นางพะเยาว์ อัคฮาด และนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เซ็นค้ำประกันเงินประกันตัวจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ
ภาพจากเฟซบุ๊ค Nithiwat Wannasiri
22 ส.ค.56 ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญารัชดา มีนัดสืบพยานคดีที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง ยุทธภูมิ (สงวนนามสกุล) ในความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา โดยพี่ชายของยุทธภูมิเป็นผู้กล่าวหาว่า ยุทธภูมิพูดถ้อยคำหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ขณะดูโทรทัศน์ในบ้าน และเขียนถ้อยคำหมิ่นฯ ลงบนแผ่นซีดี
โดยในวันนี้เป็นวันสืบพยานนัดสุดท้าย ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 13 กันยายนนี้ สำหรับพยานจำเลยที่ขึ้นเบิกความในวันนี้ได้แก่ นายยุทธภูมิ จำเลย , นายสงบ โพธิ์ด้วง เพื่อนบ้านที่เช่าบ้านหลังเดียวกัน, และนางอ่อน มารดาของนายยุทธภูมิ
นายยุทธภูมิ เบิกความถึงความขัดแย้งระหว่างจำเลยกับพี่ชายที่มีมาตลอดหลายปีแม้จะทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ล้างรถด้วยกัน อยู่บ้านเดียวกัน จนกระทั่งพี่ชายย้ายออกจากบ้านไป 2 เดือนก่อนเกิดเรื่อง แล้วย้ายกลับเข้ามาใหม่ แต่ความสัมพันธ์ก็ยังตึงเครียดและไม่พูดคุยกัน บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านเช่าที่อยู่ด้วยกัน 9 คน ชั้นล่างเป็นสำนักงานส่วนชั้นบนเป็นห้องนอน 3 ห้อง ภายในบ้านมีทีวี 3 เครื่อง คือ ชั้นล่าง บนห้องนอนของจำเลย และบนห้องนอนของพี่ชาย โดยที่ผ่านมาจำเลยและพี่ชายไม่เคยดูทีวีร่วมกัน ปัญหาสำคัญที่ทะเลาะกันคือ หมาของทั้งสองมักกัดกัน อีกทั้งหมาของจำเลยเคยกัดพี่ชายและพี่ชายก็เกลียดหมาของจำเลย ทั้งคู่เคยทะเลาะกันถึงขั้นที่พี่ชายจะเอามีดปลอกผลไม้แทงจำเลย และจำเลยจะเอามีดแทงพี่ชาย ครั้งแรกมีเพื่อนบ้านมาห้ามไว้ หลังจากนั้นจำเลยได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ครั้งที่สองพี่ชายโทรแจ้งตำรวจ และตำรวจแนะนำให้แยกกันอยู่ โดยเจ้าของบ้านเช่าเลือกที่จะต่อสัญญากับจำเลย พี่ชายจึงต้องย้ายออกไป
จำเลยเบิกความว่า จำเลยมีความจงรักภักดี ในบ้านของจำเลยมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยนำภาพสวยๆ มาจากปฏิทินหรือหนังสือพิมพ์ ส่วนซีดีของกลางนั้นเคยพบเห็นมาก่อนแต่ยังไม่มีข้อความตามฟ้องที่เขียนเพิ่มเติมแต่อย่างใด หน้าปกซีดีปรากฏเพียงตัวพิมพ์ว่า "หยุดก้าวล่วงพระเจ้าอยู่ เนวินขอทักษิณ” โดยพบซีดีนี้ในกล่องไปรษณีย์หน้าบ้าน จึงนำมาวางบนโต๊ะวางของในบ้านแล้วไม่ได้สนใจอีก ทั้งไม่เคยดูซีดีดังกล่าว
ยุทธภูมิเบิกความถึงขั้นตอนในชั้นสอบสวนด้วยว่า ตกใจมากเมื่อเห็นหมายเรียกแล้วจึงรีบไปพบพนักงานสอบสวนที่กองปราบ พนักงานสอบสวนแจ้งให้ทราบว่าพี่ชายมาร้องทุกข์กล่าวโทษตัวเขาในคดีหมิ่นฯ และสั่งให้เขียนตัวหนังสือในกระดาษเพื่อส่งกองพิสูจน์หลักฐานโดยใช้ปากกาธรรมดา ซึ่งก็ยอมเขียนตามเนื่องจากตำรวจบอกว่าเขียนแล้วจะปล่อยกลับบ้านไม่ต้องประกันตัว จากนั้นไม่นานพนักงานสอบสวนก็ติดต่อให้ไปเขียนใหม่อีกครั้ง โดยระบุว่าให้เขียนด้วยลายมือหวัด และนำแผ่นซีดีซึ่งมีข้อความตามฟ้องที่เขียนด้วยปากกาเมจิกมาให้ดูพร้อมแจ้งว่า “เขียนแบบนี้ อย่าตัวเล็กไป ใหญ่ไป” และกำชับด้วยว่า หากยังเขียนไม่เหมือนจะส่งไปเขียนต่อหน้ากองพิสูจน์หลักฐาน ส่วนหน้าปกซีดีที่มีภาพหน้าบุคคลอยู่ 5-6 คนนั้นจำเลยก็รู้จักแต่ภาพของนายเนวิน ชิดชอบ และนายบุญจง ซึ่งจำเลยจำนามสกุลไม่ได้
จำเลยยังเบิกความเกี่ยวกับทัศนคติเกี่ยวกับคนเสื้อแดงอีกว่า เห็นว่าคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่ง ที่ผ่านมาไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มเสื้อแดง แต่เคยไปซื้อเสื้อแดงที่วัดไผ่เขียวซึ่งอยู่ใกล้บ้านและเสื้อแดงมาจัดชุมนุมหนึ่งครั้ง โดยจะนำเสื้อไปเป็นของที่ระลึกลูกค้าที่เป็นเสื้อแดงซึ่งเป็นยุทธวิธีที่จะทำให้พูดคุยธุรกิจกันง่ายขึ้น ส่วนสถานีโทรทัศน์เสื้อแดงนั้นเคยดูบ้าง และไม่เคยดูช่องเสื้อเหลือง อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกลั่นแกล้งของพี่ชาย
อัยการถามค้านเกี่ยวกับสถานที่ตั้งทีวี โดยจำเลยรับว่า ทีวีที่ชั้นล่างขนาดประมาณ 21 นิ้วตั้งอยู่ใกล้กับโต๊ะทำงานของจำเลย ซึ่งมีเอกสารและเครื่องเขียนวางอยู่ แต่ยืนยันว่าบนโต๊ะไม่มีปากกาเมจิก และที่บ้านไม่มีสัญลักษณ์ของกลุ่มเสื้อเหลือง มีแต่ของเสื้อแดง แต่เสื้อสีแดงที่ไปซื้อมาจากวัดไผ่ล้อมก็มีเพียง 2-3 ตัวและผ้าโพกหัวอีก 4-5 ผืนเท่านั้น ขณะคัดลายมือกับพนักงานสอบสวนไม่มีการบังคับขู่เข็ญ จำเลยไม่รู้จักกับพนักงานสอบสวนรวมถึงพนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ตัวจำเลยมีความจงรักภักดีและหากพบใครที่กระทำการหมิ่นสถาบันก็จะแจ้งความเช่นกัน
นายสงบ โพธิ์ด้วง อาชีพนักงานบริษัทซึ่งเป็นผู้แบ่งเช่าบ้านหลังเดียวกันกับจำเลยและพี่ชาย เบิกความว่ารู้จักทั้งสองคนมากกว่า 6 ปี ทั้งสองมักมีปากเสียงกันเรื่องหมา พี่ชายของจำเลยเป็นนักร้องมักจะอยู่บ้านซ้อมร้องเพลง ขณะที่จำเลยจะออกไปส่งของให้ลูกค้า ก่อนหน้านี้เคยเป็นคนกลางห้ามการทะเลาะครั้งใหญ่ของทั้งสอง 1 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีก ขอยืนยันว่าจำเลยเป็นคนดี แม้จะชอบดื่มเหล้า โผงผาง เสียงดัง แต่ไม่เคยทำร้ายใคร นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจำเลยมีความจงรักภักดีเพราะพยานและจำเลยเคยร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหน้าโทรทัศน์ด้วยกัน ในบ้านของจำเลยก็มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ติดไว้
นางอ่อน มารดาจำเลยและมารดาโจกท์ เบิกความว่า อายุ 67 ปี มีอาชีพทำนาอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษไม่เคยเข้ามากรุงเทพฯ กระทั่งเกิดเรื่องนี้ขึ้น สามีหนีหายไปตั้งแต่ลูกยังเล็กมาก มีลูกทั้งหมด 3 คน โดยโจทก์เป็นลูกคนกลาง และจำเลยเป็นลูกคนสุดท้อง ที่ผ่านมาลูกคนกลางมักชอบเอาเปรียบลูกคนเล็ก ส่วนลูกคนเล็กนั้นโผงผาง พูดเสียงดัง แต่ซื่อและขี้เล่น ที่ผ่านมามีแต่ลูกคนเล็กที่ส่งเสียราวเดือนละ 2,000-3,000 บาท ส่วนลูกคนกลางนั้นไม่เคยส่งเสียสักครั้ง
มารดาของทั้งคู่กล่าวว่า เมื่อทราบเรื่องคดีความที่เกิดขึ้นได้เดินทางไปพบลูกชายคนกลางที่แจ้งความจับน้องชาย 2 ครั้ง เพื่อถามถึงสาเหตุและขอร้องให้อภัยต่อกัน ถอนการแจ้งความ โดยลูกชายคนกลางกล่าวว่า น้องชายเป็นคนเลว สมควรติดคุก และมักจะเหยียดหยามดูถูกเขาเสมอ รวมทั้งมีการด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และไม่สามารถถอนฟ้องได้ไม่เช่นนั้นเขาจะเดือดร้อนเอง เมื่อไปพบครั้งที่สอง ลูกคนกลางซึ่งเป็นโจทก์ได้ฝากจดหมายถึงลูกคนเล็ก เนื้อหาในจดหมายสรุปได้ว่าหากต้องการขอโทษที่เคยแสดงความเหยียดหยามกันไว้ให้มาขอขมาพร้อมด้วยเงิน 50,000 บาท
ในช่วงเย็น นางจงกล ภรรยานานยุทธภูมิ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมได้อนุมัติหลักทรัพย์เป็นเงินสด 600,000 บาทเพื่อยื่นประกันตัวนายยุทธภูมิ พร้อมกับมีนางพะเยาว์ อัคฮาจ แม่ของ ‘น้องเกด’ หรือ กมลเกด อัคฮาด ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมปี53 และนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พ่อของ ‘น้องเฌอ’ หรือสมาพันธ์ ศรีเทพ ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 มาเป็นบุคคลผู้ค้ำประกัน อย่างไรก็ตาม การยื่นประกันตัวดำเนินการไม่ทันเวลาทำการ ทำให้ต้องดำเนินการและรอฟังผลอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (23 ส.ค.)