Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live

กอ.รมน. รุกคืบสร้างเครือข่ายนักข่าวพลเมืองชายแดนใต้

$
0
0
กอ.รมน.ภาค 4 สน. ขยายเครือข่ายนักข่าวพลเมือง จัดอบรมผู้ประกาศข่าวและนักจัดรายการเยาวชน เน้นสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของพื้นที่ให้กลับคืน หลังพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ดูน่ากลัวในสายตาสังคมภายนอก

 
17 ม.ค. 2558 สทท.ยะลารายงานว่าพลตรี ยอดชัย ยั่งยืน รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นประธานเปิดฝึกอบรมผู้ประกาศข่าวและนักจัดรายการเยาวชน รุ่นที่ 3 ที่โรงแรมยะลามายเฮาส์ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ และสันติสุขในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2558 จำนวน 4 รุ่น โดยให้หน่วยเฉพาะกิจจังหวัด คัดเลือกเยาวชน อายุ 15-18 ปี เข้ารับการอบรมรุ่นละ 30 คน ซึ่งรุ่นนี้ เป็นเยาวชนจากจังหวัดนราธิวาส จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 มกราคม 2558 เพื่อเสริมสร้างทักษะของเยาวชนในเรื่องการเป็นผู้ประกาศข่าวและนักจัดรายการ พร้อมขยายเครือข่ายนักข่าวพลเมือง สนับสนุนงานด้านการประชาสัมพันธ์ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความเข้าใจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
พลตรี ยอดชัย ยั่งยืน รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมที่เกิดจากกลุ่มบุคคล หรือ เครือข่ายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าใจนโยบายของรัฐบาลอย่างลึกซึ้ง คอยชี้นำให้เกิดความแตกแยก เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านเครื่องมือต่างๆ ทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อทางเลือกไปสู่การรับรู้สาธารณะอย่างไร้จิตสำนึกและความรับผิดชอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ และเติมเชื้อไฟให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ดูน่ากลัวในสายตาสังคมภายนอก
 
จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้าใจ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมของเรา ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกๆ คน รวมทั้ง เยาวชน ที่จะมีส่วนสำคัญในการเป็นกระบอกเสียงชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นความจริงผ่านช่องทางและเครื่องมือต่างๆ ที่มีมากมายในปัจจุบัน ทั้งสื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และเครือข่ายออนไลน์ ทั้งนี้ การที่เยาวชน ได้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรผู้ดังกล่าว จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนจะได้เรียนรู้หลักการ และเทคนิคในการประชาสัมพันธ์ที่ถูกต้องซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมดีๆ ในพื้นที่ แจ้งข้อมูลข่าวสารสำคัญให้พี่น้องประชาชนรับทราบ รวมทั้งรายงานเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในฐานะนักข่าวพลเมืองไปสู่การรับรู้สาธารณะ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดความตื่นตระหนก ความหวาดระแวง และเสริมสร้างภาพพจน์ที่ดีของพื้นที่ให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มหาดไทยโยกย้ายนายอำเภอครั้งใหญ่ 252 คน

$
0
0
กรมการปกครอง กระทรวงหมาดไทย มีคำสั่งโยกย้ายนายอำเภอจำนวนทั้งหมด 252 ราย พร้อมขยับ 3 รองผู้ว่าฯ เข้ากรุนั่งที่ปรึกษา

 
17 ม.ค. 2558 กรมการปกครอง กระทรวงหมาดไทย ได้มีคำสั่งโยกย้ายนายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) หรือนายอำเภอระดับ 9 โดยมีนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามในคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 39/2558 ลงวันที่ 16 ม.ค. 2558 ย้ายข้าราชการตำแหน่งนายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 2558 เป็นต้นไป จำนวนทั้งหมด 252 ราย รวมทั้งนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งแนบท้ายมหาดไทยที่ 38/2558 ลงวันที่ 16 ม.ค. 58 ให้ข้าราชการรักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษา ดังนี้
          
1.นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ รองผู้ว่าราชการ จ.ตาก เป็น ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย       
2.นายกาศพล แก้วประพาฬ รองผู้ว่าราชการ จ.กาญจนบุรี เป็นที่ ปรึกษาด้านความมั่นคง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
3.นายวันชัย คงเกษม รองผู้ว่าราชการ จ.นครราชสีมา เป็น ที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
 
สำหับคำสั่งโยกย้ายนายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) หรือนายอำเภอระดับ 9 ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 39/2558 ลงวันที่ 16 ม.ค. 2558 ย้ายข้าราชการตำแหน่งนายอำเภอ (ผู้อำนวยการสูง) และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 2558 เป็นต้นไป จำนวนทั้งหมด 252 ราย มีรายชื่อดังต่อไปนี้
 
          1. นายสมศักดิ์ โพธ์ศรีทอง นายอำเภอบ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เป็น นายอำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี
          2. นายชาญวิทย์ ศุภกิจจานุสรณ์ นายอำเภอเลาขวัญ จ.กาญจนบุรี เป็น นายอำเภอบ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
          3. นายกิตตินันท์ อรรถบท นายอำเภอบึงบูรพ์ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอเลาขวัญ จ.กาญจนบุรี
          4. นายเลิศบุศย์ กองทอง นายอำเภออุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์
          5. นายสุรชาติ แก้วศิลา นายอำเภอยางขุมน้อย จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภออุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ
          6. นายคนิจ แก่นจันทร์ นายอำเภอไพรบึง จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอยางขุมน้อบ จ.ศรีสะเกษ
          7. นายรณชิต พุทธลา นายอำเภอเขาวง จ.กาฬสินธุ์ เป็น นายอำเภอกุฉินายรายณ์ จ.ศรีสะเกษ
          8. นายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอพรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์
          9. นายสุระ สุรวัฒนากุล นายอำเภอท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอพรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
          10. นายรังสรรค์ รัตนสิงห์ นายอำเภอนบพิดำ จ.นครศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
          11. นายสุวิทย์ สันตติวงศ์ไชย นายอำเภอขาติตระการ จ.พิษณุโลก เป็น นายอำเภอคลองลาน จ.กำแพงเพชร
          12. นายจารึก เหล่าประเสริฐ นายอำเภอลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
          13. นายศุภชัย ลีเขาสูง นายอำเภอขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภอน้ำพอง จ.ขอนแก่น
          14. นายพรเลิศ โชคชัย นายอำเภอบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เป็น นายอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา
          15. นายชิดชนก ทับแสง นายอำเภอศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็น นายอำเภอบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
          16. นายพิษณุวัตร วรรธนะกุล นายอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว เป็น นายอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา
          17. นายณัฎฐชัย นำพูลสุขสันต์ นายอำเภอเมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว เป็น นายอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว
          18. นายสมยศ ศิลปีโยดม นายอำเภอวัฒนานคร จ.สระแก้ว เป็น นายอำเภอเมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว
          19. นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็น นายอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี
          20. นายพรชัย ถมกระจ่าง นายอำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็น นายอำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
          21. นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม นายอำเภอสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็น นายอำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
          22. นายไชยชนะ สุทธิวรชัย นายอำเภอภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
          23. นายปริญญา โพธิสัตย์ นายอำเภอชะอำ จ.เพชรบุรี เป็น นายอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี
          24. นายพิทยา วงศ์ไกรศรีทอง นายอำเภอลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เป็น นายอำเภอชะอำ จ.เพชรบุรี
          25. นายอาวุธ วิเชียรฉาย นายอำเภอบางขัน จ.นครผศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
          26. นายอดุลย์รัตน์ องอาจยุทธ นายอำเภอดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็น นายอำเภอเมืองชัยนาท จ.ชัยนาท
          27. นายแสงประทีป บุญน้อม นายอำเภอกันทรวิชัย จ.มหาสารคราม เป็น นายอำเภอดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
          28. นายศิริพันธ์ ขุ่มด้วง นายอำเภอเกษตรวิชัย จ.ร้อยเอ็ด เป็น นายอำเภอกันทรวิชัย จ.มหาสารคราม
          29. นายไพศาล ศิลปวัฒนานันท์ นายอำเภอหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เป็น นายอำเภอเมืองชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ
          30. นายจรัส ศรีมูล นายอำเภอพรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เป็น นายอำเภอหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
          31. นายณัฐพงษ์ ศิริบุญ นายอำเภอทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย เป็น นายอำเภอพรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
          32. นายวิระ ทองพิจิตร นายอำเภอพนมทวน จ.กาญจนบุรี เป็น นายอำเภอสวี จ.ชุมพร
          33. นายธวัชชัย เจริญวัน นายอำเภอลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ เป็น นายอำเภอพนมทวน จ.กาญจนบุรี
          34. นายบุญยัง เรือนกูล นายอำเภอเมืงน่าน จ.น่าน เป็น นายอำเภอพนมทวน จ.กาญจนบุรี
          35. นายจตุพร ชนะศรี นายอำเภอปัว จ.น่าน เป็น นายอำเภอเมืองเชียงราย จ.เชียงราย
          36. นายสุรพล วงศ์สุขพิศาล นายอำเภอปาย จ.แม่อ่องสอน เป็น นายอำเภอปัว จ.น่าน
          37. นายพินิจ แก้วจิตคงทอง นายอำเภอเวียยงแก่น จ.เชียงราย เป็นนายอำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย
          38. นางภัทราวดี ปัญญาบุญ นายอำเภอป่าแดด จ.เชียงราย เป็น นายอำเภอแม่สรวย จ.เชียงราย
          39. นายนิวัฒน์ งามธุระ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย เป็น นายอำเภอป่าแดด จ.เชียงราย
          40. นายประจวบ กันธิยะ นายอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
          41. นายภาษเดช หงส์ลดารมภ์ นายอำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่
          42. นายไกรธวัช ทินโสม นายอำเภอพบพระ จ.ตาก เป็น นายอำเภอแม่แตง จ.เชียงใหม่
          43. นายฉัทธนาตย์ เทียนขาว นายอำเภออุ้มผาง จ.ตาก เป็น นายอำเภอพบพระ จ.ตาก
          44. นายวิสิฐ ตั้งปอง นายอำเภอกันตัง จ.ตรัง เป็น นายอำเภอย่านตาขาว จ.ตรัง
          45. นายวรนิตติ์ มุตตาหารัช นายอำเภอบ้านนา จ.นครนายก เป็น นายอำเภอเมืองตราด จ.ตราด
          46. นายธีรภัทร อดิเทพสถิตย์ นายอำเภอปากพลี จ.นครนายก เป็น นายอำเภอบ้านนา จ.นครนายก
          47. นายจิตวัฒน์ วิกสิต นายอำเภอลับแล จ.อุตรดิตถ์ เป็น นายอำเภอปากพลี จ.นครนายก
          48. นายธาตรี บุญมาก นายอำเภอตรอน จ.อุตรดิตถ์ เป็น นายอำเภอลับแล จ.อุตดิตถ์
          49. นายประสงค์ อุไรวรณ์ นายอำเภอแม่จัน จ.เชียงราย เป็น นายอำเภอตรอน จ.อุตรดิตถ์
          50. นายสมศักดิ์ คณาคำ นายอำเภอเวียงชัย จ.เชียงราย เป็นนายอำเภอแม่จัน จ.เชียงราย
          51. นายชัยณรงค์ บุญวิวัฒนาการ นายอำเภอเมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เป็น นายอำเภอเวียงชัย จ.เชียงราย
          52. นายเชวงศักดิ์ พลเยี่ยม นายอำเภอบ้านแพง จ.นครพนม เป็น นายอำเภอเมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์
          53. นายวัชรินทร์ รัตบรรณกิจ นายอำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี เป็น นายอำเภอนครชัยศรี จ.นครปฐม
          54. นายธรรมนูญ แก้วคำ นายอำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี เป็น นายอำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี
          55. นายวชิระ เกตุพันธ์ นายอำเภอท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ เป็น นายอำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี
          56. นายศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา นายอำเภอเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เป็น นายอำเภอสามพราน จ.นครปฐม
          57. นายสุวิทย์ พุกกะเวส นายอำเภอโนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
          58. นายวรณัฏฐ์ หนูรอด นายอำเภอหนองเสือ จ.ปทุมธานี เป็น นายอำเภอพุทธมณฑล จ.นครปฐม
          59. นายเมธา ทวีกุลกิจชัย นายอำเภอสามโคก จ.ปทุมธานี เป็น นายอำเภอหนองเสือ จ.ปทุมธานี
          60. นายสัมพันธ์ เนตตกุล นายอำเภอรัตภูมิ จ.สงขลา เป็น นายอำเภอสามโคก จ.ปทุมธานี
          61. นายเจษฎา จิตรัตน์ นายอำเภอสุไหงโกลก จ.นราธิวาส เป็นนายอำเภอรัตภูมิ จ.สงขลา
          62. นายวรเชษฐ พรมโอภาษ นายอำเภอรือเสาะ จ.นราธิวาส เป็น นายอำเภอสุไหงโกลก จ.นราธิวาส
          63. นายยะห์ยา ปะนาฆอ นายอำเภอเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็น นายอำเภอรือเสาะ จ.นราธิวาส
          64. นายเชาวเนตร ยิ้มประเสริฐ นายอำเภอแปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เป็น นายอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม
          65. นายปัญญา วงศ์ศรีแก้ว นายอำเภอเกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ เป็น นายอำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา
          66. นายสุรศิษฐ์ อินทกรอุดม นายอำเภอคอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ เป็น นายอำเภอเกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ
          67. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ นายอำเภอดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอคอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ
          68. นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง นายอำเภอกงไกรลาศ จ.สุโขทัย เป็น นายอำเภอดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
          69. นายยงยุทธ ป้อมเอี่ยว นายอำเภอเสิงสาง จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภอสีคิ้ว จ.นครราชสีมา
          70. นายวัชรินทร์ รุ่งโรจน์ นายอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอโนนสูง จ.นครราชสีมา
          71. นายธีรพล สกุลรักษ์ นายอำเภอชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ เป็น นายอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์
          72. นายชูศักดิ์ ราชบุรี นายอำเภอพยุห์ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอชุมพลบุรี จ.สุรินทร์
          73. นายชูศักดิ์ ชุนเกาะ นายอำเภอคำตากล้า จ.สุรินทร์ เป็น นายอำเภอเนินสูง จ.นครราชสีมา
          74. นายพงษ์ศักด์ คารวานนท์ นายอำเภอหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช
          75. นายสิทธิชัย เผ่าพันธุ์ นายอำเภอโพธิ์ชัย จ.ร้อยเอ็ด เป็น นายอำเภอหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
          76. นายสมพงษ์ มากมณี นายอำเภอทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็น นายอำเภอฉวาง จ.นครศรีธรรมราช
          77. นายธวัชชัย แท้เที่ยง นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ เป็น ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
          78. นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร นายอำเภอบางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็น นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์
          79. นายชนพหล ส่งเสริม นายอำเภอสามง่าม จ.พิจิตร เป็น นายอำเภอบางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์
          80. นายสมบูรณ์ ด่านรัชตกุล นายอำเภอเรณูนคร จ.นครพนม เป็น นายอำเภอท่าตะโก จ.นครสวรรค์
          81. นายทรงกลด อินทะกนก นายอำเภอท่าอุเทน จ.นครพนม เป็น นายอำเภอเรณูนคร จ.นครพนม
          82. นายวีระ ฤกษ์วาณิชย์กุล นายอำเภอนาหว้า จ.นครพนม เป็น นายอำเภอท่าอุเทน จ.นครพนม
          83. นายไพรัตน์ จันทร์ผลหอม นายอำเภอปากท่อ จ.ราชบุรี เป็น นายอำเภอไทรน้อย จ.นนทบุรี
          84. นายประยงค์ จันทเต็ง นายอำเภอนามน จ.กาฬสินธุ์ เป็น นายอำเภอปากท่อ จ.ราชบุรี
          85. นายสมหวัง เรืองเพ็ง นายอำเภอระแงะ จ.นราธิวาส เป็น นายอำเภอเมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส
          86. นายปรีชา นวลน้อย นายอำเภอแว้ง จ.นราธิวาส เป็น นายอำเภอระแงะ จ.นราธิวาส
          87. นายวิบูลย์ จิรภากรณ์ นายอำเภอสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เป็น นายอำเภอเวียงสา จ.น่าน
          88. นายพิศิษฐ์ กิจบุญอนันต์ นายอำเภอฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ เป็น นายอำเภอสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
          89. นายชาติชาย รัตนภานพ นายอำเภอคูเมือง จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
          90. นางสาวเมตตา สินยบุตร นายอำเภอประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอคูเมือง จ.บุรีรัมย์
          91. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ นายอำเภอประคำ จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอประโคนชัย จ.บุรีรัมย์
          92. นายจรูญศักดิ์ สิงหเดช นายอำเภอพล จ.ขอนแก่น เป็น นายอำเภอลำลูกกา จ.ปทุมธานี
          93. นายสิทธิ พิพัฒน์ชัยกร นายอำเภอเมืองมหาสารคราม จ.มหาสารคราม เป็น นายอำเภอพล จ.ขอนแก่น
          94. นายนิวัติ น้อยผาง นายอำเภอศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอเมืองมหาสารคราม จ.มหาสารคราม
          95. นายสมศักดิ์ แสนหิรัณย์ นายอำเภอเมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ เป็น นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ
          96. นายพิจิตร บุญทัน นายอำเภอเลิกนกทา จ.ยโสธร เป็น นายอำเภอเมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ
          97. นายสุวัฒน์ เข็มเพ็ชร นายอำเภอมหาชนะชัย จ.ยโสธร เป็น นายอำเภอเลิงนกทา จ.ยโสธร
          98. นายชาตรี จันทร์วีระชัย นายอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี เป็น นายอำเภอกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
          99. นายฉลวย พ่วงพลับ นายอำเภอขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เป็น นายอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี
          100. นายรุจน์ประทีป ธรรมรพีภัทร์ นายอำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี เป็น นายอำเภอปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
          101. นายพิพิธ ภาระบุญ นายอำเภอศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี เป็น นายอำเภอประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี
          102. นายอภิรศักดิ์ พฤกษชาติ นายอำเภอโพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เป็น นายอำเภอศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
          103. พ.จ.อ.ลิขิต ทองนาท นายอำเภอไชโย จงอ่างทอง เป็น นายอำเภอโพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
          104. นายยศวัจน์ วิภูษาวิทูลย์ นายอำเภอท่าช้าง จ.สิงห์บุรี เป็น นายอำเภอไชโย จ.อ่างทอง
          105. นายทิวา วัฒนะไพบูลย์สุข นายอำเภอประทับช้าง จ.พิจิตร เป็น นายอำเภอท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
          106. นายพงษ์สิทธิ์ เนื่องจำนงค์ นายอำเภอบ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี เป็น นายอำเภอศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
          107. นายสมชาย ชำนิ นายอำเภอคลองใหญ่ จ.ตราด เป็น นายอำเภอบ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี
          108. นายชัยวัฒน์ โอชนานนท์ นายอำเภอโซ่พิสัย จ.บึงกาฬ เป็นนายอำเภอคลองใหญ่ จ.ตราด
          109. นายสนั่น พงษ์อักษร นายอำเภอโคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็น นายอำเภอเมืองปัตตานี จ.ปราจีนบุรี
          110. นายสมนึก พรหมเขียว นายอำเภอสายบุรี จ.ปัตตานี เป็น นายอำเภอโคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
          111. นายศักดิ์ฤทธิ์ สลักคำ นายอำเภอวิเศษชัยชาญ จงอ่างทอง เป็น นายอำเภอนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
          112. นายวิชัย ตั้งคำเจริญ นายอำเภอบึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ เป็น นายอำเภอวิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
          113. นายศิริชัย อัมพวา นายอำเภอลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็น นายอำเภออุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
          114. นายฤทธิสรรค์ เทพพิทักษ์ นายอำเภอพนา จ.อำนาจเจริญ เป็น นายอำเภอลาดบัวหลวง จ.รพะนครศรีอยุธยา
          115. ว่าที่ ร.ต.สมัย คำชมภู นายอำเภอดอกคำใต้ จ.พะเยา เป็น นายอำเภอเมืองพะเยา จ.พะเยา
          116. นายเชวงศักดิ์ ใจคำ นายอำเภอแม่ระมาด จ.ตาก เป็ นายอำเภอดอกคำใต้ จ.พะเยา
          117. นายสุนทร มหาวงศนันท์ นายอำเภอเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เป็น นายอำเภอแม่ระมาด จ.ตาก
          118. นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ นายอำเภอแม่ทา จ.ลำพูน เป็น นายอำเภอเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย
          119. นายศิลป์ชัย รามณีย์ นายอำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เป็น นายอำเภอเมืองพัทลุง จ.พัทลุง
          120. นายทศพล จันทรประวัติ นายอำเภอท่าแพ จ.สตูล เป็น นายอำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา
          121. นายนฤทธิ์ มงคลศรี นายอำเภอสิเกา จ.ตรัง เป็น นายอำเภอเขาชัยสน จ.พัทลุง
          122. นายสมเกียรติ ดวงมณี นายอำเภอห้วยผึ้ง จ.กาฬสินธุ์ เป็น นายอำเภอสิเกา จ.ตรัง
          123. นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ นายอำเภอขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอปากพะยูน จ.พัทลุง
          124. นายนรินทร์ วรรณมหินทร์ นายอำเภอแม่เมาะ จ.ลำปาง เป็น นายอำเภอโพทะเล จ.พิจิตร
          125. นายไพบูลย์ โรจนะวิชานนท์ นายอำเภอโกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชร เป็น นายอำเภอแม่เมาะ จ.ลำปาง
          126. นายวิรัตน์ ไชยสิทธิ์ นายอำเภอวังหิน จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอท่ายาง จ.เพชรบุรี
          127. นายบุญเติม เรณุมาศ นายอำเภอภูเรือ จ.เลย เป็น นายอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์
          128. นายสุเมธ ธีรนิติ นายอำเภอวังทรายพูน จ.พิจิตร เป็น นายอำเภอวิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์
          129. นายเสรี หอมเกษร นายอำเภอไพศาลี จ.นครสวรรค์ เป็น นายอำเภอหล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์
          130. นายมานิต อนรรฆมาศ นายอำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เป็น นายอำเภอไพศาลี จ.นครสวรรค์
          131. นายองอาจ สังคหัตถากร นายอำเภอตากฟ้า จ.นครสวรรค์ เป็น นายอำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์
          132. นายทรงฤทธิ์ แก้วสุทธิ นายอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย เป็น นายอำเภอเมืองแพร่ จ.แพร่
          133. นายสุพจน์ ชนะกิจ นายอำเภอถลาง จ.ภูเก็ต เป็น นายอำเภอเมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต
          134. นายวีระ เกิดศิริมงคล นายอำเภอดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นายอำเภอถลาง จ.ภูเก็ต
          135. นายกานต์ ศรีบุญลือ นายอำเภอนาดูน จ.มหาสารคราม เป็น นายอำเภอวาปีปทุม จ.มหาสารคราม
          136. นายสันธาน สร้อยสำโรง นายอำเภอดอนตาล จ.มุกดาหาร เป็น นายอำเภอเมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร
          137. นายเอกราช มณีกรรณ์ นายอำเภอหนองสูง จ.มุกดาหาร เป็น นายอำเภอคำชะอี จ.มุกดาหาร
          138. นายศราวุธ ไทยเจริญ นายอำเภอแม่อาย จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน
          139. นายปรีชา ชนะกิจกำจร นายอำเภอรามัน จ.ยะลา เป็น นายอำเภอเมืองยะลา จ.ยะลา
          140. พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ นายอำเภอบาเจาะ จ.นราธิวาส นายอำเภอรามัน จ.ยะลา
          141. นายครรชิต ดีหนองยาง นายอำเภอบ้านแฮด จ.ขอนแก่น เป็น นายอำเภอพนมไพร จ.ร้อยเอ็ด
          142. นางสุภาวดี ศรีสุขวัฒน์ นายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภอบ้านแฮด จ.ขอนแก่น
          143. นายเกรียงไกร กิริวรรณา ควนเนียง จ.สงขลา เป็น นายอำเภอศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
          144. นายณรงค์ สุขจันทร์ นายอำเภอจุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอควนเนียง จ.สงขลา
          145. นายทวีศักดิ์ อินทร์พรหม นายอำเภอเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นายอำเภอจุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช
          146. นายบุญชัย สมใจ นายอำเภอหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอกระบุรี จ.ระนอง
          147. นายอินทรีย์ เกิดมณี นายอำเภอบ้านฉาง จ.ระยอง เป็น นายอำเภอเมืองระยอง จ.ระยอง
          148. นายสมชาย พลานุเคราะห์ นายอำเภอปลวกแดง จ.ระยอง เป็น นายอำเภอบ้านฉาง จ.ระยอง
          149. นายนภดล จารุพงศ์ นายอำเภอหนองฉาง จ.อุทัยธานี เป็น นายอำเภอปลวกแดง จ.ระยอง
          150. นายธวัช พรหมอยู่ นายอำเภอพรเจริญ จ.บึงกาฬ เป็น นายอำเภอหนองฉาง จ.อุทัยธานี
          151. นายอลงกรณ์ แอคะรัตน นายอำเภอบ่อไร่ จ.ตราด เป็น นายอำเภอบ้านค่าย จ.ระยอง
          152. นายสมชาย สิงห์กุล นายอำเภอหนองพอก จ.ร้อยเอ็ด เป็น นายอำเภอบ่อไร่ จ.ตราด
          153. นายดาระใน ยี่ภู่ นายอำเภอคำม่วง จ.กาฬสินธุ์ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอนาคู จ.กาฬสินธุ์ เป็น นายอำเภอนิคมพัฒนา จ.ระยอง
          154. นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ นายอำเภอเขาย้อย จ.เพชรบุรี เป็น นายอำเภอเมืองราชบุรี จ.ราชบุรี
          155. นายขจรศักดิ์ สมบูรณ์ นายอำเภอแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็น นายอำเภอเขาย้อย จ.เพชรบุรี
          156. นายธานี มาลีหอม นายอำเภอบ้านหมี่ จ.ลพบุรี เป็น นายอำเภอเมืองลพบุรี จ.ลพบุรี
          157. นายเล็ก ศรีเรือง นายอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เป็น นายอำเภอบ้านหมี่ จ.ลพบุรี
          158. ศุภศิษฎ์ หล้ากอง นายอำเภอบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เป็น นายอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
          159. นายธนพงษ์ นิลยกานนท์ นายอำเภอบ้านโคก จ.อุตรดิตถ์ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอแม่พริก จ.ลำปาง เป็นนายอำเภอบ้านโฮ่ง จ.ลำพูน
          160. นายคันชล ผ่องใส นายอำเภอหนองม่วง จ.ลพบุรี เป็น นายอำเภอโคกสำโรง จ.ลพบุรี
          161. นายสมยศ มะลิลา นายอำเภอท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เป็น นายอำเภอหนองม่วง จ.ลพบุรี
          162. นายชรินทร์ ทองสุข นายอำเภอลำสนธิ จ.ลพบุรี เป็น นายอำเภอพัฒนานิคม จ.ลพบุรี
          163. นายประทีป การมิตรี นายอำเภอจอมพระ จ.สุรินทร์ เป็น นายอำเภอป่าชาง จ.ลำพูน
          164. นายทวี เสริมภักดีกุล นายอำเภอด่านซ้าย จ.เลย เป็น นายอำเภอเมืองเลย จ.เลย
          165. จัตุรศักดิ์ โกมลวิภาต นายอำเภอหนองกี่ จ.บุรีรัมย์ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอนาแห้ว จ.เลย เป็น นายอำเภอด่านซ้าย จ.เลย
          166. นายสมภพ ว่องวัฒนกิจ นายอำเภอราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
          167. นายสมศักดิ์ นิสัยสม นายอำเภอห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ
          168. นายสำรวย เกษกุล นายอำเภอศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ
          169. นายอภิชาต ธนะมัย นายอำเภอปรางค์ภู่ จ.ศรีสะเกษ เป็น นายอำเภอศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ
          170. นายศักระ กปิลกาญจน์ นายอำเภอสทิงพระ จ.สงขลา เป็น นายอำเภอเมืองสงขลา จ.สงขลา
          171. นายอนุสร ตันโชติกุล นายอำเภอควนกาหลง จ.สตูล รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอมะนัง จ.สตูล เป็น นายอำเภอสทิงพระ จ.สงขลา
          172. ที่ร.ต.ภูษิต ไชยทอง นายอำเภอปานาเระ จ.ปัตตานี เป็น นายอำเภอควนกาหลง จ.สตูล
          173. นายทวีวุฒิ สังข์ศิริ นายอำเภอจะนะ จ.สงขลา เป็น นายอำเภอสะเดา จ.สงขลา
          174. นายสุรินทร์ สุริยะวงศ์ นายอำเภอป่าบอน จ.พัทลุง เป็น นายอำเภอจะนะ จ.สงขลา
          175. นายสมโภช โชติชูช่วง นายอำเภอสามชุก จ.สุพรรณบุรี เป็น นายอำเภอเทพา จ.สงขลา
          176. นายพิริยะ ฉันทดิลก นายอำเภอบางระกำ จ.พิษณุโลก รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักการสอบสวนและนิติกร เป็นนายอำเภอสามชุก จ.สุพรรณบุรี
          177. นายอนันต์ กิตติรัตนวศิน นายอำเภอสันทราย จ.เชียงใหม่ เป็นนายอำเภอบางระกำ จ.พิษณุโลก
          178. นายอดุลย์ ฮวกนิล นายอำเภอดอยเต่า จ.เชียงใหม่ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอกัลยานิวัฒนา จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอสันทราย จ.เชียงใหม่
          179. ร.ต.อนวัช สัตตบุศย์ นายอำเภอทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอเวียงแหง จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอดอยเต่า จ.เชียงใหม่
          180. นายวิบูลย์ ปั้นศิริ นายอำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เป็น นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
          181. นายจำรัส กังน้อย นายอำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เป็น นายอำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
          182. นายรังสฤษดิ์ จิตดี นายอำเภอชัยบาดาล จ.ลพบุรี เป็น นายอำเภอพระปะแดง จ.สมุทรปราการ
          183. ศุภมิตร เลื่อนสุคันธ์ นายอำเภอวังจันทร์ จ.ระยอง เป็น นายอำเภอบางเสาธง จ.สมุทรปราการ
          184. นายจิรศักดิ์ ตะปะโจทย์ นายอำเภอเขาชะเมา จ.ระยอง เป็น นายอำเภอวังจันทร์ จ.ระยอง
          185. นายณัฏฐพงศ์ สุขวิสิฏฐ์ นายอำเภอลานสัก จ.อุทัยธานี รักษาการในตำแหน่ง รองอธิการวิทยาลัยปกครอง เป็น นายอำเภอเขาชะเมา จ.ระยอง
          186. นายโชติพัฒน์ สิชฌรังสี นายอำเภอโชคชัย จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภอเมืองสมุทรสงคราม จ.สมุทรสงคราม
          187. นายกำพล สิริรัตตนนท์ นายอำเภอนิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร เป็น นายอำเภอโชคชัย จ.นครราชสีมา
          188. นายชำนาญ ชื่นตา นายอำเภอท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอค้อวัง จ.ยโสธร เป็น นายอำเภอนิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร
          189. นายจเร ขวัญเกิด นายอำเภอบางกล่ำ จ.สงขลา รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอกระแสสินธุ์ จ.สงขลา เป็น นายอำเภอท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
          190. นายสุวรรณ ช่วยนุกุล นายอำเภอวังวิเศษ จ.ตรัง เป็น นายอำเภอบางกล่ำ จ.สงขลา
          191. นายชัยศรี อรุณเจริญสุข นายอำเภอพระพรหม จ.นครศรีธรรมราช รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอหาดสำราญ จ.ตรัง เป็น นายอำเภอวังวิเศษ จ.ตรัง
          192. นายดรณ์ สมิตะเกษตริน นายอำเภอทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช เป็น นายอำเภอพระพรหม จ.นครศรีธรรมราช
          193. นายวงเทพ เขมวิรัตน์ นายอำเภอชุมพวง จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภออัมพวา จ.สมุทรสงคราม
          194. สุรศักดิ์ ผลยังส่ง นายอำเภอบ้านคา จ.ราชบุรี รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอวัดเพลง จ.ราชบุรี เป็นนายอำเภอบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
          195. นายภัลลพ พิลา นายอำเภอมวกเหล็ก จ.สระบุรี เป็น นายอำเภอเมืองสระบุรี จ.สระบุรี
          196. นายมนัสพนธ์ ธนาสุภาพันธ์ นายอำเภอท่าหลวง จ.ลพบุรี เป็น นายอำเภอมวกเหล็ก จ.สระบุรี
          197. นายอนันต์ จรุงโรจน์รัศมี นายอำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานี เป็น นายอำเภอท่าหลวง จ.ลพบุรี
          198. นายสุเทพ วงษ์พานิช นายอำเภอบรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เป็น นายอำเภอทัพทัน จ.อุทัยธานี
          199. นายธนพัฒน์ บูรณศักดิ์ภิญโญ นายอำเภอพุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอบรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
          200. นายสมยศ รักษกุลวิทยา นายอำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอพุทไธสง จ.บุรีรัมย์
          201. นายไชยยศ กองทอง นายอำเภอเสาไห้ จ.สระบุรี เป็น นายอำเภอพระพุทธบาท จ.สระบุรี
          202. นายบัญชา เชาวรินทร์ นายอำเภอหนองแซง จ.สระบุรี เป็น นายอำเภอเสาไห้ จ.สระบุรี
          203. นายสุพจน์ ต่ออาจหาญ นายอำเภอแม่ออน จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอหนองแซง จ.สระบุรี
          204. นายนางสุภาพรรณ บุญถนอม นายอำเภอแม่วาง จ.เชียงใหม่ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอสบปราบ จ.ลำปาง เป็น นายอำเภอแม่ออน จ.เชียงใหม่
          205. นางสาวนิติยา พงษ์พานิช นายอำเภอน้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอเสริมงาม จ.ลำปาง เป็น นายอำเภอแม่วาง จ.เชียงใหม่
          206. นายวิทยา สโรบล นายอำเภอจักราช จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภอหนองแค จ.สระบุรี
          207. นายสำราญ นันทนีย์ นายอำเภอแสวงหา จ.อ่างทอง รักษาการในตำแหน่ง รองอธิการวิทยาลัยการปกครอง เป็นนายอำเภอพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
          208. นายวิเชียร อนุสาสนนันท์ นายอำเภอศรีสำโรง จ.สุโขทัย เป็นนายอำเภอเมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย
          209. นายวัฒนา ยั่งยืน นายอำเภอหนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี เป็นนายอำเภอเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
          210. นายสุจินต์ วาจากิจ นายอำเภอผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็น นายอำเภอหนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี
          211. นายสมศักด์ เจริญไพฑูรย์ นายอำเภอบันนังสตา จ.ยะลา เป็น นายอำเภอผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
          212. นายสนั่น สนธิเมือง นายอำเภอยี่งอ จ.นราธิวาส รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอ กรงปินัง จ.ยะละ เป็น นายอำเภอบันนังสตา จ.ยะลา
          213. วิศิษฐ์ อนันต์วรปัญญา นายอำเภอหันคา จ.ชัยนาท เป็น นายอำเภอสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
          214. นายเอก โสภิษฐานนท์ นายอำเภอโคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร เป็น นายอำเภอคันหา จ.ชัยนาท
          215. นายธีรชัย ทศรฐ นายอำเภอด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เป็น นายอำเภออู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
          216. ว่าที่ ร.ต.ธรรมศิฑชัย สามกษัตริย์นายอำเภอพรหมพิราม จ.พิษณุโลก เป็น นายอำเภอด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
          217. สุริยัณห์ จิรสัตย์สุนทร นายอำเภอไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี
          218. นายจิรศักดิ์ ชับฤทธิ์ นายอำเภอพระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นายอำเภอไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
          219. ประเวศ ไทยประยูร นายอำเภอคีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นายอำเภอพระแสง จ.สุราษฎร์ธานี
          220. นายถาวร พรหมฉิน นายอำเภอพนม จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นายอำเภอคีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี
          221. นายธีระพล ช่วยเรียง นายอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็น นายอำเภอบ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี
          222. นายรณภพ เวียงสิมมา นายอำเภอระโนด จ.สงขลา รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการส่วนรักษาความสงบเรียบร้อย 3 เป็น นายอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี
          223. นายณัฐกฤช สิทธิโอสถ นายอำเภอละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เป็น นายอำเภอระโนด จ.สงขลา
          224. นายพัฒนธรณ์ กีรติรัฐวัฒน์ นายอำเภอบ้านดุง จ.อุดรธานี เป็น นายอำเภอท่าบ่อ จ.หนองคาย
          225. นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแก้ว นายอำเภอนาเชือก จ.มหาสารคาม เป็น นายอำเภอบ้านดุง จ.อุดรธานี
          226. นายนพดล วิริยะยุทธ นายอำเภอบ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอโพธิ์ตาก จ.หนองคาย เป็น นายอำเภอสังคม จ.หนองคาย
          227. นายกรณ์ เจนศุภวงศ์ นายอำเภอนาวัง จ.หนองบัวลำภู เป็น นายอำเภอหนองบัวลำภู จ.หนองบัวลำภู
          228. บัญญัติ พงษ์ศรีกูร นายอำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอหัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ
          229. นายวิชยันต์ บูรณะกิจภิญโญ นายอำเภอบรบือ จ.มหาสารคาม เป็น นายอำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี
          230. นายชาญชัย บุญเสนอ นายอำเภอหนองคาย จ.หนองคาย เป็น นายอำเภอกุมภวาปี จ.อุดรธานี
          231. โสภณ ห่วงญาติ นายอำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา เป็น นายอำเภอเมืองหนองคาย จ.หนองคาย
          232. นายชาญชัย ศรศรีวิชัย นายอำเภอศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอบ้านแท่น จ.ชัยภูมิ เป็น นายอำเภอครบุรี จ.นครราชสีมา
          233. พงษ์พันธ์ แสงสุวรรณ นายอำเภอท่าลี่ จ.เลย เป็น นายอำเภอเพ็ญ จ.อุดรธานี
          234. ณรงค์ จีนอ่ำ นายอำเภอภูกระดึง จ.เลย รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอนาด้วง จ.เลย เป็น นายอำเภอท่าลี่ จ.เลย
          235. นายสมภพ ร่วมญาติ นายอำเภอวังสามหมอ จ.อุดรธานี รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี เป็น นายอำเภอโนนสะอาด จ.อุดรธานี
          236. นายสันติ สังขธูป นายอำเภอบ้านตาขุน จ.สุราษฎรานี รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนนายอำเภอ วิทยาลัยการปกครอง เป็น นายอำเภอห้วยคต จ.อุทัยธานี
          237. นายอรรณพ อุ่นอก นายอำเภอสิรินธร จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอเมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี
          238. นายนรินทร์ บำเรอพงษ์ นายอำเภอจะหลวย จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอสิรินธร จ.อุบลราชธานี
          239. เมธัสสิทธิ์ ฉัตรคุปต์ชนรดี นายอำเภอน้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอจะหลวย จ.อุบลราชธานี
          240. นายสมชัย คล้านทับทิม นายอำเภอเขมราฐ จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอเดชอุมดม จ.อุบลราชธานี
          241. อนิรุทธ์ ด่านศิระวาณิชย์ นายอำเภอบุณฑริก จ.อุบลราชธานี รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอนาตาล จ.อุบลราชธานี เป็น นายอำเภอเขมราฐ จ.อุบลราชธานี
          242. นายเธียรชัย พุทธรังษี นายอำเภอเสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เป็น นายอำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
          243. นายกฤษณ์ เติมธนะศักดิ์นายอำเภอจตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด รักษาการในตำแหน่ง นายอำเภอเมยวดี จ.ร้อยเอ็ด เป็น นายอำเภอเสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
          244. นายสานิตย์ เกริกสกุล นายอำเภอหนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ เป็น นายอำเภอจตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด
          245. นายณรงค์ นครจินดา นายอำเภอเมืองนครนายก จ.นครนายก เป็น นายอำเภอธัญบุรี จ.ปทุมธานี
          246. นายคมสัน เจริญอาจ นายอำเภอธัญบุรี จ.ปทุมธานี เป็น นายอำเภอเมืองนครนายก จ.นครนายก
          247. นายสราวุฒิ วรพงษ์ นายอำเภอดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอไชยปราการ จ.เชียงใหม่
          248. นายชาตรี กิตติธนดิตถ์ นายอำเภอไชยปราการ จ.เชียงใหม่ เป็น นายอำเภอดอยหล่อ จ.เชียงใหม่
          249. นายวิสา ยัญญลักษณ์ นายอำเภอเชียงคาน จ.เลย เป็น นายอำเภอวังสะพุง จ.เลย
          250. นายบรรพต ยาย่อง นายอำเภอวังสะพุง จ.เลย เป็น นายอำเภอเชียงคาน จ.เลย
          251. นายธวัชชัย เกตุพันธุ์ นายอำเภอเมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร เป็น นายอำเภอคลองขลุง จ.กำแพงเพชร
          252. นายเทวัญ หุตะเสวี นายอำเภอคลองขลุง จ.กำแพงเพชร เป็น นายอำเภอเมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Uniqlo รับปากปรับปรุงสภาพการจ้างของคนงานโรงงานรับจ้างผลิตในจีน

$
0
0
Uniqlo แบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รับปากปรับปรุงสภาพการจ้างของโรงงานรับจ้างผลิตในจีน หลังโดนองค์กรสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่ามีการใช้แรงงานทาสในโรงงานรับจ้างผลิต มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ย่ำแย่ และแรงงานไม่มีความปลอดภัย

 
 
 
 
 
องค์กรสิทธิมนุษยชนเปิดเผยถึงการใช้แรงงานทาสในโรงงานรับจ้างผลิตให้แก่แบรนด์ Uniqlo แบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ย่ำแย่ และแรงงานไม่มีความปลอดภัยความปลอดภัย (ที่มาภาพ: SACOM)
 
17 ม.ค. 2015 หลังจากสำนักข่าวต่างประเทศได้เปิดเผยรายงาน เมื่อต้นเดือนมกราคม 2015 ที่ผ่านมากลุ่ม Students & Scholars Against Corporate Misbehaviour (SACOM) ได้ออกมาเปิดเผยผลการสืบสวนว่า Uniqlo ได้ซื้อสินค้าจากโรงงานรับจ้างผลิต 2 แห่ง ในมณฑลกวางตุ้งของจีน ที่บีบบังคับให้คนงานทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง จ่ายค่าแรงต่ำและมีสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย อีกทั้งโรงงานเหล่านี้ ก็ละเลยความปลอดภัยในการทำงาน เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลบนพื้น อุณหภูมิก็สูงแต่การระบายอากาศไม่ดี มีการบริหารงานแบบเข้มงวด ไม่ยอมให้คนงานร้องเรียนเรื่องสภาพการทำงาน พบคนงานไม่สวมเสื้อต้องแบกสีย้อมผ้าหนักอึ้งเข้าไปในเต็นท์ย้อมผ้าอันร้อนระอุ ทั้งที่ไม่ได้สวมชุดป้องกัน คนงานจำนวนมากตกเก้าอี้ขณะที่กำลังใช้เครื่องถักนิตติ้ง โดยส่วนใหญ่คนงานหนึ่งคนต้องทำงานวันละ 14 ชั่วโมง ต้องรีดเสื้อเชิ้ตระหว่าง 600-700 ตัว และพวกเขาได้ค่าแรงเพียง 0.29 หยวนต่อเสื้อหนึ่งตัว ซึ่งรายงานฉบับนี้ SACOM ได้เข้าไปสืบสวนระหว่างเดือน ก.ค.-พ.ย. 2014 ที่ผ่านมา
 
จากนั้นเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา Fast Retailing Co. บรรษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทแม่ของ Uniqlo ได้ออกแถลงการให้คำมั่นว่า จะปรับปรุงสภาพการทำงานตามโรงงานของของผู้รับจ้างผลิตในจีน เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ แถลงการณ์นี้ระบุด้วยว่า Uniqlo ได้มีการนำร่องการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการทำงานแล้ว นอกจากนี้การเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และการรับประกันสภาพการทำงานที่ดี สำหรับผู้ใช้แรงงานของหุ้นส่วนการผลิตของบรรษัท ถือเป็นความสำคัญอันดับสูงสุดของ Fast Retailing Co. และจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อรับ ประกันว่า ได้มีการปรับปรุงสภาพการทำงานเกิดขึ้น  ภายใต้การร่วมมือกับผู้ตรวจสอบต่างๆ รวมถึงองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการปรับปรุงภายในหนึ่งเดือน
 
อนึ่งแบรนด์ Uniqlo เคยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบริษัทที่เข้าข่ายกิจการสีดำ (Black Corporations) ของญี่ปุ่น เพราะมีลักษณะงานที่มุ่งไปที่การรับคนรุ่นหนุ่มสาวเป็นหลัก โดยบังคับให้ทำงานล่วงเวลาแบบไม่มีค่าตอบแทน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ ถูกบังคับขู่เข็ญโดยเจ้านาย ทั้งนี้การตรวจสอบว่าบริษัทใดเข้าข่ายกิจการสีดำกำลังกลายเป็นแนวปฏิบัติใหม่ในประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มต้นเมื่อปี 2012 โดยให้มีการเสนอชื่อบริษัทที่เข้าข่ายกิจการสีดำพร้อมอธิบายข้อมูล/เหตุผล จากนั้นจัดทำและเผยแพร่รายชื่อบริษัทดังกล่าว เชิญชวนให้สาธารณะชนเข้ามาโหวตผ่านเว็บไซต์ เพื่อลงมติว่าบริษัทใดสมควรได้รับรางวัล "กิจการชั่วร้ายแห่งปี"และในช่วง 2 ปีที่แรกดำเนินการมา พบว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเข้ารอบทุกปี
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก
 
http://qz.com/324726/your-uniqlo-skinny-jeans-may-have-a-dark-past/
http://qz.com/327131/uniqlo-promises-to-improve-life-for-workers-at-its-factories-in-china/
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนงานรังสิตฯ รณรงค์วอนรัฐปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 421 บาท

$
0
0

17 ม.ค.2558 บริเวณนิคมอุตสาหกรรมนวนคร เวลาประมาณ 17.00 น. กลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิต และใกล้เคียง (กสรก.) และ กลุ่มคนงานนวนคร แจกแถลงการณ์ พร้อมปราศรัยรณรงค์เรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 421 บาทต่อวัน

ศรีไพร นนทรีย์ กลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตฯ กล่าวว่า กิจกรรมใช้เวลาได้ไม่นานก็ยุติเนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีงานคืนความสุขให้แก่ประชาชน ทำให้เสียปราศรัยของคนงานไม่สามารถสู้ได้

สำหรับการเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อไปนั้น ศรีไพร เปิดเผยว่า จะมีการไปพูดตามเหน้าโรงงานต่างๆ ในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมนวนครต่อเพื่อทำความเข้าใจแบบเจาะลึก แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน พร้อมทั้งวันที่ 30 ม.ค.นี้ จะมีการจัดสัมนาในประเด็นนี้กับคนงานในพื้นที่ด้วย

สำหรับแถลงการณ์ของกลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตฯ ที่แจกนั้นระบุว่า สินค้าได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นลำดับที่ผ่านมา ไม่ว่ารัฐบาลใดไม่เคยควบคุมราคาสินค้าอย่างจริงจัง หลังจากที่มีรัฐบาล คสช. ลูกจ้างข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ได้รับการปรับฐานเงินเดือนเพิ่ม แต่ในขณะที่ลูกจ้างเอกชน ค่าจ้างและสวัสดิการต่ำสุด แต่ไม่เคยถูกเหลียวแล

แถลงการณ์ ระบุด้วยว่า เมื่อปี 2553 ตามดัชนีค่าครองชีพ ค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็น 421 บาท ต่อวัน และ ปี 2557 ตามดัชนีค่าครองชีพ ค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็น 460 บาทต่อวัน ดังนั้นกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตฯ และกลุ่มคนงานนวนคร  จึงรณรงค์เรียกร้องให้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มเป็น 421 บาทต่อวันในเบื้องต้น

ที่มาภาพ Sriprai Nonsee

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เมื่อหญิงคนงานสิ่งทอในอินเดียรวมกลุ่มต้านความไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน

$
0
0

ในอินเดียมีผู้หญิงจำนวนมากทำงานในโรงงานสิ่งทอซึ่งมีทั้งผลิตใช้ในประเทศและส่งออกต่อให้แบรนด์ดัง เว็บไซต์ Waging Non Violence รายงานเรื่องราวของผู้หญิงอินเดียที่รวมกลุ่มต่อสู้กับการจ้างงานไม่เป็นธรรมและการถูกล่วงละเมิดในที่ทำงาน ซึ่งแม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างแต่ก็อาศัยการช่วยเหลือกันเพื่อฟันฝ่าไปได้


16 ม.ค. 2558 รัฐราชสถานเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ผู้คนรู้จักรัฐนี้ในฐานะที่มีวังอยู่หลายแห่ง มีทะเลทรายและศิลปะพื้นฐานที่มีชื่อเสียง แต่รัฐนี้ยังเป็นที่รู้จักในแง่ลบเรื่องที่มีผู้คนแต่งงานกับเด็กและการที่ผู้หญิงมีสถานะทางสังคมที่อัตคัด นอกจากนี้ในช่วงกลางปี 2557 รัฐบาลอินเดียยังออกกฎหมายใหม่อีกหลายฉบับที่จำกัดสิทธิของแรงงาน ส่งผลกระทบต่อคนงานสิ่งทอซึ่งต้องตกอยู่ในสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ไร้มนุษยธรรม

เว็บไซต์ Waging Non-violence ระบุว่าทางการอินเดียเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนายจ้างมากขึ้นแทนที่จะคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของแรงงาน โดยมีการจำกัดการตั้งสหภาพแต่กลับผ่อนผันลดการมีพันธะสำหรับนายจ้างในกรณีที่สั่งเลิกจ้างงาน

หญิงอายุ 38 ปีรายหนึ่งจากรัฐกรณาฏกะเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอว่า เธอต้องแต่งงานตั้งแต่อายุ 15 ปี ให้กำเนิดลูกคนแรกในปีถัดมา เธอต้องไปทำงานที่โรงงานสิ่งทอที่มีการกดขี่ขูดรีดแต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อหาเลี้ยงชีพเพราะเธอขาดทักษะฝีมือ เธอเป็นหนึ่งในคนงาน 400,000 คนจากเมืองบังกาลอร์ที่ทำหน้าที่อยู่ในสายการผลิตทำหน้าที่ผลิตเสื้อผ้าทั้งแบรนด์ในประเทศและแบรนด์นอกประเทศ มีทั้งที่ขายในประเทศและส่งออก คนงานสิ่งทอส่วนใหญ่ในอินเดียจะเป็นผู้หญิงคิดเป็นร้อยละ 80

ในแง่สภาพการทำงานคนงานสิ่งทอต้องเย็บผ้าราว 150 ชิ้นต่อชั่วโมง และต้องอยู่ทำให้ครบตามจำนวนเป้าหมายต่อวันโดยที่ไม่ได้รับค่าล่วงเวลาโดยไม่สนใจว่าจะกำลังตั้งครรภ์หรือไม่สบายอยู่ ถ้าหากคนงานไม่สามารถทำผลผลิตได้ตามเป้าก็จะมีการสั่งลดเงินเดือนและอาจจะถูกเลิกจ้าง ส่วนค่าแรงของคนงานอยู่ที่ราว 252 รูปีต่อวัน (ราว 130 บาท) นอกจากนี้นายจ้างส่วนใหญ่ยังหักค่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและประกันสังคมซึ่งคิดเป็นร้อยละ 12 ของเงินเดือนลูกจ้าง นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้บริหารงานที่เป็นผู้ชายล่วงละเมิดต่อคนงานหญิงทั้งทางกาย ทางวาจา และทางเพศ

คนงานสิ่งทอในรัฐกรณาฏกะมักจะเป็นผู้หญิงอายุ 18-25 ปี มีทักษะฝีมือแรงงานน้อยและมาจากครอบครัวที่ฐานะยากจนในชนบทหรือในเมืองเล็กๆ พวกเขาถูกใช้งาน 9 ชั่วโมงต่อวัน ต้องเดินทางไปทำงานท่ามกลางความแออัดยัดเยียดของเมืองบังกาลอร์ ในที่ทำงานพวกเขาต้องยืนหรือนั่งเย็บผ้าในที่มีแสงและการระบายอากาศน้อย มีการหยุดพักงานให้ไปเข้าห้องน้ำและทานอาหารเพียงเวลาสั้นๆ คนงานมักจะมีปัญหาคือรู้สึกคันตัว ปวดหลัง และมีอาการป่วยในระบบทางเดินหายใจ

ต่อมาโรงงานดังกล่าวก็ปิดตัวลงเนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารการเงินและมีการจ้างงานอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มีการจ่ายเงินค่าจ้างที่ติดค้างอยู่ให้กับคนงานก่อนที่จะปิดโรงงานลง

แรงงานคนหนึ่งชื่อ 'นาการัตนา'เล่าว่าตอนที่เธอประสบอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อตเมื่อราวสิบปีก่อนหน้านี้เธอได้รับค่าชดเชยน้อยมาก นอกจากนี้ทางบริษัทยังบิดเบือนข้อเท็จจริงทำให้รอดพ้นจากการลงโทษ นอกจากนี้บริษัทบอมเบย์ รายอนส์ ผู้ผลิตสินค้าป้อนแบรนด์อย่าง จีเอพี, เทสโก้ และ เอชแอนด์เอ็ม ยังถูกไต่สวนเรื่องการละเมิดสิทธิแรงงานและสิทธิทางเพศสภาพเนื่องจากการกักขังตัวคนงานหญิงที่เรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างและสภาพการทำงานที่ดีขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. 2551 แต่ก็ไม่เคยขอโทษหรือชดเชยให้ลูกจ้างจากการกระทำผิดของตัวเองเลย

อย่างไรก็ตามในเมืองบังกาลอร์มีองค์กรเอ็นจีโอแห่งหนึ่งชื่อองค์กร 'ศิวิเทพ'สามารถช่วยสนับสนุนคนงานสิ่งทอให้สามารถต่อสู้กับการล่วงละเมิดของผู้บริหารจนสามารถเอาชนะได้ นอกจากนี้ยังมีองค์กรแรงงานจากเนเธอร์แลนด์คือมูลนิธิเพื่อสิ่งทอที่เป็นธรรมและจากสหรัฐฯ คือสมาคมแรงงานที่เป็นธรรม ร่วมกับตัวแทนจากอินเดียช่วยกดดันสายการจำหน่ายเสื้อผ้ารวมถึงผู้บริโภคร่วมเรียกร้องให้โรงงานผู้ผลิตจ้างงานลูกจ้างอย่างเป็นธรรม จากการตรวจสอบของพวกเขาพบว่ามีบางแบรนด์ที่ละเมิดกฎหมายแรงงาน

องค์กร 'ศิวิเทพ'ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 เพื่อให้ความรู้คนงานสิ่งทอ คนงานอิเล็กทรอนิกส์ และคนงานในไร่ เกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิด้านเพศสภาพ สิทธิแรงงาน รวมถึงสิทธิความชอบธรรมทางสังคม นอกจากนี้ยังสอนให้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมและสิทธิในการรวมกลุ่มกันต่อรองและใช้ประโยชน์จากโครงการของรัฐ นอกจากนี้ศิวิเทพยังร่วมมือองค์กรอื่นๆ ในอินเดียและระดับนานาชาติเพื่อจัดกิจกรรม วิจัย ให้ความรู้ และรณรงค์ส่งเสริมการตรวจสอบบรรษัท มีการเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ เปิดเผยถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน การส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การกระทำทุจริตคอร์รัปชัน และการละเมิดสิทธิของแรงงาน

ศิวิเทพศึกษาสภาพการจ้างงานของคนงานและเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพการจ้างงานให้ดีขึ้นโดยขอให้บรรษัทข้ามชาติปฏิบัติตามแนวทางอนุสัญญาหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แนวทางบรรษัทขององค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และหลักแนวทางการดำเนินธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เพื่อช่วยเหลือให้ภาคประชาสังคมและองค์กรแรงงานเรียกร้องสิทธิ

เมื่อปี 2555 ศิวิเทพเผยแพร่งานวิจัยชื่อ "การดูแลธุรกิจ"ซึ่งระบุถึงประสิทธิภาพของแหล่งรับดูแลเด็กในโรงงานอุตสาหกรรมของบังกาลอร์ โกปินาธ ปาราคูนี เลขาธิการของศิวิเทพเปิดเผยว่ามีโรงานน้อยแห่งที่มีสถานดูแลเด็กที่มีประสิทธิภาพ และในโรงงานบางแห่งก็มีน้อยเกินไปไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ศิวิเทพยังเคยจัดให้มีการเจรจาโต๊ะกลมระหว่างตัวแทนจากแบรนด์ใหญ่ๆ ตัวแทนผู้ผลิต ตัวแทนรัฐ ตัวแทนจากสหภาพแรงงาน ตัวแทนเอ็นจีโอ และนักวิจัยอิสระ เพื่อแลกเปลี่ยนในหลายประเด็นเมื่อช่วงระหว่างปี 2554-2556 การแลกเปลี่ยนดังกล่าวส่งผลให้ผู้หญิงได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้บริหารเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีการชี้ประเด็นให้เล็งเห็นถึงสิทธิสตรีอีกทั้งยังมีการวิจัยเชิงสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการล่วงละเมิดคนงานและจัดให้มีสายด่วนคนงานเพื่อร้องทุกข์ได้โดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อ

อย่างไรก็ตาม ในการจัดตั้งสหภาพแรงงานเมื่อช่วงราวเกือบ 10 ปีที่แล้ว มีประเด็นเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศที่จากผู้นำสหภาพที่มีลักษณะชายเป็นใหญ่ จนทำให้ผู้หญิงในโรงงานต้องจัดตั้งสหภาพกลุ่มใหม่ขึ้นมาเอง รุขมิณี ประธานสหภาพแรงงานเสื้อผ้าจีแอลยูเปิดเผยว่ามีการจัดตั้งสหภาพจีแอลยูซึ่งมีแต่สมาชิกเป็นผู้หญิงในปี 2555 หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการล่วงละเมิดทางเพศโดยหัวหน้าสหภาพแรงงานเสื้อผ้าและสิ่งทอซึ่งเป็นสหภาพที่จัดตั้งเมื่อปี 2549

ในปัจจุบันสหภาพจีแอลยูมีสมาชิกราว 2,000 คน มีความพยายามปกป้องสิทธิของคนงานและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับสายงานการผลิตดีขึ้นด้วยวิธีการปรึกษาหารือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคนงานช่วยทำให้คนงานคำนึงถึงศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และสิทธิในสังคมของตัวเองมากขึ้น

รุขมิณีเปิดเผยว่าพวกเธอใช่วิธีการพบปะกับคนงานทั้งโดยส่วนตัวและจากการรวมกลุ่ม มีการเผยแพร่กิจกรรมด้วยใบปลิว จัดการแสดงละครนอกโรงงานตัดเย็บและใกล้กับที่อยู่ของคนงานเกี่ยวกับเรื่องสหภาพจีแอลยู เรื่องประเด็นกฎหมายและนโยบายแรงงาน จัดให้มีการรายงานและแจ้งเรื่องปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ

"เมื่อพวกเราพยายามให้ข้อมูลกับผู้หญิงเกี่ยวกับเรื่องของพวกเราเอง กลุ่มผู้ชายก็พยายามข่มขู่เราด้วยวิธีทางการเมือง แม้กระทั่งกับคนงานที่มีความรู้สึกร่วมกันก็มีความกลัวเรื่องการแบ่งแยก การถูกห้ามจัดตั้งสหภาพ บางครั้งก็มีการละเมิดสิทธิแรงงานและสั่งปลดคนงาน"รุขมิณีกล่าว

งานของจีแอลยูนอกจากจะร่วมมือกับสหภาพอื่นๆ และองค์กรภาคประชาสังคมในการส่งเสริมสภาพการทำงาน ค่าแรง และสวัสดิการสังคมที่ดีกับคนงานแล้วยังช่วยเหลือด้านคำแนะนำทางกฎหมายและคดีความต่างๆ แก่คนงาน ในบางกรณียังยื่นมือเข้าช่วยเหลือเรื่องปัญหาภายในครัวเรือน การเลี้ยงดูเด็ก การศึกษาและการฝึกทักษะแรงงานให้กับลูกๆ ของคนงานด้วย

อย่างไรก็ตามยังคงมีปัญหาที่กีดกันผู้หญิงไม่ให้เข้าร่วมสหภาพ ยโชธา รองประธานสหภาพจีแอลยูเปิดเผยว่าคนงานหญิงในโรงงานสิ่งทอยังกลัวการปรึกษาปัญหาการทำงานแม้ว่าจะอยู่ภายนอกที่ทำงาน ครอบครัวและนายจ้างของพวกเขาก็ไม่ส่งเสริมให้เข้าร่วมสหภาพ อีกทั้งการทำงานหนักรวมถึงความรับผิดชอบงานบ้านยังทำให้พวกเธอมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพได้ไม่มากนัก

อีกปัญหาหนึ่งคือเรื่องความยากจนของคนงานทำให้สหภาพจัดกิจกรรมได้ไม่มากนัก สหภาพจีแอลยูเก็บค่าสมัครสมาชิก 10 รูปี (ราว 5 บาท) และมีค่าสมาชิกรายปีคนละ 60 รูปี (ราว 30 บาท) ทางจีแอลยูจัดตั้งกลุ่มช่วยเหลือตัวเองเป็นผลสำเร็จโดยมีผู้หญิงรวมกลุ่มกันกลุ่มละ 15-20 คนเก็บออมเงินรายได้ต่อเดือนทีละน้อยเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือเรื่องการดึงคนเข้าสหภาพ การตั้งกลุ่มย่อยยังนำมาใช้เป็นที่ปรึกษาหารือเรื่องปัญหาในที่ทำงานและปัญหาที่บ้าน โดยในตอนนี้มี อยู่ราว 20 กลุ่มย่อยและมีสมาชิกเข้าร่วมทั้งหมด 395 คน นอกจากนี้นักกิจกรรมสหภาพยังคอยช่วยเหลือจัดการทางการเงินให้กับผู้นำกลุ่มช่วยเหลือตนเองด้วย

มีนักกิจกรรมของสหภาพบางคนได้รับการศึกษาด้านสุขภาพจิตและเคยฝึกฝนเรื่องการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา พวกเขาจะเป็นผู้ช่วยเหลือคนงานหญิงเวลามีปัญหาที่เกี่ยวกับจิตใจ และในบางกรณีถ้าจำเป็นก็จะส่งตัวไปบำบัดรักษาต่อกับผู้เชี่ยวชาญหรือสถาบันสุขภาพ

ในด้านกฎหมาย มีทนายแรงงานคอยช่วยเหลือคนงานต่อสู้กับการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ช่วยเหลือเรื่องการทวงค่าจ้าง ช่วยเรียกร้องเมื่อจัดการสวัสดิการสังคมไม่เป็นไปตามระบบ ช่วยเหลือเมื่อถูกปฏิเสธการขอลาพักหรือสวัสดิการของผู้เป็นมารดา รวมถึงช่วยเหลือเมื่อมีเหตุล่วงละเมิดทางเพศหรือการล่วงละเมิดอื่นๆ โดยมีสหภาพจีแอลยูคอยติดตามผลของคดีเพื่อให้ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรม

สหภาพจีแอลยูยังเคยเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าจ้างต่อวันเป็น 500 รูปี (ราว 260 บาท) แต่ฝ่ายเจ้าของอุตสาหกรรมต่อต้านความคิดนี้

รุขมิณีเปิดเผยว่าในตอนนี้ทางสหภาพกำลังให้ความรู้แก่คนงานหญิงเกี่ยวกับความสำคัญของกฎหมายป้องกัน ห้ามปราม และแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศของผู้หญิงในที่ทำงาน ปี 2557 และสนับสนุนให้คนงานหญิงเข้าหาสหภาพจีแอลยูเพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาทางบ้านหรือปัญหาในที่ทำงาน


เรียบเรียงจาก

Women garment workers organize against inhumane conditions in India, Pushpa Achanta, Waging Non Violence, 12-01-2015
http://wagingnonviolence.org/feature/women-garment-workers-organize-inhumane-conditions-northwest-india/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แนะลดวาระองค์กรอิสระเหลือ 6 ปี เป็นได้วาระเดียว ตั้ง กก.คัดสรรมากกว่า 7 อรหันต์

$
0
0
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้จัดเสวนาแนะองค์กรตรวจสอบในรัฐธรรมนูญใหม่ ควรมีวาระดำรงตำแหน่งเท่ากัน 6 ปีทุกองค์กร ไม่เห็นด้วยให้ 7 อรหันต์-นักการเมืองร่วมสรรหา

 
18 ม.ค. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่าที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ โคฟ เกาะช้าง จ.ตราด ว่าสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้จัดเสวนาเรื่อง “ตอบโจทย์: องค์กรตรวจสอบบนเส้นทางรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  มี นายพิเชต สุนทรพิพิธ  อดีตผู้ตรวจการแผ่นดินและอดีตสมาชิกวุฒิสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  นายศรีราชา วงศารยางกูร ผู้ตรวจการแผ่นดิน  ร่วมเสวนา  โดยนายพิเชต   เห็นว่า  องค์กรตรวจสอบ คือป.ป.ช. คตง. กรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ต้องอยู่ต่อไป แต่ก็ต้องแก้ไข เรื่องการสรรหา โดยขยายฐานคณะกรรมการสรรหาให้หลากหลายและให้มีจำนวนมากกว่า 7 คน เพื่อกลั่นกรองให้ได้บุคคลที่เหมาะสมมีคุณภาพ    
 
ลดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการองค์กรอิสระให้เหลือ 6 ปีทุกองค์กรและเป็นได้วาระเดียว   แก้ไขกำหนดกรอบอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้การทำงานซ้ำซ้อนกัน และที่สำคัญ ควรมีการกำหนดนิยามคำว่า “อิสระ” ให้ชัดเจน ว่าหมายถึงอะไร เพราะบางคนมองว่า หมายถึงทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรให้หมายถึงการทำงานที่ปลอดจากการถูกอิทธิพลทางการเมืองครอบงำ
 
ส่วนในภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดินนายพิเชต เห็นว่า ควรเพิ่มอำนาจให้ผู้ตรวจฯเป็นยักษ์ที่มีกระบองเล็ก เช่น หากผู้ตรวจมีคำวินิจฉัยให้หน่วยงานนั้นต้องปรับปรุงแก้ไขแล้วภายใน 90 วันหน่วยงานดังกล่าวไม่ดำเนินการเพราะเพิกเฉยให้ถือเป็นความผิดทางวินัย  รวมทั้งควรให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทำหรือมีส่วนในเรื่องการตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองต่อไป  เพราะเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมีหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานเดียวทำ ซึ่งไม่เชื่อว่าสมัชชาคุณธรรมจริยธรรมที่จะตั้งขึ้นเพียงหน่วยงานเดียวจะทำได้
 
ขณะที่ นายศรีราชา กล่าวว่าการสรรหากรรมการองค์กรอิสระโดย 7 อรหันต์ไม่เหมาะสม  แต่จะเอาองค์กรอื่นเข้ามาจะต้องคิดให้แตกว่า จะก่อให้เกิดความดีงาม เป็นธรรมในการเลือกคนที่ดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้จริงหรือไม่ และไม่อยากให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาเลย เพราะทำให้เกิดการวิ่งเต้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อให้ได้รับการคัดเลือก และเห็นควรกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะมาเป็นกรรมการฯให้ชัดเจนว่าต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องสามารถให้คนคัดค้านได้
 
นายศรีราชา ยังกล่าวด้วยว่าในการยกร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้นอกจากทางผู้ตรวจฯจะเสนอขอให้มีอำนาจร้องต่อศาลให้คุ้มครองชั่วคราวเป็นเวลา 30 วันในระหว่างที่ผู้ตรวจพิจารณาคำร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชน แล้ว ยังเสนอว่า  อยากให้ผู้ตรวจมีอำนาจฟ้องคดีแพ่งหรือคดีอาญาแทนประชาชนได้  การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของรัฐทุกระดับรวมทั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่างๆ  ที่สำคัญอยากให้กำหนดให้การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างแรงกลายเป็นคุณลักษณะต้องห้ามในการเข้าสู่การตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาดเพื่อ เพิ่มมาตรฐานกับสถาบันการเมือง
 
ด้านนายสุรชัย ก็เห็นด้วยที่จะกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งกรรมการองค์กรอิสระเพียง 6 ปี และเป็นได้วาระเดียวเพื่อให้การทำหน้าที่ไปอย่างอิสระ รวมทั้งไม่ควรให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหา ขณะเดียวกันเห็นว่าเพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้องค์กรอิสระใช้อำนาจตามอำเภอใจก่อความเสียหายให้กับประเทศ และเป็นการป้องกันการเอื้อประโยชน์กันระหว่างนักการเมืองกับกรรมการองค์กรอิสระ เห็นควรให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเข้าชื่อถอดถอนกรรมการองค์กรอิสระได้ และเสนอแก้ไขกฎหมายองค์กรอิสระได้
 
“เมื่อสร้างองค์กรอิสระมาตรวจสอบฝ่ายการเมือง  ถ้าคนที่จะตรวจสอบเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นเหมือน ลิเกโรงใหญ่ ที่มาเล่นหลอกเขา มันก็จะไม่พัฒนาไปเป็นการถ่วงดุลและแบ่งแยกอำนาจอย่างสุจริต อย่างไรก็ตามเห็นว่าองค์กรตรวจสอบจะเข้มแข็งได้ ขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัย คือ 1ต้องมีความเป็นอิสระแท้จริง 2. บทบาทอำนาจหน้าที่ต้องสามารถดูแลผลประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริงได้ 3.ต้องติดดาบให้ลงโทษผู้ทำผิดได้4 .ผลงานองค์กรต้องเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่เอียงไปมา หลายมาตรฐาน  ใน 3ปัจจัย สามารถแก้ไขได้โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แต่ในข้อสุดท้ายขึ้นอยู่กับบุคคลกรขององค์กรนั้นๆที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น”นายสุรชัย กล่าว
 
ส่วนในเรื่องการตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองนั้น นายสุรชัย เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต่อไปไม่เพียงจะกำหนดเฉพาะเรื่องจริยธรรมเท่านั้น แต่จะมีการรวมเรื่องคุณธรรมนักการเมือง เข้าไปไว้ด้วย ซึ่งยังเชื่อว่าผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรที่เหมาะสมจะทำในเรื่องการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป และเห็นด้วยกับที่นายศรีราชาเสนอว่าควรกำหนดให้การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างแรงกลายเป็นคุณลักษณะต้องห้ามในการเข้าสู่การตำแหน่งทางการ เมืองตลอดไปเพื่อที่ได้เป็นยกระดับนักการเมืองด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย : ศาสนาฮินดูและวัดแขกสีลม

$
0
0

 

 

รายการ ‘หมายเหตุประเพทไทย’ สัปดาห์นี้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องศาสนาฮินดู และวัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือวัดแขกสีลม รวมถึงพื้นที่ของเพศหลากหลายในงานพิธีแห่เจ้าแม่วัดแขก พบกับ ‘อรรถ บุนนาค’ และพิธีกรรับเชิญ ‘จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์’ ผู้สนใจศึกษาศาสนาฮินดู

คุยกันถึงประวัติศาสตร์ศาสนาฉบับย่นย่อและการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์และฮินดูในอินเดีย รวมถึงเทพเจ้าสำคัญที่ได้รับการสถาปนาขึ้นมาใหม่ในช่วงที่พุทธศาสนากำเนิดขึ้นในชมพูทวีป สนทนาถึงประวัติการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียใต้หรือชาวทมิฬที่เข้ามาทำการค้าในย่านสีลม และการก่อตั้งเทวสถานที่รู้จักกันต่อมาในชื่อวัดแขก รวมทั้งการจัดงานสำคัญประจำปี คือ การบูชาพระมหิงสาสุมรรษทินี หรือพิธีแห่เจ้าแม่วัดแขกในงานนวราตรีซึ่งมีขึ้นในช่วงเดือนเก้าที่ถือว่าเป็นเดือนที่มืดที่สุดของปี โดยงานดังกล่าวได้รับความสนใจจากคนจำนวนมากขึ้นทุกปี รวมถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย

คลิกไลค์เพื่อติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ facebook.com/maihetpraphetthai

 



 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อาบูฮาฟิซ อัลฮากีม : คำประกาศที่ประชุมกลุ่มต่อสู้เพื่อปาตานี

$
0
0

หมายเหตุกองบรรณาธิการ:ข้อเขียนนี้เป็นเนื้อหาที่เผยแพร่ครั้งแรกในบล็อกของ Abu Hafiz Al-Hakim ที่ชื่อ “PENGISYTIHARAN SIDANG PEJUANG-PEJUANG PATANI”  ซึ่งอัพโหลดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา กล่าวถึงคำประกาศที่ประชุมกลุ่มต่อสู้เพื่อปาตานี (Pengisytiharan Sidang Pejuang-pejuang Patani) เมื่อ 25 ปีที่แล้ว จากคำประกาศ 9 ข้อ นำไปสู่การเกิดขึ้นของแนวร่วมเพื่อเอกราชแห่งปาตานีหรือเบอร์ซาตู และจุดยืนปัจจุบันต่อกระบวนการสันติภาพจะเป็นอย่างไร ให้ร่วมกันติดตาม

ในระหว่างที่เราเฝ้าติดตามกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ (Proses Dialog Damai) ระหว่างรัฐบาลไทยกับตัวแทนนักต่อสู้ปาตานีว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร หรือจะเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อใด คงจะดีไม่น้อยหากเราจะย้อนกลับไปย้อนพิจารณาคำประกาศที่ประชุมกลุ่มต่อสู้เพื่อปาตานี (Pengisytiharan Sidang Pejuang-pejuang Patani) ที่มีขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว

คำประกาศดังกล่าวที่แถลงขึ้นนอกพื้นที่ปาตานีนั้นเป็นผลมาจากการประชุมครั้งหนึ่ง – การประชุมของนักต่อสู้เพื่อปาตานี (Conference of Patani Freedom Fighters) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1989 ที่จัดขึ้นโดยฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีบรรดาแกนนำระดับสูงของกลุ่มนักต่อสู้กลุ่มหลักๆ เข้าร่วม ซึงต่อมาได้มีการลงนามในเอกสารครั้งประวัติศาสตร์อีกด้วย ผู้เข้าร่วมในครั้งนั้นมีดังต่อไปนี้คือ

1. หัวหน้ากลุ่มบีอาร์เอ็น (ขบวนการปฏิวัติแห่งชาติ - BRN) คองเกรส

2. หัวหน้ากลุ่มบีไอพีพี (ขบวนการอิสลามปลดปล่อยปาตานี–BIPP)

3. หัวหน้ากลุ่มจีเอ็มพี (ขบวนการมูญาฮิดีนปาตานี - GMP) และ

4. ผู้นำระดับสูงของกลุ่มพูโล (องค์การปลดปล่อยสหปาตานี–PULO)

เนื้อหาบางส่วนของคำประกาศดังกล่าวระบุว่า:

“ทั้งนี้เราขอประกาศว่า

1.การต่อสู้เพื่อปลดแอกปาตานีคือการต่อสู้เพื่อให้บรรลุถึงอิสรภาพที่เที่ยงแท้ เพื่อการสถาปนารัฐมลายูอิสลามที่มีอำนาจอธิปไตย (Berdaulat)

2. การต่อสู้ของเราการญิฮาดที่ใช้กำลังอาวุธตามแนวทางของอิสลามและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวมลายูปาตานี

3. เราคัดค้านนโยบายและกฎเกณฑ์ทั้งหมดของเจ้าอาณานิคมไทยที่มีมุ่งหมายจะขจัดความเชื่อศรัทธา เชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมมลายูปาตานี

4. เราต่อต้านการกดขี่ ความอยุติธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของการฆาตกรรมการควบคุมตัวที่ไร้คำอธิบาย การซ้อมทรมาน และการเลือกปฏิบัติ

5. เราต่อต้านการให้ความร่วมมือกับนักล่าอาณานิคมไทยจากหลายๆ ฝ่ายทุกรูปแบบ ของทุกๆ ฝ่าย ในการหยิบฉวยผลประโยชน์และความรื่นเริงกับแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐกิจและความสมบูรณ์บนแผ่นดินปาตานี

6. เราจะปฏิบัติขั้นเด็ดขาดสำหรับใครก็ตามที่ให้ความร่วมมือกับนักล่าอาณานิคมไทย ในฐานะผู้ที่กระทำการทรยศต่อการต่อสู้ของชาวปาตานี

7. เราขอเรียกร้องให้ชาวมุสลิมให้การสนับสนุนการต่อสู้ที่บริสุทธิ์ของเรา

8. เราขอเรียกร้องไปยังบรรดาประเทศและองค์กรต่างๆ ที่ใฝ่ฝันถึงเสรีภาพความยุติธรรมและสันติภาพ เพื่อให้การสนับสนุนในด้านศีลธรรมและปัจจัยวัตถุต่อขบวนการต่อสู้ของชาวปาตานี

9. เราจะให้ความร่วมมือกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพ และที่ใฝ่ฝันเพื่อสันติภาพต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการเคลื่อนไหวอิสลาม”

 

ต้นฉบับของเอกสารคำประกาศดังกล่าวนี้เป็นภาษามลายู จากนั้นได้มีการจัดทำรวมเล่มใหม่อีกครั้งและเผยแพร่เป็นสามภาษาด้วยกัน คือภาษามลายู (รูมีและยาวี) ภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ

ทั้งนี้ ควรต้องสังเกตไว้ด้วยว่า ขบวนการบีอาร์เอ็นที่เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว คือมาจาก บีอาร์เอ็นคองเกรส(ปีกการทหารของบีอาร์เอ็นเดิม) และไม่ใช่บีอาร์เอ็นโคออดิเนต แต่อย่างใด ขณะที่ขบวนการพูโลที่ในช่วงเวลานั้นยังคงรวมเป็นหนึ่งเดียวและยังไม่ได้แตกตัวออกมาเป็นสามกลุ่มเช่นทุกวันนี้

เป็นที่เข้าใจว่าหลังจากมีคำประกาศดังกล่าวนี้เพียงไม่กี่เดือน ก็มีการถือกำเนิดขึ้นขององค์กรร่มที่มีชื่อว่าแนวร่วมเพื่อเอกราชแห่งปาตานี (Barisan Bersatu Kemerdekaan Patani) หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนามเบอร์ซาตู (BERSATU) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากขบวนการทั้งสี่กลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น ด้วยเหตุนี้พอที่จะสรุปได้ว่า การประกาศข้างต้นนั้นได้รับการสนับสนุนเบอร์ซาตูอย่างเต็มที่

มีเหตุการณ์ไม่น้อยที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่มีคำประกาศในวันนั้น ถึงแม้ว่าการจัดตั้งเบอร์ซาตูจะมิได้นำไปสู่การดำรงซึ่งการรวมตัวอย่างแท้จริงในแง่ของความเป็นองค์กรความเคลื่อนไหวและกองกำลังติดอาวุธ ทว่ามันได้ส่งผลสะเทือนในทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญต่อขบวนการต่อสู้ปาตานี กล่าวคือ ศักยภาพของผู้นำ ความสมัครสมานสามัคคี และจิตวิญญาณที่มีความอดทนอดกลั้นระหว่างกันในการสถาปนาขบวนแถวที่สามารถส่งเสียงบางอย่างก็สร้างความโกรธเคืองให้แก่เจ้าอาณานิคมได้บ้างแล้ว

เจ้าอาณานิคมไทยเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการใช้นโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule) แน่นอนว่าจะไม่มีสันติสุขเกิดขึ้น ตราบใดที่บรรดานักต่อสู้ปาตานีต่างรวมกันเป็นหนึ่งในการต่อกรกับพวกเขา เจ้าอาณานิคมจะมีความยินดีอย่างยิ่งหากว่าฝ่ายขบวนการต่อสู้เกิดความแตกแยกและมีการขัดขากันเอง และแน่นอนว่า สิ่งนี้จะทำให้เสียงและความพยายามของพวกเขาไม่มีพลัง จนบัดนี้ เบอร์ซาตูยังคงเป็นฝันร้ายของเจ้าอาณานิคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีบทบาทใดๆ แล้วก็ตาม

ประวัติศาสตร์การก่อตั้งขบวนการเบอร์ซาตูการขับเคลื่อนภายใต้พันธกิจปกป้องชะตากรรมของประชาชาติที่ผ่านมา ตลอดจนการเผชิญกับปัญหาภายใน ที่สุดท้ายต้องลงเอยด้วยความสูญเปล่า ผู้เขียนเองมิได้ต้องการที่จะอธิบายอย่างยาวเหยียดเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว นอกจากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิจัยด้านการเมืองที่มีความสนใจที่จะลงลึกในรายละเอียดเรื่องดังกล่าว สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ จิตวิญญาณอันแรงกล้า (SEMANGAT) และจุดมุ่งหมาย (CITA-CITA) ที่ได้ระบุไว้ในคำประกาศดังกล่าวนั่นเอง

ข้อที่ 1 และ 2 เป็นถ้อยแถลงที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำที่ว่า การต่อสู้ที่ว่านี้มีเป้าหมายเพื่อรัฐปาตานีที่เป็นเอกราชและมีอำนาจอธิบไตยผ่านการต่อสู้ทางการเมืองที่ใช้กำลังอาวุธโดยประชาชนที่เป็นลูกหลานปาตานีเอง ซึ่งขบวนการต่อสู้ปาตานีทั้งหมดต่างสนับสนุนในหลักการดังกล่าวนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก่อตั้งจวบจนปัจจุบัน ถึงแม้นว่าท่าทีในวันนี้จะมีความโน้มเอียงในการเลือกวิธีการเจรจาหรือการพูดคุยเพื่อสันติภาพ แต่นี่ก็เพียงเพื่อพยายามเสาะหาเส้นทางที่เอื้อต่อการนำพาสู่เป้าหมายเหล่านั้น และไม่เคยละทิ้งการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างแน่นอน

ข้อที่ 3 ที่ 4 และ 5 เป็นการแสดงท่าทีการต่อต้านของขบวนการต่อสู้ปาตานีต่อทุกๆ นโยบาย การกระทำการแสวงหาผลประโยชน์ การกดขี่ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าอาณานิคม ที่ปรารถนาจะคงเงื้อมมือเหล็กของพวกเขาไว้เหนือชาวปาตานีและรวมไปถึงแหล่งทรัพยากรในแผ่นดิน เราจะเห็นว่าในวันนี้ชาวมลายูปาตานีได้สูญเสียอัติลักษณ์ของความเป็นตัวตนเสียแล้วในฐานะมนุษยชาติที่มีศักดิ์ศรี มีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นบนผืนแผ่นดินตัวเอง ภาษาและวัฒนธรรมเกือบจะสูญพันธุ์ พวกเขาถูกจับขัง ถูกอุ้มหาย หรือถูกฆาตกรรมตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสและเป็นธรรม

การต่อต้านยังหมายรวมถึงต่อความพยายามของฝ่ายที่ร่วมมือกันเพื่อลักลอบกอบโกยความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติจากผืนแผ่นดินปาตานี ถึงขั้นพร้อมที่จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับ "ผู้ฉ้อโกง"และพวกที่ทรยศต่อการต่อสู้ตามที่ได้ระบุไว้ในข้อที่ 6

ข้อ 7 และ 8 เป็นการเรียกร้องและแสวงหาแรงหนุนช่วยและการสนับสนุนจากบุคคล องค์กรและพร้อมยื่นมือออกไปเพื่อให้มีความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่แสวงหาความยุติธรรมเสรีภาพและสันติภาพตามที่ได้ระบุไว้ในข้อที่ 9

ถึงแม้จะผ่านเวลามาแล้วมาแล้วถึง 25 ปี ทว่าคำประกาศทั้ง 9 ข้อดังกล่าวก็ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในวันนี้ เพราะว่าความขัดแย้งทางการเมืองยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง บรรดาผู้นำการต่อสู้มาแล้วก็จากไป องค์กรมีความเข้มแข็งและอ่อนแอ่ต่างสลับกันขึ้นๆ ลงๆ นักต่อสู้ในพื้นที่บางส่วนได้พลีชีพ (syahid) ที่มาก่อนก็ชราภาพ ที่โดดเดี่ยวก็เงียบสงบ สิ่งที่ยังคงอยู่คือความมุ่งมาดปรารถนาในการต่อสู้ของประชาชนทั้งมวลที่มิเคยมอดดับ ดังนั้นภารกิจดังกล่าวนี้ควรต้องสืบต่อโดยชนรุ่นหลังต่อไปพร้อมๆ กับการพัฒนาขีดความสามารถในการให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมสันติภาพและเสรีภาพที่แท้จริงบนผืนแผ่นดินปาตานีดารุสซาลาม

ทั้งนี้ เกี่ยวกับจุดยืนที่เป็นทางการของบรรดาองค์กรต่อสู้เพื่อปาตานีต่างๆ ต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ ณ วันนี้นั้น ยังอยู่ในระหว่างการถกเถียง ซึ่งคาดว่าการประชุมอย่างเป็นทางการคงจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ และตามด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการจากฝ่ายขบวนการต่อสู้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมในการพูดคุยในครั้งต่อไปหรือไม่อย่างไร หรือจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม

เรามาร่วมกันติดตามต่อไป

อาบูฮาฟิซ อัลฮากีม

น้ำส้มสายชูและน้ำผึ้ง – จากนอกรั้วปาตานี

17 รอบีอุลเอาวัล 1436 ฮ. / 8 มกราคม ค.ศ. 2015 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ: "ชนบท (เพิ่ง) เปลี่ยนไป?: ว่าด้วยปัญหา “ชนบทศึกษาไทย” หลังปี 2540"

$
0
0

วิดีโอการนำเสนอหัวข้อ  "ชนบท (เพิ่ง) เปลี่ยนไป?: ว่าด้วยปัญหา “ชนบทศึกษาไทย” หลังปี 2540"โดย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ วิจารณ์การนำเสนอโดย อัจฉรา รักยุติธรรม

 

 

18 ม.ค. 2558 - เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ห้อง ศศ.107  คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการประชุมประจำปีครั้งที่ 1: โครงการวิจัยพัฒนาการและเปลี่ยนแปลงทางความคิดว่าด้วยความ(ไม่)เป็นสมัยใหม่ในสังคมไทย (สกว.) โดยในช่วงบ่าย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้นำเสนอหัวข้อ "ชนบท (เพิ่ง) เปลี่ยนไป?: ว่าด้วยปัญหา “ชนบทศึกษาไทย” หลังปี 2540"โดย อัจฉรา รักยุติธรรม อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นผู้วิจารณ์การนำเสนอ

เริ่มต้นเก่งกิจ อภิปรายว่า งานวิจัยของเขา อยู่ในธีมวิจัยเรื่องความเป็นสมัยใหม่ และความไม่เป็นสมัยใหม่ในเรื่องต่างๆ ส่วนที่ทำการศึกษานั้นสนใจว่า นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยา ชอบพูดเรื่องชนบทเยอะ ศึกษาเรื่องชนบท และเรียกว่า ชนบทศึกษา คำถามคือชนบทมันยังมีอยู่ไหม และพบว่าในงานเขียน งานวิจัย หรือรวมถึงวิทยานิพนธ์จำนวนมากของนักสังคมวิทยาและมานุษยา โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ "สำนักเชียงใหม่"เชื่อว่าชนบทยังศึกษาได้ และการศึกษาชนบทมีพื้นที่กว้างขวางมาก อาจจะ 90% ของงานวิชาการของมานุษยวิทยา-สังคมวิทยาไทยเป็นงานเกี่ยวกับชนบท

สิ่งที่สนใจนอกจากนี้คือ แล้วความเปลี่ยนแปลงของสังคม การเมือง ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมานี้ นักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ต่อสู้ที่จะรักษาชนบท ในฐานะที่เป็นหน่วยวิเคราะห์หรือพื้นที่การศึกษาอย่างไร แม้ว่าเราจะยอมรับว่าชนบทเปลี่ยนไปตลอดเวลา หรือ อาจจะพึ่งเปลี่ยน อย่างที่ลองตั้งคำถามดู

โดยมี 4 เนื้อหาใหญ่ๆ ที่นำเสนอคือ หนึ่ง ชนบทศึกษาไทยหลัง 2540 สอง กระแสที่ขอเรียกว่า "ชนบทเปลี่ยนไป"ซึ่งเราอาจจะคุ้นกับคำนี้หลังปี 2553 ที่มีนักวิชาการพูดว่า "ชนบทเปลี่ยนไปแล้ว""ชนบทไม่ได้ โง่ จน เจ็บ"โดยเฉพาะเน้นศึกษางานของแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อนักสังคมวิทยา-นักมานุษยวิทยาไทย สาม ศึกษางานวิจัยของ ยุกติ มุกดาวิจิตร, นิติ ภัครพันธุ์, ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, อภิชาต สถิตนิรามัย ซึ่งเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับชนบทไทยที่ร่วมสมัยที่สุด โดยเป็นงานวิจัยที่ตั้งคำถามว่า "คนเสื้อแดงคือใคร"โดยกลับไปที่งานชนบทศึกษา และสี่ ข้อสังเกตและคำถามที่ผู้ศึกษามีต่อพัฒนาการศึกษาชนบทไทย

ข้อเสนอของบทความของเก่งกิจคือ งานวิจัยชนบทศึกษาในกระแสชนบทเปลี่ยนไป และงานวิจัยคนเสื้อแดง มิได้ไปไกลกว่างานชนบทศึกษาก่อนหน้านี้มากนัก แต่วางอยู่บนสมมติฐานเก่าที่มีข้อจำกัดและค่อนข้างโรแมนติกในตัวเอง เกี่ยวกับการมีอยู่ของชนบทและคนชนบท/ชาวบ้านในประเทศไทย ซึ่งละเลยความเปลี่ยนแปลงที่มีมาตลอดของชนบทไทย โดยทำเสมือนว่า "ชนบทเพิ่งเปลี่ยนไป"ทั้งๆ ที่งานของนักวิชาการต่างชาติจำนวนมากชี้ให้เราเห็นมาหลายทศวรรษแล้วว่าชนบทเปลี่ยนแปลงไปและมีความขัดแย้งภายในสังคมชนบทไทยมาเป็นร้อยปี ในแง่นี้ กระแสชนบทเปลี่ยนไปและงานวิจัยเสื้อแดงค่อนข้างเข้าใจชนบทไทยแบบตัดตอน ไม่สนใจประวัติศาสตร์และมีแนวโน้มจะวางการศึกษาและข้อค้นพบของตนเองอยู่บนวาระทางการเมืองที่ไปในทิศทางที่เห็นใจขบวนการเสื้อแดงและต่อต้านการสถาปนาอำนาจทางการเมืองของระบอบเผด็จการทหาร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อาทิตย์ลับ: พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ถึงแก่อนิจกรรม

$
0
0

พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก กำลังสำคัญปราบกบฏยังเติร์ก จนได้เลื่อนยศเป็น ผบ.ทบ. ควบ ผบ.สส. - ผู้งัดข้อ พล.อ.เปรม ลดค่าเงินบาท และผู้ถูก พล.อ.เปรม ปลดฟ้าผ่า ถึงแก่อนิจกรรมแล้วที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า เช้าวันนี้

19 ม.ค. 2558 - พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด อดีตวุฒิสมาชิก จ.เลย ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อเวลา 06.20 น. ที่ผ่านมา ที่รพ.พระมงกุฎเกล้า ทั้งนี้ตามรายงานของ ข่าวสด

พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก (ที่มา: แฟ้มภาพ/เว็บไซต์กองทัพภาคที่ 1)

ผู้ปราบกบฎยังเติร์ก - งัดข้อ พล.อ.เปรม เรื่องลดค่าเงินบาท

ประวัติของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2468 สำเร็จชั้นประถมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนพรหมวิทยามูล เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยม 6 ในปี พ.ศ. 2484 และโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร เข้าศึกษาโรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 ระหว่าง พ.ศ. 2487 - 2491 รุ่นเดียวกับ พล.อ.เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ พล.อ.บรรจบ บุนนาค และ พล.อ.อ.ประพันธ์ ธูปะเตมีย์

ในปี พ.ศ. 2524 ฝ่ายทหารหนุ่มที่เรียกว่า "ยังเติร์ก"ประกอบด้วยนายทหาร จปร. รุ่น 7 เช่น พ.อ.มนูญกฤต รูปขจร พ.อ.ชูพงศ์ มัทวพันธุ์ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร พ.ท.พัลลภ ปิ่นมณี พ.อ.ชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล พ.อ.แสงศักดิ์ มงคละสิริ พ.อ.บวร งามเกษม พ.อ.สาคร กิจวิริยะ มี พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา รอง ผบ.ทบ. เป็นหัวหน้าคณะ ได้พยายามทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน พ.ศ. 2524 มีการจับ พล.อ.เสริม ณ นคร ผบ.ทบ. รวมทั้ง พล.ท.หาญ ลีนานนท์ พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.ต.วิชาติ ลายถมยา ไปควบคุมตัวไว้ที่หอประชุมกองทัพบก

อย่างไรก็ตาม พล.อ.เปรม ได้หลบหนีไปตั้งกองบัญชาการตอบโต้ฝ่ายยังเติร์กอยู่ที่กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา โดยได้รับกำลังสนับสนุนจาก พล.ต.อาทิตย์ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น รองแม่ทัพภาคที่ 2 นอกจากนี้ พล.อ.เปรม ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่กองทัพภาคที่ 2 ด้วย

โดยฝ่ายกบฎได้ยอมมอบตัวกับรัฐบาล พล.อ.เปรม ในวันที่ 3 เมษายน และภายหลังเหตุการณ์ พล.ต.อาทิตย์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านฝ่ายกบฎยังเติร์ก ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.เปรม เป็นอย่างมาก โดยได้เลื่อนยศเป็น พล.ท. ตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 1 คุมกองกำลังรักษาพระนคร และเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในอีก 6 เดือนต่อมา

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2525 พล.อ.อาทิตย์ ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก สืบต่อจาก พล.อ.ประยุทธ จารุมณี ที่เกษียณอายุราชการ จากนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2526 สืบต่อจาก พล.อ.สายหยุด เกิดผล โดยเป็นการดำรงตำแหน่งทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.สส. ควบคู่กัน

พล.อ.อาทิตย์ ในเวลานั้นได้ออกมาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาล โดยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 เขาได้วิจารณ์ออกอากาศทางโทรทัศน์กรณีที่รัฐบาล พล.อ.เปรม โดยสมหมาย ฮุนตระกูล รมว.คลัง ประกาศลดค่าเงินบาท จาก 23 บาท เป็น 27 บาท ต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐ

 

ถูก พล.อ.เปรม ปลดฟ้าผ่า - และเส้นทางการเมืองหลังเกษียณ

ในปี พ.ศ. 2527 นายทหารที่รับราชการและที่เกษียณอายุราชการ ฝ่ายที่สนับสนุน พล.อ.อาทิตย์ ได้กดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอิทธิพลทางการเมืองของฝ่ายกองทัพเช่นกัน ต่อมาการเผชิญหน้าระหว่างขั้ว พล.อ.อาทิตย์ และ พล.อ.เปรม ยุติลงเมื่อ พล.อ.อาทิตย์ เสนอให้เลิกเคลื่อนไหวเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ

ในปี พ.ศ. 2529 พล.อ.อาทิตย์ พยายามล็อบบี้ให้มีการต่ออายุราชการของเขาในฐานะผู้บัญชาการทหารบก จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2530 ซึ่งจะทำให้เขามีอิทธิพลภายหลังรัฐบาล พล.อ.เปรม หมดวาระ แต่ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2529 รัฐบาลประกาศว่า พล.อ.อาทิตย์ จะเกษียณอายุในเดือนกันยายน พ.ศ. 2529 และในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พล.อ.เปรม ได้ประกาศปลด พล.อ.อาทิตย์ จากการเป็น ผู้บัญชาการทหารบก และให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกแทน

โดยในวันที่มีคำสั่งดังกล่าว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้พาดหัวใหญ่ว่า "สั่งปลด..อาทิตย์"และเป็นฉบับที่มียอดขายดีของ นสพ.ไทยรัฐ โดยจำหน่ายได้เกิน 1 ล้านฉบับ

พล.อ.อาทิตย์ คงเหลือเพียงการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยดำรงตำแหน่งนี้จนเกษียณอายุราชการในถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2529

เส้นทางการเมือง หลังจากเกษียณราชการ พล.อ.อาทิตย์ เป็นผู้ก่อตั้งพรรคปวงชนชาวไทย สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แต่ยังไม่ทันได้ปฏิบัติหน้าที่ ก็ถูกจี้จับตัวโดยคณะ รสช. นำโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พรรคปวงชนชาวไทยของ พล.อ.อาทิตย์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พรรคชาติพัฒนา โดยมี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณเป็นหัวหน้าพรรค

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

น้องชายอดีตผู้นำศรีลังกาถูกฟ้องคดีบงการสังหาร

$
0
0

โกธพญา ราชปักษา น้องชายอดีตผู้นำศรีลังกาถูกฟ้องร้องว่ามีกองกำลังของตนเองเพื่อสั่งบงการสังหารบ.ก.หนังสือพิมพ์ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของพี่ชายอย่างหนักในช่วงที่เขาเป็น รมต.กลาโหม รวมถึงยังถูกกล่าวหากรณีอุ้มหายและทุจริตอื่นๆ

19 ม.ค. 2558 สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่าโกธพญา ราชปักษา น้องชายของอดีตผู้นำศรีลังกาถูกกล่าวหาสั่งฆ่าผู้อื่นซึ่งหนึ่งในเป้าหมายที่ถูกสั่งฆ่าคือบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชื่อดัง โดยโฆษกกรมตำรวจศรีลังการะบุว่าเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสืบสวนตามข้อกล่าวหานี้

โกธพญา ราชปักษาเป็นน้องชายของมหินทรา ราชปักษา อดีตประธานาธิบดีศรีลังกาที่เพิ่งพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด โดยในขณะที่มหินทราดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี โกธพญาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในปี 2548 และได้รับการชื่นชมในฐานะผู้นำกองทัพปราบปรามกลุ่มกบฏพยัคฆ์ทมิฬได้ในเดือน พ.ค. 2552

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.) เมอร์วิน ซิลวา อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ของศรีลังกาเข้าแจ้งตำรวจว่าโกธพญามี "กองกำลังปลิดชีพ"ที่ใช้สั่งการสังหารคน 3 คน หนึ่งในนั้นคือลาสันธา วิเกรมทังกา บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เมื่อเดือน ม.ค. 2552 วิเกรมทังกาถูกยิงในช่วงไม่กี่วันก่อนที่เขาจะต้องขึ้นให้การในคดีหมิ่นประมาทซึ่งราชปักษาเป็นคนฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ของเขา ในช่วงเวลานั้นรัฐบาลราชปักษาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม

วิเกรมทังกาเป็น บ.ก.หนังสือพิมพ์ซันเดย์ลีดเดอร์ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลราชปักษาและครอบครัวของประธานาธิบดีในสมัยนั้นอย่างหนัก โดยมีการกล่าวหาว่าโกธพญาทำการทุจริตคอร์รัปชันกรณีการซื้อเครื่องบินและอาวุธมือสองเข้ากองทัพ

นับตั้งแต่มหินทรา ราชปักษา แพ้การเลือกตั้งในวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาก็เริ่มมีชาวศรีลังกาจำนวนมากยื่นคำร้องให้กับคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของศรีลังกาเกี่ยวกับการทุจริตจำนวนมากโดยสมาชิกรัฐบาลราชปักษา รวมถึงมหินทราที่โดนกล่าวหาว่าพยายามใช้กำลังทหารเพื่อให้ตนเองอยู่ในอำนาจแม้ว่าการนับผลคะแนนจะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขาพ่ายแพ้

นอกจากนี้รัฐบาลราชปักษายังถูกนานาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวหาว่าพยายามปิดกั้นสื่อและปราบปรามการต่อต้าน โดยซิลว่าผู้ยื่นฟ้องโกธพญาเปิดเผยว่ารัฐบาลราชปักษาลักพาตัวและอุ้มหายผู้คนจนเป็นที่มาของคำว่า "ถูกอุ้มขึ้นรถตู้สีขาว"หลังจากที่เกิดเหตุชาวศรีลังกาหลายสิบคนถูกลักพาตัวโดยรถตู้สีขาวแล้วถูกทิ้งเป็นศพอยู่ข้างถนน ซึ่งวิธีการเดียวกันนี้ยังถูกนำไปใช้กับกลุ่มกบฏพยัคฆ์ทมิฬก่อนที่ความขัดแย้งจะจบลง

อัลจาซีราระบุอีกว่ามีนักข่าวอิสระและนักการเมืองฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอีกจำนวนมากที่ถูกเนรเทศให้ไปอยู่นอกประเทศ อีกทั้งยังมีข้อกล่าวหาที่กองทัพสังหารชาวทมิฬที่เป็นพลเรือนไป 40,000 คน ในช่วงที่สู้รบกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ

รัฐบาลใหม่นำโดยประธานาธิบดี ไมตรีพละ ศิริเสนา ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อไม่นานมานี้ให้สัญญาว่าจะมีการเยียวยาและให้มีการสืบสวนภายในเกี่ยวกับเรื่องการก่ออาชญากรรมช่วงสงครามกลางเมืองที่กระทำโดยฝ่ายกองทัพของรัฐ

 

เรียบเรียงจาก

Rajapaksa's brother probed over killings, Aljazeera, 18-01-2015
http://www.aljazeera.com/news/asia/2015/01/sri-lanka-gotabhaya-rajapaksa-probed-over-killings-201511864815373261.html


ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Gotabhaya_Rajapaksa

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์: ความเป็นสมัยใหม่ในวรรณกรรมของคณะสุภาพบุรุษ

$
0
0

คลิปการนำเสนอของ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ หัวข้อ "ความเป็นสมัยใหม่ในวรรณกรรมของคณะสุภาพบุรุษ"วิจารณ์โดย สรณัฐ ไตลังคะ

 

 

19 ม.ค. 2558 - เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ห้อง ศศ.107 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการประชุมประจำปีครั้งที่ 1 โครงการวิจัยพัฒนาการและเปลี่ยนแปลงทางความคิดว่าด้วยความ(ไม่)เป็นสมัยใหม่ในสังคมไทย (สกว.) วันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2558 โดยช่วงสุดท้าย  ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอหัวข้อ "ความเป็นสมัยใหม่ในวรรณกรรมของคณะสุภาพบุรุษ"วิจารณ์โดย สรณัฐ ไตลังคะ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

โดยการอภิปรายของชูศักดิ์ เป็นการวิเคราะห์สถานะ นัยยะ และความหมายของนักเขียน "คณะสุภาพบุรุษ"โดยเป็นการปรับปรุงจากบทความ "ปริศนาข้างหลังภาพ คณะสุภาพบุรุษ"พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารสารคดี เดือนมิถุนายน 2544 และเพิ่มเติมข้อมูลใหม่จากการค้นไมโครฟิล์มที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา และจากข้อมูลของสุชาติ-วรรณา สวัสดิ์ศรี ที่ค้นพบเพิ่มเติมในหนังสือ "เพื่อนพ้องแห่งวันวาร เรื่องสั้นสุภาพบุรุษ"ตีพิมพ์ในปี 2553

ชูศักดิ์ เริ่มต้นนำเสนอว่า ศึกษาช่วง 2475 หัวข้อใหญ่คือ "ภาพเสนอความเป็นเมืองและชนบทในวรรณกรรมไทยช่วง 2475 – 2500"โดยปีแรกนี้จะศึกษาช่วง 2475 พอทำเรื่อง 2475 ถ้าจะทำก็เลยขยับเวลานิดหน่อยมาดูในช่วงรอยแต่ ทั้งนี้มีคำพูดของ เบนเนดิกท์ แอนเดอร์สัน ที่เขียนไว้ในบทนำของ "ในกระจก: วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน"ตีพิมพ์ พ.ศ. 2553 ที่เป็นงานวิเคราะห์วรรณกรรมไทย รวมดานสังคมวัฒนธรรม และเจอข้อความท่อนหนึ่งที่อาจจะนำมาเป็นกรอบใหญ่ๆ ในการพูดคือ แอนเดอร์สันพูดว่า "และดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นเสมอมา พายุใหญ่ทางการเมืองนั้น มักจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า จากเสียงฟ้าลั่นคำรามมาแต่ไกลของวรรณกรรม"

โดย "เสียงฟ้าลั่นคำรามมาแต่ไกลของวรรณกรรม"ที่ผมจะพูดถึงนี้ ผมจะเจาะไปดูการเกิดขึ้นของนักเขียนที่เรียกตัวเองว่า "คณะสุภาพบุรุษ"ซึ่งงานเขียนของคนกลุ่มนี้ได้เผยให้เห็นความใฝ่ฝัน ความปรารถนาของคนกลุ่มหนึ่งในสังคมสยามที่มุ่งหวังจะเห็นสังคมแห่งความเสมอภาค ดังเช่นที่ปรากฏในคำประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ที่ว่า "ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า "ศรีอาริยะ"นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า"

ในความรู้สึกของผมก็คือว่า เราอาจจะมองหรือจับ หรือสามารถนึกภาพได้ว่า 2475 ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มีสัญญาณบางอย่างที่ อ.เบน ใช้คำเสียหรูหราว่า "เสียงฟ้าลั่นคำรามมาแต่ไกล"ผมจะดูเสียงฟ้าลั่นคำรามนี้ จากงานของคณะสุภาพบุรุษ ถ้าเทียบกับช่วง 14 ตุลา ในงานที่ อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ ศึกษา จะเห็นว่าความเคลื่อนไหวด้านวรรณกรรมทางการเมือง มีความคึกคักชัดเจน เดิมผมนึกว่าจะเป็นแบบนั้นในคณะสุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่เป็นเท่าไหร่ ไม่มีความเป็นการเมืองในนั้นเลย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้ศึกษาในการค้นหาความเป็นการเมืองในความไม่เป็นการเมืองของคณะสุภาพบุรุษ

หัวข้อหลักๆ ชูศักดิ์อภิปรายประกอบด้วย "1. สถานะทางประวัติศาสตร์ของคณะสุภาพบุรุษ และนิตยสารสุภาพบุรุษ และ 2. ความเป็นเมืองและชนบทในงานเขียนของคณะสุภาพบุรุษ"

คณะสุภาพบุรุษคือใคร คนที่อยู่ในวงการวรรณกรรมก็จะคุ้นเคยดี เป็นกลุ่มคณะที่ได้รับการพูดถึงมากเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทยสมัยใหม่ เป็นนักเขียนหนุ่มที่มี กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา เป็นผู้ชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงมาทำนิตยสารรายปักษ์ชื่อ "สุภาพบุรุษ"เล่มแรกออกวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2472 ฉบับสุดท้ายวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2473 เวลาประมาณ 18 เดือน กลุ่มนักเขียนที่เราคุ้นชื่อเช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา), อบ ไชยวสุ (ฮิวเมอร์ริสต์), มาลัย ชูพินิจ (แม่อนงค์, เรียมเอง), โชติ แพร่พันธุ์ (ยาคอบ), จรัญ วุธาฑิตย์ (ร. วุธาฑิตย์), สนิท เจริญรัฐ (ศรีสุรินทร์), ชิต บุรทัด (แมวคราว), ฉุน ประภาวิวัฒน (นวนาค), โพยม โรจนวิภาต ("อ.ก.รุ่งแสง")

กลุ่มนี้ก็เรียกว่าเป็นกลุ่มที่เป็นคนหนุ่ม ที่ก่อตัวผ่านระบบเครือข่าย ส่วนหนึ่งรวมตัวกันผ่านนักเรียนเก่าเทพสิรินทร์มาด้วยกัน หรือทำงานด้วยกันในนามนักแปล คณะสุภาพบุรุษนั้น ในช่วงทศวรรษ 2470 เกิดความเฟื่องฟูของยุคทุนนิยมการพิมพ์ ในยุคนั้นมีทุนนิยมการพิมพ์แพร่หลาย มีสื่อสิ่งพิมพ์ออกมาเยอะมาก กลุ่มคณะสุภาพบุรุษก็เป็นหนึ่งในหลายๆ กลุ่มในตอนนั้น โดยคณะนักเขียนร่วมสมัย เช่น กุลสัตรี ประตูใหม่, อุตริวิทยา, สยามมวย, ผดุงวิทยา, ศรีกรุง, ไทยเอื้อ, เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์, ศัพท์ไทย, ไทยเขษม, สารานุกูล, หนังสือพิมพ์นักเรียน, สตรีไทย, สยามยุพดี, โฟแท๊กซ?, สมานมิตรบรรเทอง, เฉลิมวุฒิ, เริงรมย์, สวนอักษร ฯลฯ

"ในความเห็นของผม ผมรู้สึกว่าก็จริงอยู่ ว่าพวกนี้เป็นหลายๆ กลุ่มที่มีอยู่ แต่คณะสุภาพบุรุษ มีลักษณะพิเศษบางอย่าง ที่เราไม่สามารถที่มองเขาว่าเป็นหนึ่งในหลายกลุ่มในยุคนั้นได้ เพราะคณะสุภาพบุรษมีความโดดเด่นบางประการที่ทำให้คณะสุภาพบุรษแตกต่างออกไป หนึ่ง เป็นการรวมตัวของคนรุ่นหนุ่มสาวที่มีอายุประมาณ 20 กว่าๆ กุหลาย สายประดิษฐ์ ที่เป็นบรรณาธิการขณะนั้นอายุ 24 ปี มาลัย ชูพินิจ อายุ 23 ปี สนิท เจริญรัฐ อายุ 22 ปี จรัญ วุธาทิตย์ อายุ 21 ปีเท่านั้นเอง คนที่ดูจะอาวุโสที่สุดคือ อบ ไชยวสุ ผู้ใช้นามปากกา "ฮิวเมอริสต์"ซึ่งเป็นครูโรงเรียนเทพสิรินทร์ อายุ 28 ปี เทียบกับคนสมัยนี้ คุณจะรู้สึกว่า "โอ้โห ทำไมคนพวกนี้คิดการใหญ่"ซึ่งน่าทึ่งมากในความรู้สึกของผม"ชูศักดิ์กล่าว

"คณะสุภาพบุรุษมีลักษณะพิเศษ ที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านทางสังคม คือช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ข้อเสนอที่ผมคิด ผมคิดว่าคณะสุภาพบุรุษเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่พยายามทำสองอัน จากการประมวลที่ผมอ่านงานของเขาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คือ หนึ่ง พยายามสร้างอัตลักษณ์ความเป็นนักเขียนอาชีพ และ สอง วัฒนธรรมใหม่ของการเขียน"

ในเรื่องความเป็นนักเขียนอาชีพ อย่างที่เราได้ยินได้ฟังมาแต่เช้า ประเด็นหนึ่งของความเป็นสมัยใหม่ของสังคมไทย เกิดการปะทะหรือเกิดความพยายามที่จะชิงกันนิยามสิ่งที่ตัวเองทำ ในแต่ละสาขาวิชามีความพยายามชิงการนิยามวิชาชีพตัวเอง ลักษณะของสิ่งที่ตัวเองทำ ในวงการวรรณกรรมก็เกิดสิ่งนี้ขึ้น มีธรรมเนียมการเขียนสมัยใหม่ที่ไม่ใช่การเขียนนิทาน คำกลอน หรือร้อยกรองแบบเก่า แต่เป็นการเขียนที่เรียกว่า ร้อยแก้วแนวใหม่ หรือเรื่องเล่าแบบร้อยแก้ว ซึ่งเข้ามาผ่านการแปลนวนิยายฝรั่ง ในแง่วงการงานเขียนช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีงานเขียนแนวใหม่เกิดขึ้นเยอะแล้ว แต่ก็เหมือนกับอีกหลายสาขาวิชา คือส่วนใหญ่ความเป็นสมัยใหม่ทางวรรณกรรม ก็ตกอยู่ในสภาวะเดียวกันคือ เจ้านายชั้นสูงเป็นผู้นำเข้ามาใช้ เอามาเล่น ซึ่งผมคิดว่าประเด็นนี้สำคัญเพราะคณะสุภาพบุรุษเองก็ตระหนักเรื่องนี้ผมสมควร ก็มีความพยายามจะช่วงชิง นำเสนอ สถานะของนักเขียนที่ต่างจากระบบเดิม

"ในความเห็นผมมองว่า ความเป็นสมัยใหม่ในหลายด้านที่เพิ่มเข้ามา เมื่อชนชั้นสูงนำเข้ามาแล้ว จะมีวิธีการที่เขานำเข้ามาเพื่อให้อยู่ภายใต้โครงสร้างของระบบชนชั้น หรือระบบช่วงชั้นเดิมของสังคมที่คงสถานะเดิมไว้ ความเป็นนักเขียนก็เช่นกัน เมื่อเขามา ผมคิดว่าสถานะตรงนี้ทำให้คณะสุภาพบุรุษมีความแตกต่างจากงานกลุ่มอื่น คือพยายามเสนอโปรเจกต์ที่ใหม่กว่า หรือสลัดตัวเองออกจากอุปถัมภ์เจ้านายชั้นสูง"

เริ่มจากคำประกาศในฉบับปฐมฤกษ์ กุหลาบ เสนอว่า "คณะสุภาพบุรุษของเราต้องเลยขั้นสมัครเล่นกันแล้ว ต้องอาชีพทีเดียวละ ในการร่วมงานกับเรา ต้องเป็นผลงานขั้นอาชีพ ต้องดีที่สุดที่จะวางออกขายแก่สาธารณะที่เขาจะพอใจซื้อ"นี่เป็นข้อความที่ฮิวเมอร์ริสต์นำมาเล่าภายหลัง การเสนอของกุหลาบ ไม่ได้เสนอขึ้นมาลอยๆ ในขณะนั้นมีหลายคณะ ผมอยากโฟกัสไปที่คณะหนึ่งซึ่งสำคัญมากในยุคนั้นคือ "ไทยเขษม"ซึ่งเป็นนิตยสารที่เจ้านายชั้นสูงลงไปเล่น

"โดยบทความในนิตยสารสุภาพบุรุษ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนว่า "การประพันธ์ของชาวเราทุกวันนี้เป็น 'เล่น'เสียตั้ง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่จัดว่าเป็น 'งาน'เห็นจะได้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ดอกกระมัง บัดนี้จึงควรเป็นเวลาที่เราจะช่วยกันเปลี่ยนโฉมหน้าการประพันธ์ให้หันจาก 'เล่น'มาเป็น 'งาน'อีกสักอย่างหนึ่ง"ซึ่งถ้าคิดในกรอบทุนนิยม การเปลี่ยนจากกรอบ "เล่น"มาเป็น "งาน"แบบกระฎุมพีเลยละคือเห็นเป็นงาน เป็นอาชีพ"

"แต่ผมคิดว่าเป็นส่งข้อความไปถึงกลุ่มนักเขียนในยุคเดียวกับเขา เพราะภายหลังผมพบข้อความของ น.ม.ส. ในหนังสือประมวญมารค เล่าให้ฟังถึงยุคไทยเขษม ซึ่งมีลักษณะโต้ตอบกุหลาบอยู่ โดย น.ม.ส. เล่าฟื้นความหลังว่า หนังสือไทยเขษมต้องจบไปเพราะ "ต้องเลิกเพราะนักเขียนเปนข้าราชการมีตำแหน่งสูงขึ้นไป งานในน่าที่รับผิดชอบมากขึ้นก็ต้องเลิก "เล่น"นั้นเปนความจริง ถ้าไทยเขษมลดตัวลงไปรับเอาหนังสือสำหรับ "รุ่นใหม่"มาพิมพ์ก็คงจะได้นักเขียนเพิ่มขึ้นอีกมาก แต่ที่ไม่ลดตัวลงไปนั้นเราอนุโมทนา"

ผมคิดว่าประเด็นนี้ ในการเสนอเรื่องเล่น หรือเรื่องงานของกุหลาบไม่ได้เสนอมาลอยๆ แต่เพื่อฉีกขนบของการเขียนที่เจ้านายชั้นสูงผูกขาดด้วยการเอาหนังสือมาเขียนเล่นกัน หรือเล่นกับงานเขียนร้อยแก้วแนวใหม่ จึงทำให้คณะสุภาพบุรุษดูเด่น คือการพยายามนิยามนักเขียนอาชีพ ซึ่งไม่ต้องอยู่ภายใต้สังกัดหรือระบบอุปถัมภ์อย่างที่ทำๆ กันอยู่ แต่ว่าอาศัยกลไกการตลาดคือ จ่ายค่าเรื่อง คือเขาจ่ายค่าเรื่องให้งานเขียน ทำให้นักเขียนดำรงชีวิตอยู่ได้ จริงๆ ก็อยู่ได้ลำบากนะ แต่กุหลาบก็พูดว่า "คงต้องใช้เวลา 10-20 ปีถึงจะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องเริ่มต้น ณ บัดนี้"ซึ่งผมคิดว่าเป็นสำนึกที่น่าสนใจ

ส่วนคำว่า "สุภาพบุรุษ"ก็มีนัยยะพอสมควร ที่กุหลาบ สายประดิษฐ์ สร้างขึ้นมา เพื่อสู้กับ หรือว่ามาแข่งขันนิยามกับเรื่อง "ผู้ดี"โดยในบทความฉบับแรกกุหลาบ ก็ตระหนักดีว่าคำว่า "สุภาพบุรุษ"ก็คือผู้ดีในภาษาไทย ที่อิงกับชาติกำเนิด โดยกุหลายเขียนว่า "ชาวอังกฤษยังถือกฎที่พิสดารอยู่อีกอย่างหนึ่งที่ว่า "Three generations make a gentleman"เนื้อความดูจะกระเดียดๆ มาข้าง 'ผู้ดีแปดสาแหรก'ของเรา ... สุภาพบุรุษดูเหมือนจะมีรูปร่างหน้าตาใกล้เข้าไปทางขุนนางเป็นอันมาก เพราะอาศัยบารมีของผู้อื่นช่วย และก็ในหมู่พวกขุนนางอาจมีคนชั่วรวมอยู่ได้ ฉะนั้นในหมู่สุภาพบุรุษก็เห็นจะต้องมีคนชั่วรวมอยู่ได้ด้วยอีกกระมัง?"

"นี่คือแกพยายามที่จะหักล้าง หรือปฏิเสธว่าเรื่องสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดี หรือยึดกับชาติกำเนิด เพราะวิธีแบบนี้ไม่เป็นหลักประกันว่าสุภาพบุุรุษจะเป็นคนดี"ชูศักดิ์ อภิปราย และกล่าวด้วยว่ากุหลายได้นิยามคำว่าสุภาพบุรุษ โดยยึดการกระทำมาเป็นตัวกำหนด ซึ่งเป็นแนวคิดแบบกระฎุมพี แนวคิดสุภาพบุรุษที่กุหลาบนิยาม ก็เป็นการแย่งชิงการนิยามมาจากชนชั้นสูง โดยกุหลาบเสนอว่า "หัวใจของ 'ความเป็นสุภาพบุรุษ'อยู่ที่การเสียสละ เพราะการเสียสละเป็นบ่อเกิดของคุณความดีร้อยแปดอย่าง หากผู้ใดขาดภูมิธรรมข้อนี้ ผู้นั้นยังไม่เป็นสุภาพบุรุษโดยครบครัน ถ้าจะอธิบายความของสุภาพบุรุษให้กะชับเข้า ก็จำต้องยืมถ้อยคำที่ว่า 'ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับคนอื่น'ซึ่งข้าพเจ้าได้แต่งไว้ในหนังสือเรื่องหนึ่งมาใช้"

ขณะที่มีการปะทะโต้ตอบกันอยู่ในทีของคณะสุภาพบุรุษกับเจ้านายชั้นสูง โดยดอกไม้สด ในหนังสือผู้ดี ที่พยายามรวมถึงการกระทำด้วย แต่ดอกไม้สดก็คือดอกไม้สด แกก็อดไม่ได้ โดยดอกไม้สดกล่าวในหนังสือ "ผู้ดี"ว่า "การกำเนิดดี ... หาใช่เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ดังบุคคลบางจำพวกชอบกล่าว แท้จริงการมีกำเนิดดีเป็นปัจจัยให้บุคคลเป็นผู้ดีได้ง่ายขึ้น"จะเห็นว่ามีการปะทะโต้ตอบกันอยู่ในทีระหว่างกลุ่มของคณะสุภาพบุรุษกับเจ้านายชั้นสูง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถาวรค้านนำเข้าน้ำมันปาล์ม 5 หมื่นตัน-หวั่นราคาตกต่ำ-รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร

$
0
0

ครม.เตรียมประชุมนำเข้าน้ำมันปาล์ม 5 หมื่นตันพรุ่งนี้ - สมาคมชาวสวนปาล์มขอให้รัฐบาลทบทวน นำเข้าจะทำให้ราคาตกต่ำ ด้าน 'ถาวร เสนเนียม'ชี้รัฐบาลยังแก้ไขปัญหาชาวนา-สวนยางไม่ได้ แต่กลับหาเรื่องซ้ำเติม ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันเป็นมาตรการระยะสั้น เพราะเกรงน้ำมันปาล์มขาดตลาด

19 ม.ค. 2558 - ตามที่ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ โดยองค์การคลังสินค้า ในปริมาณ 50,000 ตัน ให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใช้งบประมาณรวม 1,500 ล้านบาท โดยยืนยันกำหนดราคาน้ำมันพืชปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร 42 บาท พร้อมทั้งให้กระทรวงพลังงานลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลจากบี 7 เหลือบี 3 เพื่อแก้ปัญหาปริมาณปาล์มตึงตัว ผลผลิตต่ำจากปัญหาภัยแล้งตั้งแต่กลางปีที่แล้วนั้น

ทั้งนี้ ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีมติจะนำเข้าน้ำมันปาล์มว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ยังแก้ไขปัญหาข้าวและยางพาราตกต่ำ ให้เกษตรกรชาวสวนยางและชาวนากว่า 30 ล้านคนไม่ได้ แต่ยังกลับหาเรื่องซ้ำเติม โดยการจะนำเข้าน้ำปาล์มจำนวนมหาศาล เข้ามาอีก ที่สำคัญรัฐบาลนี้ไม่เคยแก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชที่ปล่อยให้นายทุน คนกลางค้ากำไรเกินควรกับเกษตรกร โดยเฉพาะไม่เคยแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม จนเกิดข่าวเรือลักลอบขนน้ำมันปาล์มล่มในอ่าวไทย ถาวร ถามด้วยว่า หากการนำเข้าครั้งนี้มีผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันปาล์ม จากที่เป็นอยู่ 5.60 บาท ทำราคาปาล์มตกต่ำลงอีก ถามว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ตนจึงขอคัดค้านการนำเข้าน้ำมันปาล์มนี้ โดยขอให้รัฐบาลทบทวนว่า อย่าสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องเพิ่มขึ้นอีกเลย มิฉะนั้น ประชาชนที่เดือดร้อนจากผลกระทบปากท้องค่าครองชีพไม่มีเงิน ใครก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ขอให้ลงมาปัญหาข้อเท็จจริงของเกษตรกร ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ

ขณะเดียวกัน สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์รายงานว่า ที่ ร.ร.เมืองลิกอร์ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ตัวแทนจากสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน แห่งประเทศไทย ได้เดินทางมาประชุมร่วมกัน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลจะนำเข้าปาล์มน้ำมัน 50,000 ตัน และนำเรื่องเข้า ครม. โดยนายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสหพันธ์สมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่า แม้สต๊อกน้ำมันปาล์มในประเทศมีเพียง 1.1 แสนตัน แต่ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงของผลผลิตออกมามากนับตั้งแต่ปลายเดือนนี้เป็นต้นไป คาดว่าปริมาณน้ำมันปาล์มจะไม่ขาดตลาด ประกอบกับที่ผ่านมาเกษตรกรชาวสวนยางขายปาล์มได้ราคาไม่ดีนัก เมื่อขณะนี้สามารถจำหน่ายได้กิโลกรัมละ 5-6 บาท ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อนำเข้ามาจากต่างประเทศ จะทำให้ราคาตกต่ำลงดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้ทบทวนการพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดอีกครั้ง โดยที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าจะทำหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์รายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันคัดค้านการนำเข้าปาล์มน้ำมันว่า การนำเข้าปาล์มน้ำมันครั้งนี้ จำนวนเพียง 5 หมื่นตันเท่านั้น เพื่อการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เนื่องจากรัฐบาลทราบว่าปาล์มน้ำมันจะขาดตลาดและพยายามจะไม่นำเข้าปาล์มดิบเข้ามา แต่ปัญหาขณะนี้คือ ปาล์มน้ำมันหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อย ไม่เพียงพออย่างแน่นอน รัฐบาลจึงต้องทำการปรับแผน เนื่องจากขณะนี้ ราคาน้ำมันลดลง จึงนำปาล์มที่ผลิตในประเทศนำไปแปรรูปเป็นพลังงานในสัดส่วนที่ลดลง เพราะจำนวนผู้ใช้ไบโอดีเซลน้อยลง จึงดึงเอาส่วนนี้ไปผลิตเป็นน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การนำเข้าปาล์มน้ำมันเพียง 5 หมื่นตัน จากประเทศรอบบ้านเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น โดยมีการพูดคุยกับบริษัทนำเข้าแล้ว ว่าจะมีการนำเข้าเป็นระยะๆ หากเพียงพอก็ไม่ต้องนำเข้า ยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปกครองสูงสุดตัดสินพุธนี้-กรณีคนพิการใช้บีทีเอสไม่ได้เพราะหลายสถานีไม่มีลิฟต์

$
0
0

เครือข่ายคนพิการนัดรวมตัวฟังคำพิพากษาประวัติศาสตร์พุธนี้-หลังคนพิการฟ้องศาลปกครอง เข้าถึงรถไฟฟ้าบีทีเอสไม่ได้เหตุไม่มีลิฟต์-ทางเชื่อมต่อ สุดเจ็บปวดกับข้ออ้างบริการ "เท่าที่จำเป็น"มากกว่า "ความเท่าเทียม"เรียกร้องบริการสาธารณะต้องเปลี่ยนแนวคิดจากหลัก "สังคมฐานเวทนานิยม"ไปสู่ "สังคมฐานสิทธิ"

สมาคมคนพิการ จ.นครปฐม จัดกิจกรรม "ปลดแอกมนุษย์ล้อแห่งชาติ ทวงสัญญาคุณชายสุขุมพันธ์"เรียกร้องให้สถานีรถไฟฟ้า BTS ติดตั้งลิฟต์สำหรับคนพิการ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2555 (ที่มา: สมาคมคนพิการจังหวัดนครปฐม/แฟ้มภาพ)

19 ม.ค. 2558 - สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า ในวันพุธที่ 21 ม.ค. 2558 เวลา 13.30 น. นี้ ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ กรณีคนพิการฟ้อง กรุงเทพมหานคร และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรณีไม่จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการในรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งศาลปกครองกลางได้เคยมีคำสั่ง "ยกฟ้อง"แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อ 22 กันยายน 2552 เนื่องจากกฏหมายไม่มีผลย้อนหลัง  เพราะมีการทำสัญญาการก่อสร้างรถไฟฟ้าในปี 2539 ก่อนที่จะมีกฏกระทรวงมหาดไทยที่กำหนดว่าต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการและคนชรา ได้มีผลบังคับใช้ในปี 2542 ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิค ไม่ใช่หลักการบริการสาธารณะ

"ในวันนั้นเวลา 12.00 น. ที่หน้าศาลปกครองสูงสุด คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้สนใจ จะทะยอยมารวมตัวคาดว่าประมาณร้อยกว่าคน เพื่อมาฟังคำพิพากษาร่วมกัน เวลา 13.00 น. จะมีการเปิดแถลงจุดยืนของเครือข่ายต่ออนาคตอิสรภาพและความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะการตัดสินของศาลในวันนั้นจะถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ของพวกเรา ที่พวกเราได้ได้ต่อสู้เรื่องนี้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ก่อนปี 2538 นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่ประเทศไทยมีรถไฟฟ้า แต่คนพิการกลับไม่มีโอกาสได้เข้าถึงการใช้บริการเลย  โดยเฉพาะลิฟต์ที่จะช่วยคนพิการขึ้นไปที่ชานชราได้"

นายสุภรธรรม กล่าวว่า  ทุกวันนี้รถไฟฟ้าระยะแรกทั้ง 23 สถานี มีการติดลิฟต์แค่ 5 สถานีเท่านั้น  คือ สยาม หมอชิต ช่องนนทรีย์  สนามกีฬาแห่งชาติ และอ่อนนุช  ซึ่งเป็นสถานีปลายทางและสถานีเชื่อมต่อ ทำให้คนพิการไม่สามารถลงที่สถานีอื่นได้  ที่มากไปกว่านั้นยังเป็นการติดตั้งลิฟต์แค่จุดเดียวเท่านั้น และไม่มีจุดเชื่อมต่อในการเดินทาง ทำให้เมื่อลงลงลิฟท์มาแล้ว หากคนพิการต้องการข้ามถนนอีกฝั่งก็ไม่สามารถทำได้ นอกจากต้องนั่งแท็กซี่ข้ามเอง ซึ่งทำให้เสียทั้งเงินและเวลา นี่คือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ที่คนพิการไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะนี้ได้

"คนพิการได้ต่อสู้เรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการขับเคลื่อนสังคมไทยจาก "สังคมฐานเวทนานิยม" (Charity Base) ไปสู่ "สังคมฐานสิทธิ" (Rights Base)  เพราะเรื่องที่เป็นสิทธิที่คนพิการควรได้รับอย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไป และไม่มีควรมีการเลือกปฏิบัติ  สิ่งที่เราเรียกร้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์สาธารณะ เพราะการติดลิฟต์ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คนแก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ พ่อบ้านแม่บ้านที่หิ้วของใช้และอาหารกลับบ้าน นักท่องเที่ยวที่มีประเป๋าเดินทาง เห็นได้ว่าทั้่งหมดนี้เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ของคนพิการกลุ่มเดียว เป็นไปตามมาตรฐานสากลทุกประเทศทั่วโลก”

นายพิเชฎฐ์ รักตะบุตร ผู้ฟ้องคดีอีกท่านหนึ่ง กล่าวว่า การเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่รถไฟฟ้า BTS เท่านั้น  แต่ยังเกิดขึ้นที่รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ด้วย เพราะถึงแม้จะมีการติดตั้งลิฟต์ครบ 18 สถานี แต่จาก 60 ทางออก มีการทางออกที่ติดลิฟต์เพียง 30 ทางออก เท่านั้น โดยบางสถานีมีลิฟต์แค่ทางออกเดียวเท่านั้น  เช่น สถานีลาดพร้าว เมื่อเป็นเช่นนี้คนพิการก็ไม่สามารถใช้ MRT ได้อยู่ดี เพราะปัญหาเดิมคือ หากต้องการข้ามถนนไปอีกฝั่งก็ต้องรถแท็กซี่ข้ามไป  เพราะระบบที่มีอยู่ไม่ได้อำนวยความสะดวกและไม่มีทางเชื่อมต่อให้คนพิการได้ใช้บริการการขนส่งเหมือนคนทั่วไป

“ที่มากไปกว่านั้นสำหรับ MRT ทุกวันนี้มีลิฟต์ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะลิฟต์ถูกล็อค ต้องมีการขออนุญาต ซึ่งกว่าจะมีคนมาเปิดให้ก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 15 นาที พอเจอแบบนี้ก็รู้สึกว่าเราเป็นภาระ เพราะฉะนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการเลือกปฏิบัติที่สะสมมาอย่างยาวนาน ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปได้ เพราะการเดินทางของคนพิการมีต้นทุนที่สูงมาก  ซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถเห็นได้ เพราะระบบที่เป็นอยู่ทำให้คนพิการไม่สามารถไปไหนมาไหนได้แบบคนทั่วไป” นายพิเชฎฐ์  กล่าว

เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ  กล่าวว่า  การเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้น เพราะผู้กำหนดนโยบายใช้หลักในการจัดการบริการสาธารณะตามหลัก “ตามที่จำเป็น” มากกว่าหลัก “เพื่อความเท่าเทียม” ในการเดินทาง  โดยจากการที่เราได้สร้างความเข้าใจเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน  เขาบอกว่าเหตุที่ติดลิฟต์ไม่ครบทุกทางออก  เพราะมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลและพบว่าบริเวณที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าไม่พบว่ามีคนพิการจึงสร้างออกมาแค่นี้ ซึ่งเป็นหลักการคิดที่ไม่เป็นธรรม เขาคงลืมไปว่าที่พวกเขาไม่เห็นคนพิการ ไม่ใช่ไม่มีคนพิการ แต่เป็นเพราะพวกเราไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปต่างหาก

“เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาที่ผู้กำหนดนโยบายใช้ตรรกะนี้ ซึ่งจำเป็นต้องทบทวนอย่างเร่งด่วน เพราะขณะนี้มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินเกิดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเท่าที่ทราบมีการสร้างจุดติดตั้งลิฟต์สถานีละ 1 ทางออกเท่านั้น  ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เพราะสุดท้ายคนพิการ หรือคนที่ต้องใช้รถเข็นทั้งคนแก่ คนท้อง ก็จะไม่สามารถใช้บริการได้ จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้และสร้างจุดติดลิฟท์ให้ครบทุกทางออกทุกสถานี เรามีบทเรียนมาแล้ว ไม่ควรเกิดความผิดพลาดซ้ำซากขึ้นอีก  ทุกคนควรมีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณะ”  นายสุภรธรรม กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลเลื่อนตรวจพยานหลักฐาน ‘มือปืนป๊อปคอร์น’ ศึกชิงคูหาเลือกตั้งหลักสี่ นัดอีกครั้ง 30 มี.ค.

$
0
0

19 ม.ค.2558 ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานคดีหมายเลขคดีดำ อ.1626/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง วิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ หรือ ‘มือปืนป็อปคอร์น’ อายุ 24 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำอาวุธปืนออกนอกเคหสถานภายในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 288, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา ม.4, 7, 8ทวิ, 72, 72ทวิ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 ม.5, 6, 11, และ 18

คดีดังกล่าวอัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2557 สรุปความผิดจำเลยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2557 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกได้มีปืนเล็กยาวไม่ทราบชนิดและขนาด ติดตัวไปที่ทางแยกหลักสี่ เขตหลักสี่ ซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และยิงปืนเข้าไปในอาคารศูนย์การค้าไอทีสแควร์ จน น.ส.สมบุญ สักทอง ผู้เสียหายที่ 1, อะแกว แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายที่ 2, นครินทร์ อุตสาหะ ผู้เสียหายที่ 3 และ พยนต์ คงปรางค์ ผู้เสียหายที่ 4 ได้รับอันตรายสาหัส เหตุเกิดที่แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.

โดยวันนี้อัยการโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากโจทก์ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่า ยังรวบรวมข้อเท็จจริง สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานการเสียชีวิตของ อะแกว แซ่ลิ้มไม่เสร็จสิ้น ซึ่งพนักงานสอบสวนขอเลื่อนการส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมออกไปเป็นวันที่ 25 ม.ค. 2558

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายอะแกว แซ่ลิ้ม ผู้เสียหายที่ 2 ในคดีนี้ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2557 โจทก์มีความจำเป็นต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ศาลจึงเห็นควรให้เลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยาน ในวันที่ 30 มี.ค.2558 เวลา 09.00 น. เนื่องจากคดีนี้ศาลได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลามาพอสมควรและจำเลยในคดีนี้ถูกขังมาโดยตลอด จึงให้โจทก์กำชับพนักงานสอบสวนให้ส่งผลสอบสวนการตายตามกำหนดและให้พร้อมตรวจพยานหลักฐานในนัดหน้า

เรียบเรียงจาก ผู้จัดการออนไลน์และ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักยุทธศาสตร์ต่างชาติวิเคราะห์เหตุใดความไม่สงบภาคใต้ของไทยจึงยึดเยื้อ

$
0
0

จอห์น แบล็กซ์แลนด์ นักยุทธศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียชี้ว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เหตุความขัดแย้งในภาคใต้มีความยุ่งยาก ทั้งการเปลี่ยนวิธีการวางเป้าหมายของกลุ่มติดอาวุธ ความไม่เข้าใจจากส่วนกลางในเรื่องเชื้อชาติ และการกระทำที่ผิดพลาดหลายเรื่องจากฝ่ายรัฐเอง

ภาพประกอบ: Mahamasabree Jehloh

19 ม.ค. 2558 จอห์น แบล็กซ์แลนด์ นักวิชาการอาวุโสจากศูนย์วิจัยด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ของไทย ซึ่งแม้ว่าหลังจะเกิดรัฐประหารในช่วงกลางปี 2557 ที่ผ่านมาแต่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็ยังคงก่อเหตุรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตราว 50 คนต่อเดือน

มีข้อสงสัยว่าเหตุใดความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ของไทยเป็นเรื่องควบคุมไม่ได้และมีความยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน และทำไมทางการไทยถึงมีความยากลำบากในการหาทางออกต่อปัญหานี้ และเหตุใดปัญหานี้ถึงเป็นเรื่องเข้าใจยาก แบล็กซ์แลนด์ระบุว่าเป็นเพราะปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้มีปัจจัยจากหลายเรื่องมาบรรจบกัน

แบล็กซ์แลนด์ระบุว่าปัจจัยหนึ่งคือเรื่องเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐจัดการกับชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและศาสนาในภาคใต้ของประเทศด้วยการพยายามใช้วิธีการปกครองแบบรัฐหนึ่งเดียวแทนระบบกึ่งสมาพันธ์รัฐซึ่งถือว่าไม่ได้ผล เพราะชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้มีแนวคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากกลุ่มชาวพุทธเถรวาทในพื้นที่ศูนย์กลางจึงไปกันไม่ได้กับวิธีการปกครองแบบรัฐรวมศูนย์หนึ่งเดียว อีกทั้งกลุ่มชนชั้นนำในเมืองหลวงก็มีท่าทีกดเหยียดชนชาติถ้าไม่ใช่ด้วยความเกลียดชังก็ด้วยความสงสาร

ในช่วงราว 50 ปีที่ผ่านมามีกลุ่มกองกำลังในไทยหลายกลุ่มเช่นกลุ่มบีอาร์เอ็น กลุ่มขบวนการปลดปล่อยสหปัตตานีหรือพูโล แม้ว่ารัฐไทยจะใช้วิธีการต่อต้านการก่อการร้ายในการปราบปรามกลุ่มกบฏจนทำให้ดูเหมือนจะเกิดสันติภาพในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แบล็กซ์แลนดืก็ระบุว่ากลุ่มกองกำลังได้เรียนรู้วิธีการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกเป้นเป้าหมายที่สามารถระบุได้ชัดเจนทั้งในแง่โครงสร้างการนำกลุ่มและในแง่ทรัพยากร ด้วยวิธีการที่ไม่มีการนำหรือการมีโครงสร้างอำนาจภายในกลุ่มที่ชัดเจน

แบล็กซ์แลนด์ระบุว่า การได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และช่วงที่มหาอำนาจเรียกร้องให้มีสงครามต่อต้านการก่อการร้ายหลังเหตุการณ์ 911 ทำให้ดุลยภาพของสถานการณ์เปลี่ยนไป แม้ว่านานาชาติจะเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการค้นหาความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายมากขึ้นแต่ก็เป็นวิธีการที่ใช้กับกลุ่มหัวรุนแรงของอัลกออิดะฮ์ซึ่งเป็นสายซาลาฟี เป็นสิ่งที่แตกต่างนำมาใช้ไม่ได้กับพลวัติที่เกิดขึ้นในทางภาคใต้ของไทยที่มีลักษณะเฉพาะตัว

ในบทความของแบล็กซ์แลนด์มีการวิจารณ์กรณีที่ทักษิณใช้วิธีการโอนอำนาจความรับผิดชอบเรื่องความมั่นคงในภาคใต้ให้กับตำรวจในพื้นที่ทำให้สูญเสียวงจรการข่าวของกองทัพที่มีเครือข่ายเชื่อมต่อกับทางการกลางจนสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ก่อนเกิดเหตุบานปลาย แต่พอสูญเสียวงจรการข่าวที่มีอยู่เดิมแล้วทำให้ทางการขาดความสามารถในการคาดการณ์เหตุร้ายล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่กลุ่มกองโจรสามารถปล้นอาวุธของกองทัพจำนวนมากในปี 2547 ซึ่งทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม

แบล็กซ์แลนดฺ์ยังได้วิจารณ์กรณีที่เจ้าหน้าที่ทางการใช้วิธีการรุนแรงขึ้นกับฝ่ายต่อต้านทั้งการทำร้ายร่างการ การจับกุมและการสังหาร ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจ อีกทั้งผู้บัญชาการทหารของไทยยังรู้สึกว่าตนมีเกียรติยศศักดิ์ศรีในการต้องปกป้องลูกน้องจากกระบวนการตรวจสอบนอกกองทัพทำให้มีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำการโหดร้ายน้อยมาก ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปยิ่งรู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรม

ในพื้นที่ภาคใต้มีเหตุร้ายจากกลุ่มอาชญากรเพิ่มมากขึ้นมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว ขณะเดียวกันก็มีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานตำรวจ ทหาร และกองกำลังผสม ซึ่งต่างก็พยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง แต่แบล็กซ์แลนด์ก็ระบุว่ามีเรื่องราวซับซ้อนมากกว่ากลุ่มอาชญากรและความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐ ความซับซ้อนอย่างหนึ่งมาจาการที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบสามารถผลิตอาวุธระเบิดได้เองและมีการวางเป้าหมายในแบบที่ไม่มีรูปแบบแน่นอน คาดเดาไม่ได้

มีชาวมุสลิมจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกสังหารเพื่อแก้แค้น แต่แบล็กซ์แลนด์เชื่อว่าเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบโดยหลักๆ คือเพื่อข่มขู่ชาวพุทธ การโต้ตอบทำให้เกิดความเกลียดชังและความรุนแรง มีชาวพุทธบางคนถืออาวุธออกลาดตระเวณตามหมู่บ้านหรือเมืองใหญ่ๆ แม้ว่ารัฐบาลพยายามจะส่งเสริมให้ชาวพุทธอาศัยอยู่ในพื้นที่แต่พวกเขาก็ถูกเบียดขับออกไปจากหลายๆ ส่วนของทางภาคใต้

หลังจากการรัฐประหารในเดือน พ.ค. 2557 รัฐบาลไทยมีความพยายามจัดการต่อต้านการก่อความไม่สงบให้มีประสิทธิภาพขึ้นแต่ความพยายามเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็นก็ไม่เป็นผลเพราะฝ่ายบีอาร์เอ็นเห็นว่าพวกตนมีอิทธิพลในการเจรจาน้อยเกินไป อย่างไรก็ตามแบล็กซ์แลนดืชี้ว่ากลุ่มติดอาวุธในยุคปัจจุบันไม่เหมือนในยุคก่อน เนื่องจากในยุคก่อนมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจน แต่กลุ่มติดอาวุธในปัจจุบันมีวาระทางการเมืองน้อยเกินไปที่จะใช้เจรจาอีกทั้งยังหลีกเลี่ยงการออกแถลงการณ์กลุ่ม นอกจากนี้การไม่มีผู้นำที่ชัดเจนทำให้ฝ่ายรัฐไม่สามารถระบุได้ว่าจะต้องดำเนินการเจรจากับใคร

"ฝ่ายกองกำลังมีความสามารถในเชิงนวัตกรรม มีการปรับตัว และมีความคาดเดาได้ยาก แต่ในทางการเมืองแล้วพวกเขาก็ยังคงระมัดระวังในเชิงยุทธศาสตร์ มีความอนุรักษ์นิยมและยึดติดในเชิงอุดมการณ์ ไม่ได้มีแรงผลักดันเชิงอุดมการณ์ที่สร้างขึ้นมาแบบในอิรักและซีเรีย"แบล็กซ์แลนด์ระบุในบทความ


เรียบเรียงจาก

Thailand’s simmering security crisis gathers steam, East Asia Forum, 13-01-2015
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตำรวจเคนย่ายิงแก๊สน้ำตาใส่เด็กนร.ประท้วงต้านถูกยึดสนามเด็กเล่น

$
0
0

กลุ่มเด็กนักเรียนและผู้ใหญ่ชาวเคนย่าบางส่วนไม่พอใจที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนลันกาตาถูกยึดครองโดยกลุ่มทุนที่ต้องการแปลงเป็นลานจอดรถจึงมีการประท้วง #OccupyPlayGround ในพื้นที่ดังกล่าวแต่ก็ถูกตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่หลังจากกลุ่มเด็กอายุ 8 -13 ปี พยายามล้มกำแพงที่กั้นสนามเด็กเล่น

20 ม.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจเคนย่ายิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วงในกรุงไนโรบีที่ประท้วงต่อต้านการยึดครองพื้นที่สนามเด็กอย่างผิดกฎหมายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาโดยในกลุ่มผู้ประท้วงมีเด็กนักเรียนรวมอยู่ด้วย

สำนักข่าวเอบีซีระบุว่าผู้ประท้วงที่มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กนักเรียนหลายร้อยคนชุมนุมอยู่ด้านนอกโรงเรียนประถมลันกาตา มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 40 นายรวมถึงสุนัขตำรวจประจำอยู่เพื่อควบคุมเหตุการณ์ เด็กส่วนมากในการประท้วงมีอายุระหว่าง 8-13 ปี ตำรวจเริ่มยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมอย่างน้อย 3 ครั้งหลังจากที่ผู้ชุมนุมที่เป็นเด็กหลายคนพยายามล้มกำแพงที่ผู้ยึดครองที่ดินใช้ล้อมกั้นรอบสนามเด็กเล่น มีเด็กนักเรียนอย่างน้อย 10 คนถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจากเหตุการณ์นี้

มาซูด มวินยี โฆษกกรมตำรวจเคนย่าเปิดเผยว่าพวกเขาจับกุมผู้ประท้วงที่เป้นผุ้ใหญ่ไว้ได้ 4 คน อย่างไรก็ตามตัวเขาคิดว่าการใช้กำลังของตำรวจในครั้งนี้ถือว่าไม่เหมาะสมและเปิดเผยว่าจะมีการดำเนินการสืบสวนตามกระบวนการทางวินัยของเจ้าหน้าที่ต่อไป

ผู้ประท้วงในเคนย่าชุมนุมเพื่อต่อต้านการยึดครองที่ดินสนามเด็กเล่นเพื่อเอาไปทำเป็นลานจอดรถ มีเด็กถือป้ายแสดงการต่อต้านการยึดครองที่ดินมีบางป้ายที่เรียกร้องให้รัฐบาลเคนย่าต่อต้านการคอรืรัปชั่น

โบนิฟาซ มวันกิ ผู้ก่อตั้งหน้ากิจกรรมเฟซบุ๊คเกี่ยวกับการประท้วงในครั้งนี้ระบุว่าสนามเด็กเล่นใกล้โรงเรียนลันกาตากำลังจะถูกยึดครองโดยเจ้าของโรงแรมเวสต์ตันซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "กลุ่มนักแย่งชิงที่ดินมืออาชีพ"ที่ทำงานให้กับนักการเมืองระดับสูงมากบางคนในรัฐบาลเคนย่า เขายังแสดงความกังวลอีกว่าโรงเรียนอาจจะถูกสั่งปิดโดยทางการระดับท้องถิ่นถ้าหากถูกยึดพื้นที่สนามเด็กเล่นไป

"สนามเด็กเล่นของโรงเรียนถือเป็นสิ่งจำเป็นต้องมี ไม่ใช่สิทธิพิเศษ นี่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของนักเรียนและของชุมชน การสร้างโรงเรียนโดยไม่มีสนามเด็กเล่นถือว่าผิดกฎหมายท้องถิ่น และถ้าหากพวกเขายึดที่ดินของโรงเรียนสำเร็จ โรงเรียนก็เสี่ยงต่อการถูกสั่งปิดโดยรัฐบาลในเขตปกครองซึ่งเป้นกลุ่มเดียวกับที่อนุญาตให้มีการยึดที่ดินเกิดขึ้น"มวันกิระบุในเฟซบุ๊ค

นอกจากนี้ยังมีชาวเคนย่าจำนวนมากแสดงความไม่พอใจเหตุการณ์นี้ผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #OccupyPlayGround


เรียบเรียงจาก

Kenya police fire tear gas at children's playground protest over alleged 'land grab', ABC News, 20-01-2015

Kenyan schoolchildren tear-gassed during #OccupyPlayground protest, Aljazeera, 19-01-2015

กิจกรรม #OccupyPlayGround

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ที่ประชุม ครม. เตรียมนำเข้าน้ำมันปาล์ม 5 หมื่นตัน - จัดสรรเงินเลี้ยงเด็กเล็ก 400 บาท/เดือน

$
0
0

ที่ประชุม ครม. เตรียมขออนุมัติงบประมาณจัดชื้อน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศ 5 หมื่นตัน 1.5 พันล้านบาท ขอจัดสรรเงินเลี้ยงเด็กเล็กแรกเกิด - 1 ปี 400 บาท ต่อเดือน ส่วนที่การประชุมร่วม ครม. และ คสช. เตรียมติดตามความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น

20 ม.ค. 2558 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ร่วมกับ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยการประชุม ครม. วันนี้ จะเป็นการเร่งรัดงานที่สั่งการไป พร้อมพิจารณาวาระสำคัญๆ อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ขอจัดสรรเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กเล็กช่วงอายุ 0-1 ขวบ รายละ 400 บาท/เดือน กระทรวงพาณิชย์ขออนุมัติงบประมาณจัดชื้อน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศ จำนวน 50 ล้านลิตร หรือ 5 หมื่นตัน วงเงินไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ด้านสำนักงบประมาณ เสนอยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559

ส่วนการประชุมร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันเดียวกันนี้ จะมีการรายงานความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น การออกกฎหมาย และการแก้ไขปัญหาต่างๆ เบื้องต้น แนวทางการดำเนินการทั้งหมดยังถือว่าเป็นไปตามแผนโรดแม็ปของ คสช. แต่บางเรื่องต้องเร่งรัดให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีการออกกฎหมายสำคัญๆ ที่รัฐบาลต้องการเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนแรก จึงขอความร่วมมือไปยัง สนช. ให้เร่งรัดการพิจารณากฏหมายสำคัญ อาทิ กฎหมายชุมนุมสาธารณะ และกฏหมายว่าด้วยการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5-6 ฉบับ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ.ร่าง รธน. เตรียมยกเลิกคำว่า "องค์กรอิสระ"และใช้คำว่า "องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ"

$
0
0

คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณาร่าง รธน. รายมาตราในภาค 3 ว่าด้วยเรื่องนิติธรรม-ศาล "บรวศักดิ์ อุวรรณโณ"เผยเตรียมแก้ไขชื่อ "องค์กรอิสระ"แล้วเรียกใหม่เป็น "องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ"ด้านประธาน สปช. ห่วงเงื่อนเวลาต้องพิจารณาร่าง รธน. 2 รอบ แต่ยังยืนยัน สปช. ทำงานไม่ล่าช้าแค่ไม่ทันใจ และไม่มีปัญหากับรัฐบาล

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (วิกิพีเดีย/แฟ้มภาพ)

20 ม.ค. 2558 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็ยประธานการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในเวลา 09.00 น. วันนี้ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นรายมาตราต่อเนื่อง ในภาค 3 ว่าด้วย นิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

โดยเป็นการพิจารณาต่อจากวานนี้ ที่มีการพิจารณาในบททั่วไปของศาลและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีการบัญญัติหลักการพื้นฐานสำคัญของหลักนิติธรรม 5 ข้อ ถือเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญที่ได้มีการบัญญัติไว้

ทั้งนี้ กรรมาธิการ ได้กำหนดกรอบเบื้องต้นในการพิจารณาหมวดของ ศาลและหลักนิติธรรม ให้แล้วเสร็จภายในวันพุธที่ 21 มกราคมนี้ จากนั้นตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม และตลอดสัปดาห์หน้าจะเป็นการพิจารณาการเรื่อง การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งได้มีการเสนอให้ยกเลิกคำว่า "องค์กรอิสระ"และใช้คำว่า องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐแทน

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานด้วยว่า นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. กล่าวยอมรับว่า เป็นห่วงเรื่องเงื่อนเวลาในการทำงานของ สปช. เนื่องจากต้องแบ่งเวลามาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ 2 รอบ คือหลังยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราเสร็จในเดือนเมษายนนี้ และต้องลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ช่วงเดือนกันยายน 2558 ทำให้การทำงานของ สปช. ขาดความต่อเนื่อง และมีระยะเวลาในการทำงานสั้น จึงเตือนให้สมาชิก สปช.รับทราบเพื่องวางแผนให้ดี และเร่งทำงานด้านปฏิรูปไปจนถึงช่วงเดือนมีนาคม และกลับมาเร่งทำงานอีกครั้งหลังเดือนกันยายนไปจนถึงธันวาคม ทั้งนี้ ยืนยันว่าการทำงาน ของ สปช. ไม่ได้ล่าช้าแต่ไม่ทันใจ

ประธาน สปช. กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หารือถึงแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่าง สปช. กับรัฐบาล ว่า โดยได้หารือเรื่องการเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 ซึ่งการตัดสินใจเป็นของรัฐบาล และสปช.เป็นเพียงอีกหน่วยงานหนึ่งที่ให้ความเห็นเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นที่รัฐบาลขอความเห็นไป ดังนั้นการที่รัฐบาลไม่รับฟังไม่ถือเป็นความขัดแย้ง และไม่เป็นปัญหาการทำงานระหว่าง สปช. และรัฐบาล ส่วนกรณีที่นายวิษณุระบุว่า มีแม่น้ำบางสายไหลเชี่ยว นั้นไม่น่าจะหมายถึง สปช. เพราะส่วนตัวเห็นว่า แม่น้ำสาย สปช. ยังไหลช้าเกินไป ซึ่งที่ผ่านมาการทำงานระหว่างรัฐบาล และสปช. รวมถึงคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่มีอะไรไม่ลงรอยกันหรือมีปัญหา แต่เป็นเพียงความเห็นต่างจึงไม่น่าจะมีผลถึงขั้นยกเลิก(คว่ำ)ร่างรัฐธรรมนูญ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับตาปัญหาพื้นที่บ้านนามูล หลัง ‘อพิโก้’ เตรียมขนแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมเข้าพื้นที่

$
0
0

ชาวบ้านนามูล จังหวัดขอนแก่น หวั่นผลกระทบ หลังบริษัทอพิโก้ฯ เตรียมขนแท่นขุดเจาะเข้าพื้นที่ อ้างขออนุญาติพลังงานจังหวัด และทางหลวงชนบทแล้ว แต่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนในพื้นที่

 

ช่วงสายของวันที่ 19 ม.ค. 2558 ที่ผ่านมา รถตำรวจ และรถเจ้าหน้าของบริษัทอพิโก้ฯ รวม 7 คัน ขับผ่านเส้นทางหมู่บ้านนามูล ต.ดูนสาด อ.กระนวน จ.ขอนแก่น เพื่อเข้าไปยังบริเวณพื้นที่สัมปทานขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม หลุมเจาะดงมูล บี  (DM-B) แปลงสัมปทาน L27/43 ของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด โดยมีรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดไซเลน 3 คันขับผ่านหมู่บ้านไป สร้างความกังวัลใจให้กับชาวบ้านว่า จะมีการขนย้ายอุปกรณ์ขุดเจาะปิโตรเลียมเข้าไปในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาติจากชุมชน

ในเชิงภูมิศาสตร์ แปลงสัมปทาน L27/43 อยู่ในพื้นที่เขต ต.กุงเก่า อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ แต่จากบริเวณแปลงสัมปทานอยู่ห่างจากพื้นที่ชุมชนบ้านมูลเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในขอบเขตพื้นที่ศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม 5 กิโลเมตร ซึ่งชาวบ้านยังไม่ได้รับข้อมูลผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพจากบริษัท หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมามีเพียงแค่การเข้ามาพูดคุยของบริษัทโดยระบุถึงข้อดีของโครงการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม และเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2558 เจ้าหน้าของบริษัทอพิโก้ฯ ได้เดินทางเข้ามาในชุมชน เพื่อเข้ามาแจกเสื้อ กระเป๋า และกรรไกรตัดเล็บให้กับชาวบ้าน โดยได้มีการขอรายชื่อชาวบ้านที่รับของไว้ด้วย ทั้งนี้ชาวบ้านหลายรายเลือกที่จะไม่รับของดังกล่าว และตั้งข้อสังเกตว่ารายชื่อที่ได้ให้ไปนั้นจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุญาติขนย้ายอุปกรณ์เข้าไปยังพื้นที่ขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมหรือไม่

ในช่วงวันที่ 13 – 26  ม.ค. นี้ เป็นช่วงเวลาที่บริษัทอพิโก้ฯ ได้รับการอนุญาติจากทางหลวงชนบท และพลังงานจังหวัดขอนแก่น ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2558 ชาวบ้านได้รวมรวบรายชื่อเพื่อส่งร้องศาลปกครอง ถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นโดยศาลมีคำสั่งเรียกไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติมในวันที่ 21 ม.ค. นี้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมา

การเผชิญหน้าของชุมชนบ้านนามูล กับการขุดเจาะปิโตรเลียมไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น ทว่าเมื่อปี 2532 และปี 2556 ได้มีการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ใกล้กับหลุมเจาะ ดงมูล บี ชาวบ้านได้ให้ข้อมูลว่าผลกระทบจากการขุดเจาะทั้ง 2 ครั้งนั้น ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย แหล่งน้ำใกล้กับแท่นขุดเจาะเมื่อนำมาใช้เกิดอาการผื่นคัน และการออกมาคัดค้านการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงชาวนามูลกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่ยังมีชาวกาฬสินธุ์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้ออกมาคัดค้านก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน(ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

00000

แถลงการณ์ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บ้านนามูล-ดูนสาด ฉบับที่ 2

วันที่ 17 มกราคม พุทธศักราช 2558

เนื่อง ด้วยเรากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด เป็นกลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวกันของชาวบ้าน ตำบลดูนสาด อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ที่ลุกขึ้นมาปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากการคุกคามของโครงการขุดเจาะสำรวจ ปิโตรเลียม หลุมเจาะ ดงมูล บี (DM-B) แปลงสัมปทาน L27/43 ของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด สืบเนื่องจากวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมาพวกเราได้เดินทางไปยื่นหนังสือ กับรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดขอนแก่น โดยมีข้อเสนอ สองประการ คือขอให้นายแพทย์ นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นคนกลางในการจัดเวทีไต่สวนข้อเท็จจริงในการออกใบอนุญาตการขนย้ายอุปกรณ์ ขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม และขอให้ยกเลิกการขนย้ายอุปกรณ์ขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมเข้ามาในพื้นที่ตำบล ดูนสาด เพราะรายชื่อชาวบ้านที่ใช้ประกอบในการขออนุญาตได้มาจากการแจกเสื้อเพื่อแลก กับลายเซ็นโดยไม่ได้ให้ข้อมูลที่แท้จริงกับชาวบ้านจากการพูดคุย แต่รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดขอนแก่นกลับมิได้ ตกลงรับข้อเรียกร้องของเรา แต่ขอหารือกับ บริษัท อพิโก้(โคราช)จำกัด อีกด้านก่อน

จากนั้นได้ยื่นข้อเสนอเปิดเวทีในพื้นที่ตำบลดูนสาด ในวันที่ 17 มกราคม นี้ซึ่งหลังจากพวกเราปรึกษาหารือกันก็มีข้อสรุปว่า ขอให้เลื่อนเวทีพูดคุยออกไปก่อนด้วยเห็นว่า เป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิดจนเกินไป และไม่มีนายแพทย์ นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นคนกลางในการจัดเวที และพวกเราได้แต่สงสัยว่าเหตุใดภาครัฐจึงไม่สนใจคำเรียกร้องของชาวบ้านที่ ต้องการให้รอการตรวจสอบความถูกต้องของการอนุญาตจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เสียก่อน แต่กลับเร่งรัดให้มีการจัดเวทีชี้แจงโครงการ ราวกับว่าต้องการให้สอดคล้องกับแผนที่บริษัทจะขนย้ายอุปกรณ์ขุดเจาะสำรวจ ปิโตรเลียมเข้ามายังหลุมเจาะ ระหว่างวันที่ 13 มกราคม 2558 ถึง วันที่ 26 มกราคม 2558

วันที่ 17 มกราคม 2558 เวลา 13.00 น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดขอนแก่น ยืนยันจะเดินหน้าจัดเวทีประชุมชี้แจงรายละเอียดโครงการขุดเจาะสำรวจ ปิโตรเลียม หลุมเจาะ ดงมูล บี ที่หน้าองค์การบริหารส่วนตำบลดูนสาด แม้ท่านจะไม่สนใจข้อเรียกร้องของพวกเรา แต่พวกเราก็จะใช้สิทธิของพวกเราในฐานะประชาชนปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และชีวิตของลูกหลานจากการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม พวกเราคือผู้ที่เคยได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมมาแล้วครั้ง หนึ่ง และกำลังถูกบังคับให้กลายมาเป็นผู้รับผลกระทบอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างเพียงหน่วยงานของรัฐได้อนุญาตไปแล้ว

ด้วยเหตุที่ได้กล่าว ไปแล้ว กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด ขอประกาศว่า พวกเราไม่ยอมรับเวทีประชุมชี้แจงรายรายละเอียดโครงการขุดเจาะสำรวจ ปิโตรเลียม หลุมเจาะ DM-B (ดงมูลบี) ที่จัดขึ้นโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดขอนแก่น และไม่ต้องการโครงการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมที่อาจจะเป็นอันตรายต่อชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมประเพณีชองชุมชนและขอเรียกร้องความเป็นธรรมต่อสังคมด้วยข้อเรียก ร้อง สอง ประการดังนี้

1. ขอให้มีการเปิดเวทีไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่ง แวดล้อม (EIA) และการขออนุญาตขนย้ายอุปกรณ์ขุดเจาะปิโตรเลียมผ่านพื้นที่ตำบลดูนสาด ของโครงการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม หลุมเจาะดงมูล บี (DM-B) โดยนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นคนกลางในการเปิดเวทีในพื้นที่ตำบลดูนสาด

2. ขอให้ยกเลิกหนังสืออนุญาตขนย้ายอุปกรณ์ขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมเข้ามาใน พื้นที่ตำบลดูนสาด ระหว่างวันที่ 13 มกราคม 2558 ถึง วันที่ 26 มกราคม 2558 เพราะรายชื่อประชาชนที่ใช้ประกอบในการขออนุญาตได้มาโดยมิชอบ

หยุดการพัฒนา จากคราบน้ำตาของประชาชน

ด้วยจิตคารวะต่อธรรมชาติ ชีวิต ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเสมอภาค

กลุ่ม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด

17 มกราคม 2558

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 14385 articles
Browse latest View live