อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นศาลปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาคดีสั่งสลายการชุมนุมปี 53 จนมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ ก่อนศาลเลื่อนตรวจพยานหลักฐานไป 23 มิ.ย.นี้ เหตุรอความชัดเจนจาก ป.ป.ช. ที่ต้องพิจารณาสำนวนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่
24 มี.ค.2557 ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ ม.80, 83, 84, 90 จากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ร่วมกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ด้วยการออกคำสั่ง ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณ ถ.ราชดำเนิน และแยกราชประสงค์จากกลุ่ม นปช. ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย.- 19 พ.ค.53 กระทั่งนายพัน คำกอง ชาว จ.ยโสธร อายุ 43 ปี คนขับแท็กซี่ และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา อายุ 14 ปี เสียชีวิตบริเวณใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ทลิงค์ สถานีราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค. 53 และนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ถูกกระสุนยิง มาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์ในพื้นที่ ย่านราชปรารภ ตามประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยอัยการนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 56 ที่ผ่านมา
ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้นายอภิสิทธิ์ จำเลยฟังแล้ว นายอภิสิทธิ์ยืนยันให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาตามคำให้การที่จำเลยยื่นต่อศาลในวันนี้ (24 มี.ค.) ขณะที่ศาลสอบถามโจทก์เกี่ยวกับคำฟ้องคดีนี้แล้ว อัยการโจทก์แถลงยืนยันว่า เหตุที่มีบุคคลถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางทหารในการผลักดันผู้ชุมนุมกระชับพื้นที่หรือขอคืนพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธและกระสุนปืนจริง ยิงใส่ผู้ชุมนุมโดยมีเจตนาฆ่าตามคำสั่งของจำเลย ที่ให้ ศอฉ.ควบคุมการมุ่งเข้าสู่พื้นที่สีลมและจัดวางเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายของกลุ่มผู้ชุมนุม และกำหนดแนวห้ามผ่านเด็ดขาด โดยทำเครื่องหมายหรือประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบ รวมทั้งกำหนดให้สามารถใช้อาวุธปืนประจำกาย กรณีจำเป็นเมื่อมีการบุกรุกแนวห้ามผ่านเด็ดขาด โดยก่อนหน้านั้นนายสุเทพ มีคำสั่งอนุมัติให้เจ้าหน้าที่ของ ศอฉ. สามารถใช้อาวุธและกระสุนปืนจริง และให้ใช้พลแม่นปืนปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่งต่อมาวันที่ 19 พ.ค. 53 จำเลยมีคำสั่งให้ ศอฉ.ดำเนินการตามมาตรการปิดล้อม สกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี และพื้นที่ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.เวลา 03.00 น. โดยการออกคำสั่งของจำเลยดังกล่าวกระทำในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจสั่งการตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 48
ด้านนายอภิสิทธิ์ จำเลย แถลงยืนยันว่า ขณะนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) สั่งการให้ผลักดันผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ โดยจำเลยเคยให้ถ้อยคำกับ ป.ป.ช.แล้ว แต่ขณะนี้ ป.ป.ช.ยังไม่ชี้มูลความผิด โดยอัยการโจทก์แถลงด้วยว่า ป.ป.ช.เคยขอเอกสารในสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในคดีนี้ ไปใช้ประกอบการพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงด้วย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาที่อัยการโจทก์ฟ้องมานั้น ล้วนเกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีในวาระต่างๆ กัน ภายหลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขต กทม.และปริมณฑลตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งหากการออกคำสั่งต่างๆ ของจำเลย ที่โจทก์ฟ้องนั้นไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติ การควบคุมฝูงชนหรือไม่สมควรแก่เหตุ การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีอาจเข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญาและเป็นการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และถ้าภายหลังการออกคำสั่งนั้น ส่งผลให้มีผู้ถึงแก่ความตายถือเป็นคดีเกี่ยวเนื่องจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ ดังนั้น เพื่อให้การตรวจพยานหลักฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในการจัดกลุ่มพยานที่จะนำสืบได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องสืบพยานฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจออกคำสั่งต่างๆ ให้ผลักดันการชุมนุมของจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า เป็นการกระทำโดยชอบด้วยหน้าที่หรือไม่ ซึ่งระบุว่า ป.ป.ช.ได้รับเรื่องไว้ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วนั้น ศาลเห็นสมควรที่จะให้มีหนังสือสอบถาม ป.ป.ช.เรื่องนี้ เพื่อให้ได้ความชัดเจนก่อนที่จะตรวจหลักฐานในคดีนี้ จึงให้นัดพร้อมเพื่อฟังผลการสอบถามจาก ป.ป.ช.ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับทีมทนายความปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ขณะที่นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความของนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าคดีนี้ต่อสู้โต้แย้งประเด็นอำนาจการสอบสวนอยู่แล้วว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.อย่างไรก็ตาม สุดท้าย ป.ป.ช.จะชี้มูลและถ้าผลออกมาว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ไม่เป็นความผิด จะนำผลนั้นมาใช้ประกอบการต่อสู้คดีอย่างแน่นอน
ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ โจทก์ร่วมในคดี กล่าวว่า นอกจากที่นายสมรและนางหนูชิดได้ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมแล้ว ในส่วนของญาติผู้เสียชีวิต 6 ศพวัดปทุมวนาราม ในช่วงสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ยังได้ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 2 มิ.ย.นี้ โดยวันนี้อัยการโจทก์ได้แถลงให้ศาลอาญาทราบ พร้อมกับระบุว่าจะขอโอนคดีดังกล่าวมารวมกับคดีนี้ด้วย ซึ่งต้องรอติดตามผลการพิจารณาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด ได้มีความเห็นให้สั่งฟ้องนายสุเทพร่วมกับนายอภิสิทธิ์ด้วย แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถนำตัวนายสุเทพมายื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาได้ เนื่องจากติดการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยที่ผ่านมาดีเอสไอ ได้ขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับนายสุเทพ เพื่อติดตามนำตัวมาส่งให้อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ซึ่งคดีมีอายุความ 20 ปี
ขณะที่วันนี้ ร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิ รังไสย์ รองผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้รับมอบหมายจากนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ให้นำสำนวนสอบสวนคดีพิเศษและพยานหลักฐานในคดี รวม 7 แฟ้ม ในคดีการเสียชีวิตของนายชาติชาย ชาเหลา คนขับแท็กซี่ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตหน้าอาคารอื้อจือเหลียง ถนนพระราม 4 เมื่อ วันที่ 13 พฤษภาคม 2553 ส่งให้กับอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เพื่อพิจารณารวมสำนวนกับการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง เด็กชาย คุณากร ศรีสุวรรณ และการบาดเจ็บของนายสมร ไหมทอง ซึ่งอัยการได้มีความเห็นและสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวย ศอฉ. ต่อศาลอาญา ในข้อการ่วมกันสั่งให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่า
เรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย, Voice TV