เมียอันวาร์ร้องเรียนศูนย์ทนายความมุสลิม เหตุตำรวจสงสัยสามีฆ่าพระทั้งที่อยู่ในเรือนจำ ทนายชี้ข้อบกพร้องในการทำคดี มีชาวบ้านร้องเรียนกรณีคล้ายกันเพียบ ตำรวจรับผิดพลาดแต่ระบุทำตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 ที่มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี นางสาวรอมือละห์ แซเยะ ภรรยานายมูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในเรือนจำกลางปัตตานี ได้เดินทางมาร้องเรียนความเป็นธรรมกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ยะรัง จ.ปัตตานี นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 35 ม.3 ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานีพร้อมกับขอเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของนายมูฮาหมัดอัณวัรเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุยิงพระสงฆ์และราษฎรไทยพุทธเสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บอีก 7 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ในพื้นที่ ต.แม่ลาน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ทั้งที่นายมูฮาหมัดอัณวัรถูกขังในเรือนจำกลางปัตตานีมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2556
งงต้องสงสัยฆ่าพระทั้งที่อยู่ในคุก
นางสาวรอมือละห์ เปิดเผยว่า การร้องเรียนครั้งนี้ เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับสามีและครอบครัวจากกรณีที่ตำรวจระบุว่านายมูฮาหมัดอัณวัรตกเป็นต้องสงสัยในคดีดังกล่าว ทั้งที่เจ้าตัวถูกจำคุกในเรือนจำ จึงอยากเรียกร้องให้ทางตำรวจลบล้างข้อกล่าวหาดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก
นางสาวรอมือละห์ กล่าวด้วยว่า ไม่ทราบว่าที่ผ่านมากรณีเช่นนี้เคยเกิดบ่อยครั้งแค่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะต่อชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งความผิดพลาดเช่นนี้นำไปสู่การเสียชีวิตและสูญเสียอิสรภาพได้
“หากนายมูฮาหมัดอัณวัรอยู่นอกจากเรือนจำ เขาคงจะถูกดำเนินคดีในข้อหาที่หนักกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งโทษอาจจะหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตหรือไม่ก็ถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตก็ได้” นางสาวรอมือละห์ กล่าว
ทั้งนี้มูฮาหมัดอัณวัรได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 12 ปี ในฐานความผิดเป็นสมาชิกของแนวร่วมขวนการ บีอาร์เอ็น ปัจจุบันถูกขังในเรือนจำกลางปัตตานี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2556
นายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเต๊ะ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมปัตตานี เปิดเผยว่า กรณีนี้ตำรวจได้นำเพียงหนังสือใบสั่งของสายบังคับบัญชาที่ได้รับการขอความอนุเคราะห์จาก สภ.แม่ลานมาให้ตำรวจ สภ.ยะรังเข้าทำการพิสูจน์ตัวอย่างสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของนายมูฮาหมัดอัณวัร โดยที่ไม่มีหมายศาลหรือหมายค้นที่ถูกหลักตามกฎหมายแต่อย่างใด
“ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามารถใช้กฎอัยการศึก หรือใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แสดงตนขอตรวจค้นหรือเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาตรวจดีเอ็นเอ แต่กรณีเป็นเพียงหนังสือขอความอนุเคราะห์ จึงเป็นสิทธิของผู้ต้องสงสัยที่จะปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจสอบได้” นายอับดุลกอฮาร์ กล่าว
ทนายชี้ข้อมูลมั่ว มีข้อบกพร่องในการสอบสวนอีกหลายคดี
นายอับดุลกอฮาร์ กล่าวด้วยว่า แต่กรณีนี้มีการระบุผู้ต้องสงสัยคือนายมูฮาหมัดอัณวัรเพียงคนเดียว แต่ในเอกสารกลับให้มีการตรวจดีเอ็นเอทั้งบิดา มารดาและคนในครอบครัวด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด
นายอับดุลกอฮาร์ เปิดเผยว่า โดยเฉพาะในหนังสือบันทึกข้อความของ สภ.แม่ลานที่ระบุว่า ข้อสงสัยดังกล่าวมาจากการสอบปากคำประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุและใกล้เคียงที่ชี้ว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้คือนายมูฮาหมัดอัณวัร ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง พยานหลักฐานอ่อนมาก เพราะกรณีของนายมูฮาหมัดอัณวัรสังคมทั่วไปรับรู้มาตลอดว่าถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 10 เดือนมาแล้ว
“แสดงว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนใช้ข้อมูลของตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องของยึดถือและนำปฏิบัติ จะเห็นได้ว่าคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือผู้ที่ตกเป็นจำเลย แม้ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว ก็ยังถูกอายัดตัวเพื่อดำเนินใหม่ต่อไป ซึ่งทำให้ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด” นายอับดุลกอฮาร์ กล่าว
นายอับดุลกอฮาร์ เปิดเผยว่า เกือบทุกคดีความมั่นคงในพื้นที่ที่ผ่านมา เมื่อเกิดคดีขึ้นมา ทางพนักงานสอบสวนจะนำภาพถ่ายบุคคลต่างๆ ที่เป็นมุสลิมอายุ 18 – 35 ปี มาให้พยานดูและชี้ว่าบุคคลต้องสงสัยในการก่อเหตุมีอยู่ในภาพถ่ายที่นำให้ดูหรือไม่ เมื่อพยานชี้ไปที่ใคร ทางพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยการออกหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมาย พ.ร.ก.หรือหมายจับ
เมื่อพยานชี้ตัวไปที่ใครแล้ว พนักงานสอบสวนก็จะยึดตามที่พยานชี้มาดำเนินคดีทันที โดยไม่ได้นำพยานหลักฐานอื่นมาพิจารณาในการสอบสวน ทั้งๆ ที่ตามประมวลกฎหมายอาญาระบุให้พนักงานสอบสวนต้องให้ความสำคัญกับพยานหลักฐานของผู้ต้องสงสัยด้วย
ทนายเผยมีคนร้องเรียนกรณีคล้ายกันเพียบ
นายอับดุลกอฮาร์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ผ่านมาเกิดความผิดพลาดในลักษณะเช่นนี้มาแล้วหลายคดี และมีผู้มาร้องเรียนต่อศูนย์ทนายความมุสลิมหลายครั้ง
“การดำเนินการในลักษณะนี้ก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย ซึ่งความผิดพลาดในกรณีเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง จนทำให้ผู้ถูกกล่าวหาบางคนถูกศาลพิพากษาลงโทษหรือถูกยกฟ้อง แต่ที่แน่ๆ คือ ผู้ที่ถูกกล่าวหาในลักษณะนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บางคนสามารถประกันตัวออกมาได้แต่บางคนก็ไม่สามารถประกันตัวได้”
กรณีเช่นนี้มีผู้มาร้องเรียนต่อศูนย์ทนายความมุสลิมหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับนายมูฮาหมัดอัณวัรทำให้สังคมเห็นได้ชัดเจนถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ว่า ไม่มีการอัพเดทข้อมูลในสารบบคดีหรือยังใช้วิธีการเดิมๆเช่นนี้ในการดำเนินการกับคดีความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งทำให้เกิดผิดพลาดขึ้น
ตำรวจรับผิดพลาดแต่ยื่นยันทำตามกฎหมาย
พ.ต.อ.สาธิต พลพินิจ ผู้กำกับการ สภ.แม่ลาน เปิดเผยว่า ตามกระบวนการการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นจนรู้ว่าผู้ใด คือบุคคลใดต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการตรวจสอบในเชิงสอบสวนต่อบุคคลดังกล่าวว่ากระทำความผิดหรือไม่ ถ้าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีพยานยืนยันได้ว่า เขามีที่อยู่ที่ชัดเจนในวันเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่อาจจะตัดประเด็นออกจากการสืบสวนออกไป
“เจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงแค่เก็บพยานหลักฐานตามระเบียบของการสืบสวนในเบื้องต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ออกหมายแต่อย่างได ซึ่งหากผู้ใดที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะตัดออก” พ.ต.อ.สาธิต กล่าว
พ.ต.อ.สาธิต กล่าวว่าเป็นการผิดพลาดของเจ้าหน้าที่สืบสวนในระหว่างที่นำรูปถ่ายผู้ต้องสงสัยก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ทั้งหมดมาให้พยานในที่เกิดเหตุดู โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบมาก่อนว่าผู้ต้องสงสัยได้ถูกขังอยู่ในเรือนจำก่อนแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบไปที่บ้านของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ ปรากฏว่าผู้ต้องสงสัยดังกล่าวถูกขังอยู่ในเรือนจำกลางปัตตานี จึงได้สั่งการให้ตัดประเด็นบุคคลดังกล่าวทิ้งทันที
ถอดคำสัมภาษณ์เมียอันวาร์ หลังสามีเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าพระ
WARTANI media เผยแพร่คลิปวิดีโอบนยูทูบ ถึงการสัมภาษณ์นางสาวรอมือละห์ แซเยะ ภรรยาของนายมูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าพระใน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ขณะที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางปัตตานี
“เมื่อวาน ตรงกับวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2557 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่บ้านประมาณ 4 คน มีเอกสารติดมือมาด้วย ต้องการเจออันวาร์ (มูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ) บอกสั้นๆ ว่าต้องการตรวจดีเอ็นเอ เราก็งง มีอะไร เกิดอะไรขึ้นว่าทำไม
ระหว่างนั้นเราก็ขอตรวจดูเอกสารและขอถ่ายรูปเอกสารที่ตำรวจเอามาด้วย แล้วก็ได้อ่านดังๆ ให้เราฟังและตำรวจฟังด้วยว่ามันคืออะไร ระหว่างที่อ่านก็ตกใจ รู้แค่ว่าเอกสารนี้มาจาก สภ.แม่ลาน ส่งต่อ สภ.ยะรัง เจ้าหน้าที่ที่มาก็มาจาก สภ.ยะรัง บอกว่าต้องการดีเอ็นเอของอันวาร์
ก็คิดว่าอันวาร์ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ก็ถามกลับไปว่า มันคืออะไร ขอถ่ายรูปได้ไหม แกบอกว่าได้ ระหว่างที่คุยกัน เราก็ขอถ่ายรูปเอกสารที่เขาเอามาด้วย ก็เลยบอกเขาไปว่า อันวาร์ไม่ได้อยู่บ้านมา 10 เดือนกว่าแล้ว เขาก็เลยถามว่าอยู่ไหน เราก็บอกว่า อันวาร์อยู่ที่เรือนจำ เขาตกใจ แล้วทำให้เรารู้เลยว่า เอ๊ะ ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ระหว่างนั้นก็คุยกัน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตำรวจมาดีเราก็พูดดี เราก็บอกเขาว่า เราอยู่ในฐานะที่เราคุยกันได้นะ ถ้าคุณมาแบบนี้กับชาวบ้านที่เขาคุยอะไรไม่ได้นี่แย่ เรารู้สึกเลยว่าทำไมเจ้าหน้าที่ไม่รู้อะไรเลย เมื่อวานเราก็แปลกใจว่าทำไมเป็นชื่ออันวาร์ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย จริงอยู่ไม่ได้อัพเดทไม่ได้อะไรเลย
อาจจะอย่างที่พูดว่าเขาอาจจะยังไม่ได้อัพเดทว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่สงสัยมากว่า คือ คนบ้านเรา คิด ณ ตอนนั้นว่า สมมุติว่าขับมอเตอร์ไซต์แล้วเจอด่าน แล้วเราตกเป็นผู้ต้องสงสัย ณ เวลานั้น รายชื่อติดอยู่ในทางการอะไรสักอย่าง ถูกเรียกว่าอยู่ในแบล็คลิสต์ ทำให้เรารู้สึกว่า เริ่มต้นเราอยู่ในลิสต์ ตลอดสิบปีมีเรื่องราว เราก็จะอยู่ในแบล็คลิสต์ตลอดไป
แปลกใจตรงที่ว่า เรื่องราวกระบวนการยุติธรรมอะไรต่างๆ อะไรที่เกิดขึ้นหรือการเรียนการอะไรที่ทำอยู่ ไม่สามารถลบสิ่งที่อยู่ในลิสต์นี้ได้ แล้วสิบปีที่เราเรียกร้องสันติภาพ เรียกร้องที่จะให้เกิดขึ้น มันรู้สึกว่าไม่แปลกใจเลย ขนาดเรื่องอันวาร์ เรารู้สึกชัดมากว่าปี 2548 เกิดอะไรขึ้นปี 2552 เกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งสุดท้ายปี 2556 ถูกตัดสินคดี แต่ทุกอย่างก็ไม่อัพเดท
พูดถึงเหตุการณ์ 8 ปีผ่านไป 9 ปีผ่านไป กับเรื่องราวอันวาร์ แล้วอันวาร์ก็ยังเป็นหนึ่งที่อยู่ในชื่อลิสต์ผู้ต้องสงสัย ถ้าวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 อันวาร์ถูกยกฟ้อง วันนี้อันวาร์คงจะถูกจับอีกรอบ แล้วข้อหาที่โดน ณ วันนี้ หนักกว่าวันนั้นอีก
ปี 2548 อันวาร์โดนแค่ข้อหาผู้ก่อการร้าย แม้จะมีคดีฆ่าตัดคอที่มันเคลียร์ไปแล้ว มันจบไปแล้ว แต่เหลือเรื่องเดียวคือ แค่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยผู้ก่อการร้าย แล้วก็เป็นสมาชิกของบีอาร์เอ็น แต่ถ้าโดนข้อหาที่เราอ่านเหตุการณ์เมื่อวานหนักกว่าอีก
ได้พูดกับตำรวจกลับไปแล้วเหมือนกันว่า ถ้าอันวาร์โดนข้อหานี้ ถูกตัดสินตลอดชีวิตกับประหารชีวิตเท่านั้น ฆ่าทั้งพระ ฆ่าทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฆ่าประชาชนทั่วไป ทั้งเสียชีวิตบาดเจ็บอย่างนี้จะเหลือหรือ นี่ขนาดโดนข้อหาสมาชิกบีอาร์เอ็น ตกเป็นผู้ก่อการร้าย ยังโดน 12 ปี แล้วถ้าโดนข้อหานี้ เราตายทั้งเป็นอีกรอบ เผลอๆ อาจจะมีคนในบ้านตายตามก็ได้
เมื่อวานสิ่งที่ตำรวจได้กลับไปก็คือลายเซ็น ลายเซ็นของรอมือละห์เองกับเลขที่บัตรประชาชน เพื่อเป็นพยานตอนที่เขามาตรวจค้น เราเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ เขาก็ให้เราช่วยเซ็น
สิ่งที่เราเป็นห่วงคือ ก่อนที่เขาจะกลับเราถามว่า ไม่ใช่พรุ่งนี้มาอีกนะ เขาบอกว่า ไม่แล้ว ถ้าเกิดมาอย่างนี้ก็คือเคลียร์ แล้วเขามาด้วยไม่รู้ว่าอันวาร์ถูกขัง ถ้าเขารู้เขาไม่มา พูดสั้นๆ อย่างนี้
แต่สิ่งที่รอมือละห์เป็นห่วง คือ
1. หลังจากที่ได้อ่านเอกสารสำนวนที่เขาส่งมา เราเป็นห่วงว่าเหยื่อรายต่อไปจะเป็นใคร สมมติชัดเจนแล้วว่าอันวาร์อยู่ข้างในเรือนจำ แล้วกรณีข้อหานี้ไม่ใช่อันวาร์ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย สิ่งที่เราห่วงต่อคือใครจะเป็นรายต่อไปที่จะเป็นเหยื่อข้อหานี้
2. ก่อนหน้านี้เราได้ยินเรื่องราวแบบนี้จากคนอื่นอย่างโน้นอย่างนี้ ได้ข่าวว่ามันเกิดอย่างนี้บ่อย หลายครั้งแล้ว มันทำให้เรารู้สึกว่า ข้อบกพร่องอยู่ที่ระบบไหนกันแน่ สะเพร่าตรงไหนกันแน่ ทำไม คนที่เป็นเหยื่อก็จะเป็นเหยื่อซ้ำซ้อนตลอด ซึ่งมัน 10 ปีแล้วกับเหตุการณ์
ถ้านับจากปี 2547 จนวันนี้มา คนที่ถูกแต้มเป็นสีดำก็จะดำตลอดเวลา ในขณะที่เราพยายามที่จะเป็นผ้าขาว แต่สีที่ถูกแต้มล้างยังไงก็ไม่สะอาด อันนี้นึกถึงกรณีอันวาร์เต็มๆ เพราะว่าปี 2548 โดนยังไงมา ลากมาถึงยกฟ้อง มาถึงปี 2557 ทุกอย่างตัดสินตามปี 2548 มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า อันวาร์ก็คงจะไม่ต่างกับเรื่องที่เกิดขึ้น คือถูกตัดสินอย่างนี้
แล้วประเด็นถัดมาที่ห่วงต่อก็คือว่า 3. ชาวบ้านที่โดนอย่างนี้แล้วไม่สามารถบอกเล่า ถ่ายทอดหรือให้ใครได้รับรู้ ก็จะตกเป็นเหยื่ออย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม แล้วเรื่องจะถูกเบรกก็คือตายใช่ไหม ก็คือเราต้องจบด้วยการตายการเสียชีวิต แล้วทุกอย่างก็จะจบใช่ไหม
4. สิ่งที่เราห่วงต่อก็คือว่า ระบบเวลานี้ในโซเชียลเน็ตเวิร์คมันไปถึงไหนถึงไหนแล้ว แต่ระบบราชการยังไม่ได้อัพเดทอะไรเลย ทำไมเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจไม่ส่งต่อข้อมูลกัน ทำไมไม่ส่งต่อให้ระบบบริหารงานยุติธรรมของ ศอ.บต. หรือใครก็ได้ที่เกี่ยวเนื่องกัน
อย่างที่เคยบอกว่า บัตรประชาชนหนึ่งใบ เรารู้ว่าใคร อยู่ไหน ทำอะไร ที่ไหน ยังไงบ้าง แต่ระบบยุติธรรมทำไมไม่เกิดกับชายแดนใต้ด้วย ก็แค่ชื่อคนๆหนึ่งมาร์กไว้ให้รู้ต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนนี้บ้าง 10 ปีผ่านไปมีอะไรอัพเดทเกี่ยวกับคนๆนี้บ้าง
เราเข้าใจนะที่เจ้าหน้าที่บอกว่า สภ.นี้ทำงานอย่างนี้ สภ.นี้ทำงานอย่างนี้ อีกที่ก็ทำงานอย่างนี้ ทุกคนก็ทำงานเฉพาะ แต่อย่าลืมว่า เรา ชีวิตชาวบ้าน คนที่อยู่ที่นี่ พอกระทบกับเราแล้วกระทบทุกที่ ไม่ใช่กระทบที่ใดที่หนึ่ง แล้วเรารู้สึกว่า ถ้าทุกคนให้ความร่วมมือ แล้วข้อมูลอัพเดทกันไปกันมา ทุกอย่างมันจะดีขึ้น
ถามว่าสิ่งที่ทุกคนเรียกร้องสันติภาพ เราเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้เร็วถ้าทุกคนส่งต่อข้อมูลทำงานเป็นระบบ เราต้องช่วยกัน ไม่ใช่ตำรวจก็ตำรวจ ทหารก็ทหาร ศอ.บต.ก็ศอ.บต. ชาวบ้านก็ชาวบ้าน ถ้าทุกคนสามารถช่วยกันได้
ถ้าเพื่อจะให้ที่นี่สงบจริงๆ เราเชื่อว่า ด้วยน้ำมือพวกเรามันทำกันได้ เว้นแต่คุณไม่อยากทำ มันก็จะไม่จบแน่ๆ”