ขณะกลุ่มติดอาวุธที่เริ่มมีอำนาจจากการเข้าร่วมสงครามกลางเมืองซีเรียแสดงตัวเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่ทางการเดนมาร์กทดลองใช้วิธีการเชิงโอนอ่อนกับผู้ที่เดินทางไปซีเรีย ซึ่งบางส่วนไปร่วมกลุ่มติดอาวุธ แต่บางส่วนแค่ไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพราะคิดว่าผู้เดินทางไปซีเรียหลายคนคงพบเจอประสบการณ์เลวร้าย
9 ก.ย. 2557 สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่าประเทศเดนมาร์กได้เปิดโครงการ "บำบัดฟื้นฟู"ให้กับชาวมุสลิมจากเดนมาร์กที่เดินทางไปซีเรีย โดยมีการพยายามจัดเส้นทางให้หลบหนีออกจากพื้นที่ขัดแย้งและช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้โดยไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดี
หน่วยงานด้านสวัสดิการของทางการเดนมาร์กร่วมมือกับตำรวจในเมืองอาร์ฮุสซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองเสนอว่าจะมีการรักษาแผลจากสะเก็ดระเบิดและกระสุนปืนรวมถึงความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับนักรบและอาสาสมัครด้านมนุษยธรรมจากเดนมาร์กที่เข้าไปอยู่ในเหตุขัดแย้งประเทศซีเรีย รวมถึงมีการช่วยเหลือให้พวกเขามีงานทำหรือได้รับการศึกษาต่อได้
โครงการของทางการเดนมาร์กยังให้ความช่วยเหลือครอบครัวของผู้ที่อยู่ในซีเรีย เช่น การช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถติดต่อกับญาติผ่านทางโปรแกรมวิดีโอแชทได้ โดยมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐ สถานกงสุล และหน่วยงานข่าวกรอง เพื่อช่วยเหลือให้ญาติของพวกเขากลับบ้านได้เมื่อต้องการจะกลับ
อัลจาซีราระบุว่าโครงการในเดนมาร์กเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเทียบกับมาตรการที่เข้มงวดกว่าของรัฐบาลอังกฤษที่ประกาศว่าชาวอังกฤษที่ไปเข้าร่วมกลุ่มติดอาวุธในซีเรียจะถูกจับกุมและดำเนินคดีข้อหาก่อการร้าย โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ย.) เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เพิ่มอำนาจให้กับตำรวจในการตรวจสอบหรือยึดหนังสือเดินทางรวมถึงเพิ่มความเข้มงวดกับผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มหัวรุนแรง อีกทั้งยังประกาศห้ามไม่ให้ชาวอังกฤษที่มีท่าทีเป็นภัยต่อความมั่นคงกลับเข้าประเทศ
แต่สเตเฟน นีลเซน ที่ปรึกษาด้านการป้องกันอาชญากรรมและสมาชิกทีมต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและต้านแนวคิดหัวรุนแรงในอาร์ฮุสกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ทางการเดนมาร์กใช้ "วิธีการโอนอ่อน"ซึ่งในตอนนี้มีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้กลับจากซีเรียแล้วราว 10 คน จากทั้งหมด 15 คน
"พวกเราสวมกอดพวกเขาเมื่อพวกเขากลับบ้านเกิด ไม่เหมือนในอังกฤษที่คุณอาจจะถูกกักตัวอยู่หนึ่งสัปดาห์เพื่อหาว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราจะถามว่า 'คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม'"นีลเซนกล่าว
แม้นีลเซนจะเชื่อว่ามีผู้กลับจากการสู้รบบางคนอาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่ที่กลับมาก็ต้องการความช่วยเหลือเยียวยาจากประสบการณ์ที่น่ากลัวและสะเทือนขวัญ สะเทือนต่อความเชื่อทางจริยธรรมของตนเอง เช่นบางคนไปเพราะคิดว่ากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้องแต่กลับเห็นการสังหารโหดผู้คน การข่มขืน ปัญหาสุขภาพจากน้ำดื่ม และไม่ได้พบว่าเป็นการต่อสู้แบบที่จินตนาการไว้
หน่วยงานข่าวกรองเดนมาร์กประเมินว่ามีประชาชนมากกว่า 100 คนเดินทางไปที่ซีเรียนับตั้งแต่เกิดสงครามในปี 2554 และมีอย่างน้อย 15 คนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังประเมินว่ามีประชาชนในเมืองอาร์ฮุสบางคนที่เคยก่อเหตุหรือเข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ อย่างไรก็ตาม นีลเซนยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องจำนวนผู้ไปร่วมขบวนการทั้งหมด เพราะบางส่วนเดินทางเพื่อไปร่วมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ไม่ใช่ไปรบเสียทั้งหมด และคนที่โพสต์ภาพตัวเองถืออาวุธส่วนมากมักจะไม่กลับประเทศอีก
นีลเซนกล่าวอีกว่าโครงการบำบัดฟื้นฟูนี้ดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานความมั่นคงหรือหน่วยงานสืบสวนของตำรวจ โดยมีการรับรองว่าข้อมูลจากการบำบัดจะไม่ถูกส่งให้กับหน่วยงานสืบราชการลับ ทำให้เป็นโครงการที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนชาวมุสลิมในอาร์ฮุสได้
อัลจาซีราระบุอีกว่าโครงการนี้สามารถลดจำนวนชาวมุสลิมในเดนมาร์กที่จะเดินทางไปซีเรียได้ โดยมีการสร้างความร่วมมือกับมัสยิดในท้องถิ่น ซึ่งมีมัสยิดบางแห่งให้ความร่วมมืออย่างดี
อุสซามะ เอล ซาดี ผู้นำมัสยิดแห่งหนึ่งในเดนมาร์กบอกว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีเนื่องจากไม่พยายามกล่าวหาว่าคนที่เดินทางไปซีเรียกระทำความผิดร้ายแรงแล้วทำให้พวกเขาหนีหายไป และควรให้โอกาสให้พวกเขาได้เล่าสิ่งที่ประสบในซีเรีย
แม้ว่าทางการอังกฤษจะมีโครงการลดการมีแนวคิดหัวรุนแรงโดยจะนำมาใช้กับบุคคลที่พวกเขาคิดว่าเป็นพวกหัวรุนแรง แต่โครงการของเดนมาร์กมีลักษณะให้เข้าร่วมแบบสมัครใจและไม่มีการกล่าวถึงเรื่องแนวคิดอุดมการณ์ใดๆ
"พวกเราไม่ใช้พลังงานไปกับการต่อสู้กับแนวคิดอุดมการณ์ พวกเราไม่พยายามให้คุณเลิกเชื่อเรื่องแนวคิดญิฮาด คุณสามารถฝันถึงรัฐเคาะลีฟะฮ์ได้ แต่ก็มีในเรื่องการวิธีการบางอย่างที่คุณไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากขัดต่อกฎหมายอาญา"นีลเซนกล่าว
เมห์ดี มอซาฟฟารี ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นศาสนาอิสลามและการทำให้เกิดแนวคิดหัวรุนแรงจากมหาวิทยาลัยอาร์ฮุสกล่าวว่าเขายินดีที่มีโครงการช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงต่อการถูกชักจูงไปในทางรุนแรง และคิดว่าควรมีการขยายแนวคิดโครงการแบบนี้ออกไปในประเทศอื่นนอกจากเดนมาร์กเพื่อเป็นการส่งเสริมคุณค่าในทางประชาธิปไตยต่อชุมชนชายขอบและทำให้คนหนุ่มสาวชาวมุสลิมได้มีส่วนร่วม
อย่างไรก็ตามนีลเซนยอมรับว่าโครงการนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองเพื่อหาข้อผิดพลาด และเมืองอาร์ฮุสเป็นเหมือนสถานที่ทดลองวิธีการใหม่นี้ ในขณะเดียวกันทางการเดนมาร์กก็ถูกกดดันให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกว่านี้ เช่นจากผู้นำพรรคฝ่ายขวาที่เรียกร้องให้ถอดถอนสัญชาติพลเมืองเดนมาร์กจากผู้ที่เดินทางไปซีเรีย แต่นีลเซนก็บอกว่ามีประตูเปิดรับอยู่เสมอหากพวกเขาต้องการกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดยที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะทางการต้องการดูเป็นคนดี แต่เพราะมันเป็นวิธีที่ได้ผล
เรียบเรียงจาก
Denmark introduces rehab for Syrian fighters, aljazeera, 07-09-2014
http://www.aljazeera.com/indepth/features/2014/09/denmark-introduces-rehab-syrian-fighters-201496125229948625.html