำลังต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

“เราก็ต้องมาคิดกันว่า ถ้าปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับไผ่ เป็นอย่างนี้ต่อไปสังคมจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ต้องกลับมาคิดกันต่อ แต่ตอนนี้ยืนยันได้เลยว่า เราไม่ได้สู้เรื่องการประกัน ไม่ได้สู้เรื่องคัดค้านการฝากขัง ไม่ได้สู้เรื่องว่าเรียนจบหรือไม่จบ แต่เรากำลังต่อสู้เรื่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศชาติ” วิบูลย์กล่าว 

พ่อโวย ศาลไม่ให้ไผ่ ดาวดิน กินอาหารกลางวัน

ต่อมาเวลา 16.00 น. วิบูลย์ ได้แถลงกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากการไต่สวนคำร้องขอฝากขัง จตุภัทร แล้วเสร็จ โดยที่ จตุภัทร์ ผู้ต้องหาและตนผู้เป็นบิดาได้ปฏิเสธที่จะลงลายมื่ชื่อรับทราบคำสั่งศาล เนื่องจากตัวเองและบุตรชายไม่เห็นด้วยต่อกระบวนการพิจารณาคำร้องขอฝากขังในวันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 12.40 น.
 
วิบูลย์ เล่าอีกว่า ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหาลงมาเพื่อคุมขังอยู่ในห้องขังใต้ศาล โดยที่ตนก็ได้แยกไปกินอาหารกลางวัน จนกระทั่งเวลาประมาณ 14.00 น. ตนได้กลับมาเยี่ยมพูดคุยกับ จตุภัทร์ และ จตุภัทรได้แจ้งว่า ยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันแต่อย่างไร ตนจึงได้จัดหาอาหารไปติดต่อที่เจ้าหน้าที่ศาลเพื่อขออนุญาตนำเข้าไปให้จตุภัทร์ได้กิน แต่เจ้าหน้าที่ศาล ได้ปฏิเสธ ที่จะนำเข้าไปให้โดยอ้างว่าต้องได้รับการอนุญาตจากศาลก่อน
 
วิบูลย์ เล่าต่อว่า ตนจึงได้เดินทางขึ้นไปติดต่อขออนุญาตจาก ผู้อำนวยการสำนักงานศาล แต่เจ้าหน้าที่ แจ้งว่า ผอ.ไม่อยู่ และได้แนะนำให้ไปติดต่อที่ รองผู้อำนวยการศาล จากนั้นจึงได้ไปติดต่อชี้แจงกับ รอง ผอ.ศาล (ผู้หญิง) ว่าต้องการขออนุญาตเอาอาหารส่งให้ จตุภัทร์ ผู้ต้องขังได้กิน ขณะที่ทาง รอง ผอ.ศาล ได้ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้กิน และทำไมตอนเที่ยงไม่ไปติดต่อดำเนินการ และกล่าวว่าเป็นเพราะว่าจตุภัทร์ปฏิเสธที่จะกินอาหารเองหรือไม่
 
โดย วิบูลย์ ยืนยันว่าจตุภัทร์ไม่ได้ปฏิเสธที่จะกินอาหาร แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้จัดอาหารให้จตุภัทร์กิน และยังได้ชี้แจงต่อ รอง ผอ.ศาล ว่า ไม่ได้ต้องการมาท้วงติงแต่อย่างใด ให้บุตรชายได้กินอาหารเท่านั้น ว่าจะจัดการอย่างไร
 
วิบูลย์ เล่าอีกว่า จากนั้นทาง รอง ผอ.ได้เดินออกมาจากห้องพร้อมกล่าวว่า "มันเป็นสิทธิของชั้น คุณไม่มีสิทธิมาสั่งว่าชั้นจะทำตอนไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าเขาเอาอาหารไปให้แล้วลูกคุณไม่ยอมกินเองหรือ"จากนั้น ตน (วิบูลย์) ได้ตอบกลับไปว่า ตนไม่ได้ต้องการทราบว่าจะปฏิบัติอยู่ในขั้นตอนไหน แต่ตนต้องการให้ลูกตนได้กินข้าว มันเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะได้กินข้าว ไม่ใช่สิทธิของคุณที่จะทำอะไรก็ได้
 
สุดท้ายแล้วจตุภัทร์ได้กินอาหารกลางวันที่ทางศาลจัดให้เวลา 15.30 น.
 
วิบูลย์ กล่าวว่า ไม่ได้สรุปว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือความล่าช้า แต่ว่าเวลาที่ไปติดต่อเพื่อขออาหารให้ผู้ต้องขังกิน เมื่อทางศาลมีท่าทีอย่างนี้ ถือว่ามีปัญหาเรื่องวิธีคิดแล้ว มันเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ต้องขังที่มาศาลทุกคน
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพื่อไทย'ชี้ปรองดองคืออยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้หลักนิติธรรม

$
0
0
ประวิตรยันที่ทหารจะนั่งเต็ม กก.ปรองดอง เพราะเป็นกลางไม่ขัดแย้งใคร หน.กก.ปรองดอง เผยคุย 3 เดือนก่อนทำ MOU ด้าน ยิ่งลักษณ์ ยินดี พร้อมชี้ควรยึดหลักความเป็นกลางความเป็นธรรม ภูมิธรรม มองไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่ ปธ.สนช.เห็นด้วยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ที่มาภาพ แฟ้มภาพเว็บไซต์ทำเนียบฯ)

20 ม.ค. 2560 ความคือบหน้าเรื่องแนวคิดการเชิญนักการเมืองมาปรึกษาหารือและมาลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อสร้างความปรองดองและยุติความขัดแย้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การสร้างบรรยากาศความปรองดองเป็นไปในเชิงบวก ทุกคนต้องการให้เกิดความปรองดองเพื่อให้ประเทศชาติสงบสุข ให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ ประชาชนสามารถทำมาหากินได้อย่างปกติสุข เบื้องต้นตนยังไม่ได้ติดต่อกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองใดๆ ตนไม่ดิวกับใครอยู่แล้ว และต้องรอรายชื่อคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดองออกมาก่อน โดยจะให้ทุกกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง ได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเข้ามา เพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณาในภาพรวมทั้งหมด

ที่ทหารจะนั่งเต็ม กก.ปรองดอง เพราะเป็นกลางไม่ขัดแย้งใคร

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้ารายชื่อของคณะกรรมการจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดเผยได้ โดยคณะกรรมการนี้จะดูว่าต้องเชิญกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองใดบ้าง โดยจะพยายามให้ทุกกลุ่มเข้ามาพูดคุยหารือ เริ่มจากพรรคการเมืองก่อน ยืนยันว่าการที่คณะกรรมการมีแค่คนในกองทัพไม่ใช่ปัญหา เพราะกองทัพเป็นกลาง ทหารไม่มีความขัดแย้งกับใคร และคณะกรรมการก็ไม่ใช่เด็กๆ ล้วนแต่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้น
 
"ไม่เป็นไรหรอก ก็เป็นกลาง ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ผมบอกแล้วไงทหารเราไม่มีความขัดแย้งกับใคร และพวกที่เข้าไปนั่งก็ไม่ได้เป็นพวกเด็กๆ นะ เป็นระดับผู้ใหญ่ๆ ทั้งนั้นในกองทัพนะครับ ท่านรู้นะครับว่าท่านควรจะทำอย่างไร"พล.อ.ประวิตร กล่าวกรณีที่คณะกรรมการปรองดองจะมีทหารเข้าไปอยู่จำนวนมาก
 
ต่อกรณีคำถามว่าหากพรรคการเมืองจะขอเปิดประชุมเพื่อขอมติพรรคในเรื่องดังกล่าวจะอนุญาตหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องประชุม ตนไม่ได้ต้องการการตัดสินใจในภาพรวมของพรรค เพียงแต่ต้องการการแสดงความคิดเห็นว่า จะทำอย่างไรให้เกิดความสงบขึ้นหลังจากมีการเลือกตั้ง ป้องกันการประท้วง การออกมาตีกัน ไม่ได้ขอมติพรรค ใครอยากเสนออะไรก็สามารถเสนอได้ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นมติพรรค โดยเบื้องต้นได้มีการวางกรอบในการพูดคุยหารือและคำถามต่างๆ ที่เตรียมไว้สำหรับทุกฝ่ายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเด็นด้านการเมือง ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูป เป็นต้น
 
“เราจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการที่จะรับฟังข้อคิดเห็นทั้งหมด ไม่ใช่ว่ากระบวนการเสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน จากนั้นนำความคิดเห็นต่างๆ มาเผยแพร่ และเข้าสู่กระบวนการต่อไป” พล.อ.ประวิตรกล่าว

หน.กก.ปรองดอง เผยคุย 3 เดือนก่อนทำ MOU

ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการอำนวยการการปรองดอง กล่าวว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นฝ่ายต่างๆ ทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง จะใช้เวลา 3 เดือน โดยจะสรุปข้อเสนอทั้งหมดทำเป็นข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งยังไม่สามารถระบุกรอบเวลาที่ชัดเจนได้ ต้องรอดูข้อมูลที่จะได้รับก่อน ยืนยันการดำเนินการครั้งนี้ไม่ใช่การซื้อเวลา ไม่มีมวยล้มต้มคนดูอย่างแน่นอน

ยิ่งลักษณ์ ยินดี พร้อมชี้ควรยึดหลักความเป็นกลางความเป็นธรรม

ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ คสช.และรัฐบาลออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ว่า ส่วนตัวยินดีให้การสนับสนุน ถ้าทุกอย่างเป็นประโยชน์กับประเทศ แต่ควรยึดหลักความเป็นกลางความเป็นธรรม และขอให้เป็นไปตามกฎหมาย  แต่ต้องแน่ใจว่าจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า หวังว่ากลไกทางภาครัฐและฝ่ายทหารจะเป็นผู้ประสานงานที่ดี   ถ้าเป็นไปได้อยากให้เชิญผู้ที่มีความเป็นกลางโดยเฉพาะนักวิชาการ หรือผู้ที่สังคมให้การยอมรับเข้ามาแลกเปลี่ยนให้ความรู้ และเป็นคณะกรรมการ  เชื่อว่าหากคณะกรรมการ ป.ย.ป.จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธ  เพราะทุกคนต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาจะต้องทราบถึงนิยามคำว่าปรองดองก่อน ทุกคนต้องยอมรับและได้รับความเป็นกลางไม่มีการเลือกปฎิบัติ เมื่อได้รับนิยามแล้วจึงจะพิจารณาที่กลไกปฎิบัติต่อไป
ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่ยไทย

ภูมิธรรม มองไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง

ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่ยไทย กล่าวว่า ตามที่ คสช. และรัฐบาลได้ออกคำสั่งเพื่อให้มีการดำเนินการเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองโดยจะจัดให้มีคณะกรรมการรับผิดชอบขับเคลื่อนในด้านต่างๆและเรียกร้องให้นักการเมืองร่วมมือกันสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม การแก้ไขปัญหานี้ให้ประสบความสำเร็จ คงไม่ใช่ให้พรรคการเมืองมาพบกันและจัดทำเอ็มโอยูเท่านั้น เพราะปัญหาความไม่ปรองดอง ไม่ใช่เกิดจากเฉพาะพรรคการเมืองแต่ฝ่ายเดียว แต่เกี่ยวพันกับคนหลายกลุ่ม หลายฝ่าย หลายองค์กร เกี่ยวพันกับปัญหาประเทศเชิงโครงสร้างในหลาย ๆ ส่วน รวมถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันก็เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้น

เพื่อไทยชี้คือการอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติภายใต้หลักนิติธรรม

ภูมิธรรม กล่าวว่า  ปัจจัยที่จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้น เป็นผลสำเร็จ ความหมายที่แต่ละฝ่ายยึดถือและเข้าใจในเรื่องความปรองดองนั้นต้องตรงกัน จึงจะสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาได้ สำหรับพรรคเพื่อไทย เข้าใจว่าการปรองดองหมายถึง การอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติภายใต้หลักนิติธรรม บนพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการจะสร้างความปรองดองได้ คือ การอำนวยให้เกิดความยุติธรรม และการยอมรับการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างที่แต่ละฝ่ายมี  ซึ่งพรรคเพื่อไทยมอบให้ โภคิน พลกุล ชัยเกษม นิติสิริ ชูศักดิ์ ศิรินิล จาตุรนต์ ฉายแสง พงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นผู้ดำเนินการติดตามเรื่องนี้และรายงานให้ที่ประชุมรับทราบ

ปธ.สนช.เห็นด้วยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ

พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เปิดเผยผลการหารือร่วมกับ สุวิทย์ เมษิณทรีย์ เลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ว่า เป็นขั้นตอนก่อนที่จะตั้งคณะทำงาน 4 คณะ ตามอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเร่งรัดให้รีบดำเนินการ ให้เห็นผลผลเป็นรูปธรรมซึ่งส่วนตัวเห็นด้วยที่จะให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการหาข้อยุติ
 
พรเพชร กล่าวว่า ตนอยู่ร่วมทั้ง3 คณะ และมีรองประธานสนช. ร่วมคณะด้วยเพื่อเป็นตัวแทนฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งแต่ละภาคส่วนจะไปดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบ โดยสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) จะทำงานด้านปฏิรูปเป็นหลัก และเสนอแผนเข้ามา ให้สนช. เห็นชอบออกเป็นกฎหมาย ซึ่งยืนยันว่า จะสามารถคาดหวังได้ในเรื่องของการปฏิรูป ส่วนด้านยุทธศาสตร์ชาติ สนช. มีส่วนเกี่ยวข้องมากในส่วนของการออกกฎหมาย ขณะที่เรื่องความปรองดอง กฎหมายมีส่วนเกี่ยวข้องน้อย เพราะกฎหมายบังคับเรื่องความปรองดองไม่ได้ จึงต้องรอฟังข้อเสนออีกครั้งว่าแต่ละฝ่ายต้องการอย่างไร  ตนยังนึกไม่ออกว่าจะออกมาเป็นรูปแบบใด
 

ที่มา : สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์ ผู้จัดการออนไลน์และโพสต์ทูเดย์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนพิการยื่นฟ้อง กทม.ชดเชยค่าเสียหาย หลังสร้างลิฟต์ BTSไม่เสร็จ-เลยกำหนดกว่า 1 ปี

$
0
0

เครือข่ายคนพิการยื่นฟ้องบีทีเอส ชดเชยค่าเสียหายรายวัน หลังเกินกำหนดเวลากว่า 1 ปี ที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการ ปัจจุบันพบคืบหน้าน้อย- ยังไร้วี่แววเสร็จ

20 ม.ค.2560 เครือข่ายคนพิการหลายกลุ่มเดินทางเข้ายื่นหนังสือและอ่านแถลงการณ์ ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกรุงเทพมหานคร กรณี ไม่ดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการบนรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2558 ที่ระบุว่า กทม.และบีทีเอสจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ทั้ง 23 สถานีให้แล้วเสร็จใน 1 ปี นับตั้งแต่มีการพิพากษา จนปัจจุบันผ่านมากว่า 2 ปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ประกอบไปด้วยคนพิการกว่า 100 คนและสื่อมวลชนจำนวนมาก

การเดินทางไปศาลแพ่งในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเดินทาง 5 ทีม จากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีบางซื่อ เพชรบุรี ห้วยขวาง ศูนย์วัฒนธรรมและพระราม 9 โดยมีจุดหมายปลายทางที่สถานีลาดพร้าว และเดินเท้าต่อไปยังศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก


ระหว่างทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินลาดพร้าว-ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก

สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ซึ่งนั่งวีลแชร์และถือว่าเป็นคนพิการตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องค่าเสียหายจาก กทม. เนื่องจากไม่ก่อสร้างลิฟต์บีทีเอส เป็นผลให้คนพิการถูกลิดรอนสิทธิที่พึงมี โดยคิดค่าปรับวันละ 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.2559 - ปัจจุบัน รวมเป็นเงิน 361,000 บาท ต่อโจทก์ 1คน

สนธิพงศ์ มงคลสวัสดิ์ ทนายความกล่าวว่า วันนี้ดำเนินการยื่นข้อเรียกร้องและรอให้ศาลมีคำสั่งพิจารณา โดยประกอบไปด้วย 3 ประเด็นหลักคือ คำฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย คำร้องเพื่อขอดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือคลาสแอคชัน (Class Action) เป็นวิธีการตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกล่าวคือผู้ฟ้องไม่ต้องฟ้องทั้ง 100 คน แต่ยื่นฟ้องไปเพียงคนเดียวก่อน หากศาลรับฟ้องแล้วจึงร่วมเป็นโจทก์ต่อไปเพราะมูลความแห่งคดีนั้นเหมือนกันและยื่นงดเว้นค่าธรรมเนียมศาล ตามการบังคับใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ ข้อ 17 วรรค 2 ที่ระบุให้คนพิการที่โดนละเมิดสิทธิมีสิทธิฟ้องร้องได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ ศาลแพ่งได้รับพิจารณาเป็นคดีดำ พ.246/2560 และได้นัดไต่สวนการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลวันเดียวกับนัดสืบพยานในวันที่ 30 มี.ค.ที่จะถึง เวลา 09.00 น. ณ ห้อง 310 ชั้น 3 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ปีที่แล้ว บีทีเอสได้เปิดให้คนพิการทดลองใช้ลิฟต์ 5 สถานีแรก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้แก่ สถานีราชดำริ สนามกีฬาแห่งชาติ ทองหล่อ เอกมัย และพร้อมพงษ์ (อ่านที่นี่) ซึ่งแม้จะมีปัญหา เช่น ตะแกรงระบายน้ำ สนิม เสียงเตือน ฯลฯ อยู่บ้าง แต่ก็สามารถใช้งานได้ อย่างไรก็ดี จนถึงปัจจุบัน ทั้ง 5 สถานีดังกล่าวก็ยังไม่เปิดให้บริการจนกว่าจะมีการส่งมอบงานลิฟต์จากทุกสถานี

แม้ว่าประภาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่งจะเน้นย้ำในการประชุมหลายครั้งก่อนหน้านี้ว่า จะผลักดันให้การก่อสร้างทั้งหมดแล้วเสร็จและเปิดใช้ภายใน ก.ย. 2559 ตามที่อมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม.ได้รับปากขอยืดเวลาจากต้นปี 2559 (อ่านที่นี่ ) อีกทั้งเคยกล่าวอย่างชัดเจนถึงการดำเนินการเพื่อปรับเงินรายวันบริษัทเสรีการโยธา ผู้รับเหมา แต่กลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร


ธีรยุทธ สุคนธวิท (ซ้าย)

ด้านธีรยุทธ สุคนธวิท ประธานเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ (T4A: Transport for All) เผยว่า ตอนนี้การสร้างลิฟต์ยังเห็นเพียงแค่โครงร่าง โดยปีที่แล้วหลังครบกำหนดเวลา เครือข่ายฯ ได้สอบถามไปยัง กทม.ซึ่งเคยประกาศว่า ขอยืดเวลาเป็นภายในเดือน ก.ย.2559 (อ่านที่นี่) แต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก อีกทั้ง กทม.ก็ไม่เร่งดำเนินการ วันนี้จึงรวมตัวมาทวงถามอีกครั้ง และเน้นย้ำว่า ต้องการสื่อสารกับผู้บริหาร กทม.ว่า ลิฟต์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงคนพิการที่ใช้วีลแชร์จะได้ประโยชน์ แต่คนที่ต้องใช้รถเข็น คนท้อง คนแก่ แม่ลูกอ่อน หรือแม้แต่คนทั่วไปก็จะได้ใช้เช่นกัน จึงอยากให้ กทม.เร่งแก้ปัญหาดังกล่าว

ชยธร ชนะโชคชัยกุล ผู้เข้าร่วมซึ่งพิการจากอุบัติเหตุทางรถยนต์กล่าวว่า แม้ปัจจุบันเขาจะไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้ามากนัก แต่หากมีโอกาสต้องใช้ในอนาคตก็มองว่า เขาควรมีสิทธิที่จะใช้ได้ จึงหวังว่า หลังจากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะกระตือรือร้น และทำงานไวขึ้นโดยไม่มีข้ออ้าง

เช่นเดียวกับ Jerome Thibaut นักกีฬารถแข่งนั่งวีลแชร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งอยู่เมืองไทยมากว่า 10 ปี กล่าวว่า เขาเข้าร่วมเนื่องจากเห็นว่า การรวมกลุ่มของคนพิการนั้นสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยต้องเริ่มจากการมอบสิทธิให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้บริการรถไฟฟ้าเพราะปกติอาศัยอยู่ที่หัวหิน แต่สิทธิของเขาที่จะใช้งานก็ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

“80% ของรถไฟในประเทศฝรั่งเศส คนพิการสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และหากมีที่ไหนที่ไม่สะดวก คนก็จะออกมาต่อสู้เรียกร้อง เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้บริการได้อย่างเท่าเทียมกัน” เขากล่าว

ขวัญฤทัย สว่างศรี กรรมการมูลนิธิพัฒนาศักยภาพคนพิการกล่าวว่า เมื่อปี 2552 ตนเป็นทีมร่วมฟ้องลิฟต์บีทีเอส ตอนนี้จึงมาติดตามเพราะเห็นว่าปัจจุบันยังไม่คืบหน้า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาแต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งในด้านกฎหมายและคำให้สัญญา

“แม้จะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าที่ควร แต่ก็มีโอกาสได้ใช้อยู่ แต่เพราะทุกสถานีไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนั้นเวลาเราจะใช้งานก็ต้องวางแผน เลยทำให้ความสะดวกสบายที่เราควรได้รับ หายไป เราก็เลยเลือกเปลี่ยนวิธีในการเดินทาง ถ้าทุกสถานีสามารถจัดสิ่งอำนวยความสะดวกได้ เราก็ไปได้” เธอกล่าว

ด้านมานิตย์ อินทรพิมพ์ ประธานคณะติดตามระบบราง เครือข่าย T4A กล่าวว่า ตนร่วมทำงานกับ กทม. เพื่อติดตามการสร้างลิฟต์ดังกล่าวเป็นปีที่ 2 แล้ว และเห็นว่าผู้รับเหมาไม่กระตุ้นให้เกิดการทำงานเท่าที่ควร จึงทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นที่พอใจ และเป็นที่มาของวันนี้

“หลังจากศาลปกครองสูงสุดสั่งได้ 1 ปี แต่ไม่คืบหน้า คนพิการก็เริ่มโวย รองผู้ว่าฯ ก็ออกมาขอโทษ เราก็ต้องคณะทำงานติดตามการทำงานของ กทม.ซึ่ง กทม.ก็ให้การร่วมมือที่ดี แต่ก็ยังไม่ได้ตามเป้า เราต้องเน้นย้ำว่าเรื่องพวกนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำขึ้นเฉพาะเพื่อคนพิการ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของสิทธิ การเข้าถึงของทุกคน” เขากล่าว

 

แถลงการณ์

20 มกราคม 2560

เรื่อง ปฏิบัติการ "นั่งรถไฟฟ้า ไปฟ้อง กทม.ที่ศาลแพ่ง รัชดา"

ตั้งแต่ปี 2538 ตามที่มีโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสเกิดขึ้นเพื่อมาแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางในกรุงเทพฯ และให้เอื้อประโยชน์ในการเดินทางแก่คนทั้งมวลรวมถึงคนพิการทุกประเภทอีกด้วย แต่ทั้งนี้การก่อสร้างสถานีไม่ได้ติดตั้งลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับคนพิการ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้รับอย่างเท่าเทียม กลุ่มคนพิการจึงเริ่มเรียกร้องให้ กทม.และบริษัทผู้ได้รับสัมปทาน ให้ดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ (Accessibility) อย่างเท่าเทียม แต่ทั้งสองหน่วยงานต่างบ่ายเบี่ยง และเพิกเฉยปฏิเสธความรับผิดชอบ กลุ่มคนพิการจึงยื่นฟ้อง กทม.และพวกในปี 2550 การดำเนินการผ่านไปสองปี วันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2552 ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่า ตอนนั้นกฏหมายไม่ได้กำหนดรายละเอียดในเรื่องอาคารสถานที่ และยานพาหนะ ที่จะต้องจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ ต่อมากลุ่มผู้พิการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลปกครองสูงสุด 21 มกราคม พ.ศ. 2558 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง สั่งให้ กทม.จัดทำลิฟต์ขึ้นลงสำหรับผู้พิการที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ง 23 สถานี และให้จัดทำอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการรวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการบนรถไฟฟ้าบีทีเอสให้แล้วเสร็จ ภายใน 1 ปีหลังจากมีคำพิพากษา แต่สุดท้าย แม้จะครบกำหนด 1 ปี ก็ยังไม่มีการดำเนินการตามสั่งศาลได้ และยังต่อรองว่าจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2559

จากการติดตามอย่างใกล้ชิดของคณะทำงาน จนถึงบัดนี้ กทม.ก็ไม่ได้เร่งดำเนินการให้มีการติดตั้งลิฟต์ทั้ง 23 สถานีได้ตามที่ศาลกำหนด กทม.ขาดความรับผิดชอบและทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไร้วี่แววว่าการดำเนินงานจะเป็นไปตามที่สัญญา กลุ่มคนพิการในนามของภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ (T4A)จึงเห็นสมควรให้มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ฐานละเมิดสิทธิคนพิการถูกลิดรอนและมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันครบกำหนดตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด (21 มกราคม 2559)

อนึ่ง การฟ้องนี้เป็นการฟ้องแบบกลุ่มโดยบุคคลเนื่องจากคดีนี้เป็นการละเมิดที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะในวงกว้าง หากศาลสั่งให้ กทม. ชดใช้ค่าเสียหาย คนพิการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นขอรับค่าเสียหายได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุนทรพจน์ 'โดนัลด์ ทรัมป์'ในพิธีรับตำแหน่ง ปธน. สหรัฐฯ

$
0
0
อ่านคำแปลสุนทรพจน์ 'โดนัลด์ ทรัมป์'ในพิธีปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 

 
21 ม.ค. 2560 พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มีขึ้นที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดีซี เมื่อช่วงเที่ยงวานนี้ (20 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น หรือราวเที่ยงคืนตามเวลาในไทย โดยมีบรรดาอดีตผู้นำ สมาชิกสภา และแขกเหรื่อจำนวนมากเข้าร่วมพิธี รวมทั้งนายบารัค โอบามา ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง และนางฮิลลารี คลินตัน ที่พ่ายการเลือกตั้งให้แก่นายทรัมป์ ขณะที่บริเวณเนชั่นแนล มอลล์ มีประชาชนหลายแสนคนไปยืนเฝ้าชมพิธี
 
โดย เว็บไซต์ VOA ภาคภาษาไทยเผยแพร่คำแปลสุนทรพจน์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในพิธีปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไว้ดังนี้
 

"เรา ประชาชนชาวอเมริกัน กำลังร่วมกันในความพยายามที่ยิ่งใหญ่ของชาติ ในอันที่จะสร้างประเทศอีกครั้งและนำอนาคตที่ดีมาสู่ประชาชนทั้งมวล

เราจะร่วมกันกำหนดเส้นทางของอเมริกาด้วยกันและของโลก ในอีกหลายๆ ปีต่อจากนี้ เราจะเจอกับสิ่งท้าทายและเผชิญกับความยากลำบาก แต่เราจะทำงานนี้สำเร็จให้ได้

ในทุกสี่ปี เรารวมมาอยู่กันที่แห่งนี้ เพื่อดำเนินการส่งผ่านอำนาจอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยความสงบ พวกเราซาบซึ้งต่อความช่วยเหลือที่สง่างามของประธานาธิบดีโอบามา และสตรีหมายเลขหนึ่งมิเชล โอบามา ทั้งคู่ยอดเยี่ยมมาก และผมขอขอบคุณมา ณ ที่นี้"

"งานวันนี้มีความหมายพิเศษ เพราะวันนี้ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลหนึ่งไปสู่รัฐบาลหนึ่งเพราะเป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากกรุงวอชิงตันไปยังพวกท่านทุกคน ซึ่งก็คือประชาชนสหรัฐฯ"

"เป็นเวลายาวนานเกินไปที่คนกลุ่มเล็กๆ ที่เมืองหลวงของประเทศที่ได้ประโยชน์จากรัฐบาล ขณะที่ประชาชนโดยรวมแบกรับภาระไว้

กรุงวอชิงตันรุ่งเรืองแต่ประชาชนไม่ได้รับความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น นักการเมืองรุ่งเรือง แต่โอกาสการจ้างงานหายไปและโรงงานปิดตัวลง

กลุ่มอำนาจเก่าปกป้องผลประโยชน์ตนเอง แต่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชน ชัยชนะของกลุ่มอำนาจเก่าไม่ใช่ชัยชนะของพวกท่าน

กลุ่มอำนาจฉลองชัยชนะของพวกเขา แต่ไม่มีอะไรที่ครอบครัวที่กำลังลำบากทั่วประเทศได้เฉลิมฉลองด้วย

การเปลี่ยนแปลงนั้นกำลังเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เวลานี้ เพราะเวลานี้เป็นเวลาของพวกท่าน

เวลานี้เป็นเวลาของทุกคนที่มา ณ ที่แห่งนี้ ในวันนี้ และทุกคนกำลังเห็นประจักษ์อยู่ทั่วประเทศ วันนี้เป็นวันของพวกท่าน การเฉลิมฉลองนี้เป็นงานของท่าน และที่นี่คือสหรัฐอเมริกา ประเทศของท่าน"

"สิ่งสำคัญที่สุดที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าพรรคใดได้ครองรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่ว่าประชาชนได้ควบคุมรัฐบาลนั้นหรือไม่"

"วันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2017 จะถูกจดจำให้เป็นวันที่ประชาชนเป็นผู้ปกครองประเทศแห่งนี้อีกครั้ง ชายและหญิงที่เคยถูกลืมจะไม่ถูกลืมอีกต่อไป

ทุกคนกำลังได้ยินเสียงของท่านในตอนนี้ ท่านทั้งหลายจำนวนหลายสิบล้านคนที่ร่วมกันในการเคลื่อนไหวครั้งประวัติศาสตร์นี้ การเคลื่อนไหวลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดในโลก

ศูนย์กลางของความเคลื่อนไหวนี้คือความตั้งใจที่แน่วแน่อย่างยิ่งที่ว่าชาติมีอยู่ได้ก็เพื่อทำงานให้กับระชาชน

ชาวอเมริกันต้องการมีโรงเรียนที่ดี อยู่ในชุมชนที่ปลอดภัยต่อครอบครัว มีงานดีๆ ทำ สิ่งเหล่าที่เป็นข้อเรียกร้องที่สมเหตุสมผล จากประชาชนที่มีความชอบธรรมและสาธารณะชนที่มีความชอบธรรม

อย่างไรก็ตามประชาชนจำนวนมากเกินไปกำลังอยู่ในความจริงที่แตกต่าง"

"แม่และเด็กยังติดอยู่กับความยากจนในเขตเมืองชั้นใน สนิมยังเกาะอยู่ที่เครื่องจักรโรงงาน โรงงานซึ่งหยุดการผลิตเกิดขึ้นทั่วไปราวกับหลักหินที่หลุมฝังศพที่เห็นเกลื่อนกลาด"

"ระบบการศึกษามีเงินมากมายแต่กลับทิ้งให้เด็กๆ ขาดความรู้ทุกด้าน และอาชญากรรมและแก๊งค์ และยาเสพติด ยังคงเกิดขึ้นและทำลายชีวิตมากมายเกินไป และขโมยศักยภาพของประเทศที่มี

ความสูญเสียนี้จะต้องยุติลง ณ บัดนี้ ในตอนนี้

เราเป็นหนึ่งเดียวกันในประเทศนี้ ความเจ็บปวดของพวกเขาเป็นความเจ็บปวดของเรา ความฝันของเขาเป็นความฝันของเรา ความสำเร็จของเขาเป็นความสำเร็จของเรา

เรามีหัวใจดวงเดียวกัน มีบ้านหลังเดียวกัน และมีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน คำปฏิญาณตนนี้ของข้าพเจ้าเป็นคำปฎิญาณตนร่วมกันของชาวอเมริกันทั้งมวล

เป็นเวลายาวนานหลายสิบปีแล้วที่ เราสร้างความมั่งคั่งให้กับอุตสาหกรรมต่างประเทศ แต่อุตสาหกรรมอเมริกันเสียเปรียบ

เราช่วยสนับสนุนกองกำลังทหารต่างประเทศ ขณะที่เราปล่อยให้กองกำลังทหารของเราถูกลดอำนาจลงอย่างน่าเศร้ายิ่ง"

"เราไปช่วยประเทศอื่นปกป้องเขตแดนแต่เราปฏิเสธที่จะปกป้องเขตแดนตนเอง"

"เราใช้เงินนับล้านล้านดอลลาร์ในต่างประเทศ ขณะที่ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของเรากำลังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และถดถอย

เราช่วยให้ประเทศอื่นร่ำรวย ขณะที่ความร่ำรวย ความแข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นในประเทศเราเหือดหายไป

โรงงานทีละแห่งปิดตัวลง และงานตามโรงงานถูกส่งไปให้ต่างประเทศทำ โดยไม่มีการคำนึงถึงคนงานอเมริกันนับล้านๆ คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง"

"ความมั่งคั่งของชนชั้นกลางถูกขโมยไปจากครอบครัวอเมริกัน และถูกกระจายไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก"

"เรามารวมตัวอยู่ที่นี้ด้วยกัน และกำลังประกาศร่วมกันให้ได้ยินไปทั่วทุกเมือง ทุกเมืองหลวงของโลก และทุกศูนย์อำนาจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มุมมองใหม่จะเป็นแนวทางการปกครองประเทศ

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีเพียงแค่อเมริกาเท่านั้นที่เป็นที่หนึ่ง และผละประโยชน์ของอเมริกาจะมาก่อน

ทุกการตัดสินใจด้านการค้า ด้านคนต่างด้าว ด้านการต่างประเทศ จะถูกตัดสินเพื่อผลประโยชน์ของแรงงานอเมริกันและครอบครัวชาวอเมริกัน

เราจะปกป้องเขตแดนของเรา จากการสร้างความเสียหายโดยต่างประเทศ ที่ผลิตสินค้าของเรา ขโมยผลประโยชน์ไปจากบริษัทอเมริกัน และทำลายการจ้างงานในสหรัฐฯ

การปกป้องคุ้มครองจะนำไปสู่ความรุ่งเรืองและความแข็งแกร่ง

ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อท่านด้วยทุกลมหายใจและเลือดเนื้อที่มี และข้าพเจ้าจะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง"

"อเมริกาจะเป็นผู้ชนะอีกครั้งและจะชนะอย่างที่ไม่เคยชนะมาก่อน"

"เราจะนำงานกลับมา เราจะนำความปลอดภัยด้านเขตแดนกลับมา เราจะนำความมั่งคั่งกลับมา เราจะนำความฝันกลับมา

เราจะสร้างถนนใหม่ ทางหลวงใหม่ รวมทั้งสะพาน สนามบิน อุโมงค์ และทางรถไฟทั่วประเทศ

เราจะทำให้ประชาชนของเราออกจากการรับสวัสดิการสังคมและกลับมาทำงานเพื่อสร้างชาติด้วยแรงงานอเมริกัน"

"เราจะทำตามกฎง่ายๆ สองข้อ คือ ซื้อของอเมริกัน และจ้างคนอเมริกัน"

"เราจะย้ำถึงความแข็งแกร่งในความสัมพันธ์กับพันธมิตรเก่าแก่ และสร้างความสัมพันธ์ใหม่ และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในโลกศิวิไลซ์ เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายโดยกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ซึ่งเราจะกำจัดออกไปจากโลกนี้

พื้นฐานการเมืองที่หนักแน่นของสหรัฐฯ คือการจงรักภักดีอย่างที่สุดต่อประเทศสหรัฐอเมริกา และด้วยความจงรักภักดีนี้ต่อประเทศ เราจะพบความภักดีในตัวบุคคล

เมื่อเราเปิดใจให้กับความรักชาติ จะไม่มีโอกาสเกิดความมีอคติต่อกัน

คัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเราถึงความดีงามที่จะเกิดขึ้น ต่อเมื่อประชาชนของพระเจ้าอยู่ร่วมกันเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน

เราต้องพูดอย่างที่ใจคิดอย่างเปิดเผย ถกเถียงในความคิดที่แตกต่างอย่างซื่อสัตย์ แต่มุ่งหน้าเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

"เมื่ออเมริกาเป็นหนึ่งเดียวกันจะไม่มีอะไรหยุดเราได้"

"มันไม่ควรมีความกลัวเกิดขึ้น เราได้รับการปกป้องอยู่แล้วและเราจะได้รับการปกป้องต่อไป เราจะได้รับการปกป้องจากชายและหญิงที่ดีเยี่ยมในกองทัพและผู้รักษากฎหมาย และที่สำคัญที่สุดเราจะได้รับการปกป้องจากพระเจ้า

ในที่สุดแล้วเราจะคิดทำสิ่งใหญ่ๆ และจะฝันที่จะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก

ในอเมริกา เราเข้าใจว่าชาติจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อชาติเดินหน้าฝ่าฟันต่อไป เราจะไม่ยอมรับอีกต่อไปกับนักการเมืองที่ดีแต่พูดแต่ไม่ทำอะไร และบ่นตลอดเวลาแต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ

เวลาแห่งการพูดที่ไม่มีผลจบลงแล้ว สิ่งที่มาถึงคือชั่วโมงแห่งการทำงานจริง

อย่าปล่อยให้ใครมาบอกคุณว่า สิ่งที่ต้องการทำไม่สามารถทำได้ ไม่มีสิ่งท้าทายใดจะเทียบได้กับหัวใจ การต่อสู้และจิตใจของความเป็นอเมริกา

เราจะไม่มีวันล้มเหลว ประเทศของเราจะเติบโตและรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง

เรากำลังยืนอยู่ที่การเกิดใหม่แห่งสหัสวรรษ พร้อมที่จะไขความลับแห่งจักรวาล ทำให้โลกเป็นอิสระจากโรคภัย และใช้พลังงาน อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสำหรับวันพรุ่งนี้

ความภาคภูมิใจในชาติจะทำให้เราฮึกเหิม ทำให้เราเห็นภาพที่สูงขึ้นและสมานความแตกแยกในชาติ"

"บัดนี้เป็นเวลาที่ควรจดจำถึงความรู้เก่าๆ จากทหารว่า ไม่ว่าสีผิวจะเป็นสีดำ น้ำตาล หรือขาว เลือดของเราจะเป็นสีแดงแห่งความรักชาติเหมือนกันหมด"

"เรามีความเสรีภาพที่สดใส และเราเคารพธงชาติสหรัฐฯ ที่ยิงใหญ่ธงเดียวกัน

และไม่ว่าเด็กจะเกิดที่เขตเมืองอย่างเช่นที่ดีทร้อยท์ หรือที่ราบแห่งเนบราสก้า เด็กเหล่านี้มองเห็นฟ้าเดียวกัน พวกเขามีใจจดจ่อต่อฝันเดียวกัน และเป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานชีวิตมาให้เช่นเดียวกันทุกคน

ดังนั้นสำหรับชาวอเมริกันทุกคนในทุกเมือง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ใหญ่หรือเล็ก ไม่ว่าจะมาจากถิ่นที่สูง หรือเขตมหาสมุทรใด จะได้ยินคำประกาศนี้ ท่านจะไม่ถูกหมางเมินอีกต่อไป

เสียงของท่าน ความหวังของท่าน และความใฝ่ฝันของท่าน คือคำจำกัดความของจุดหมายปลายทางของอเมริกา

ความกล้าหาญ ความดีงามและความรักจะเป็นเครื่องนำทางเรา"

"เราจะทำให้อเมริกาแข็งแกร่งอีกครั้ง เราจะทำให้คนอเมริกันภูมิใจในอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง เราจะทำให้อเมริกาปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง เราจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประยุทธ์'ระบุรัฐไม่ปิดกั้นคนอยากดังผ่านโซเชียลมีเดีย

$
0
0
'ประยุทธ'แจงรัฐบาลไม่ปิดกั้นคนอยากดังผ่านโซเชียลมีเดียตราบที่ไม่ทำผิดกฎหมาย-ศีลธรรมอันดี พร้อมชี้ปัญหาใหญ่ของประเทศ ต้องเปิดกว้างรับฟัง

 
21 ม.ค. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกัวหน้าคณะรักษาควสมสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน แนะนำการใช้สื่ออโซเซียลของคนไทยในเวลานี้ ว่าในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทกับชีวิต และอารมณ์ของคนในสังคม ส่งผลให้คนไทยนิยมความหวือหวา ชอบความสะใจ ชอบตามกระแส อยากเด่นอยากดัง อยากได้เร็วๆ หรือมีความอดทนน้อย อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา และเข้าใจได้ หากสิ่งที่ทำหรือแสดงออกไป เป็นเพราะต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น 
 
“ รัฐบาลเองไม่ได้ปิดกั้น แต่ก็พร้อมที่จะส่งเสริม ตราบเท่าที่การกระทำเหล่านั้น ไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี แต่หากเป็นต้นเหตุของปัญหา กระทบต่อผู้คนในสังคมและส่วนรวมแล้ว รัฐบาลก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย ด้วยความเป็นธรรม และไม่สร้างความเหลื่อมล้ำ บางปัญหาที่ง่าย ก็อาจจะแก้ไขได้โดยเร็ว บางปัญหาที่สลับซับซ้อน เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หลายกฎหมาย ก็ต้องมีการบูรณาการ ” นายกฯ กล่าว
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศในปัจจุบัน ต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็น อย่างเปิดกว้างและเป็นธรรม รัฐบาลและ คสช. เต็มใจที่จะเป็น สะพาน เชื่อมโยงความเห็นจากทุกฝ่าย ประสานความหวังให้เป็นหนึ่งเดียว และเป็น ตัวกลางในการผนึก พลังประชารัฐ เพื่อทำความต้องการของเรา ให้เป็นความจริง เพราะหากมีความต้องการ แต่อ้างว่าทำไม่ได้ แล้วไม่เริ่มลงมือทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ และตนก็เชื่อว่า ไม่มีอะไร ที่เป็นไปไม่ได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

7 จังหวัดภาคใต้รับฝนตกหนักอีก 22-25 ม.ค.นี้

$
0
0
ปภ.เผยน้ำท่วมภาคใต้ตั้งแต่ ธ.ค. 2559 ประชาชนได้รับผลกระทบ 12 จังหวัด รวม 122 อำเภอ 755 ตำบล 5,812 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 563,616 ครัวเรือน 1,725,714 คน ผู้เสียชีวิต 80 ราย วันที่ 22-25 ม.ค. ฝนตกหนักอีก 7 จังหวัด

 
 
ที่มาภาพ: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
 
21 ม.ค. 2560 สำนักข่าวไทยรายงานว่านายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงปัจจุบัน ได้รับผลกระทบ 12 จังหวัด รวม 122 อำเภอ 755 ตำบล 5,812 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 563,616 ครัวเรือน 1,725,714 คน ผู้เสียชีวิต 80 ราย ผู้สูญหาย 4 ราย ถนน 4,314 จุด คอสะพาน 348 แห่ง ท่อระบายน้ำ 243 แห่ง ฝาย 126 แห่ง อ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง สถานที่ราชการเสียหาย 25 แห่ง  โรงเรียน 2,336 แห่ง โดยล่าสุดสถานการณ์คลี่คลายอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 5 จังหวัด ได้แก่ ระนอง นราธิวาส ปัตตานี กระบี่ และตรัง และยังมี 7 จังหวัดที่ยังมีน้ำท่วมบางพื้นที่  ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พัทลุง ยะลา ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา รวม 27 อำเภอ 133 ตำบล 861 หมู่บ้าน
 
“จากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทย วันนี้ (21ม.ค.) จะมีฝนหนักถึงหนักมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จากความกดอากาศสูงกำลังค่อนข่างแรงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนวันที่ 22-25 มกราคม 2560 จะมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส” อธิบดีปภ. กล่าว
 
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ปภ.ได้เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด รวมถึงจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยประจำจุดเสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที
 
หลายจังหวัดภาคใต้น้ำยังท่วมหนัก
 
 
 
 
ที่มาภาพ: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
 
วันเดียวกันนี้ (21 ม.ค.) สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่าฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องตลอด 4 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโก-ลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง1.55 เมตร ส่งผลให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโก-ลก 9 ชุมชน จำนวน 800 ครัวเรือน รวม 2,553 คน ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคมเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ยังคงออกประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบภัยอพยพไปอยู่ที่ศูนย์อพยพผู้ประสบอุทกภัยโรงเรียนเทศบาล 4 และโรงเรียนเทศบาล 1 แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมอพยพออกมาจากบ้าน ทำให้มีเพียง 7 ครัวเรือนรวม 24 คนเท่านั้นที่อพยพออกไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
 
ด้านนายเฉลิมชัย ตรีนรินทร์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนราธิวาส กล่าวว่า ปริมาณน้ำในแม่น้ำโก-ลกในห้วงนี้จะเพิ่มสูงขึ้นชั่วโมงละ 2 เซนติเมตร และคาดว่าจะมีระดับสูงสุดที่ประมาณ 1.80 เมตรแล้วจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณฝนจะลดลงแม้จะมีฝนตกต่อเนื่องต่อไปจนถึงวันที่ 25 มกราคมนี้ สำหรับการระบายน้ำออกจากพื้นที่ยังใช้การระบายน้ำทางธรรมชาติที่น้ำในแม่น้ำโก-ลกจะไหลลงสู่ที่ต่ำในพื้นที่อำเภอตากใบแล้วไหลลงสู่ทะเล แต่จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการในส่วนของประตูระบายน้ำในพื้นที่เพื่อป้องกันน้ำทะเลที่หนุนสูงไหลเข้ามาสมทบ
 
ที่จังหวัดสงขลา หลังจากที่เกิดฝนตกต่อเนื่องกันระยะนี้ทำให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมซ้ำเป็นรอบที่ 4 เช่นที่บ้านแลแบง หมู่ที่ 1 ตำบลสะบ้าย้อย อำเภอสะบ้าย้อย น้ำป่าจากเทือกเขาสันกาลาคีรีได้ไหลลงมาเข้าท่วมตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนี้ (21 ม.ค. 60) และได้มีการอพยพชาวบ้านออกจากหมู่บ้านแล้ว 36 ครัวเรือน จำนวน 202 คน ไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวภายในศาลาประชาคมอำเภอสะบ้าย้อย
นอกจากนี้ น้ำยังได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่ภายในเขตเทศบาลตำบลสะบ้าย้อยบางส่วน โดยเฉพาะเส้นทางสายสะบ้าย้อย-บ้านโหนด น้ำท่วมสูงประมาณ 50 เมตร และสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงเนื่องจากยังมีน้ำหนุนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
เช่นเดียวกับในพื้นที่ 4 อำเภอริมทะเลสาบสงขลา ขณะนี้ บางพื้นที่เริ่มถูกน้ำจากทะเลสาบสงขลาหนุนเข้าท่วมซ้ำอีกครั้ง เช่นในพื้นที่อำเภอกระแสสินธุ์ หลายชุมชนระดับน้ำสูงขึ้น และอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง
 
ส่วนสภาพน้ำท่วมในพื้นที่เขตอำเภอเมืองยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ และพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากที่ตำบลสะเตงนอก ซอยปะจูรง ซอย 6 ผังเมือง 4 ชุมชนหลังวัดตรีมิตร ยังคงมีน้ำท่วมขัง เนื่องจากปริมาณน้ำที่สะสมจากฝนตกหนัก และคูระบายน้ำออกไม่ทัน อยู่ประมาณ 20-30 เซนติเมตร โดยลดลงจากเมื่อวานนี้ ส่วนที่ชุมชนวิฑูรอุทิศ 10 เทศบาลนครยะลา ได้เร่งนำเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำออกจากถนนที่มีน้ำท่วมขัง จนลดลงเกือบเป็นปกติ ขณะที่ ถนนเส้นทางไปยังชุมชนบ้านเปาะยานิ ยังคงมีน้ำท่วมขังสูง เจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นเส้นทางไม่ให้รถสัญจรไป-มา เนื่องจากพื้นที่บ้านเปาะยานิ เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ประกอบกับเป็นพื้นที่รับน้ำจากบึงแบเมาะ ซึ่งมีปริมาณน้ำล้นตลิ่งเนื่องจากฝนตกหนัก ทำให้ยังมีน้ำท่วมขังสูงกว่า 50 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่รอบเขตเมืองยะลา ซึ่งติดริมแม่น้ำปัตตานี น้ำยังคงล้นเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน
 
ขณะที่ นายกาส เส็นโต๊ะเย็บ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยะลา ได้รายงานสถานการณ์หลังฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดยะลา ว่าในส่วนของพื้นที่อำเภอเมืองยะลา มีพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 5 ตำบล 30 หมู่บ้าน ประชาชนเดือดร้อน 720 ครัวเรือน 2,882 คน อพยพ 32 ครัวเรือน 150 คน ถนน 3 สาย (สามารถสัญจรได้) สะพาน 1 แห่ง ฝาย 1 แห่ง พื้นที่การเกษตร 566 ไร่ บ่อปลา 2 บ่อ ประกอบด้วย ตำบลพร่อน หมู่ที่ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 จำนวน 290 ครัวเรือน 1,450 คน ตำบลสะเตงนอก หมู่ที่ 1 , 3 , 4 , 6 , 7 , 9 , 10 , 12 , 13 จำนวน 44 ครัวเรือน 176 คน ตำบลลำใหม่ หมู่ที่ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7 จำนวน 106 ครัวเรือน 304 คน ตำบลยุโป หมู่ที่ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 จำนวน 280 ครัวเรือน 952 คน ตำบลท่าสาป หมู่ที่ 3 (น้ำกัดเซาะแนวริมเขื่อนแม่น้ำปัตตานี) โดยขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนแล้ว
 
ส่วนแนวโน้มสถานการณ์มีฝนตกต่อเนื่อง มีน้ำท่วมขังในที่ลุ่มพื้นที่ตำบลพร่อน อำเภอเมืองยะลา ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี เริ่มเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ใกล้แม่น้ำ และคาดว่าจะขยายวงกว้างในพื้นที่ใกล้เคียง มีการแจ้งเตือนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
 
ขณะเดียวกันทางชลประทานยะลา ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังเขื่อนเก็บน้ำชลประทานปัตตานี ให้แจ้งเตือนประชาชนท้ายเขื่อน อำเภอเมือง อำเภอหนองจิก อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เตรียมขนย้ายสิ่งของไว้ในที่สูง เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำปัตตานี ที่ไหลมาจากอำเภอบันนังสตา อำเภอกรงปินัง และอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา มีมวลน้ำปริมาณมากจากปริมาณฝนตกสะสม จึงอาจจะทำให้มวลน้ำดังกล่าวไหลไปสมทบกับปริมาณน้ำในเขื่อนปัตตานี และจะไหลลงสู่ปลายน้ำที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมสูงในพื้นที่ริมแม่น้ำปัตตานี จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากสื่อและการแจ้งเตือนจากทางจังหวัดในทุกระยะ
 
ขณะที่ เขื่อนบางลางจังหวัดยะลา ยังคงสามารถรับน้ำได้อีกถึง 600 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีการปล่อยน้ำจากเขื่อนบางลางแต่อย่างใด
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live