ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีอาญา มาตรา 112-หมิ่นสพรั่ง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ให้ต้องขัง 11 ปี ภรรยาสมยศผิดหวังระบบศาล ไม่ทราบล่วงหน้าจะมีการอ่านคำพิพากษา
แฟ้มภาพ: ประชาไท (2556)
19 ก.ย. 2557 ที่ห้อง 808 อาคารศาลอาญารัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระบุ อัยการยื่นฟ้องนายสมยศ ฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 จากกรณีที่นายสมยศ ซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย นิตยสาร ซึ่งมีบทความที่ไม่เหมาะสมของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น ฉบับที่ 15 เดือนกุมภาพันธ์ และ เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553 ฉบับที่ 16 เดือนมีนาคม 2553
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 ให้จำคุกนายสมยศ 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษต่อจากคดีที่นายสมยศ หมิ่นประมาท พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 1 ปี รวมจำคุก 11 ปี
โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่นายสมยศ อุทธรณ์ต่อสู้ว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มีบทบัญญัติยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 และในฐานะบรรณาธิการไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลเห็นว่าการกระทำของนายสมยศ เป็นความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ไม่ใช่เพียงการรับผิดในฐานะบรรณาธิการ
ส่วนที่นายสมยศต่อสู้ว่าตนเองไม่ใช่ผู้เขียนบทความดังกล่าวนั้น ศาลเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่านายสมยศหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายนิตยสาร ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยประเด็นนี้
และที่นายสมยศต่อสู้ว่าเนื้อหาในบทความสื่อความหมายถึงอำมาตย์ มิใช่สถาบันเบื้องสูง นั้นคดีนี้โจทก์มีพยาน ทั้งเจ้าหน้าที่ข้าราชการทหาร นักศึกษา และบุคคลอื่น ที่ได้อ่านบทความดังกล่าวแล้ว ต่างเข้าใจว่าเนื้อหาในบทความพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งพยานก็ไม่เคยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคือง กับนายสมยศ มาก่อน พยานหลักฐานของนายสมยศ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน จำคุก 10 ปี พร้อมให้นับโทษต่อจากคดีที่นายสมยศ หมิ่นประมาท พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 1 ปี รวมจำคุก 11 ปี
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา สมยศมีสีหน้าที่เคร่งเครียด พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่าจะฎีกาสู้คดีต่อในประเด็นของข้อกฎหมาย ส่วนสุขภาพขณะนี้ก็เป็นไปตามวัยคนอายุ 53 ที่อยู่ภายในเรือนจำ ซึ่งตนเองถูกคุมขังมากว่า 3 ปี 6 เดือนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การอ่านคำพิพากษาในวันนี้ ไม่มีการแจ้งทนายหรือญาติล่วงหน้าแต่อย่างใด และหลังอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวสมยศกลับเรือนจำทันที ทั้งที่โดยปกติแล้ว ผู้ต้องหาที่มาศาลทั้งหมดจะถูกนำตัวกลับเรือนจำในเวลา 18.00 น. พร้อมกัน
ผู้ใกล้ชิดแจ้งว่านายสมยศระบุว่า เพิ่งทราบว่าต้องออกศาลมาฟังคำพิพากษาเมื่อเช้านี้ หลังจากฟังคำพิพากษาแล้วเบื้องต้นยังไม่ได้หารือกับทนายความ แต่ตั้งใจจะต่อสู้คดีในชั้นศาลฏีกา
"มันไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นเราจะหาความยุติธรรมได้จากตรงไหน เรายังเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของเราและต้องการพิสูจน์ความถูกต้องว่าเราไม่ได้กระทำผิด"สมยศกล่าว
ด้านนางสุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยานายสมยศกล่าวว่า ทางครอบครัวและทนายความรวมถึงตัวของสมยศเองไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ เนื่องจากเมือวาน (18 ก.ย.) เธอก็ได้เข้าเยี่ยมสมยศและไม่มีใครทราบเรื่องนี้ ส่วนทางทนายความมีการส่งผู้ช่วยทนายไปแจ้งศาลเรื่องการเปลี่ยนที่อยู่สำนักงานนานแล้ว หากมีการตกหล่นผิดพลาด หมายต่างๆ ของคดีอื่นๆ ก็น่าจะไม่ถึงสำนักงานใหม่เช่นกัน แต่ทุกคดีก็ส่งถึงที่อยู่ใหม่ทั้งหมด
"รู้สึกว่าการที่ไม่มีการแจ้งกำหนดวันอ่านคำพิพากษาก่อน ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่โปร่งใส เราเสียโอกาสที่จะได้รับฟังการพิจารณาด้วย โดยเฉพาะเมื่อพิพากษายืนแบบนี้ มันกระทบจิตใจเจ้าตัวมากๆ เราต้องการจะ support เขา แต่เราก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้"สุกัญญากล่าว
ที่มาบางส่วนจาก มติชนออนไลน์