ยิ่งลักษณ์แถลงกรณีถูกชี้มูลความผิดโครงการรับจำนำข้าว ถามกระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ ตั้งข้อสังเกต รวบรัดเป็นพิเศษ ยันไม่หนีคดี
18 ก.ค. 2557 น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงต่อสื่อมวลชนกรณีถูกชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 อันเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวของรัฐ
โดยอดีตนายกรัฐมนตรีแถลงโดยมีรายละเอียดดังนี้
จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดดิฉันว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดิฉันนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า
1.กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่ เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวใช้เวลาเพียง แค่ 21 วัน และหลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉัน ภายใน 140 วันซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่น ๆที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าว ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล่าช้า . โครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช. กลับไม่มีความคืบหน้า อันถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน
2. นอกจากนี้ ในการปฏิบัติ ของ ป.ป.ช. เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์ รวบรัด เป็นกรณีพิเศษดังนี้
- เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน
- ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ
- ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้ง ๆที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว
- ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริง กรณีการลงบันทึกบัญชีที่ข้อขัดแย้งและแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด
- กรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้าน นาย วิชา รวม 3 ครั้ง
3.นโยบาย รับจำนำข้าว เป็นนโยบายระดับประเทศ นายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้นเป็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆหลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง
4. นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่า คดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้ และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำ ข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย
5. ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน และสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช. ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแล สต็อกข้าว ทั้ง องค์การ คลังสินค้า อ.ค.ส. และ องค์การ ตลาดเพื่อเกษตรกร อ.ต.ก.ได้ทำสัญญาต่าง ๆ กับเจ้าของคลังสินค้า และบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐ มีความเสียหายจากข้าวหาย และข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
6. ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉันและเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยามเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆแต่ ป.ป.ช.กลับละเลย และปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
7. ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆนั้น ขอยืนยันว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัว และมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้า แล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน
วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย