ตำรวจควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ชายชุดดำ"ชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพคดีใช้อาวุธสงครามยิงปะทะในเหตุ 10 เมษายน 53 ด้าน "ปุณิกา ชูศรี"ไม่ยอมมาทำแผนด้วย ขณะที่ตำรวจเตรียมฝากขังทั้งหมดต่อศาลพรุ่งนี้ 'สมยศ'ยันไม่ได้จับแพะ
12 ก.ย. 2557 นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี, นายปรีชา อยู่เย็น, นายรณฤทธิ์ สุริชา และนายชำนาญ ภาคีฉาย ผู้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็น "ชายชุดดำ"ถูกตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัวไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณสี่แยกคอกวัว หลังร่วมกัน ใช้อาวุธสงคราม ยิงต่อสู้กับทหารระหว่างขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่ม นปช. บริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นเหตุทหารและพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
โดยจุดแรก บริเวณถนนตะนาว ตัดกับถนนข้าวสาร ที่ผู้ต้องหาใช้อาวุธสงครามยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหาร และจุดที่ 2 คือจุดจอดรถตู้ บริเวณถนนตะนาว หลังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม ใกล้วัดมหรรณพารามวรวิหาร ก่อนเดินข้ามฝั่งมาก่อเหตุด้านถนนข้าวสาร ทั้งนี้ ไม่ได้นำตัวนางสาวปุณิกา ชูศรี มาทำแผนครั้งนี้ เนื่องจากไม่ยินยอม
การทำแผนครั้งนี้มีกำลังตำรวจรวม 3 กองร้อย 450 นาย คอยดูแลความปลอดภัยตลอดจนการทำแผน ก่อนควบคุมตัวกลับไปสอบต่อที่กองปราบปราม
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาว่า กลุ่มชายชุดดำกลุ่มนี้ มีความเชื่อมโยงถนนดินสอ ที่ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต เชื่อมโยงกับกรณีพบอาวุธที่ในพื้นที่กระทุ่มแบน สมุทรสาคร และมีผู้ร่วมขบวนการมากกว่านี้ เตรียมขยายผลออกหมายจับเพิ่มอีก ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมีอีก 3 คน คือ นายจักรินทร์ เรืองศักดิวิชิต เสธ.ไก่, นายธนเดช เอกอภิวัชร และนายวัฒนโชค จีนปุ้ย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ และพกพาอาวุธปืนและวัตถุระเบิดเข้าไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะควบคุมตัวไปขออำนาจศาจอาญาฝากขัง ในเช้าวันพรุ่งนี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ ระบุว่าการจับกุมชายชุดดำที่ใช้อาวุธสงครามยิงทหารและประชาชนเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ว่า อาวุธสงคราม และกลุ่มบุคคลที่จับกุมได้มีความเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกับการเมืองหรือคดีใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คดีและอาวุธที่จับได้มีจำนวนมากบางครั้งอาจเชื่อมโยงกันหรือไม่เชื่อมโยงกันก็ได้ ส่วนกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จับกุมและนำไปสู่หลักฐานที่ศาลออกหมายจับได้ การนำผู้ต้องหามาแถลงข่าว ผู้ต้องหาก็รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือกระทำ จึงจะไม่โต้แย้งกับใคร
"ผู้ต้องหาที่จับได้ ถ้าเป็นผู้ต้องหาที่ไม่ได้ทำกระทำความผิด คงไม่มีพยานหลักฐานจนศาลออกหมายจับได้ และการที่ผู้ต้องหารับสารภาพกับสื่อโดยการพูดด้วยความสมัครใจ เชื่อว่าคงไม่มีแพะ เพราะผมไม่รู้จักกับพวกแพะ ผมเพิ่งเข้ามาทำงานสามสี่เดือน สามารถรื้อฟื้นคดีและจับกุมผู้ต้องหาได้ ทุก ๆ กรณีไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดถ้ามีพยานหลักฐาน ผมไม่เลือกที่ัรักมักที่ชัง นายกรัฐมนตรีให้นโยบายว่าต้องอยู่บนความยุติธรรม ไม่ให้ร้ายป้ายสีใคร อยู่บนหลักฐานความเป็นจริง จะเห็นว่าการจับกุมผู้ต้องหาของผมทุกครั้ง ศาลจะออกหมายจับทั้งหมด เป็นการันตีว่า การกระทำของผมรอบคอบ ตรวจสอบได้ ให้กำลังใจผมบ้าง 4 เดือนผมทำได้ขนาดนี้ 3-4 ปีมาไม่มีใครทำ สิ่งที่ผมทำได้เพราะความตั้งใจ"ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว
“ถาวร” ชม ตร.จับชายชุดดำปี 53 โว! รู้ข้อมูลนานแล้ว แต่ไม่มีเงินพอเปิดโปง-เชื่อนักการเมืองหนุนหลัง
ด้านนายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณีตำรวจจับชายชุดดำที่ใช้อาวุธสงครามยิงทหารในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ว่าเป็นการยืนยันให้สังคมเห็นว่าชายชุดดำมีจริง เพราะก่อนหน้าการชุมนุมของคนเสื้อแดงช่วงปี 2552 มีกลุ่มชายชุดดำ 4 คน มาพบตน โดยมีเงื่อนไขขอเงินเป็นค่าตอบแทนจำนวนหลักสิบล้านในการเปิดโปง แต่ตนไม่มีเงินมากพอจึงไม่สามารถนำกลุ่มคนดังกล่าวมาแสดงต่อสังคมยืนยันได้
และที่ไม่เปิดเผยก่อนหน้านี้เพราะได้รับปากแบบลูกผู้ชายกันเอาไว้ ซึ่งเหตุหการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแสดงให้สังคมไทยและโลกเห็นว่า คนในระบอบทักษิณ มีความเกี่ยวพันในเหตุการณ์ชิงอำนาจรัฐ โดยเรื่องก็อยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และคนที่ทำงานสืบสวนสอบสวน ทั้งตำรวจ ทหารและหน่วยงานความมั่นคงต่างรู้ดีว่า มีกองกำลังชายชุดดำติดอาวุธจริง ครั้งนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่จะขยายผลต่อไป
นายถาวร กล่าวอีกว่า ขอให้กำลังใจและชื่นชมทั้งตำรวจและทหารที่ร่วมติดตามจับกุมกรณีนี้ เพราะต้องใช้ทรัพยากรต่างๆจำนวนมากในการรักษาชีวิตของคนเหล่านี้ ไม่ให้ถูกฆ่าตัดตอน เพื่อนำมาแสดงยืนยันต่อสังคม แต่นี่เป็นเพียงบางส่วนของขบวนการชายชุดดำ เพราะที่ผ่านมามีการฝึกฝนการใช้อาวุธสงครามต่างๆ แบ่งกำลังรับผิดชอบพื้นที่และภารกิจในช่วงนั้น จึงมีชายชุดดำที่ใช้อาวุธเป็นจำนวนมาก โดยมีนักการเมืองบางคนอยู่เบื้องหลัง
วันนี้ถึงเวลาที่คนเหล่านี้ต้องรับโทษที่ใช้อาวุธทำลายฆ่า ตำรวจ ทหารและประชาชน ที่สำคัญขอให้ตำรวจสืบสวนขยายผลต่อไป และต้องกระชากหน้ากากคนที่อยู่เบื้อง ส่วนการที่ นพ.เหวง โตจิราการ อดีตแกนนำ นปช.ออกมาระบุว่าเป็นการใส่ร้ายนั้น ตนมองว่าคนอย่าง นพ.เหวงจะพูดแก้ตัวอะไรก็พูดไป เพราะต้องถามว่าสังคมไทยให้ความเชื่อถือคนเหล่านี้หรือไม่ ทั้งที่วันนี้พยานและหลักฐานชัดเจนขนาดนี้แต่ก็ยังกล้าออกมาพูด
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก
สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai