กทม.โอดลด BTS ส่วนต่อขยายค่าใช้จ่ายเพิ่ม เล็งปรับยอดสำรองจ่ายค่าจ้างเหลือ 14 เดือน
9 ก.ค.56 - นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ว่า ที่ประชุมได้รายงานผลการดำเนินงานรถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้งในส่วนเส้นทางสัมปทานของบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส และเส้นทางของกทม. ในส่วนต่อขยายสุขุมวิทและสายสีลมประจำเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน โดยภายหลังที่บีทีเอสได้ปรับขึ้นค่าโดยสาร พบว่าจำนวนผู้โดยสารไม่ได้ลดน้อยลง ยังอยู่ที่ประมาณวันละ 770,000 เที่ยวคนต่อวัน ส่วนกรณีที่กทม.ได้ปรับลดค่าโดยสารเส้นทางส่วนต่อขยายจาก 15 บาท เหลือ 10 บาทตามนโยบายผู้ว่าฯกทม.นั้น พบว่ามีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ระหว่าง 170,000-220,000 เที่ยวคนต่อวัน
นายอมร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กทม.ได้สำรองเงินค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าให้บีทีเอส 647 ล้านบาท เพื่อสำรองจ่ายค่าจ้างเดินระบบในระยะ 18 เดือน ตามสัญญาจ้าง 30 ปี แต่เนื่องจากการปรับลดค่าโดยสารเหลือ 10 บาทในส่วนต่อขยาย ทำให้กทม.แบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จึงต้องพิจารณาว่าจะสามารถสำรองจ่ายลดลงมาในระยะ 12 เดือนหรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทบกับการเดินรถทั้งระบบ แต่กทม.มีรายได้ทางตรงจากพื้นที่เชิงพาณิชย์ปีละ 80-90 ล้านบาท และทางอ้อมจากการจัดเก็บภาษีโรงเรือนในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เพิ่มขึ้น จึงคาดว่าจะสามารถสำรองจ่ายค่าเดินรถได้ 14 เดือน
"ขณะที่การลดราคารถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ(บีอาร์ที) จาก 10 บาทเหลือ 5 บาท พบว่ามีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 16,000 คนต่อวัน เป็น 20,000 กว่าคนต่อวัน จึงมอบหมายให้สำนักการจราจรและขนส่ง กทม.ไปสำรวจว่าจำนวนรถเพียงพอหรือไม่ ซึ่งอาจต้องเพิ่มจำนวนรถจาก 25 คันเป็น 30 คัน ส่วนแผนการเพิ่มเส้นทางที่เคยวางไว้ ก็ได้ทับซ้อนกับเส้นทางรถไฟฟ้าของรัฐบาลเกือบทุกเส้น จึงมีแนวคิดจะเพิ่มเส้นทางในพื้นที่ฝั่งธนบุรี บริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 1 แต่ยังติดปัญหากายภาพและสาธารณูปโภคในพื้นที่ จึงต้องพิจารณากันอีกครั้ง"นายอมร กล่าว
(คมชัดลึก, 9-7-2556)
เยาวชนไทยเจ๋ง คว้า2เหรียญทอง แข่งขันฝีมือแรงงาน นานาชาติครั้งที่ 42
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ หรือ World Skill ครั้งที่ 42 ที่เมืองไลพ์ซิก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีปิดฉากลงแล้วอย่างสวยงาม ท่ามกลางบรรยากาศที่สนุกสนาน และครึกครื้นของเยาวชนจาก 54 ประเทศทั่วโลก ที่ขึ้นรับเหรียญรางวัล และชมการแสดงแสงสีเสียง ที่ประเทศเจ้าภาพจัดขึ้น โดยเยาวชนไทยเจ๋งสามารถคว้า 2 เหรียญทอง จากการแข่งขันฝีมือแรงงานครั้งนี้ได้
(แนวหน้า, 9-7-2556)
จัดหางานนครปฐม ผู้ที่สนใจเดินทางไปทำงานในไต้หวัน
นางศุภนา คุ้มวงศ์ดี จัดหางานจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานแจ้งว่านายจ้างไต้หวันซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนโทรศัพท์ (smartphone) ได้ขออนุญาตนำเข้าแรงงานไทย(หญิง) ต่อสำนักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป จำนวน 230 คน จึงประชาสัมพันธ์ให้ผู้ทีประสงค์เดินทางไปทำงานในไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแรงงานที่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี จบการศึกษาอย่างน้อยมัธยมศึกษาตอนปลาย หรืออาชีวศึกษา สามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษได้บ้าง เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้ในการทำงาน ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้สนใจ ขอให้มาลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด นครปฐม โทร 0-3425-0861-2 ต่อ 21
อนึ่งสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐมขอแจ้งว่าขณะนี้ทางสถานประกอบการใน ไต้หวันมีความประสงค์จะจ้างแรงงานไทยจำนวนมากเนื่องจากมีการระงับการให้แรง งานต่างชาติบางชาติเข้ามาทำงานในไต้หวัน ดังนั้นถ้าคนหางานไทยประสงค์จะไปทำงานในไต้หวันให้ติดตามข่าวประชาสัมพันธ์ จากสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐมได้ต่อไป
(สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐม, 10-7-2556)
เผยอุตสาหกรรมขาดแรงงาน 3 แสน
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้สำรวจความต้องการแรงงาน ในภาคอุตสาหกรรม ล่าสุด พบว่าขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบยังขาดแคลนแรงงานอยู่กว่า 300,000 คน โดยทั้งหมดนี้เป็นการขาดแคลนแรงงานที่จบการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา, ปวช.และ ปวส., อนุปริญญา รวมกันเกือบ 270,000 คน ที่เหลืออีก 30,000 คน เป็นการขาดแรงงานระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก
นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานแล้ว ภาคอุตสาหกรรมยังมีปัญหาเรื่องการรับแรงงานเข้าทำงาน ไม่ตรงกับวิชาชีพที่เรียนมา เนื่องระบบการผลิตภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนามากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีตที่ ผ่านมา โดยมีการใช้ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาในกระบวนการผลิต ในขณะที่หลักสูตรการศึกษาด้านแรงงานของประเทศไทย ยังไม่มีการพัฒนาหลักสูตรเพื่อฝึกฝีมือแรงงาน ให้มีความพร้อมกับระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้นายจ้างต้องยอมจ้างงานจากแรงงานที่จบการศึกษาในระบบปัจจุบัน โดยไม่มีทางเลือกมากนัก
“ผลการสำรวจของ ส.อ.ท.พบว่า ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนแรงงานเพราะมีการเติบโตต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มที่นักลงทุนต่างชาติจะทยอยเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ ทำให้การขาดแคลนแรงงานของกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกๆปี”
นายพยุงศักดิ์ กล่าวอีกว่า เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรม ส.อ.ท.ก็จะเพิ่มความร่วมมือกับภาคการศึกษา โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดทำหลักสูตรและพัฒนาบุคลากร จากระบบการศึกษาวิชาชีพช่างอุตสาหกรรมให้มีการผลิตแรงงานใหม่ๆออกมาสู่ตลาด แรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการ.
(ไทยรัฐ, 10-7-2556)
ครู-ลูกจ้างอาชีวะ 1,398 ตำแหน่งเฮ! เพิ่มเงินค่าครองชีพ 1,500 บาท
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ทำหนังสือแจ้งหัวหน้าสถานศึกษาและหน่วยงานในสังกัด สอศ.ทั่วประเทศ เพื่อให้ดำเนินการเรื่องให้ข้าราชการได้รับการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่ว คราว ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของ ข้าราชการและลูกจ้างประจำส่วนราชการฉบับที่ 5 พ.ศ.2555 โดยได้เพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครอง ชีพชั่วคราวฯ พ.ศ.2548 เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 และวันที่ 20 กันยายน 2554 ที่เห็นชอบให้ปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ที่บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่ กำหนดไว้
โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.ในกรณีที่กำหนดให้คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น ต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ซึ่งบรรจุหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวที่มีเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนจนครบ 15,000 บาท และ 2.กรณีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ที่มีเงินเดือนค่าจ้างไม่ถึง 12,285 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ 1,500 บาท แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 12,285 บาท และกรณีจำนวนเงินที่ได้รับดังกล่าวรวมกันไม่ถึงเดือนละ 9,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นอีกจนถึงเดือนละ 9,000 บาท
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำของ สอศ. อาทิ ครูผู้ช่วย ครู พนักงานธุรการ พนักงานบัญชี เป็นต้น ที่จะได้รับการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวครั้งนี้ มีจำนวน 1,398 คน ส่วนใหญ่จะเป็นครูผู้ช่วย ครู ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยการอาชีพ วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-30 กันยายนนี้
(ประชาชาติธุรกิจ, 10-7-2556)
กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออกจี้ 'บ.สมบูรณ์ โซมิค'รับกรรมการสหภาพเข้าทำงาน
10 ก.ค. 56 - กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออกได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัท สมบูรณ์ โซมิค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ (ลูกหมาก) ส่งให้กับบริษัท Toyota, Honda, Izusu และ Mitsubishi รับกรรมการบริหารของสหภาพแรงงานสมบูรณ์โซมิคที่ถูกพักงานทั้งหมดกลับเข้าทำ งานในอัตราค่าจ้างและสภาพการจ้างเดิมทุกประการ
โดยเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 56 ที่ผ่านมาบริษัทได้แจ้งคำสั่งหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง (หรือสั่งพักงาน) เพื่อรอคำสั่งศาลเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างซึ่งเป็นกรรมการบริหารของสหภาพแรง งานสมบูรณ์โซมิค จำนวน 5 คน โดยระบุว่ากรรมการบริหารของสหภาพแรงงานสมบูรณ์โซมิคทั้ง 5 คนนี้ ได้กระทำการปลุกปั่น ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นใด เพื่อให้พนักงานคนอื่นๆ ของบริษัท ชะลอการทำงานในเวลาทำงานปกติ และหยุดงานล่วงเวลาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง และทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา
แต่ทั้งนี้ทางสหภาพแรงงานสมบูรณ์โซมิคได้ระบุว่ากรรมการบริหารของสหภาพ แรงงานสมบูรณ์โซมิคทั้ง 5 คน ไม่ได้มีการปลุกปั่นพนักงานให้เฉื่อยงานแต่ประการใด โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวที่บริษัทระบุนั้น (ปี 2555) มีเพียงเหตุการเครื่องจักรเสีย จนต้องสั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งส่งผลให้บริษัทสูญเสียผลกำไรไปกว่า 100 ล้านบาท และทางสหภาพแรงงานระบุว่าเหตุผลที่นายจ้างกล่าวอ้างนั้นไม่ใช่เหตุอันควรใน การเลิกจ้าง
โดยทางกลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก เห็นว่าการกระทำของบริษัทฯ ไม่เป็นธรรมแก่คนงาน จึงขอเรียกร้องให้บริษัท สมบูรณ์ โซมิค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ปฏิบัติตามกฎหมาย และหลักปฏิญญาสากล ดังต่อไปนี้
1. ให้บริษัท สมบูรณ์ โซมิค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด รับกรรมการลูกจ้างทั้งหมดกลับเข้าทำงานในอัตราค่าจ้างและสภาพการจ้างเดิมทุก ประการโดยไม่มีเงื่อนไข
2. ห้ามมิให้บริษัท สมบูรณ์ โซมิค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ขัดขวางการดำเนินงานของสหภาพแรงงานสมบูรณ์โซมิค ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
3. ห้ามมิให้บริษัทฯ ขัดขวางการดำเนินการโดยการกลั่นแกล้งการลงโทษหรือเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็น กรรมการและสมาชิกของสหภาพแรงงานฯ ด้วยเหตุผลอันไม่เป็นธรรมอีกต่อไป
4. ให้บริษัทสมบูรณ์ โซมิค แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด จัดให้มีการเจรจาหาข้อยุติปัญหาการกลั่นแกล้งสหภาพแรงงานฯ ระหว่างผู้แทนของสหภาพแรงงานฯ และผู้แทนของบริษัทฯ เพื่อหาทางออกร่วมกันโดยเร็ว
(ประชาไท, 10-7-2556)
บอร์ด สปส.ปล่อยกู้ 500 ล. รองรับแรงงานทำงาน ตปท.
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิดเผยว่า ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแจ้งกลับมายัง สปส.แล้วว่า ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 40 สามารถกู้เงินกองทุน สปส.ในโครงการสินเชื่อเพื่อไปทำงานต่างประเทศได้ ด้วยเหตุนี้ ในการประชุมบอร์ด สปส. จึงมีมติเห็นชอบอนุมัติให้ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อไปทำงานต่างประเทศ โดย สปส.กำหนดกรอบวงเงินไว้ทั้งหมด 5,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้กู้ทั้งสิ้นประมาณ 10,000 คน เบื้องต้นจะมีการนำร่องโครงการก่อนโดยใช้วงเงิน 500 ล้านบาท และธนาคารกรุงไทยจะเป็นผู้ปล่อยกู้คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 คงที่ 2 ปี
นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า สำหรับเงื่อนไขการกู้เงินโครงการนี้ผู้กู้ต้องเป็นหรือเคยเป็นผู้ประกันตนมา ตรา 33 หรือ มาตรา 40 โดยกรณีมาตรา 40 นั้นต้องส่งเงินสมทบติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน นอกจากนี้ ผู้ยื่นกู้ต้องมีหลักฐานประกอบด้วยหนังสือรับรองจาก สปส.ว่าเป็นผู้ประกันตนหรือเคยเป็นผู้ประกันมาตรา 33 หรือ มาตรา 40 และมีหนังสือรับรองจากกรมการจัดหางาน (กกจ.) ว่าทำงานต่างประเทศและมีนายจ้างจริง ซึ่งสามารถยื่นกู้ได้รายละ 150,000 บาท โดยไม่ต้องใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่จะต้องทำสัญญากับธนาคารกรุงไทยยินยอมให้หักเงินเดือนเพื่อผ่อนชำระหนี้ สปส.ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทยสาขาต่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาหนี้เสีย
"สปส.จะลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับธนาคารกรุงไทย ซึ่งจะเป็นผู้บริหารจัดการเงินกู้ของโครงการในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นคาดว่าเดือนสิงหาคม โครงการจะเริ่มปล่อยกู้ได้ เมื่อทำเอ็มโอยูกับธนาคารกรุงไทยแล้ว สปส.จะนำเงินกองทุนประกันสังคมก้อนแรก 10 ล้านบาท ไปฝากไว้กับธนาคารกรุงไทย โดยเงินฝากของ สปส.นั้นก็จะได้รับดอกเบี้ยจากธนาคารด้วยในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 คงที่ 2 ปี"ประธานบอร์ด สปส.กล่าว และว่า ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบให้ปรับระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกลุ่ม วินิจฉัยโรคร่วม (ดีอาร์จี) เช่น โรคมะเร็ง โรคไต ในอัตราตามระดับความรุนแรงของโรค (RW) ตั้งแต่ระดับเกินกว่า 2 ขึ้นไปให้จ่ายอยู่ที่ระดับละ 15,000 บาท แต่หากวงเงินค่ารักษาทั้งหมดเกินกว่าเกณฑ์ที่ สปส.กำหนด โรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนมีบัตรรับรองสิทธิจะต้องเป็นผู้จ่ายเงินส่วนต่างที่ เพิ่มขึ้นเอง
(ประชาชาติธุรกิจ, 11-7-2556)
ศาลยกฟ้อง-กรณีลูกจ้างไทรอัมพ์ฯ ชุมนุมรัฐสภาปี 52 เตรียมฟ้องกลับ จนท.
11 ก.ค.56 - ที่ศาลอาญา รัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.จิตรา คชเดช น.ส.บุญรอด สายวงศ์ และนายสุนทร บุญยอด อดีตผู้นำแรงงาน ในความผิดฐานมั่วสุมกันก่อการวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และ 216 ว่าด้วยการชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป จากกรณีที่คนงานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ชุมนุมประท้วงหน้ารัฐสภา สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552
โดยประเด็นที่ศาลพิจารณา คือโจทก์ฟ้องจำเลยว่า ชุมนุมปิดถนน ปิดประตูทำเนียบ ทางออกที่ 4 ปิดทางเข้ารัฐสภา ปิดช่องทางเดินรถหลายช่องทางไม่ให้รถผ่าน ทำให้การจราจรติดขัด ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อน ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งเป็นการก่อความไม่สงบ
จากการนำสืบ ศาลพิจารณาจากพยานโจทก์ที่เป็นตำรวจซึ่งเบิกความว่า เมื่อผู้ชุมนุมยื่นหนังสือเสร็จก็กลับ ตรงกับที่พยานโจทก์ที่เป็นตำรวจอีกราย เบิกความว่า ผู้ชุมนุมแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แล้วว่าจะมาชุมนุม และเบิกความว่าไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย เมื่อยื่นหนังสือร้องเรียนเสร็จก็กลับ
กรณีที่ฟ้องว่าจำเลยปิดช่องทางจราจร ซึ่งในคดีมีการกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมได้นำแผงเหล็กมากั้นนั้น พยานโจทก์ที่เป็นตำรวจเบิกความว่า แผงเหล็กที่ถนน ตำรวจเอามาเอง ศาลพิจารณาแล้วน่าเชื่อว่าแผงเหล็กนี้เป็นของตำรวจมากกว่าของลูกจ้าง ซึ่งตำรวจเอามาเพื่อจำกัดขอบเขตการชุมนุม เพื่อรักษาความปลอดภัย
ส่วนประเด็นที่บอกว่ามีการปิดช่องทางจราจร ศาลพิจารณาจากเอกสารภาพถ่ายพบว่า ผู้ชุมนุมมีจำนวนมากกว่า 300 คน การใช้ช่องทางหลายช่องทางเกิดจากการรวมตัวกันตามสภาพ และจากภาพถ่าย ผู้ชุมนุมไม่ได้ใช้ช่องทางทั้งหมด และยังมีช่องทางจราจรที่ใช้ได้
ส่วนการที่มายื่นหนังสือ แม้ว่าจะส่งผลต่อการจราจรก็ถือเป็นการใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น ยังไม่ถือเป็นการก่อความวุ่นวาย และดูที่เจตนาว่ามายื่นหนังสือถึงผู้มีอำนาจให้เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหา โดยก่อนหน้านี้เคยมายื่นหนังสือแล้วไม่คืบหน้า ผู้ชุมนุมเลยเดินทางมาเพื่อขอทราบความคืบหน้า และเมื่อยื่นเสร็จแล้วก็กลับ ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย ไม่เป็นความผิดอาญาตามมาตรา 215 ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสาม
สุนทร บุญยอด กล่าวว่า แม้ศาลจะยกฟ้องคดีนี้ แต่มองว่าคำตัดสินจะมีผลต่อการชุมนุมในอนาคต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือคนที่ไม่พอใจกับการชุมนุมอาจหยิบเรื่องการปิดถนนมา ใช้จัดการได้ นอกจากนี้ จากคำพิพากษา ซึ่งมีการพิจารณาถึงจำนวนผู้ชุมนุม ต่อไปหากมากันจำนวนน้อยก็เสี่ยงต่อการถูกฟ้องได้
จิตรา คชเดช กล่าวว่า คำตัดสินคดีนี้ถือเป็นการสร้างมาตรฐานว่า การชุมนุมโดยสงบ และมีข้อเรียกร้องชัดเจน ต่อไปจะไม่ถูกตำรวจนำมาแจ้งจับโดยง่าย อย่างไรก็ตาม กังวลว่า ต่อไปถ้าผู้ชุมนุมมีจำนวนน้อยอาจถูกฟ้องได้ โดยกรณีของตัวเองนั้น ผู้ชุมนุมมาจากหลายสถานประกอบการ คนจึงเยอะ แต่บางกรณีปัญหา คนอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ จึงอาจต้องเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมใหม่
"เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา รัฐบาลต้องเตรียมหน่วยงานรับผิดชอบ ลงพื้นที่โดยตรง ผู้ชุมนุมอาจไม่ได้ต้องมาที่ทำเนียบหรือรัฐสภา เพราะแค่ต้องการให้แก้ปัญหาเท่านั้น"จิตรากล่าว
จิตรา เปิดเผยด้วยว่า หลังประชุมปรึกษาหารือกับทีมทนายความ ต่อจากนี้จะดูรายละเอียดทั้งหมดและฟ้องกลับตำรวจทุกประเด็น ทั้งเรื่องการทดลองใช้เครื่องขยายเสียงระดับไกล หรือ LRAD ของเจ้าหน้าที่ต่อคนงาน เรื่องทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง การละเมิดสิทธิ ฯลฯ ทั้งนี้รอคัดคำพิพากษา แล้วจะไปยื่นให้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคงจะได้เปิดประเด็น รายงานของกรรมการสิทธิฯ ต่อกรณีนี้ พร้อมจัดเสวนาประเด็นนี้ต่อไป
บุญรอด สายวงศ์ อดีตเลขาธิการสหภาพแรงงานไทรอัมพฯ กล่าวหลังฟังคำพิพากษาว่า จากคำพิพากษาทำให้แรงงานจะออกมาต่อสู้สิทธิของตัวเองได้ รวมถึง ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าศาลจะไม่ลงเพราะเราไม่ได้ทำผิดจริงๆ
ทั้งนี้ปัจจุบัน บุญรอด ไม่ได้เป็นเลขาธิการสหภาพแรงงานฯ โดยบุญรอดเปิดเผยว่าต่อจากนี้ก็จะร่วมกับเพื่อนอดีตคนงานไทรอัมพ์ฯ ผลิตกางเกงชั้นในกับกลุ่มสหกรณ์คนงานธาร์ยอาร์ม ที่เป็นอดีตคนงานไทรอัมพ์ฯ ที่ถูกเลิกจ้างแล้วรวมตัวกันผลิตสินค้าต่อไป
อนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 และ 216 มีรายละเอียดว่า มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ บรรดาผู้ที่กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(ประชาไท, 11-7-2556)
นครปฐมแจ้งรับ แรงงานเก็บผลไม้
นางศุภนา คุ้มวงศ์ดี จัดหางานจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า ขอประชาสัมพันธ์การไปทำงานเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ ระหว่างเดือน ก.ค.-ก.ย. ซึ่งประเทศสวีเดน สามารถขออนุญาตไปทำงานได้ในรูปแบบการเป็นลูกจ้างของนายจ้างในประเทศไทย โดยไม่ต้องเสียภาษีรายได้ร้อยละ 25 ให้แก่สวีเดน ขณะที่นายจ้างจะกำหนดค่าจ้าง และประกันรายได้ให้เดือนละ 18,975 โครนาสวีเดน หรือประมาณ 85,000 บาท พร้อมจัดทำประกันสุขภาพให้ลูกจ้าง
นางศุภนากล่าวต่อว่า ส่วนอีกประเทศฟินแลนด์ อนุญาตให้เดินทางไปทำงานได้วิธีเดียวคือ การเดินทางด้วยตนเอง สอบถาม โทร.0-3425-0861-2 ต่อ 23 ในวันเวลาราชการ
(ข่าวสด, 11-7-2556)
รื้อเงินเดือน "รัฐวิสาหกิจ"ชงป.ตรีขึ้น 50% - เต็มเพดาน 2.3 แสน
ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 107/2556 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงาน ภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุด วันที่ 18 กรกฎาคมนี้ คณะกรรมการชุดนี้จะประชุมหารือกันเป็นครั้งแรก เพื่อกำหนดแนวทางในการพิจารณาความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและ บุคคลากรในหน่วยงานภาครัฐทั้งระบบ
ขณะเดียวกันจะพิจารณาข้อเรียกร้องของตัวแทนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ต้อง การให้มีการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจโดยเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องอัตราค่าครองชีพในปัจจุบัน และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน และปรับขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 1.5 หมื่นบาท/เดือน ซึ่งทำให้พนักงานรัฐวิสาหกิจบางส่วนได้รับผลกระทบจากที่พนักงานใหม่ได้รับ เงินเดือนค่าจ้างในระดับที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกับพนักงานเดิม ขณะที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกหลักเกณฑ์เยียวยาข้าราชการที่ได้รับผลกระทบใน ลักษณะเดียวกันไปแล้ว
ตนเห็นว่าการผลักดันปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและผลตอบแทนของหน่วย งานราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่องที่ควรสนับสนุน เพราะนอกจากช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้าสู่ภาครัฐแล้ว ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจอีกทางหนึ่ง เรื่องนี้แม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็พยายามผลักดันเต็มที่ จึงได้มีคำสั่งสำนักนายกฯ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และตัวแทนภาคเอกชนร่วมอยู่ในคณะกรรมการด้วย
ดร.ทศพรกล่าวว่า ยอมรับว่าแนวทางในการพิจารณาปรับโครงสร้างเงินเดือนรัฐวิสาหกิจเป็นเรื่อง ที่ต้องใช้เวลา เนื่องจากแต่ละองค์กรมีกฎหมายจัดตั้งเฉพาะ กำหนดโครงสร้างในการบริหารจัดการในลักษณะที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม หลังการหารือในที่ประชุมน่าจะได้แนวคิดและทางเลือกที่เหมาะสม จากนั้นจะเสนอให้กระทรวงการคลังและ ครม.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ"ว่า ในส่วนของกระทรวงการคลัง ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำลังอยู่ระหว่างปรับบัญชีโครงสร้างเงินเดือนรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกัน หลังจากก่อนหน้านี้ ครม.เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมาได้เห็นชอบแนวทางจ่ายโบนัสแก่พนักงานรัฐวิสาหกิจ และปรับอัตราค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจไปแล้ว ฝ่ายกฎหมาย สคร.กำลังทำเรื่องปรับบัญชีโครงสร้างเงินเดือนใหม่อยู่ โดยดึงบัญชีจากทุกรัฐวิสาหกิจมาพิจารณา
แนวทางการปรับบัญชีโครงสร้างเงินเดือนใหม่จะปรับจากเดิมที่มี 58 ขั้น เป็น 70 ขั้น เนื่องจากปัจจุบันเกิดปัญหาขั้นเงินเดือนตันในระดับขั้นสูงสุด เพราะที่ผ่านมามีการปรับขึ้นเงินเดือนในระดับฐานข้างล่างไปแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาท แต่ฐานข้างบนยังไม่ได้ปรับ หลังดำเนินการเสร็จเรียบร้อยจะเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามขั้นตอน ต่อไป
สำหรับวงเงินที่จำเป็นต้องนำมาใช้จ่ายเพิ่ม กรณีเป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถจ่ายเงินเดือนเองได้ ก็สามารถใช้รายได้ของตัวเองจ่ายเงินเดือน อย่างไรก็ดี เมื่อค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้การคำนวณผลกำไรลดลง ทำให้การจ่ายเงินปันผล และการนำส่งรายได้เข้ารัฐก็จะลดลงตามไปด้วย จะกระทบทางอ้อมต่อรายได้รัฐบาล ขณะเดียวกันในกรณีเป็นรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน ซึ่งปกติต้องของบประมาณจากรัฐบาล รัฐก็จะมีผลกระทบโดยตรง
อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็น และแนวทางที่ชัดเจน เพื่อเสนอระดับนโยบายตัดสินใจต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง มีพนักงานรวมกันแล้วมีจำนวนมากกว่า 2.94 แสนคน ที่ผ่านมา สคร.เคยศึกษาปรับโครงสร้างเงินเดือนมาก่อนแล้ว ยกเว้นรัฐวิสาหกิจกลุ่มที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยโครงสร้างเงินเดือนรัฐวิสาหกิจมีอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรก มีกว่า 30 แห่ง คือรัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้าง 58 ขั้น ตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ อาทิ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท ขนส่ง จำกัด องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 มี 13 แห่ง เป็นรัฐวิสาหกิจที่ ครม.เคยมีมติให้สามารถกำหนดอัตราเงินเดือนค่าจ้างและสวัสดิการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ อาทิ บมจ.ปตท. บมจ.กสท โทรคมนาคม บมจ.ทีโอที บมจ.อสมท. บมจ.การบินไทย เป็นต้น
และกลุ่มที่ 3 มี 16 แห่ง ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างเป็นของตัวเอง อาทิ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน เป็นต้น
ด้านแหล่งข่าวจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สรส.ในฐานะตัวแทนพนักงานรัฐวิสาหกิจพยายามเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลปรับ โครงสร้างอัตราเงินเดือนอย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) กระทรวงแรงงาน โดยผ่านทางนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ อดีต รมว.แรงงาน ตั้งแต่ต้นปี 2554 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากที่รายได้ไม่สอดคล้องค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้ใช้แรงงานและข้าราชการมีรายได้เพิ่มจากการปรับขึ้นค่าแรงและอัตรา เงินเดือนช่วงก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหาทางแก้ไขโดยด่วน
ขณะเดียวกัน สรส.ได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างอัตรา เงินเดือน เนื่องจากโครงสร้างอัตราเงินเดือนของรัฐวิสาหกิจบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2537 หรือเมื่อ 19 ปีก่อน ทำให้พนักงานขาดขวัญและกำลังใจในการทำงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งระบบ กระทบต่อเนื่องผลประกอบการและการนำเงินรายได้ส่งเข้ารัฐโดยตรง จึงอยากให้รัฐเข้ามาดูแลและหาทางออกโดยเร็ว
สำหรับร่างบัญชีอัตราโครงสร้างเงินเดือนใหม่ที่ได้จัดทำขึ้น มีทั้งดำเนินการในนาม สรส.ซึ่งได้เสนอให้กำหนดอัตราเงินเดือนไว้ที่ 58 ขั้นเท่าเดิม เพียงแต่ปรับอัตราเงินเดือนแต่ละขั้นสูงขึ้นจากอัตราที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ตามมติ ครม.เมื่อ 28 มีนาคม 2554 อาทิ ขั้น 1.0 ปรับขึ้นจากเงินเดือน 5,780 บาท เป็น 9,040 บาท ขั้น 1.5 ปัจจุบันที่ 5,780 บาท เป็น 9,310 บาท ขั้น 2.0 ที่ 5,780 เป็น 9,580 บาท ขั้น 2.5 จาก 5,780 บาท เป็น 9,870 บาท ขั้น 3.0 จาก 5,780 เป็น 10,150 บาท ขั้น 3.5 จาก 5,780 จาก 10,150 บาท ขั้น 21.0 ที่ 15,000 บาท เป็น 28,980 บาท และขั้นสูงสุดขั้นที่ 58 จากปัจจุบัน 119,200 บาท เป็น 189,330 บาท
ขณะที่ในส่วนของร่างบัญชีโครงสร้างเงินเดือนที่จัดทำโดยกลุ่มประสานงาน บุคคลรัฐวิสาหกิจ (กบร.) เสนอให้ปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนจากเดิม 58 ขั้น เป็น 70 ขั้น อาทิ ขั้นที่ 1.0 จนถึง 4.0 อัตราเงินเดือน 5,780 บาท จากนั้นในขั้น 4.5 เงินเดือน 5,940 บาท ขั้น 5.0 ที่ 6,110 บาท ขั้น 6.5 ที่ 6,630 บาท ขั้น 21 เงินเดือน 15,000 บาท ขั้น 21.5 ที่ 15,440 บาท ขั้น 58.0 ที่ 119,200 บาท และสูงสุดขั้น 70.0 ที่ 231,280 บาท เป็นต้น
เป็นที่น่าสังเกตุว่าร่างบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนที่เสนอให้ภาครัฐ พิจารณาส่วนใหญ่มีการปรับขั้นจากอัตราเดิมถึงกว่า 50-60% อาทิ เงินเดือนระดับปริญญาตรีปัจจุบันที่ 9,670 บาท ขยับเพิ่มเป็น 15,000 บาท ขณะที่อัตราขั้นที่ 1.0 ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุด จากปัจจุบัน 5,780 บาท ปรับเพิ่มเป็น 9,040 บาท เป็นต้น
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของ ผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อมูลเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนข้า ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจจากกระทรวงการคลัง โดยนัดประชุมพิจารณาเรื่องนี้ครั้งแรกวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว เบื้องต้นจะกำหนดหลักเกณฑ์และวางแนวทางในการพิจารณาอย่างเป็นระบบ เพราะเกี่ยวโยงถึงหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งระบบ
(ประชาชาติธุรกิจ, 11-7-2556)
ทหารตรวจเข้มทุกจุดช่วงเปิดให้ทำบัตรต่างด้าว
เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 11 ก.ค. พ.อ.อุทิศ อนันตนานนท์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตามจุดสกัดต่างๆ ของหน่วยที่มีอยู่ภายในจังหวัดระนองและใกล้เคียง ทั้งทางบกและทางน้ำ ให้เพิ่มการการตรวจค้นรถที่มีการบรรทุกแรงงานต่างด้าวอย่างละเอียด ในส่วนของทางเข้าปากแม่น้ำที่จะมีต่างด้าวโดยสารทางเรือโดยสารมายังฝั่ง ระนอง ก็ให้เพิ่มความตรวจเข้มเช่นกัน นอกจากนี้ในช่วงมืด ได้กำชับให้หน่วยฉลามนำเรือเร็วออกลาดตระเวนด้วย เพื่อป้องกันการลักลอบนำต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าประเทศ เนื่องจากในช่วงนี้ทางประเทศไทยได้เปิดให้นายจ้างนำแรงงานต่างด้าวมาขึ้น ทะเบียนเพื่อทำบัตรแรงงาน
ในจุดนี้เอง อาจจะส่งผลให้นายหน้าค้าแรงงานนำไปใช้ เพื่อชักจูงแรงงานต่างด้าวเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น โดยใช้เหตุผลว่าเข้ามาแล้วสามารถทำบัตรและทำงานได้อย่างถูกกฎมาย ซึ่งอาจจะจะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังได้สั่งกำชับ ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการได้สืบหาข่าว การลักลอบขนแรงงานต่างด้าว ผ่านเส้นทางป่าที่จะเชื่อมไปยังจังหวัดชุมพรอยู่บ่อยครั้ง โดยในห้วงที่ผ่านมาสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองได้จำนวนหลาย ครั้งพร้อมผู้นำพา
(เดลินิวส์, 11-7-2556)
รมว.แรงงาน กำชับกรมสวัสดิการฯให้ความช่วยเหลือนายจ้าง-ลูกจ้างสหฟาร์ม
เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 11 กรกฎาคม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าให้การช่วยเหลือผู้ใช้แรงงาน กว่า 3,500 คน ของบริษัท สหฟาร์ม จำกัด ที่นายจ้างสั่งพักงาน เพราะการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และค้างจ่ายค่าจ้างผู้ใช้แรงงาน ว่าได้มอบให้ นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานอย่างเต็มที่ พร้อมกำชับให้ค้นหาสภาพปัญหาที่แท้จริงของบริษัทสหฟาร์ม ด้วยว่าเกิดจากสาเหตุใด และต้องแก้ไขอย่างไร
หากพบว่ามีปัญหาขาดทุนก็ต้องหาทางช่วยลดต้นทุนและช่วยหาแหล่งทุนให้กู้ ยืม ต้องช่วยเหลือทั้งนายจ้างและแรงงาน ไม่มองนายจ้างเป็นศัตรู มีอะไรให้ทางกระทรวงแรงงานช่วยก็แจ้งมาได้เพราะเป้าหมายของเราคือต้องการ ช่วยผู้ใช้แรงงาน โดยในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ นายจ้างนัดจ่ายค่าจ้างงวดแรก 34 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้เริ่มมีกระแสธุรกิจต่างๆ ประสบปัญหาขาดทุนเพิ่มขึ้น ทำให้กระทบต่อผู้ใช้แรงงาน จะช่วยเหลืออย่างไร ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ปัญหาของภาคธุรกิจขณะนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายค่าจ้าง 300 บาท เพราะนโยบายนี้ไม่ได้มีปัญหา และกระทรวงแรงงานคงไม่ลงไปแก้ปัญหาลึกถึงในส่วนของผู้ประกอบการเพราะไม่ใช่ หน้าที่ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเป็นหน้าที่ของกระทรวงอื่นๆ กระทรวงแรงงานมีหน้าที่แค่เฉพาะดูแลคนตกงานให้มีงานทำ ได้รับค่าจ้าง สวัสดิการและการคุ้มครองแรงงานเท่านั้น
(ประชาชาติธุรกิจ, 11-7-2556)
ฝ่ายปกครองเกาะช้าง สนธิกำลัง กว่า 100 นายกวาดล้างแรงงาน
วันที่ 11 ก.ค. ที่บริเวณบ้านคลองพร้าวหมู่ 4 ต.เกาะช้าง นายชุมพล ทรัพย์ประสพ นายอำเภอเกาะช้าง จ.ตราด ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กฤษฏิ์ ศิริประเสริฐโชค ผกก.สภ.เกาะช้าง เป็นประธานในการปล่อยแถวออกกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าวเถื่อนในพื้นที่ ประกอบด้วยการ สนธิกำลังกัน ระหว่าง ทหาร-ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง-ตำรวจท่องเที่ยว- กำนัน-ผญบ.-อุทยานฯ ชรบ.อส.ตร.รวมกว่า 100 นาย โดยมี พ.ต.ท.ศิลายุทธ จิตติยาธีรากูล รอง ผกก.สส.เข้าร่วมวางแผนโดยได้มีการแบ่งกำลังกัน เข้าตรวจค้นตามเป้าหมายคือ ซอยโลกีย์ ในพื้นที่บ้านไชยเชษฐ์ หมู่ 4 ต.เกาะช้าง โดยทางเจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลว่าบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งที่มีแรงงาน ต่างด้าวชาวกัมพูชาพักอาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งเช่าบ้านอยู่เองและอาศัยอยู่กับบ้านพักคนงาน และมักรวมกลุ่มกันนั่งดื่มสุราส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย บางค่ำคืนก็พากันออกมา เดินเพ่นพ่านขวางถนน ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่นักท่องเที่ยว เป็นประจำ เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงยังในซอยเป้าหมายก็ได้แยกย้ายกระจายกำลังเข้าตรวจค้น ตามบ้านพักที่สร้างอยู่เป็นแถวติดต่อกันกว่า 30 หลังคาเรือน พร้อมกับเคาะประตูเรียกเพื่อขอตรวจค้นทุกหลังคาเรือนอย่างละเอียด
ก็ได้พบแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาทั้งชายและหญิงกำลังงัวเงีย ส่วนใหญ่รับจ้างใช้แรงงานอยู่ตามโรงแรม-รีสอร์ท-ร้านอาหาร และบางส่วนทำงานก่อสร้างทั่วไป เมื่อเจ้าหน้าที่ขอตรวจดูบัตรอนุญาตใช้แรงงานก็ปรากฏว่าแต่ละคน ไม่มีบัตรรวมทั้งหมดจำนวน 23 คนด้วยกัน น่าจะเป็นแรงงานเถื่อน จึงควบคุมตัวต่างด้าวทั้งหมดส่งให้ พ.ต.ท.ประสาท สามารถกุล พนักงานสอบสวน สภ.เกาะช้าง ก่อนจะมีการนำส่งตม.เพื่อทำการผลักดันออกนอกประเทศทางจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาด เล็ก อ.คลองใหญ่ต่อไป ที่น่าสังเกตุก็คือก่อนหน้าที่จะมีการสนธิกำลังวางแผนเข้าจับกุมในครั้งนี้ ทางนายอำเภอเกาะช้างได้รับข้อมูลว่าบริเวณดังกล่าวมีแรงงานต่างด้าวเถื่อน ชาวกัมพูชาอาศัยอยู่นับร้อยคน แต่พอเข้าตรวจค้นกลับเงียบผิดปกติ เหลืออยู่เพียงผู้หญิงและเด็กจึงเป็นไปได้ที่ข่าวได้รั่วก่อนจึงทำให้แรงงาน เถื่อนเหล่านั้นได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่น ก่อน
นายชุมพล กล่าวภายหลังทราบผลการปฏิบัติว่า การที่ต้องระดมเจ้าหน้าที่ออกกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าวในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับรายงานและมีการร้องเรียนมาทางอำเภอบ่อยครั้งว่า มีแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา แอบลักลอบขึ้นมาอาศัยรับจ้างใช้แรงงานอยู่ อย่างผิดกฏหมาย โดยไม่มีบัตร เป็นจำนวนมาก มีการปลูกสร้างที่พักอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ กระจายอยู่ตามย่านชุมชน แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง อีกทั้งที่ผ่านมาแรงงานต่างด้าวบางกลุ่มเหล่านั้น ยังได้เหิมเกริมตั้งกลุ่มลักทรัพย์นักท่องเที่ยว และพอจับกลุ่มดื่มสุราจนมึนเมา ได้ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอย่างไม่สนใจใคร บางกลุ่มก็ถือว่ามีลูกพี่ดี ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซิ่งประมาทหวาดเสียว ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้แก่คนไทยและชาวต่างชาติเป็นประจำ ไม่ค่อยเคารพกฏหมายบ้านเมืองไทย ถ้าขืนเจ้าหน้าที่ไม่มีการเข้มงวด ปล่อยให้แรงงานเหล่านั้นอาศัยอยู่อย่างอิสระเสรีเช่นนั้นต่อไป ก็จะทำให้ยากต่อการควบคุม และก็จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมกับแหล่งท่องเที่ยว ถึงในครั้งนี้จะได้ตัวผู้ต้องหาจำนวนน้อย ก็ยังดีกว่าที่ไม่มีการทำอะไรเลย ต่อจากนี้ไปทางฝ่ายปกครองคงจะมีการวางแผนสนธิกำลังเข้ากวาดล้างจับกุมแรงงาน ต่างด้าวที่อาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมาย ตามแหล่งที่พักอาศัยใหญ่ๆบนพื้นที่เกาะช้างอีกหลายจุด พร้อมทั้งจะเอาผิดกับผู้ให้ที่พักพิงทุกรายโดยไม่มีการละเว้น
(ข่าวสด, 11-7-2556)
ตร.คุมเข้ม 3 พันคนงานต่างด้าวสหฟาร์ม-สั่งตรวจ 3 เวลาก่อนวันนัดจ่ายเงิน
(11 ก.ค.56) พ.ต.อ.โสภณ เพียรร่มทองไทย ผู้กำกับการสภ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ปัญหาแรงงานชาวพม่าที่อยู่ภายในบริษัทโกลด์เด้นไลน์ บิสซิเนส จำกัด ในเครือสหฟาร์ม เดิมทีมีอยู่เกือบ 4 พันคน ล่าสุดออกไปแล้ว 1 พันคน คงเหลืออยู่ประมาณ 3 พันคน โดยบริษัทให้คนงานชาวพม่ายื่นใบลาตามความสมัครใจ เพื่อให้หัวหน้าคนงาน พาออกไปทำงานข้างนอก หรือบางส่วนกลับประเทศ หากสหฟาร์มมีงาน ก็สามารถเข้ามาทำงานได้อีกในระยะ 2-3 เดือนต่อจากนี้
โดยกลุ่มแรงงานชาวพม่า ที่เหลืออยู่ในโรงงานทั้งหมดกำลังรอเงินที่บริษัทสัญญาไว้ คือ วันที่ 15 ก.ค.56 นี้ ซึ่งเป็นค่าแรงงานเดือนพฤษภาคม ที่ยังค้างอยู่อีก 25% ส่วนเงินค่าจ้างเดือนมิถุนายน ที่ค้างจ่ายทั้งหมด 100% กำหนดจ่ายครบในวันที่ 31 กรกฎาคมที่จะถึง ซึ่งระหว่างนี้ทางบริษัทดูแลเรื่องอาหารให้ เพียงแต่ไม่ได้รับเงินเดือน
พ.ต.อ.โสภณ กล่าวอีกว่า ระหว่างนี้ตนได้สั่งการให้ตำรวจ สภ.บึงสามพัน ออกตรวจภายในโรงงานบริษัทโกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จำกัด (สหฟาร์ม) โดยเฉพาะแคมป์คนงานทุกวัน ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ รปภ.บริษัท ประมาณ 40 คน ที่คอยดูแลชาวพม่า ให้ติดต่อตำรวจทันทีหากเกิดเหตุ เพราะภายในโรงงานเป็นสถานที่ปิด ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไป จำเป็นต้องดูแลเข้มงวด
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องประเมินสถานการณ์เลวร้ายไว้ก่อน แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นก็ตาม เชื่อมั่นว่า ก่อนวันที่ 15 ก.ค.56 ที่เป็นวันนัดจ่ายเงิน สถานการณ์ยังคงปกติ”
โดยในวันที่ 15 ก.ค.56 นั้น สภ.บึงสามพัน วางแผนเตรียมระดมกำลังจาก สภ.ข้างเคียงแล้ว จำนวน 2 กองร้อยๆ ละ 120 นาย รวม 240 คน รับมือหากมีเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ และได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่บริษัทฯ ให้จ่ายเร็วขึ้น จากเดิม เงินออกช่วง 3-4 โมงเย็น ก็ควรร่นเข้ามาเป็นช่วงเที่ยงๆ เพื่อป้องกันปัญหาความวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม แต่ชั่วโมงนี้ สถานการณ์ยังเป็นปกติ มั่นใจว่าสามารถรับมือได้ แต่ทุกอย่างต้องเตรียมพร้อม
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ล่าสุดขณะนี้กลุ่มแรงงานชาวพม่าของบริษัทโกลด์เด้นไลน์ฯ ได้ใช้เวลาไปกับการผักผ่อน ทำอาหาร และเล่นกีฬา คือ ตะกร้อ บรรยากาศไม่ตึงเครียด ส่วนที่มีแรงงานบางส่วนขายจักรยาน ซึ่งเป็นพาหนะคู่ชีพนั้น ก็ซื้อขายกันภายในโรงงาน เนื่องจากแรงงานชาวพม่าย้ายถิ่นไปทำงานที่อื่น จำเป็นต้องขาย แต่ยังไม่มีการนำออกมาขายภายนอกบริษัท
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-7-2556)
ก.แรงงาน เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ ให้บริการออนไลน์
12 ก.ค. 56 - ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัล รัชดาภิเษก มีงานแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ (NLIC) โดยมีนายพูลศักดิ์ เศรษฐนันท์ รองปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานเปิดงาน และกล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลแรงงานดังกล่าว เป็นการรวบรวมข้อมูลด้านแรงงานทั่วประเทศ โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เพื่อให้การบริการแก่ประชาชน ผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบการ ผู้ว่างงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างสะดวก ถูกต้อง ทันสมัยและรวดเร็ว โดยศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาตินำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นช่องทางในการ สื่อสาร ผ่านเว็บไซต์ http://nlic.mol.go.th ซึ่งภายในเว็บไซต์ จะมีทั้งตำแหน่งงานว่าง ข้อมูลคนหางาน กฎหมายด้านแรงงานและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เป็นต้น
นอกจากนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวยังออกแบบให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น พร้อมทั้งรวบรวมทิศทางตลาดแรงงาน การวิเคราะห์ความต้องการจ้างงาน อัตราการว่างงาน และสัดส่วนกำลังแรงงานของไทย ไว้ให้ผู้ที่สนใจได้นำไปใช้ประโยชน์ได้ และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายนอกและภายใน กระทรวงแรงงานด้วย
อีกทั้งยังมีระบบเตือนภัยด้านแรงงานซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ รับรู้ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบด้านแรงงานที่จะเกิดขึ้น ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยจะมีการรายงานเข้ามายังศูนย์และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอกับผู้บริหาร กระทรวงแรงงาน ซึ่งผู้ที่สนใจหากสมัครเป็นสมาชิกจะได้รับการส่งข้อมูลให้โดยอัตโนมัติและ สามารถใช้บริการได้แล้ว
(มติชนออนไลน์, 12-7-2556)
รมว.แรงงาน สั่ง กสร.เร่งขยายโครงการโรงงานสีขาว
12 ก.ค. 56 - “ร.ต.อ.เฉลิม” สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขยายผลโครงการโรงงานสีขาวทั่วประเทศ ป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติด พร้อมจัดโครงการถนนสีขาว นำร้องถนนปู่เจ้าสมิงพลาย สมุทรปราการ ก่อนขยายพื้นที่อื่นทั่วประเทศ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงนโยบายการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานประกอบการ ว่า ได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ดำเนินการขยายผลโครงการโรงงานสีขาวไปยังสถานประกอบการทั่วประเทศ โดย กสร.บูรณาการการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งขอความร่วมมือสถานประกอบการให้ช่วยรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของยา เสพติดในสถานประกอบการ ส่วนแรงงานที่ติดยาเสพติดให้ถือเป็นผู้ป่วยต้องเข้ารับการบำบัดรักษา หากผ่านการบำบัดแล้วยังเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีกจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน กสร.ได้จัดโครงการถนนสีขาวขึ้น โดยจะนำร่องที่ถนนปู่เจ้าสมิงพราย อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งตนเองจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและเป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ พร้อมขอความร่วมมือสถานประกอบการในการตรวจสารเสพติดด้วย
ด้านนายอาทิตย์ อิสโม อธิบดี กสร. กล่าวว่า มีสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 20 คนขึ้นไปผ่านเกณฑ์มาตรฐานเป็นโรงงานสีขาวแล้วประมาณ 75,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งสถานประกอบการที่จะผ่านเกณฑ์ต้องมีนโยบาย ป้ายรณรงค์ และกิจกรรมแก้ปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการที่ชัดเจน และในปีนี้ได้ขยายผลโครงการโรงงานสีขาวไปสู่สถานประกอบการที่มีลูกจ้างต่ำ กว่า 20 คน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการถนนสีขาวปลอดยาเสพติดขึ้น โดยเริ่มที่จังหวัดสมุทรปราการ หลังจากนั้นจะขยายผลไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
(สำนักข่าวไทย, 12-7-2556)
คุก 66 ปีสาวตุ๋นแรงงาน
วันที่ 12 ก.ค.ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลพิพากษาจำคุก นางภาวิณี ศิริวงศ์ ณ อยุธยา จำเลยความผิดฐาน ร่วมกันจัดหางานให้คนงานในต่างประเทศโดยหลอกลวงและไม่ได้รับอนุญาตและร่วม กันฉ้อโกงประชาชนเป็นเวลา 66 ปี แต่รับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เหลือจำคุก 33 ปีแต่คงให้จำคุกจำเลยไว้ 20 ปีและให้จำเลยคืนเงิน 1,955,000 บาทแก่ผู้เสียหาย คดีนี้อัยการเป็นโจทก์ฟ้องสรุปว่าจำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันจัดหางานไปต่าง ประเทศและมีเจตนาทุจริตหลอกลวงและฉ้อโกง มีผู้เสียหาย 22 รายหลงเชื่อจ่ายเงินค่าใช้จ่ายแก่จำเลยไปรวม 1,955,000 บาทจนท.(ปคม.)จับกุมจำเลยได้ชั้นสอบสวนปฏิเสธแต่รับในชั้นศาล
(ข่าวสด, 12-7-2556)
สื่อนอกตีแผ่จุดอ่อนไทย รัฐบาล-คอร์รัปชั่น-แรงงานทักษะต่ำ
อินเวสไวน์ เว็บไซต์ข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวด้านการเงิน การลงทุนและไลฟ์สไตล์ในอาเซียน เปิดเผยบทความกึ่งวิเคราะห์ตีแผ่ "จุดอ่อน"ของประเทศไทย 10 ประการ ซึ่งเป็นตัวการฉุดรั้งขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในเวทีประชาคมอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จุดอ่อนประการแรกของไทย คือ "ความอ่อนแอของรัฐบาล" โดยรายงานระบุว่า การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรนับตั้งแต่ปี 2554 สะท้อนให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันคือรัฐบาล ‘หุ่นเชิด’ ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังจากต่างประเทศ
“นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือต่อประชาชนได้ และไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องสำคัญ อีกทั้งยังไร้ความสามารถในการแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติโดยตรง” อินเวสไวน์ระบุ
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ยังมีการโยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งคณะรัฐมนตรีกันอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 แล้วนับตั้งแต่ขึ้นบริหารประเทศในปี 2554 เพื่อเปิดทางให้กลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อทักษิณขึ้นมามีอำนาจมากขึ้นตามใบ สั่งของทักษิณ ทำให้คณะรัฐมนตรีที่ขึ้นมาบริหารงานเพียงวาระสั้นๆ ยังไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเพื่อชาติได้เลย และความอ่อนแอของรัฐบาล ก็นำมาซึ่งจุดอ่อนประการที่ 2 "การเมืองไร้เสถียรภาพ"
อินเวสไวน์ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ในปีนี้ อาจเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง 2 ขั้วที่ต่างฝ่ายต่างระดมพลออกมาแสดงความต่อต้านซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นแรงกดดันให้อาจเกิดการรัฐประหารขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ ประเทศไทย ยังเผชิญอยู่กับ ‘ปัญหาคอรัปชั่น’ ที่ปรากฏอยู่ในทุกภาคส่วนของประเทศ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลอกลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไปจนถึงการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่มีฐานะและมีอิทธิพลในสังคม
“โครงการพัฒนาและลงทุนใดๆจะมีความคืบหน้าต่อเมื่อมีการติดสินบน และที่น่าแปลกใจว่านั้นคือ จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนมองว่าการติดสินบนเป็นเรื่องที่รับได้” อินเวสไวน์ระบุ
นอกเหนือจากประเด็นการเมือง จุดอ่อนของไทยที่ปรากฏอย่างเด่นชัด ก็คือ "ปัญหาด้านแรงงานที่มีทักษะต่ำ"
รายงานอ้างคำวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดานักลงทุนต่างชาติ ทั้งภาคอุตสาหกรรม การเงินและภาคบริการ ที่ต่างระบุว่า แรงงานไทยมีทักษะความสามารถต่ำ ไล่ตั้งแต่การขาดความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงไร้ความสามารถด้านการจัดการ อันเป็นผลจากระบบการศึกษาของไทยที่ไม่ได้มาตรฐาน และรัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมให้มีการอบรมเพิ่มขีดศักยภาพแรงงานไทยอย่างเพียงพอ
เช่นเดียวกับ "ทักษะภาษาอังกฤษ"ของแรงงานไทย ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางด้านธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย ทว่ารัฐบาลยังคงนิ่งเฉยในการแก้ปัญหาดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ความสามารถการแข่งขันและผลิตภาพของอุตสาหกรรมไทย ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
“ไทยควรยกระดับสถานะจากการเป็นแหล่งผลิตและประกอบสินค้าคุณภาพต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับอัตราแรงงานขั้นต่ำขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการส่งเสริมศักยภาพแรงงานให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อรับมือกับสภาวะการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นจากการเปิดประชาคมอา เซียน” รายงานระบุ
ไม่เพียงเท่านี้ “ระบบจัดการภาคการเงินของรัฐบาลไทยเข้าข่ายไร้คุณภาพ” พิสูจน์ได้จากความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ในการออกนโยบายทางการเงินและการคลัง สะท้อนถึงความไร้เสถียรภาพทางการเงินของชาติ ที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติโดยตรง
นอกจากนี้ อินเวสไวน์ ยังมองอีกว่า ไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากเกินไป เห็นได้จากการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวอย่างไร้ ข้อจำกัด
ความเคลื่อนไหวนี้ ส่งผลให้คุณภาพของการท่องเที่ยวต่ำลง นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากถูกเอารัดเอาเปรียบจากการโก่งค่าบริการ ตลอดจนเป็นเหยื่อของความรุนแรง ซึ่งจะสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับประเทศในระยะยาว
และจุดอ่อนประการสุดท้ายของไทย คือ การที่คนไทยส่วนใหญ่ มัก "เมินเฉยต่อโลกภายนอก"
รายงานดังกล่าว ระบุว่า อาจเป็นเพราะไทย ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ จึงส่งผลให้ไทย ไม่เคยเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับวัฒนธรรมต่างชาติ ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมอื่นๆ ซึ่งกลายเป็นผลเสียต่อการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนในที่สุด
(ISNHOTNEWS, 14-7-2556)
“เฉลิม” เดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดในโรงงาน
(14 ก.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงานกล่าวถึงนโยบายการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานประกอบ การว่า ได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) ดำเนินการขยายผลโครงการโรงงานสีขาวไปยังสถานประกอบการต่างๆทั่วประเทศ โดยกสร.จะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งขอความร่วมมือสถานประกอบการให้ช่วยรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของยา เสพติดภายในสถานประกอบการ ขณะเดียวกันกสร.ได้จัดโครงการถนนสีขาวปลอดยาเสพติดขึ้นโดยเริ่มนำร่องที่ถนน ปู่เจ้าสมิงพราย อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งตนจะไปเป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการในวันที่ 25 ก.ค.นี้
“ผมจะเดินหน้าแก้ปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการอย่างเต็มที่ เมื่อก่อนผู้ค้าผู้เสพทำยังไงก็ได้ แต่จากนี้ไปต้องทำในรั้วรอบขอบชิดเท่านั้น เมื่อต้องทำกันในรั้วรอบขอบชิดก็ดูแลป้องกันได้ง่าย จะให้กสร.ขอความร่วมมือสถานประกอบการรณรงค์ป้องกันและตรวจสอบว่ามีลูกจ้าง ติดยาเสพติดหรือไม่ โดยผู้ใช้แรงงานที่ติดยาเสพติดให้ถือเป็นผู้ป่วยต้องบำบัดรักษา ถ้ายังเกี่ยวข้องอีกก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย” รมว.แรงงาน กล่าว
ด้านนายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกสร. กล่าวว่า กสร.ได้ดำเนินการตามนโยบายของรมว.แรงงาน โดยจะขยายผลโครงการโรงงานสีขาวไปยังสถานประกอบการและนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งกสร.จะบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานประกอบการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไปผ่านเกณฑ์มาตรฐานเป็นโรงงานสีขาวแล้วประมาณ 7.5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งสถานประกอบการที่ผ่านเกณฑ์ต้องมีนโยบาย ป้ายข้อความรณรงค์และกิจกรรมแก้ปัญหายาเสพติดที่ชัดเจน
“ปีนี้กสร.ได้ขยายผลโครงการโรงงานสีขาวไปสู่สถานประกอบการขนาดเล็กที่มี ลูกจ้างต่ำกว่า 20 คน นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการถนนสีขาวปลอดยาเสพติดขึ้น โดยเริ่มที่จ.สมุทรปราการ หลังจากนั้นจะขยายผลไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ” อธิบดีกสร. กล่าว
(เดลินิวส์, 14-7-2556)
พนง.เก็บขยะ ทม.คอหงส์ โวย! หลังมีข่าวถูกเลิกจ้าง
(15 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มพนักงานจ้างเก็บขยะ และกวาดถนนของเทศบาลเมืองคอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวนประมาณ 50 คน ได้นัดรวมตัวกันที่บริเวณใต้สะพานแม็คโคร และเดินถือแผ่นป้ายไวนิลคัดค้านการเลิกจ้างมุ่งหน้าเข้ามายังที่ทำการสำนัก งานเทศบาลเมืองคอหงส์ เพื่อต้องการคำชี้แจง และยื่นหนังสือขอความเห็นใจจากคณะผู้บริหาร หลังจากที่มีกระแสข่าวว่า ทางเทศบาลจะทำการว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้ามารับเหมาการจัดเก็บขยะในเร็วๆ นี้ ซึ่งหากเป็นความจริงก็จะส่งผลกระทบต่อพนักงานจ้างของเทศบาลในส่วนที่เกี่ยว ข้องทั้งระบบ
โดย นายพยงค์ อรัญดร นายกเทศมนตรีเมืองคอหงส์ พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ชาณิตย์ ชุ่มชื่น รอง นายกฯ นายทิพย์ สายแก้ว ปลัดเทศบาล และ นางมณฑา ไชยงาม หัวหน้ากองสาธารณสุข ได้ลงมาพบกับกลุ่มผู้ประท้วงท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาเป็นระยะๆ พร้อมเผยว่า ทางเทศบาลเมืองคอหงส์ได้มีการวางแผนที่จะว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาจัดเก็บ ขยะจริง แต่ขั้นตอนดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เท่านั้น และไม่ได้มีการตกลงเซ็นสัญญากับทางบริษัทตามที่ตกเป็นข่าวลือแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เนื่องมาจากปัจจุบันเมืองคอหงส์ได้มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องการให้การจัดเก็บขยะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นการแก้ไขปัญหางบการเงินของทางเทศบาลที่ตอนนี้สูงเกิน 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผิดกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีกทั้งเพื่อแก้ปัญหาการข้อร้องเรียนจากประชาชนที่ระบุว่า ทางเทศบาลไม่ดูแลปัญหาขยะ ปล่อยให้สกปรก และพนักงานบางส่วนก็อู้งานอีกด้วย
ขณะที่ทางตัวแทนของกลุ่มพนักงานจ้างเก็บขยะก็ได้ขอให้ทางเทศบาลรับรอง ว่าจะจ้างพวกตนให้ทำงานต่อไป พร้อมประกาศคัดค้านไม่ให้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้ามารับช่วงต่อ ถึงแม้จะมีรายได้ดีกว่าเดิมก็ตาม เนื่องจากสามารถรับได้แค่พนักงานบางส่วนเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือก็จะตกงานไม่มีเงินหาเลี้ยงครอบครัว อีกทั้งจะเกิดปัญหาโละพนักงานทิ้ง แล้วรับเอาแรงงานพม่าเข้ามาทำงานแทน เพราะค่าจ้างถูกกว่ามาก
ส่วนประเด็นปัญหาขยะตกค้างนั้นมาจากการที่พนักงานมีไม่เพียงพอที่จะ แบกรับภาระงานอันหนักอึ้งได้ เพราะเมืองคอหงส์มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะคอนโดฯ บ้านจัดสรร บ้านเช่า และหอพัก ที่สร้างขึ้นใหม่จำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาขยะล้นเมืองตามไปด้วย ซึ่งรถขยะทั้งขนาดเล็ก และใหญ่ จำนวน 6 คัน กับพลขับ และคนเก็บขยะ 43 คน ไม่เพียงพอ บางครั้งจำเป็นต้องบรรทุกขยะเกินน้ำหนักที่รถรับได้ จึงอยากให้ทางเทศบาลรับฟัง และแก้ปัญหาให้ตรงจุดด้วย
ทั้งนี้ ทางเทศบาลเองคอหงส์ได้รับเรื่องดังกล่าวเอาไว้ และจะมีการเรียกประชุมคณะผู้บริหารอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนัดตัวแทนกลุ่มพนักงานจ้างเก็บขยะมาร่วมรับฟัง และทำข้อตกลงร่วมกันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้านี้
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 15-7-2556)