องค์กรวิจัยเพื่อสาธารณประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา (US PIRG) สำรวจพบว่ามีการใช้รถยนต์ส่วนตัวลดลงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากปัจจัยเปลี่ยนแปลงหลายด้าน เช่นราคาน้ำมัน การอาศัยในตัวเมือง เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ขณะเดียวกันนโยบายของรัฐก็ต้องเอื้อให้กับการคมนาคมในยุคใหม่อย่างการพัฒนาขนส่งมวลชน การใช้จักรยานและทางเท้า
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2013 องค์กรวิจัยเพื่อสาธารณประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา (US PIRG) เปิดเผยว่า กระแสการใช้รถยนต์ส่วนตัวในสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นมาตลอด 60 ปีหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มอยู่ในสภาพคงตัว
โดยในรายงานของ US PIRG ระบุว่าอัตราการใช้รถยนต์ต่อบุคคลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ในอัตราคงตัว เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เคยเป็นปัจจัยสนับนุนการใช้รถยนต์ เช่น น้ำมันราคาถูก, การขยายตัวของเขตชานเมือง และการเติบโตของตลาดแรงงาน ไม่ได้เป็นจริงอีกต่อไป
US PIRG กล่าวว่า ผู้คนยุคเบบี้บูมเมอร์มักจะอาศัยอยู่ในย่านชานเมืองและขับรถไปทำงาน แต่ในกลุ่มคนยุคใหม่ที่กำลังเติบโตคือกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล (Millenials) มักจะอาศัยในเมืองและใช้บริการรถสาธารณะมากกว่า
ในรายงานระบุอีกว่าการหันไปใช้วิธีอื่นแทนการขับรถเป็นประโยชน์ในแง่การจราจรที่หนาแน่นน้อยลง และลดการพึ่งพาน้ำมัน แต่ก็ต้องอาศัยนโยบายด้านการคมนาคมใหม่อย่างการเอื้ออำนวยให้เกิดสภาพที่ชาวอเมริกันจะสามารถใช้รถให้น้อยลงได้ เช่นการลงทุนด้านขนส่งมวลชน การใช้จักรยาน และโครงสร้างเมืองที่มีทางเท้า
รัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่าในอนาคตสหรัฐฯ มีการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวมาขึ้น โดยมีระยะไมล์ขับขี่เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 44 ถึงร้อยละ 67 ในปี 2040 ขณะที่กราฟของ US PIRG แสดงให้เห็นว่าระยะไมล์ขับขี่ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 1946 ที่ 341 พันล้านไมล์ และได้หยุดอยู่ที่ 3 ล้านล้านไมล์ในช่วงปี 2002-2009 ก่อนมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยและคงตัวถึงปี 2013
ยังมีการทำนายด้วยว่า มีความเป็นไปได้สามอย่างคือ กรณีที่การขับรถยนต์ส่วนตัวกลับมาบูม กรณีที่พฤติกรรมการใช้รถยนต์คงตัว และกรณีที่การใช้รถยนต์ปรับตัวลดลง US PIRG ก็กล่าวอีกว่าแม้พวกเขาจะทำนายว่ารถยนต์อาจจะกลับมาบูมแต่ระดับก็ไม่สูงมากเท่าที่รัฐบาลทำนายไว้
ยังมีปัจจัยเสริมด้านอื่นๆ ที่ทำให้การใช้รถยนต์ส่วนตัวลดลง เช่นการที่คนยุคเบบี้บูมเมอร์เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณอายุ ราคาน้ำมันที่เพิ่งสูงขึ้น เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือที่ทำให้การเดินทางจำเป็นน้อยลง และการอาศัยในตัวเมืองใหญ่ๆ ที่เอื้อต่อการเดินมากกว่า
ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่เน้นสำรวจกลุ่มเยาวชนจากปีช 2001 ถึงปี 2009 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเยาวชนใช้รถยนต์ส่วนตัวลดน้อยลงหนึ่งในสี่ แลขณะเดียวกันก็มีระยะไมล์การเดินทางโดยการขนส่งมวลชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 40
เรียบเรียงจาก
The Age Of The Car In America Is Over, Business Insider, 20-05-2013