Quantcast
Channel: พันศักดิ์ วิญญรัตน์
Viewing all articles
Browse latest Browse all 14385

สมาพันธ์นักเรียนไทยฯ ประณามโรงเรียนดื้อตัดเกรียน - พร้อมยืนยันจะสู้ต่อไป

$
0
0

สมาพันธ์นักเรียนไทยฯ ออกแถลงการณ์อัดผู้อำนวยการและคณะครู "วางอำนาจบาตรใหญ่"บังคับตัดเกรียน พร้อมเรียกร้องกระทรวงศึกษาธิการให้นักเรียนได้รับอิสระในเรื่องทรงผม เป็นจุดเริ่มต้นให้รู้จักคิดเองในการใช้ชีวิต

ตามที่สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย ได้รวมกันเคลื่อนไหวเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการยกเลิกบังคับไว้การทรงนักเรียน กระทั่งต่อมา แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมิได้ทำตามข้อเรียกร้อง แต่ได้ผ่อนปรนด้วยการออกระเบียบกฎกระทรวงฉบับใหม่ และมีหนังสือสั่งการถึงหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานศึกษาในสังกัดให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรง และนักเรียนหญิงไว้ผมยาวได้ ทันทีที่เปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2556 และสถานศึกษาใดไม่ปฏิบัติตามให้ร้องเรียนมาที่กระทรวงศึกษาธิการ แต่ล่าสุดยังพบโรงเรียนหลายแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามนั้น

ล่าสุด "สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย"ได้ออกแถลงการณ์ "ประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีทรงผมที่ยังมีอยู่ในโรงเรียนและการต่อสู้สิทธิทรงผมจะยังคงดำเนินต่อไป"ถึงนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ

บางตอนของแถลงการณ์เนื้อหาระบุว่า "เป็นที่น่าเศร้าใจอย่างสุดแสนที่แม้กระทั่งกฏใหม่นี้ก็ยังมีผู้บริหารบางสถานศึกษาและคณะครูหลายท่าน ยังคงยึดติดกับอำนาจใช้ระบอบเผด็จการโดยคิดถึงแต่ประเพณีที่ยาวนานโดยมิได้สนใจถึงเหตุผลและประโยชน์ต่อนักเรียนให้เหมาะสมกับโลกปัจจุบันเลยโดยการยึดติดกับอัตลักษณ์บางอย่างนั้นทำให้เกิดการเสื่อมเสียมากกว่าผลดีได้ และยังคงมีการปฏิบัติกับนักเรียนอย่างไม่เป็นธรรมราวกับผู้ที่มิได้สนใจกับความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นเช่น บางสถานศึกษากล่าวว่าการตัดผมเกรียน หรือ ตัดผมสั้นติ่งหู ของ โรงเรียน อักษรย่อ ว่า เทพ หรือ สตรี ว่านี้คืออัตลักษณ์ของโรงเรียนมีมายาวนานกว่า 100 ปีจะเปลี่ยนแปลงมิได้ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงย่อมไม่เคารพกฎอัตลักษณ์ก็ออกจากสถานศึกษาไปซะ โดยที่ยังมิได้มีการให้เหตุผลอย่างจริงจังเลยว่าการไว้ทรงนักเรียนกับทรงอิสระนั้นสิ่งใดให้ประโยชน์มากกว่าทั้งที่สถานศึกษานั้นเป็นของภาครัฐ ที่ได้งบสนับสนุนจากภาษีประชาชน แต่ผู้อำนวยการและคณะครูวางอำนาจบาตรใหญ่เหนือประชาชนหรือนักเรียนและขับไล่ประชาชนหรือนักเรียนที่มีความเห็นต่างนักเรียนที่ตั้งคำถามที่ขัดกับอัตลักษณ์ ซึ่งเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายหลักการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือบ้างก็กล่าวว่า ถึงจะมีกฎแต่ก็จะมิทำตามใดๆ ทั้งสิ้น"

"และเรื่องการกล่าวว่าหากไว้ผมยาวแล้วจะท้องหรือมีคนโรคจิตมาข่มขืนซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์และความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้แม้จะเป็นการประชดประชันแต่เราก็ควรที่จะให้เกียรติความเห็นอีกด้านด้วย เพราะความเห็นที่แตกต่างอาจะช่วยพัฒนาข้อบกพร่องให้ดีขึ้นมีโรงเรียนชื่อดังภาคเหนือแห่งหนึ่งมีการทำประชามติในสถานศึกษาเรื่องทรงผม แต่ช่างเป็นประชามติที่ไม่มีความน่าเชื่อแม้แต่นิดเดียวไม่มีการทำเป็นลายลักษณ์อักษร มิหนำซ้ำยังมีการออกเสียงแบบที่มีอาจารย์ยืนคุมกดดันนักเรียนให้คิดตามที่ตนบอกเสมือนนายพรานถือปืนกระบอกใหญ่นั่งจับตาอยู่และนักเรียนก็เหมือนกับนกพิราบที่ปีกหักที่จะบินหนีก็ไม่ได้ จะร้องก็ไม่ได้ ต้องจนมุมเข้าเกรงเหล็กและรับฟังนายพรานพูดแบบคัดค้านมิได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งว่าฝ่ายบริหารประเทศที่มาจากการเลือกตั้งตามหลักประชาธิปไตยที่มีนโยบายเชิงประชาธิปไตยแต่ก็อย่างไม่สามารถขจัดความเป็นไม่ประชาธิปไตยหรือเผด็จการไปได้"

"ทางสมาพันธ์นักเรียนจึงจะขอเรียกร้อง ให้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และ คณะกระทรวง ร่วมถึง คณะครู และผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีใจ รัก ประชาธิปไตย โปรดเรียกร้องความเป็นธรรมแก่นักเรียนอย่างที่มนุษย์ผู้หนึ่งควรได้รับจากผู้ที่มิสนใจเรื่องความเป็นธรรม โปรดเรียกร้องการให้อิสระนักเรียน ในการคิด วิเคราะห์ เลือกสิ่งที่ดีแก่ชีวิตและร่างกายของนักเรียนเองขอให้นักเรียนได้รับอิสระจากทรงผมเพราะจะได้เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆให้พวกเขารู้จักคิดเองในการใช้ชีวิต เพราะทรงผมถือเป็นเรื่องที่พื้นฐานมากในชีวิตหากจุดเริ่มต้นเล็กๆอย่างเรื่องทรงผมคุณไม่ปล่อยให้เขาคิดเอง แล้วจุดใหญ่ๆในชีวิตคุณจะให้ใครคิด?นักเรียนต้องเริ่มคิดเป็นและรู้จักการใช้ชีวิตในสังคม หากเรื่องพื้นฐานเราสามารถจัดการเองได้เรื่องปัญหาชีวิตเราก็จะรู้จักคิดและจัดการได้วัยรุ่นไทยจะได้ไม่ถูกใส่ความว่าไม่รู้จะโตเพราะเขาจะได้เริ่มคิดเริ่มใช้ชีวิตจริงตั้งแต่เด็กๆ แต่เพราะกฎทรงผมบังคับนักเรียนนี้พยายามใส่ความเด็กที่ผมยาวว่าเป็นเด็กเสเพลโดยที่ให้นักเรียนจดจำว่าผมยาวเสเพลแล้วผมสั้นเกรียนเป็นเด็กดีโดยที่ไม่ได้ให้เด็กคิดเลยว่าผมยาวต้องเสเพลจริงไหมแล้วผมสั้นเกรียนจะเป็นเด็กดีหรือแม้คิดก็จะถูกต่อต้านจนยอมไป แต่ความจริงแล้วกฎนี้เอง ที่สาดโคลนให้แก่เด็ก นักเรียนต้องการคิดเองเหมือนกับประเทศที่มีอารยะ โปรดอย่าห่วงพวกเราว่า เลิกกฎนี้แล้วเด็กจะเสเพล เพราะกฎของสังคมจะขัดเกลาเด็กและเยาวชนเองเราประชาชนชาวไทยต้องการ นำกะลาไทยออกจากหัวของอนาคตของชาติเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด หากจุดเล็กๆเช่นนี้ท่านยังไม่ใส่ใจ ไม่เริ่มต้นให้เด็กคิดไม่ต่อสู้เพื่อเด็กผู้จะเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า จุดใหญ่ๆคงไม่มาถึงแล้วท่านจะให้เด็กจะคิดเป็น ใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในอนาคตได้อย่างไรขอให้วิสัยทัศน์ของท่านไม่ใช่เพื่อเด็กน้อย แต่เพื่ออนาคตของชาติข้างหน้า เพราะผมเชื่อว่าเด็กในวันนี้จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้า ท่านจะเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเป็นที่เชิดชูของเด็กๆ และโลกนี้"

ตอนท้ายของแถลงการณ์ระบุด้วยว่า "หากมีโรงเรียนที่ไม่ทำตามกฎใหม่ที่ได้ยื่นมา ทางสมาพันธ์นักเรียนจะทำการประณามโรงเรียนนั้นผ่านทางสื่อและทุกเส้นทางและหากกฎนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและบังคับใช้ได้สำเร็จทางสมาพันธ์นักเรียนจะดำเนินต่อต้านต่อไป และจะไม่ลดละจนกว่ากฎจะถูกใช้จนสมบูรณ์หากผู้บริหารและทางกระทรวงยิงมิได้ดำเนินการอย่างจริงจังโดยคำนึงถึงประโยชน์ของนักเรียนเป็นหลักทางสมาพันธ์จะยังมิหยุดและจะสนับสนุนนักเรียนให้ต่อต้านต่อไปอย่างไม่ลดละไม่ว่าจะต้องต่อต้านกับอำนาจขนาดไหนก็ตามขอให้ท่านดูหลังแลหน้าที่จะส่งผลต่อประเทศชาติให้ดีเถิด"

ล่าสุด สมาพันธ์นักเรียนไทยฯยังออกแถลงการณ์เพิ่มเติมอีกว่า "สมาพันธ์นักเรียนไทยฯ ขอต่อต้านและประณามการที่โรงเรียนใช้ประชามติโหวตเรื่องทรงผม เพราะว่า สิทธิทรงผมเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลซึ่งไม่ได้ส่งกระทบต่อส่วนรวมแต่อย่างใด และการที่ทำให้ทุกคนต้องเหมือนกันเพราะเสียงส่วนใหญ่เห็นอย่างนั้น ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล"

อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา สมาพันธ์นักเรียนไทยฯ ได้เปิดเผยด้วยว่าได้รับการร้องเรียนว่ามีโรงเรียนอย่างน้อย 60 แห่งทั่วประเทศที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใหม่เรื่องทรงผม (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Sueksa.go.thของกระทรวงศึกษาธิการ ได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.ประแสง มงคลศิริ เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการที่ระบุว่าได้รับการร้องเรียนจากนักเรียนว่ามีสถานศึกษาหลายแห่งไม่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติดังกล่าว จึงได้ตรวจสอบและพบว่ามีการร้องเรียนจากผู้ปกครองและนักเรียน ผ่านสายด่วนการศึกษา 1579 เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวถึง 38 เรื่อง โดยได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ สพฐ. ดำเนินการแจ้งสถานศึกษา เพื่อย้ำให้ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Viewing all articles
Browse latest Browse all 14385

Trending Articles