ศาลฎีกาพิพากษายืน ยกฟ้อง 'นาม ยิ้มแย้ม - คตส.'รวม 11 คน ชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดี 'ทักษิณ-พจมาน'ฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทำสำนวนคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ฟ้องศาลฎีกานักการเมือง ชี้ไม่มีอำนาจพิจารณา
14 ส.ค. 2557 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 904 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.3020/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายบุญเฉลียว ดุษดี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับพวก อดีต คตส. รวม 11 คน เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200
โจทก์ ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. - 21 มิ.ย. 2550 จำเลยทั้ง 11 คน ได้รับแต่งตั้ง เป็น คตส. และมีอำนาจหน้าที่ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และจำเลยทั้ง 11 คน ได้อาศัยอำนาจหน้าที่ในฐานะเป็น คตส. เจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองให้ตกเป็นจำเลยที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีซื้อขายที่ดิน 4 แปลง ย่านรัชดาภิเษก โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อแกล้งให้โจทก์ทั้งสองเกิดความเสียหาย และต้องรับโทษจำคุกริบทรัพย์สิน เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2550 ว่า คดีนี้วินิจฉัยโดยไม่ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งแม้ว่าโจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาล ก่อนที่จะมี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 จะมีผลบังคับใช้ แต่การที่จำเลยยื่นฟ้อง คตส.ในความผิดดังกล่าว ต้องไปยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากศาลอาญา ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ต่อมาโจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาวันที่ 21 ธ.ค. 2553 ยืนตามศาลชั้นต้น ขณะที่โจทก์ทั้งสองได้ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า ภายหลังการยึดอำนาจ คปค.ได้ออกประกาศและแต่งตั้งจำเลยทั้ง 11 คน เป็น คตส. ให้มีหน้าที่ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยให้ถือการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส. เสมือนกับการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. ซึ่งประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ข้อ 10 วรรค 1 เรื่องตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐระบุให้หากมีการร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส. กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือการยุติธรรมให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 17 โดยประกาศดังกล่าวถือเป็นวิธีสบัญญัติ ที่ใช้บังคับได้ทันที
หากมีการกล่าวหา คตส.และ ป.ป.ช.กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ก็จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 17 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำเนินตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 คือ จะต้องยื่นเรื่องให้ ส.ส. และส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของสมาชิก 2 สภาที่มีอยู่ทั้งหมด ยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภาส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำเนินตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งหากศาลฎีกาฯ รับเรื่องไว้แล้ว คตส.หรือ ป.ป.ช.จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยทันทีจนกว่าศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายกำหนดขั้นตอนดังกล่าวไว้ก็เพื่อไม่ให้มีการกลั่นแกล้งร้องเรียน โดยมิชอบ รวมทั้งยังให้มีการคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณะในการที่จะให้ผู้ถูกร้องเรียนหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
ดังนั้นตามบทบัญญัติของกฎหมายคดีที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลอาญา แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้ยื่นฟ้องคดีนี้ก่อนที่ประกาศ คปค.ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมจะบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2550 จึงไม่อาจมีการนำเอาประกาศ คปค.มาบังคับใช้ย้อนหลังได้นั้น ศาลเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คปค.ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับวิธีดำเนินการทางกฎหมายหรือวิธีสบัญญัติ ไม่ใช้การแก้ไขในสาระของกฎหมายที่จะมีผลหากนำมาบังคับใช้ย้อนหลัง ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองศาลพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืน ให้ยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การฟังคำสั่งวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โจทก์ทั้งสอง ได้ส่งผู้แทน มาฟังคำพิพากษา ส่วนจำเลยทั้ง 11 คนไม่ได้ส่งตัวแทนมาฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นการยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเท่านั้น
ที่มา: คมชัดลึก, มติชนออนไลน์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai