สมาชิก สนช. เข้าฟังบรรยายร่างกฎหมายเร่งด่วน 2 ฉบับ "พ.ร.บ.กลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ"และ "พ.ร.บ.การทวงถามหนี้"ตามที่ คสช. ส่งให้ที่ประชุมพิจารณา
22 ส.ค. 2557 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เข้ารับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับความเป็นมา และสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ... โดยสำนักกฎหมายเป็นผู้บรรยายในข้อมูล เพื่อให้สมาชิก สนช. ทำความเข้าใจ ก่อนที่ร่าง พระราชบัญญัติ ทั้ง 2 ฉบับ จะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม สนช. ในสัปดาห์หน้า ซึ่งร่าง พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายเร่งด่วนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ส่งมาให้ที่ประชุม สนช.พิจารณา ทั้งนี้ ร่าง พระราชบัญญัติ การกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ ระบุว่า ข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนตามมาตรา 36 แห่ง พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และผู้รับบำนาญที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ รวมถึงทหารกองหนุนมีเบี้ยหวัด มีสิทธิขอกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 โดยให้แสดงความประสงค์ต่อส่วนราชการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด
นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ ระบุว่าให้มีคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาทนายความ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 5 คน เป็นกรรมการ โดยมีอำนาจออกประกาศและคำสั่งในการทวงถามหนี้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจการทวงถามหนี้จะต้องจดทะเบียนตามหลักเกณฑ์ ตลอดจนเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยให้เจ้าหนี้ติดต่อลูกหนี้ตามสถานที่ที่ได้แจ้งไว้ในเวลา 09.00 น.- 20.00 น. รวมถึงห้ามทวงถามหนี้ด้วยการข่มขู่ หรือใช้ความรุนแรงและติดต่อลูกหนี้ โดยใช้เอกสารที่ชัดเจน
พร้อมกันนี้ ยังมีข้อห้ามไม่ให้เจ้าหนี้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินกว่าอัตราที่คณะกรรมการกำหนด รวมทั้งจูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คทั้งที่ทราบว่าลูกหนี้อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้