องค์กรเสรีไทยฯ เข้าหารือ กรรมาธิการสหภาพยูโรปหรือ อียู เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย อียู ห่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไทยจะส่งผลให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยวิกฤติมากขึ้น
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คณะขององค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ( FreeThai Organisation for Human Right and Democracy ) นำโดย นายจรัล ดิษฐาภิชัยผู้ประสานงานองค์กรเสรีไทยฯ ประจำยุโรป ได้เดินทางเข้าพบ คณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษชน และคณะกรรมาธิการด้านต่างประเทศ ของ สหภาพยุโรป หรือ อียู เพื่อรายงานสถานการณ์ทางการเมือง และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย หลังจาก กองทัพไทย ได้ทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดย องค์กรเสรีไทยฯ ได้เสนอบันทึกรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมทั้ง ขอคำแนะนำจาก คณะกรรมาธิการทั้ง 2 ชุด
นายจรัลกล่าวภายหลังการเข้าพบว่า องค์กรเสรีไทยฯ ได้ขอบคุณ อียู ที่ได้ยกเลิกการเดินทางข้าราชการระดับสูงของไทยมายังอียู และยกเลิกการเป็นคู่สัญญาทางการค้ากับไทย ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอย่างมาก ส่วนกระแสข่าวที่ว่า อียู ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางสีฟ้าของข้าราชการไทยนั้น อียู ยืนยันว่า เป็นเพียงข่าวลือไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
“คณะกรรมาธิการด้านต่างประเทศ และสิทธิมนุษชน ของ อียู ได้สอบถามถึง การทำหน้าที่ของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่าได้ดำเนินการอย่างไร กับปัญหานี้ ซึ่งผมตอบว่า ไม่ได้ทำอะไรมาก อาจจะเป็นเพราะกรรมการสิทธิฯ ในประเทศไทย ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช.ซึ่งเป็น คณะรัฐประหารก่อนหน้านี้ อีกทั้ง กรรมาธิการของอียู ยังได้ตั้งข้อสังเกตถึง การที่รัฐบาลทหารไทย ผลักดันแรงงานกัมพูชา กลับประเทศเป็นจำนวนมากว่า เป็นข้อต่อรองและเป็นการกดดัน รัฐบาลกัมพูชามากกว่าที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย แทนที่จะแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย” นายจรัลกล่าว
นายจรัลกล่าวต่อไปว่า คณะกรรมาธิการของอียู สอบถามคณะขององค์กรเสรีไทยฯว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะเร่งคืนประชาธิปไตยให้กับคนไทย ซึ่งตนได้อธิบายว่า คงเป็นไปได้ยากในระยะเวลาอันสั้น เพราะ คสช. ยังไม่สามารถจัดระบบทางการเมืองในประเทศไทย ที่จะป้องกันไม่ให้ พรรคเพื่อไทย หรือ กลุ่มอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง
“ ถ้า คสช. ปฎิรูปการเมืองได้สำเร็จ และมั่นใจได้ว่า ป้องกันไม่ให้ พรรคเพื่อไทย หรือ กลุ่มอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามามีอำนาจได้ ก็จะคืนอำนาจให้กับประชาชนได้” นายจรัลกล่าว
นายจรัล ยังได้กล่าวถึงการที่ กรรมาธิการของอียู ได้ถามด้วยว่า การทำรัฐประหารในประเทศไทย ครั้งนี้ ต่างจากการทำรัฐประหารในทุกครั้ง ที่ผ่านมาอย่างไร ซึ่งตนได้อธิบายไปว่า การทำรัฐประหารครั้งนี้ต่างจาก รัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ตรงที่ว่า ครั้งนั้น ต้องการที่จะกำจัด อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพรรคไทยรักไทย ซึ่งนอกจากจะไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว กลับส่งผลให้วิกฤติหลายเรื่องที่คาดไม่ถึง เช่น คนไทยแตกแยกกัน เป็น 2 ฝ่ายอย่างรุนแรง คนไทยจำนวนมาก จะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ สถาบันกษัตริย์อย่างกว้างขวางถึงระดับหมู่บ้าน และกลับทำให้ฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกทั้งๆ ที่ถูกรัฐประหารและถูกทำลายมาแล้วถึง 3 ครั้ง
“การทำรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ จึงเป็นการสรุปบทเรียนจากข้อผลิดพลาดของการทำรัฐประหารในทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาตามอำเภอใจได้คือการ อุ้ม หรือ การฆ่าแกนนำ วิธีเดียวที่ได้ผล คือการออกประกาศให้ไปรายงานตัว ซึ่งก็ได้ผลมาก แทนที่จะไล่จับ แต่ทำให้แกนนำ และประชาชนที่คัดค้าน กลับเดินมาให้จับ 3 – 4 วันแล้วปล่อยตัวไป ออกมาแล้วก็เงียบ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนไทยอีกจำนวนพยายามที่จะต่อต้าน คสช.ด้วยวิธีการต่างๆ” นายจรัลกล่าว
นายจรัลกล่าวว่า หลังจากการได้พูดคุย และได้รายงานสถานการณ์ทางการเมืองของไทยให้ กับ คณะกรรมาธิการทั้ง 2 ชุดของ อียูแล้ว องค์กรเสรีไทยฯ มีกำหนดการที่จะเข้าพบ เอกอัครราชทูตด้านสิทธิมนุษยชนของ ฝรั่งเศส ในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่ นายจรัล ดิษฐาภิชัย อธิบายถึงเหตุผลของการทำรัฐประหารครั้งล่าสุดว่า เป็นเพราะกองทัพไทย ต้องการที่จะปราบปราม ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรงด้วย ซึ่ง กรรมาธิการของ อียู ให้ความสนใจในประเด็นนี้อย่างมาก และแสดงความเป็นห่วงว่าการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของไทยจะอาจจะส่งผลกระทบให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยรุนแรงมากขึ้น