ที่ประชุม คสช. เห็นชอบขยายเวลาความตกลงค้าข้าวจีทูจีไทย-ฟิลิปปินส์ถึงสิ้นปี 59 - เร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐไตรมาส 1 ปี 58 - เลิกใช้กฎอัยการศึกเมื่อไหร่ยังกำหนดไม่ได้ - ส่วนแผนบริหารราชการหัวหน้า คสช. เตรียมไว้แล้ว รองนายกฯ 5 คนกำกับดูแลงาน และ คสช. จะไม่แทรกแซงก้าวก่ายการทำงานของรัฐบาล
ที่มาของภาพ: ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล
2 ก.ย. 2557 - เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่าเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่สโมสรทหารบก เทเวศร์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ครั้งที่ 13/2557 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธานนั้น ต่อมา พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก พร้อมด้วย ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ พร้อมด้วย น.ส.ปถมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูตเก็ต โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฝ่ายพลเรือน ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
จะให้รองนายกรัฐมนตรี 5 คนเชื่อมต่อ คสช. ย้ำไม่มีการก้าวก่ายรัฐบาล
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุม คสช. ถึงการดำเนินงานในอนาคตที่ได้มีการเตรียมร่างแผนบริหารราชการแผ่นดินไว้แล้ว โดยรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 คน จะกำกับดูแลงาน 5 ฝ่าย ซึ่งการบริหารงานจะเป็นการเชื่อมต่อกันระหว่างรัฐบาลกับ คสช. โดย คสช. จะมีบทบาทเสนอความเห็นต่อรัฐบาล และร่วมขับเคลื่อนเรื่องเร่งด่วนในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่มีการแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานของรัฐบาล
ส่วนการใช้กฎอัยการศึกนั้น พ.อ.วินธัยกล่าวว่า จะมีการพิจารณาสถานการณ์และสภาพแวดล้อมในอนาคต อีกครั้ง ซึ่งคาดว่ามีโอกาสที่จะปรับและผ่อนคลายได้ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถกำหนดเวลาที่ชัดเจนได้ในช่วงนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก็เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยให้กับประเทศโดยรวม ขณะเดียวกันยืนยันว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียนเข้าใจสถานการณ์ในไทยและสภาพปัจจุบันเป็นอย่างดี โดยสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งเรื่องการค้า การลงทุน และเริ่มมีความคืบหน้าในการใช้กลไกประชาธิปไตย
ส่วนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น จะเริ่มจากการบริหารโดยการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐปี 2557 – 2558 ให้เป็นไปตามแผน มีประสิทธิภาพ มีระบบการตรวจสอบที่ดี และไม่มีปัญหาการทุจริต โดยจะมีการติดตามประเมินผลทุก 3 เดือน เพื่อสร้างความเชื่อถือให้กับประชาชนในเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างไรก็ตามไม่ต้องการให้มีการเร่งใช้งบประมาณเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้าย แต่ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างแท้จริง
รวมทั้งจะเร่งจัดตั้งศูนย์ One Stop Service ให้ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา ความมั่นคง และการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งให้มีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศให้มีปริมาณมากขึ้น ซึ่งอาจต้องเร่งพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี และหีบห่อบรรจุให้เหมาะสมสวยงาม
นอกจากนี้ หัวหน้า คสช. ได้มอบหมายให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาปลูกฝังค่านิยมคนไทย 12 ประการอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนด้านกฎหมายมุ่งเน้นแก้ไขปรับปรุงให้ครอบคลุมทุกมิติ รวมถึงเน้นย้ำหน่วยเกี่ยวข้องติดตามเรื่องร้องเรียนจากประชาชน พร้อมทั้งสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมดูแลราคาสินค้า หลังการปรับลดราคาพลังงาน เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อประชาชนโดยรวม
ที่ประชุม คสช. ให้เร่งรัดการจ่ายงบประมาณไตรมาสแรกปี 58
นอกจากนี้ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานด้วยว่า ที่ประชุม คสช. ได้รับทราบเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณปี 2558 โดยสำนักงบประมาณ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุม กรณีหัวหน้า คสช. ได้สั่งการให้สำนักงบประมาณ เร่งรัดการใช้จ่ายภายในไตรมาสแรกของปี 2558 โดยให้เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งการใช้จ่ายภาครัฐถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณ ได้ตั้งเป้าหมายในเรื่องของการเบิกจ่ายงบฯ ลงทุนในปีหน้า ไม่น้อยกว่า 87 เปอร์เซ็นต์ และเป้าหมายการเบิกจ่ายในภาพรวมไม่น้อยกว่า 96 เปอร์เซ็นต์ โดยไตรมาสแรกให้เร่งรัดใช้จ่ายประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นในไตรมาสที่ 2 – 4 อยู่ที่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เป็นอย่างดี
สำหรับมาตรการที่สำนักงบประมาณกำหนด ประกอบด้วย มาตรการเชิงรุก ในเรื่องของการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนของการปฏิบัติงาน รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเตรียมความพร้อมจัดลำดับความสำคัญ และให้ทุกหน่วยงานติดตามรายงานผลการปฏิบัติการ และผลการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2558 ในภาพรวมให้รัฐบาลรับทราบ
หัวหน้า คสช. ได้สั่งการห้ามปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานหรือโครงการข้ามประเภทโครงแผนงานหรือโครงการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และหากส่วนราชการไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณได้ตามแผนก็จะมีการปรับลดงบประมาณของส่วนราชการนั้นลงในปีงบประมาณต่อไป
รวมทั้ง หัวหน้า คสช. ได้เร่งรัดโครงการต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์กับประชาชน ทั้งโครงการที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมสถานที่ต่าง ๆ ของหน่วยราชการ การจัดประชุมสัมมนา การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ซึ่งมีการวางแผนที่จะดำเนินการไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยต้องมีการเร่งรัดดำเนินการในไตรมาสแรก และให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส เพื่อทำให้มีเงินหมุนเวียนในภาคเศรษฐกิจและสังคม
ส่วนกระทรวงการคลังก็ได้มีการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณใน ปี 2558 เช่นกัน ซึ่งในส่วนของการเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงิน นั้น จะเร่งดำเนินการให้ได้ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2557 ทั้งการเร่งรัดการฝึกอบรมและประชุมสัมมนา และเบิกจ่ายงบอบรมและประชุมสัมมนาในประเทศให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของบฯ ที่ได้รับจัดสรรภายในไตรมาสแรกของปีงบฯ 2558
รวมทั้งให้หน่วยงานที่มีเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลือมปี โดยเฉพาะรายจ่ายประจำที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว ขณะเดียวกันให้หน่วยงานเตรียมความพร้อมในการจัดหาพัสดุ โดยหน่วยงานเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนภายในให้พร้อม เพื่อให้สามารถก่อหนี้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วนการเร่งรัดการดำเนินงานก็ให้หน่วยงานรายงานผลการก่อหนี้ให้กับกระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2557 และให้หัวหน้าส่วนติดตามและกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติงานและแผนใช้จ่ายเงินโดยเคร่งครัด
อีกทั้ง ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบฯ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2558 ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย
ขยายเวลาความตกลงค้าข้าวไทย-ฟิลิปปินส์จนถึงสิ้นปี 59
เว็บไซต์รัฐบาลรายงานด้วยว่า โฆษก คสช. แถลงด้วยว่า คสช.อนุมัติการลงนามในบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ โดยร่างบันทึกความตกลงในครั้งนี้สาระสำคัญเหมือนฉบับที่หมดอายุลง โดยปรับเวลาสิ้นสุดให้เป็น 31 ธันวาคม 2559 ซึ่งไทยสามารถเข้าร่วมประมูลขายข้าวหรือเจรจาซื้อขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับฟิลิปปินส์ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ
พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กำหนดเวลาทำงานของ ครม. เชื่อความดีจะชนะความไม่ดี
ขณะเดียวกัน มติชนออนไลน์รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เผยถึงการทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า ทันทีที่มีการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติและจะมีการแบ่งการทำงาน 19 กระทรวงให้รองนายกรัฐมนตรี 5 คนดูแลขณะที่บทบาทการทำงานของ คสช. 5 ด้านยังคงอยู่ แต่ก็ต้องลดบทบาทลง มีเพียงการดำเนินการเกี่ยวกับงานขับเคลื่อนที่เป็นเรื่องเร่งด่วน อาทิ การรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ คสช.มุ่งเน้น พร้อมระบุถึงการทำงานในส่วนของรัฐบาลใหม่ด้วยว่าได้กำชับให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศโดยยึดหลัก ทำก่อน ทำจริง มีผลสำเร็จ ปี 2558 และยั่งยืนบนพื้นฐานของค่านิยมคนไทย 12 ประการ ที่มีความเหมาะสมกับประไทศไทยและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ การทำงานของคณะรัฐมนตรีจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการทำงานเพราะไม่ต้องการให้เงื่อนไขของเวลามาเป็นอุปสรรคส่วนตัวเชื่อมั่นในความดี ว่าความดีจะชนะความไม่ดี และจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้