21 มี.ค.2557 สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง "แช่แข็งประชาธิปไตยไทย"เพื่อร่วมหาทางออกจากวิกฤติการเมืองในขณะนี้ที่เป็นเหมือนการแช่แข็งประชาธิปไตยไทยรอบล่าสุด ที่ห้องประชุมโครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ชั้น 3 อาคาร 31 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ประมวลเหตุการณ์ทางการเมืองกับ ‘4 ความพยายาม’ แช่แข็งประชาธิปไตยไทย
เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายผังการแช่แข็งประชาธิปไตยไทยว่า ขั้นตอนหรือเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ ที่ผ่านมา คือความพยายามนำไปสู่การล้มประชาธิปไตยในลักษณะของการแช่แข็ง โดยกระบวนการประชาธิปไตยถูกทำให้หยุดนิ่ง ไล่ตั้งแต่การยุบสภาในวันที่ 9 ธ.ค.2556 ตามมาด้วยการเคลื่อนขบวนครั้งใหญ่ของสุเทพ เทือกสุบรรณ และการจัดตั้งคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.ที่มีสุเทพเป็นเลขาธิการ การรณรงค์ชัตดาว์นกรุงเทพฯ รวมถึงการรีสตาร์ทประเทศไทย การพูดถึงประเด็นต่างๆ เช่น ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือเลือกตั้งก่อนปฏิรูป ข้อเรียกร้องต่างๆ ในประเด็นปัญหาโครงการจำนำข้าว โครงการรถไฟความเร็วสูง 2 ล้านล้าน ฯลฯ
ในเดือนมีนาคมซึ่งเป็นเดือนที่ร้อนระอุ ปรากฏการณ์การแช่แข็งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2557 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลรักษาการครบ 30 วัน หลังการเลือกตั้งใหญ่ โดยมีการเรียกร้องให้นายกรักษาการหมดสถานภาพ ขณะเดียวกันก็มีการทำงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านขัดรัฐธรรมนูญ และวันนี้ก็มีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดต่างๆ เช่น เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 2557) มีการชี้มูลความผิดประธานวุฒิสภาที่ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมรัฐสภาในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. รวมทั้งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการชี้มูลความผิดกรณีความล้มเหลวในการบริหารโครงการจำนำข้าวของนายกรัฐมนตรี
กระบวนการต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่การทำให้รัฐบาลรักษาการสิ้นสภาพ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาหมดสมาชิกภาพในการทำงาน เป็นความพยายามในการสร้างสุญญากาศให้เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้แนวทางอื่นที่ไม่ได้อยู่ในวิถีประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ในกรอบกติการัฐธรรมนูญเขามา เช่น การมีนายกคนกลางหรือนายกนอกรัฐธรรมนูญ การมีสภาประชาชน
เกษม กล่าวต่อมาว่า กระบวนการข้างต้นสามารถสรุปได้เป็นความพยายาม 4 ประการ เพื่อล้มประชาธิปไตย คือ 1.การขยายอำนาจขององค์กรอิสระหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญเข้ามากำกับควบคุมสถาบันทางการเมืองหลักในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในที่นี้คือฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร การที่อำนาจหลักตามครรลองประชาธิปไตยอันมีที่มาจากประชาชนถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้มีหลักยึดโยงกับระบอบประชาธิปไตย ภายใต้กระบวนการตัดสินวินิจฉัยต่างๆ ทำให้เห็นว่าวิถีทางเหล่านี้ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือดูราวกับว่านี่คือเผด็จการเสียงข้างน้อยภายใต้การกำกับของระบอบอำมาตยาธิปไตย
2.สร้างสุญญากาศทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผ่านการใช้อำนาจและการตีความโดยมิชอบตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 50 กรอบกติกาต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยขับเคลื่อนตามครรลองที่ควรจะเป็น แต่กระบวนการใช้และการตีความนำมาสู้ความไม่ชอบบางอย่าง ทำให้เกิดสุญญากาศขึ้น
3.ทำให้กลไกและกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยปกติไร้ประสิทธิภาพ ง่อยเปลี้ย และเป็นอุปสรรคขัดขวางการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเอง ยกตัวอย่าง การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะ แทนที่การเลือกตั้งจะเป็นทางออก กลายเป็นว่ากระบวนการเลือกตั้งเองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ไม่สามารถหาทางออกได้ จนจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่
4.ทำลายและละเมิดสิทธิทางการเมืองของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยหรือการเป็นตัวแทนทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การตัดสิทธิ์ตัวแทนทางการเมือง การยุบสถาบันทางการเมือง ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ระบบการเมืองอ่อนแอ เพราะการขาดตัวแทนทางการเมืองในฐานะที่เป็นผู้นำทางการเมืองที่เข้าไปทำหน้าที่ในการบริหาร และเป็นตัวแทนทางการเมืองในแง่ของการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจในระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
“ที่สำคัญที่สุด ภายใต้กระบวนการล้มประชาธิปไตยอันนี้ นำไปสู่การทำลายโอกาสและศักยภาพขอการพัฒนาประเทศตามวิถีประชาธิปไตย ซึ่งนี่คือสภาวะที่เราเป็นอยู่ภายใต้ความพยายามที่จะล้มประชาธิปไตยด้วยการแช่แข็ง ซึ่งการล้มอันนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ภายใต้การใช้และการตีความรัฐธรรมนูญอันมิชอบ เพื่อที่จะทำลายกลไก กระบวนการ และตัวแทนทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย” เกษมกล่าว
ส่วนทางออก เกษม กล่าวว่า สามารถทำได้ตามวิถีประชาธิปไตยนั่นคือการเลือกตั้ง การเลือกตั้งมีความสำคัญในกระบวนการประชาธิปไตย แต่ไม่ได้หมายความว่าการเลือกตั้งเป็นทุกอย่างของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่ทุกคนจะแสดงสิทธิทางการเมืองออกมา ภายใต้การเคารพความเท่ากัน เคารพความเสมอภาคของการเป็นพลเมืองของสังคมในแง่ศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือมีสถานทางการศึกษาอย่างไรก็ตาม ทุกคนเท่ากันหมด ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางในสังคมประชาธิปไตย ตรงนี้คือทางออก
“การแก้ไขปัญหาประชาธิปไตย หรือการรักษาประชาธิปไตย สิ่งที่ทำได้คือผลักทุกอย่างให้อยู่ในวิถีประชาธิปไตย และกระบวนการประชาธิปไตย ในปัจจุบันนี้เรายอมรับว่า วิถีทางเดียวที่จะเป็นการคลี่คลายที่ดีที่สุดคือการเลือกตั้ง” เกษมระบุ
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งใหม่ทำให้เกิดคำถามขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวน 20 ล้านคน และในส่วนพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งพรรคใหญ่และพรรคเล็กกว่า 50 พรรคว่าสิทธิทางการเมืองของพวกเขาหายไปไหน รวมทั้งคำถามที่ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ ซึ่งตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กกต.ต้องรับผิดชอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าผลต่อไปจะเป็นอย่างไร
‘รธน.50-การเลือกตั้ง’ ปัจจัยแช่แข็งประชาธิปไตยไทย แต่แก้ได้ด้วยพลังประชาชน
สดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2550 กล่าวว่า เมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของ กกต.และ ส.ส.ร.50 เป็นภารกิจที่จะต้องมาช่วยชี้แจงและให้ข้อคิดเห็น เพราะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นผู้ที่จะแช่แข็งประชาธิปไตยในประเทศไทย ส่วนนี้จึงมีความสำคัญว่าขบวนการต่างๆ ในองค์กรอิสระและในกระบวนการยุติธรรมเป็นตัวการจริงหรือไม่
จริงๆ แล้วกฎหมายร่างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ได้ร่างขึ้นมาเพื่อให้เกิดปัญหา ยอมรับว่ารัฐธรรมนูญ 50 เกิดขึ้นมาเพื่อล้อมกรอบนักการเมือง ในลักษณะให้ยาแรงนักการเมืองจริง จากการรัฐประหาร 2549 คณะรัฐประหารก็ให้เหตุผลว่าเพราะความไม่ดี ความเลวของนักการเมืองจึงรัฐประหาร และมีการร่างรัฐธรรมนูญ 50 ที่มีอคติต่อนักการเมืองขึ้นมา ส่วนตัวจะบอกว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบคงไม่ได้ แต่ก็เป็นเพียงเสียงข้างน้อยส่วนหนึ่ง
หลายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 50 มีปัญหาในการตีความอย่างมาก โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งยกร่างขึ้นมาเพื่อป้องกันการปฏิวัติของทหารและทำให้ประชาธิปไตยคงอยู่ได้ตลอดไป ระบุผู้ใด คณะบุคคลใด หรือพรรคการเมืองใด ทำให้ประชาธิปไตยเสียหายต้องถูกลงโทษโดยผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการของอัยการ เป็นต้น
มาตรา 68 เป็นมาตราที่ดี แต่สำคัญที่สุดผู้คือใช้ไม่ได้นำไปใช้ในลักษณะที่ต่อต้านการรัฐประหาร แต่ใช้เพื่อการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ ได้มาซึ่งสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องในการที่จะดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ได้เข้าไปสู่การทำงานของกระบวนการอื่นๆ จะเห็นได้ว่าแม้แต่การแก้รัฐธรรมนูญก็เข้ามาตรา 68 ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่ามาตรานี้จะสามารถนำเนินการไปถึงหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ได้เกือบทั้งหมด สามารถควบคุมการทำงานของสภานิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
“ดิฉันเห็นว่ามาตรา 68 ถ้าร่างในวันนั้นจะมีอำนาจ มีอิทธิพลถึงขนาดนี้แล้ว คงจะคัดค้านเต็มที่ คือคิดไม่ถึงว่าการใช้มาตรา 68 จะสามารถใช้ได้ในลักษณะที่เป็นการลิดรอน หรืออาจมองดูแล้วว่าสามารถที่จะไปถึงอำนาจต่างๆ ได้ถึงขนาดนี้” อดีต ส.ส.ร.50 กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาตรานี้แล้วก็ยังคงจะต้องมีต่อไปจนกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ 50 และทำให้มีความชัดเจนในการใช้อำนาจ 3 ฝ่าย คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยควรต้องมีบทบัญญัติที่ล้อมกรอบว่าทั้งสามอำนาจไม่ควรไปก้าวก่ายการทำงานของกันและกันอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังไม่ความชัดเจนในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่มีความชัดเจนจึงมีการใช้มาตรา 68 ในลักษณะนี้
การพิจารณาว่าการแช่แข็งประชาธิปไตยมาจากรัฐธรรมนูญ 50 หรือไม่ สดศรีแสดงความเห็นว่า ขบวนการที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการหยุดชะงัก หรือแช่แข็งประชาธิปไตยได้
สดศรีกล่าวด้วยว่า ในฐานะที่เคยทำหน้าที่ กกต.เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าเสียดายว่า การเลือกตั้งของประเทศไทย เราให้ กกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระมาดำเนินการ โดยเปลี่ยนมือมาจากกระทรวงมหาดไทยเดิมเพราะมีข้อครหาว่ามีรัฐมนตรีเป็นผู้บริหาร อาจทำให้การเลือกตั้งเสียหายหรืออาจมีการเข้าข้างฝ่ายการเมืองมากจนเกิดไป จึงได้ตั้งองค์กรอิสระคือ กกต.ขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญ 40 แต่นอกจากจะมีการให้อำนาจ กกต.ในการจัดการเลือกตั้ง ยังให้อำนาจดูแลคณะรัฐมนตรีเมื่อมีการยุบสภาด้วย อำนาจเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ และบางครั้งก็เป็นการชี้เป็นชี้ตายต่อนักการเมืองหรือพรรคการเมืองด้วย
ส่วนการพิจารณาว่า การเลือกตั้งเป็นปัจจัยที่แช่แข็งประชาธิปไตยด้วยหรือไม่ สดศรีกล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการต่อไปเพื่อให้ประชาธิปไตยเดินได้ด้วยดี แต่จะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยถูกแช่แข็งอยู่ในขณะนี้ เพราะหากการเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จโดยการทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะด้วยวิธีที่ง่ายที่คือการขัดขวางการเลือกตั้ง แน่นอนที่สุดว่าบ้านเมืองก็จะไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เลย การหยุดชะงักของระบอบประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นทันทีที่มีการเลือกตั้ง ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่สามารถทำงานได้ เพราะเมื่อการเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จก็ไม่มี ส.ส. ไม่มีคณะรัฐมนตรี และโครงการใดๆ ของรัฐที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศก็ต้องหยุดชะงักลง
สดศรี กล่าวต่อมาว่า ก่อนหน้านี้ประชาธิปไตยไทยเคยถูกแช่แข็งโดยใช้การปฏิวัติ การรัฐประหาร แต่วิธีการเหล่านี้ล้าสมัยไปแล้วและมีพัฒนาการใหม่ เพราะการใช้ทหารปฏิวัติอยู่ในอำนาจได้ไม่ ต่างชาติไม่รับรอง และต้องมีการเลือกตั้งตามมา ซึ่งวิวิวัฒนาการขณะนี้ไม่ใช้ทหาร แต่ใช้องค์กรอิสระมาแช่แข็งประเทศ ทำการปฏิวัติแทน เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ และในฐานะที่เป็นประชาชนไทยคนหนึ่งเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้คงจะไม่ยอมให้มีการแช่แข็งในลักษณะนี้อีกต่อไป โดยต้องทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไปอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
“การเลือกตั้งเป็นสาเหตุที่จะทำให้การหยุดชะงัก ไม่ว่าฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปประสบความสำเร็จขึ้นมาให้ได้โดยความร่วมมือของประชาชนทั้งหมด และในขณะเดียวกันถ้าผู้ที่จัดการเลือกตั้งปฏิวัติเสียเอง ท่านก็สามารถดำเนินการให้การปฏิวัติครั้งนี้สิ้นสุดลงได้โดยการใช้พลังประชาชน คือไปเลือกตั้งให้มากที่สุด ถ้ามีการเลือกตั้งครั้งนี้อยากให้ประชาชน 99 เปอร์เซ็นต์ ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งให้ได้ ถ้าท่านไปเลือกตั้งแล้ว ท่าจะได้เห็นว่าพลังประชาชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนการประชาธิปไตยอย่างที่ดีที่สุด ไม่มีพลังใดจะมากไปกว่าพลังของประชาชน” สดศรี กล่าว
สดศรี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้สิ่งที่จะทำให้ความเยือกเย็น การแช่แข็งประเทศไทยหยุดลงก็คือพลังประชาชน ส่วนตัวหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าแม้จะถูกขัดขวางแต่ขอให้ประชาชนไปปฏิวัติให้ประชาธิปไตยฟื้นคืนมาให้ได้ และประชาธิปไตยจะต้องเป็นของปวงชนชาวไทยตลอดไป
วิจารณ์ กปปส.เสียงส่วนน้อยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโดยวิธีนอกระบอบประชาธิปไตย
จอน อึ้งภากรณ์ ผู้อำนวยการ iLaw และอดีตวุฒิสมาชิก กล่าวว่า ในฐานะคนสนใจเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ถือว่าตัวเองมีหน้าที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตยซึ่งเราต่อสู้กันมายาวนาน และไทยต่อสู้เรื่องนี้มาก่อนประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ตอนนี้บางประเทศเช่นอินโดนีเซียที่เคยเป็นเผด็จการกลับไปไกลกว่า เพราะประชาธิปไตยไทยสะดุดตลอดเวลา มีรัฐประหารและมีการต้องเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยครั้ง มีเหตุการณ์สำคัญในการต่อสู้คือ 14 ตุลา 2516 ตามมาด้วย 6 ตุลา 2519 และเหตุการณ์พฤษภา 2535
จากเหตุการณ์พฤษภา 2535 มีข้อตกลงในเรื่องสำคัญเกิดขึ้นโดยมีการแก้รัฐธรรมนูญ นั่นคือการที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง มาถึงการรัฐประหารปี 2549 สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองและมีสื่อของตัวเองโดยการใช้โซเชียลมีเดีย ตั้งแต่นั้นมาการแสดงออกในการคัดค้านเผด็จการ คัดค้านการรัฐประหารก็มีประชาชนเข้าร่วมอย่างมากมายจนถึงปัจจุบัน
จอน กล่าวว่า มีหลายคนพยายามเถียงว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง ส่วนตัวเห็นด้วยว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นการบอกว่าให้ยุติการเลือกตั้งสักพักหนึ่ง นั่นคือการละเมิดสิทธิที่ประชาชนทุกคนมีอยู่
การคัดค้านต่อรัฐบาลปัจจุบันที่เริ่มต้นจากการค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถือว่าเป็นการคัดค้านที่ถูกต้อง และเห็นด้วย กับการชุมนุมอย่างกว้างขวางของประชาชนที่เรียกร้องให้ยกเลิกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และในที่สุดรัฐบาลก็ถูกบีบจนต้องยกเลิกกฎหมายนี้ แค่นั้นยังไม่พอ ประชาชนยังมีความรู้สึกไม่พอใจต่อรัฐบาล มีการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ซึ่งต่อมารัฐบาลก็ยุบสภา แค่นั้นน่าจะจบได้ เพราะเรามีโอกาสที่จะเลือกตั้งใหม่ เลือกรัฐบาลใหม่ได้
แต่เรื่องไม่จบเพราะเกิดขบวนการ กปปส.ซึ่งเรียกร้องในสิ่งที่เกินเลยข้อเรียกร้องในระบอบประชาธิปไตย คือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักษาการลาออก ให้ตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง และเรียกร้องให้แช่แข็งการเลือกตั้งโดยให้มีกระบวนการปฏิรูปก่อน และให้มีสภาประชาชนจาก กปปส. ให้ปฏิรูปตามแนวทางของ กปปส. ทั้งที่ กปปส.เป็นเพียงตัวแทนของประชาชนส่วนหนึ่งของประเทศซึ่งไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ เห็นได้ชัดจากการที่ประชาชนจำนวนมากไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
“คนส่วนน้อย กลุ่มคนส่วนน้อยเรียกร้องให้มีนายกคนกลางของเขาเอง เรียกร้องตั้งสภาของเขาเอง รวมทั้งเรียกร้องการปฏิรูปตามแนวคิดของเขาเอง อันนี้ขัดโดยสิ้นเชิงต่อหลักประชาธิปไตย” จอนกล่าวถึงการเคลื่อนไหวเรียกร้องของ กปปส.
อดีตวุฒิสมาชิก กล่าวต่อมาถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่ปฏิบัติการยึดกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ การที่ปลัดกระทรวงบางคนประกาศตัวหลุดออกจากการควบคุมของรัฐบาลรักษาการ หรือการประกาศของทหารว่า “วางตัวเป็นกลาง” ซึ่งผิดจากรัฐธรรมนูญและอำนาจหน้าที่ เพราะทหารต้องปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล ทหารไม่สามารถมีอำนาจโดยตัวเอง แต่ตอนนี้ปรากฏว่าทหารเสมือนเป็นรัฐบาลอีกรัฐบาลหนึ่ง การตั้งด่านต่างๆ บนถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้ทำภายใต้คำสั่งของรัฐบาล สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงตัวของอำนาจที่ไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่อำนาจในระบอบประชาธิปไตย
สุดท้ายคือศาล ส่วนตัวไม่ใช่นักกฎหมายไม่สามารถตีความคำวินิจฉัยของศาลได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ปรากฏชัดในตอนหลังคือ ศาลเหมือนมีความไม่เป็นกลาง มีความลำเอียงทางการเมือง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย เพราะนี่เป็นปรากฏการณ์ที่มีในประเทศเพื่อบ้านหลายประเทศ พูดได้ว่าศาลไม่เป็นกลาง ศาลเป็นศาลการเมือง ใครเป็นรัฐบาลศาลจะอยู่ฝั่งนั้น ก่อนหน้านี้ศาลไทยค่อนข้างไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่หลังรัฐประหาร 49 ศาลเปลี่ยน มีลักษณะลำเอียง โดยเฉพาะการตัดสินของศาลแพ่งที่เหมือนบอกว่าทุกอย่างที่ กปปส.ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง รัฐบาลห้ามเข้าไปปราบปราม ถือว่าเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนมากถึงความลำเอียงของศาล
ถามว่าประชาธิปไตยที่ดีควรเป็นอย่างไร ประชาธิปไตยที่ดีควรเป็นประชาธิปไตยที่คำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่และคำนึงถึงเสียงส่วนน้อย ประชาชนมีส่วนร่วมค่อนข้างมาก ส่วนตัวจะวิจารณ์ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาว่า ไม่ค่อยคำนึงถึงเสียงส่วนน้อยที่มีอยู่ในสังคม คือคิดจะทำอะไรก็ทำไป แล้วก็สร้างความไม่พอใจของประชนต่อแต่ละรัฐบาล ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ความไม่พอใจในรัฐบาลมันมีวิธีการตามประชาธิปไตยที่จะคัดค้านได้ ที่จะเปลี่ยนแปลงได้
“ผมเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยวิถีประชาธิปไตยได้ แต่เหมือนกับว่าประชาชนส่วนหนึ่งและผู้มีอำนาจส่วนหนึ่งจะไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยวิถีประชาธิปไตย จะต้องเปลี่ยนแปลงโดยวิธีนอกระบอบประชาธิปไตย อันนั้นเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชนทุกคนที่มีสิทธิที่จะเลือกรัฐบาลของตนเอง” จอนกล่าว ส่วนทางออกคืออะไร ยังไม่มีคำตอบชัดเจน แต่เราต้องยืนหยัดในหลักการของระบอบประชาธิปไตย
สำหรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะ จอนกล่าวว่า เหตุผลที่ได้รับฟังเป็นเพราะไม่ได้เลือกตั้งเสร็จในวันเดียวกัน หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะความผิดที่ทำให้ไม่สามารถเลือกตั้งเสร็จในวันเดียวกันนั้นเป็นการกระทำของ กปปส. ของอำนาจนอกระบบ หากมีการตัดสินทำนองนั้นก็เหมือนศาลบอกว่า ใครก็ตามสามารถขัดขวางการเลือกตั้งได้สำเร็จ ในบางพื้นที่ หรือแม้แต่เขตเลือกตั้งเดียว ก็สามารถทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ คงต้องติดตามดูว่าเหตุผลจริงๆ ของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร
จอน บอกด้วยว่า สิ่งที่อยากเห็นและคิดว่าเราต้องต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น คือระบอบประชาธิปไตยที่มีระบบการลงประชามติแบบประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่มีลักษณะบังคับต่อผู้มีอำนาจ คือนอกจากการเลือกตั้งรัฐบาลแล้ว หากมีประเด็นที่ประชาชนมีความเห็นจำนวนมา เช่น กรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ประชาชนสามารถลงชื่อให้มีการทำประชามติในเรื่องนั้น และหากเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกฎหมายนั้นก็จะล้มไป ไม่ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะบอกว่ากฎหมายใดควรมีหรือไม่ควรมี แต่ให้เป็นหน้าที่ของประชาชน
“ผมคิดว่าถ้าเรากลับไปสู่เส้นทางของระบอบประชาธิปไตย และเราสามารถแก้รัฐธรรมนูญให้มีระบบการลงประชามติที่มีผลบังคับต่อผู้มีอำนาจ อันนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นการเติมประชาธิปไตยทางตรงเข้าไปร่วมด้วย อันนี้ผมคิดว่าจะเป็นตัวอย่างการปฏิรูปอย่างหนึ่ง เราจะต้องมีการปฏิรูปอย่างที่ทุกฝ่ายเรียกร้อง แต่การปฏิรูปของเราต้องเป็นการปฏิรูปร่วมกันของทุกฝ่าย ไม่ใช่การปฏิรูปของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” จอนกล่าว
ภายใต้บริบทโลก เชื่อไม่มีใครหยุดยั้งประชาธิปไตยไทยได้
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า มองมุมนักวิชาการรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์การเมือง ถูกตั้งคำถามว่าการแช่แข็งประชาธิปไตยไทยจะสำเร็จหรือไม่ ตนเองตอบไม่ได้ เพราะคนที่พยายามทำก็ต้องพยายามทำต่อไป แต่หากมองภายใต้บริบทความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยและบริบทของโลกอาจมองเห็นแนวทางบางประการที่อาจตอบแบบฟันธงได้ว่า ต่อให้บรรลุได้เป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่อาจบรรลุได้ตลอดไป
สิ่งที่อยู่ในบริบทประจำวันของเราคือการตื่นมาแล้วตั้งคำถามว่า มีระเบิดที่ไหน เขาจะไปปิดที่ไหน ฯลฯ เหล่านี้เป็นปรากฏการณ์รายวันที่รบกวนจิตใจในการคิด การทำมาหากิน การสร้างความฝันต่อประเทศ หากลองมองจริงๆ แล้วจะพบว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ต้องการแช่แข็งระบบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลที่ยึดโยงกับสภาผู้แทนราษฎร แต่กระบวนการเลือกตั้งวุฒิสภายังคงดำเนินไปอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่เกิดกระบวนการอะไรเลย ส่วนการเลือกตั้งนายก อบจ. นายก อบต.และนายเทศมนตรีในระดับการเมืองท้องถิ่นยังดำเนินไปได้
ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์เฉพาะในเกมการเมืองระดับชาติ แต่ในระดับท้องถิ่นหรือวุฒิสภากลับไม่ถูกแช่แข็ง คำถามนี้ตอบได้ว่า เพราะคนที่ออกมาเป็นแกนนำของกระบวนการแช่แข็ง ยกเว้นอดีตนายทหารต่างๆ ต่างอยู่ในโลกทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง คนเหล่านี้เติบโตและสร้างเนื้อสร้างตัวในรอบ 40 ปีมาได้จากกระบวนการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงรู้ตัวว่าการเลือกตั้งเป็นที่มาของอำนาจในท้องถิ่นของตัวเอง เพียงแต่กระบวนการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรมันนำมาสู่กระบวนการการได้เป็นรัฐบาล
ตรงจุดนี้เอง การแช่แข็งคือการแช่แข็งว่าใครจะเป็นผู้กำหนดเกมของการเป็นรัฐบาลกลาง เพราะนโยบายหรือการกระทำของรัฐบาลกลางแม้เพียงน้อยนิด ก็ส่งผลต่อทิศทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ความคิด และผลประโยชน์จำนวนมหาศาลของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องอยู่ในสังคมไทย ดังนั้น คลายใจได้เลยว่าไม่ว่าประเทศนี้ไม่แช่แข็งแน่ เพราะประเทศนี้แช่แข็งไม่ได้ และจากตัวอย่างในประเทศพม่า ที่แช่แข็งมา 50 ปีแล้ว แต่ใน 2 ปีที่ผ่านมาพม่าอ่อนลง กลับคืนสู่โลกประชาธิปไตย นั่นหมายความว่าบริบทของโลกตอนนี้มันมีกระแสเดียวในโลกที่ไม่อาจปฏิเสธได้นั่นคือกระแสประชาธิปไตย
กระแสประชาธิปไตยเดินทางมาแล้วในโลกใบนี้ อย่างน้อยก็เกิดขึ้นในอเมริกาในปีเดียวกับที่พระเจ้าตากสร้างกรุงธนบุรี เกิดในฝรั่งเศสกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789 ตรงกับ 5 ปีแรกในรัชกาลที่ 1 และกระแสประชาธิปไตยยังพัดกระหน่ำราชวงศ์ชิงของจีน จนต้องแปลงตัวจากพญามังกรอันดุร้ายกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าโดยฉับพลันภายใต้นโยบายสาธารณะของ ดร.ซุน ยัดเซ็น ในกรณีของญี่ปุ่นสร้างประชาธิปไตยของตัวเองในแบบอังกฤษ นั่นหมายความว่ากระแสประชาธิปไตยเดินทางไปทั่วโลกและยังคงอยู่ในรอบ 200 ปีมานี้ เมื่อมองในแง่นี้แล้ว เกิดอะไรกับประเทศเราซึ่งประชาธิปไตยเดินๆ หยุดๆ หากอยากรู้อ่านได้ในหนังสือ “ข้ออ้างการปฏิวัติ รัฐประหาร และกบฏในการเมืองไทย”
ในรอบ 82 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการรัฐประหารสำเร็จ 12 ครั้ง มีการรัฐประหารล้มเหลวหรือกบฏ 11 ครั้ง และมีพลังประชาชน 2 ครั้ง รวมแล้วมีปรากฏการณ์ทางการเมืองทั้งหมด 25 ครั้ง เมื่อเอา 25 ไปหาร 82 เฉลี่ยแล้วชีวิตของเราอยู่ท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายทุกๆ 3 ปี ดังนั้นทุกท่านจงมองว่าความปั่นป่วนเป็นธรรมชาติของคนไทย ถ้ามองอย่างนี้ท่าจะรู้สึกว่าชีวิตของท่านนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างแน่นอน
รัฐประหารสำเร็จ 12 ครั้ง เฉลี่ยแล้ว 6.8 ปีจะบรรลุความสำเร็จ 1 ครั้ง แต่รัฐประหารที่ไม่เสร็จคือความพยายามยึดอำนาจ 11 ครั้ง เฉลี่ยถ้าไม่สำเร็จจะกลายเป็นกบฏ 7.45 ปีต่อครั้ง ส่วนพลังประชาชนมี 2 ครั้ง คือในเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และพฤษภา 35 ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะพลังประชาชนนอนหลับ แต่พลังประชาชนเพิ่งตื่นขึ้นมาในช่วง 40 ปีมานี้ เฉลี่ยแล้ว 20 ปีตื่นครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้ตื่นกันทุกวัน พลังประชาชนอยู่บนท้องถนนเต็มไปหมด
การรัฐประหารโดยทหารคือกระบวนการแช่แข็งประชาธิปไตย ในตลอด 82 ปีที่ผ่านมา ทำไมทหารจึงกลายเป็นกลุ่มที่มีพลังอำนาจมากในการที่จะหยุดระบบรัฐสภา ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย และสวมเสื้อคลุมของการเข้าสู่อำนาจโดยการสร้างสภานิติบัญญัติที่มาจากการแต่งตั้ง ซึ่งจะพบว่าคำไทยมีคำให้เลือกสรรเยอะมากจนงงงวย ทั้งการแต่งตั้ง การคัดสรร การสรรหา คำเหล่านี้มีความหมายแบบเดียวกัน นั่นคือการแช่แข็งอำนาจของประชาชนโดยคำเหล่านี้
เราจะพบว่า เดิมเมื่อทหารยึดอำนาจเสร็จจะมี 1.การแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยการแต่งตั้งนายทหารเข้าไป 2.นายทหารที่ทำการยึดอำนาจนั้นจะกลายเป็นผู้นำรัฐบาลเอง แต่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาพบว่า ทหารยังบรรลุความสำเร็จในการตั้ง สนช.และเป็นผู้นำรัฐบาล เช่น การแต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งทั้ง 3 คนคลุมช่วงเวลาไปแล้วเกือบ 20 ปี อย่างไรก็ตาม 20 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า การเป็นเมืองแบบประชาธิปไตยเป็นการเมืองของฝ่ายพลเรือน มีความผันแปรสูง และมีความพยายามยึดอำนาจเป็นระยะๆ แต่ความพยายามยึดอำนาจนั้นไม่สามารถคงอยู่ในรูปแบบเดิม ที่ตั้ง สนช. จากคนของตนเองเพื่อค้ำจุนรัฐบาล และนำตัวเองเข้าสู่ตำแหน่งฝ่ายบริหาร
บทเรียนของพลเอกสุจินดา คราประยูรที่อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 45 วัน ถือเป็นความล้มเหลวขั้นสุดยอดของคณะทหารที่ทำการยึดอำนาจ เพราะเดิมเมื่อทหารยึดอำนาจจะอยู่ในตำแหน่งยาวนาน แต่บทเรียนของการยึดอำนาจปี 2549 เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดมากกว่า คือ คนที่ยึดอำนาจไม่ได้อำนาจ นั่นหมายความว่าการยึดอำนาจของนายทหารทำแล้วเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่มีกระดูกแขวนคอ
ตรงนี้ทำให้กระบวนการยึดอำนาจจองฝ่ายกองทัพจึงเป็นไปได้ยากภายใต้บริบทสังคมโลกแบบที่พม่าถูกกดดัน ด้วยเหตุนี้กระบวนการแช่แข็งจึงเป็นความพยายามที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุติลง โดยการใช้ระบบของการแต่งตั้งคนดีถ้ามีอยู่จริง และใช้กระบวนการของการแต่งตั้งผู้นำประเทศในอีกชุดหนึ่ง
“การเมืองคือกระบวนการเข้าสู่อำนาจ การแช่แข็งก็คือกระบวนการเข้าสู่อำนาจอย่างหนึ่ง การเมืองคือการจัดสรรทรัพยากรหรือสิ่งที่มีค่าในสังคม การแช่เข็งก็คือการเข้าสู่อำนาจเพื่อจัดสรรทรัพยากรให้มีคุณค่าต่อใครฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นกระบวนการแช่แข็งก็คือกระบวนการเข้าสู่อำนาจอำนาจทางการเมือง โดยไม่ได้วางรากฐานอยู่ที่เสียงของประชาชนนั่นเอง” ธำรงศักดิ์ อธิบายการแช่แข็งตามความหมายของรัฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ กล่าวด้วยว่า กระบวนการแข่งแข็งในปัจจุบัน ที่ผ่านมาอย่างน้อย 7-8 ปี หรือในระยะสั้น 4 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่าความพยายามแช่แข็งตั้งแต่ เสธ.อ้าย (พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม) ปรากฏภาวะของความล้มเหลวตลอด ผู้คนอาจฮึกเหิมในวันแรกๆ แต่วันนี้กระบวนการแช่แข็งต้องถอยที่ตั้งไปอยู่ที่สวนลุมพินี มีความหมายถึงว่าภาวะของความเซ็งกับการแช่เข็ง
“เราต้องยอมรับว่า พรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้องของเรา ผมไม่เคยคิดว่าเขาไม่ฝันที่จะสร้างให้ประเทศไทยทันสมัย เขาไม่เคยที่จะหยุดยั้งประเทศไทย เพียงแต่ว่าด้วยสายตาของความเกลียดชังบางอย่างเท่านั้นมันทำให้เขาเข้าไปสู่กระบวนการ แต่เมื่อเขาถ่อยกลับออกมา เขาก็รู้ว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไป ไม่มีใครหยุดยั้งประชาธิปไตยไทยได้” ธำรงศักดิ์ให้ความเห็น
‘สภาวะยกเว้น’ ในประวัติศาสตร์เยอรมนี ถึง ‘สงครามกลางเมืองโดยกฎหมาย’ ในไทย
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงกล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ถูกยกมากล่าวถึงอย่างเกลียดชังโดยเปรียบเทียบกับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ซึ่งในปลายรัฐบาลทักษิณถูกกล่าวถึงว่าเป็นยุคเผด็จการรัฐสภา ยุคของการสร้างรัฐตำรวจ และตกทอดมาถึงรัฐบาลรักษาการในปัจจุบันว่าเป็นรัฐบาลนอมินี แต่สิ่งที่สำคัญคือทุกครั้งที่เรากล่าวถึงฮิตเลอร์ เราเข้าใจประวัติศาสตร์เยอรมันน้อยมาก แม้แต่นักนิติศาสตร์บางคนยังกล่าวว่าฮิตเลอ์มาจากการเลือกตั้ง
ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์อยู่ในระบบการแข่งขันทางการเมืองของสาธารณรัฐไวมาร์ก่อนที่จะมาเป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ฮิเลอร์ไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจมาตั้งแต่ต้น เขาเคยก่อรัฐประหารและถูกจับเข้าคุก ขณะอยู่ในคุกเขาได้เขียนหนังสือชื่อ ไมน์คัมพฟ์ หรือการต่อสู้ของข้าพเจ้า ถือเป็นตำราสำคัญของคนที่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง เมื่อออกจากคุกฮิตเลอร์ก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถได้อำนาจด้วยการรัฐประหาร จึงหันมาเล่นการเมืองโดยการลงสมัครรับเลือกตั้ง
ในช่วงหนึ่งของสาธารณะรัฐไวมาร์ เกิดกระแสอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ขึ้นในยุโรป หลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ล้มล้านระบอบกษัตริย์ ส่วนเยอรมันเองก็ได้ผ่านจุดนั้นมา แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้สถาบันกษัตริย์ของเยอรมันล้มไปเพราะตัวสถาบันเองไม่สามารถธำรงความสง่างามให้กับประเทศไว้ได้ ท้ายสุดเยอรมันกลายเป็นสาธารณะรัฐ มีการตั้งสาธารณะรัฐที่ชื่อว่าไวมาร์ในปี ค.ศ.1919 และเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อันเป็นความหวังของประชาชนที่จะทำให้เยอรมันคืนสู่ความสง่างามในเวทีการเมืองยุโรป
ความหวาดกลัวของประชาชนต่อคอมมิวนิสต์หรือระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่ถูกสร้างขึ้นและยังคงอยู่ ทำให้คนเยอรมันยอมรับการเข้าสู่อำนาจของฮิตเลอร์ ซึ่งและเขาสร้างภาพว่าตัวเองคือความหวังโดยวิธีที่จะป้องกันคอมมิวนิสต์ได้คือการสร้างชาตินิยม ปรากฏว่าพรรคนาซีของฮิตเลอร์ได้รับการเลือกตั้ง แต่ในช่วงหนึ่งที่กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่การเมืองปกติได้เกิดไฟไหม้รัฐสภาและมีการป้ายสีว่าเป็นฝีมือของพวกคอมมิวนิสต์ เมื่อสังคมเชื่อเช่นนั้นจึงมีการออกกฎหมายพิเศษฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า The Reichstag Fire Decree (กฤษฎีกาว่าด้วยเพลิงไหม้ที่ไรค์สทัก) ที่ให้อำนาจคุ้มครองประชาชนและรัฐ โดยความยินยอมของประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์ก (Paul von Hindenburg) ที่เชิญฮิตเลอร์มาเป็นนายกรัฐมนตรี
กฎหมาย The Reichstag Fire Decree ตราขึ้นหลังเหตุการณ์เผารัฐสภาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2476 ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเพียง 6 วัน และกฎหมายดังกล่าวได้ถูกขยายผลว่า มีขึ้นมาเพื่อป้องกันการก่อการร้ายต่อทรัพย์สินเอกชนที่ทำให้เกิดการคุกคามต่อชีวิตและความสงบของสาธารณะชน ถูกแก้ไขโดยรัฐมนตรีมหาดไทยคือเกอริง และลงนามโดยประธานาธิบดีในรุ่งเช้า กฎหมายให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีคือฮิตเลอร์ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกซึงความเห็น การเสนอข่าวสาร การชุมนุม ตลอดจนความเป็นส่วนตัวในการสื่อสาร เหล่านี้ทำให้พรรคนาซีสามารถควบคุมความเห็นของสาธารณะชน โดยการสร้างผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมา และควบคุมสิ่งที่ไม่เป็นมิตร
กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือจำกัดฝ่ายตรงข้าม และทำให้ ฮิตเลอร์อยู่ในอำนาจนานถึง 12 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทำให้คนต้องอพยพนับล้านคน ทำให้ประเทศเยอรมนีแตกเป็น 2 เสี่ยง คือเยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะคืนสู่การรวมประเทศหลังการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน เมื่อปี ค.ศ.1989 และกว่าที่เยอรมนีจะฟื้นฟูประเทศให้กลับมาเป็นมหาอำนาจในยุโรปอีกครั้งก็ต้องใช้เวลานับ 20 ปี นี่คือบทเรียนที่สำคัญ
สำหรับคนที่ชอบพูดว่าฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้ง ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการข่มขู่สาธารณะชนให้หวาดกลัวผีตัวหนึ่งที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ ซึ่งผีตัวนี้เองก็ทำให้ฮิตเลอร์เถลิงอำนาจ และต้องไมลืมว่าระหว่างที่ฮิตเลอร์ครองอำนาจนั้น มีศิลปิน สถาปนิก คนดังหลายคนได้เป็นผู้ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ ทำให้คนเยอรมันหลงเชื่อว่าฮิตเลอร์จะพาเยอรมนีกลับมาเรืองอำนาจ
ในกรณีของฮิตเลอร์ ในทางรัฐศาสตร์เรียกว่าเป็นสภาวะยกเว้น คือการสร้างเงื่อนไขบางประการเพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างยิ่งยวดกับฝ่ายหนึ่ง และยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างยิ่งยวดกับอีกฝ่ายหนึ่ง
กลับมาเทียบเคียงกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อปี 2500 เป็นสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพรรคเสรีมนังคศิลาถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงว่าจัดการเลือกตั้งสกปรก ประชาชนได้เดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล ผ่านสะพานมัฆวานมีนายทหารท่านหนึ่งบอกว่าให้ประชาชนเดินผ่านไป อย่าทำร้ายประชาชน ตรงนั้นเป็นใบเบิกทางให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สามารถก่อรัฐประหารยึดอำนาจจอมพล ป. ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเอาสุนัขไปให้และบอกว่าจะจงรักภักดี
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจในตอนแรกไม่ได้ขึ้นเป็นนายกเอง ให้นายพจน์ สารสินรักษาการนายกรัฐมนตรี แล้วจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อรักษาอำนาจ ต่อมาหลังการเลือกตั้งก็ให้จอมพลถนอม กิตติขจรอยู่ในตำแหน่งนายก จนท้ายที่สุดจอมพลสฤษดิ์ได้ทำการยึดอำนาจตัวเอง
ตรงนี้เป็นปม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2500 นั้น จอมพลสฤษดิ์อ้างคำว่าจะสร้างระบอบปฏิวัติ แล้วเริ่มกวาดผู้นำฝ่ายตรงข้ามอย่างเป็นทางการ ด้วยการจับเข้าคุกข้อหาบ่อนทำลาย ข้อหาคอมมิวนิสต์ บางรายไม่มีโอกาสแม้จะแก้ต่างในชั้นศาลถูกประหารโดยคำสั่งมาตรา 17 จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีเงินนับร้อยล้านเหรียญในสมัยนั้น และทิ้งมรดกให้กับจอมพลถนอมซึ่งครองอำนาจจนถึงปี 2511 จึงยอมให้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย
สรุปแล้วระบอบปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ใช้เวลา 12 ปี ถึงจะมีรัฐธรรมนูญ และเมื่อมีรัฐธรรมนูญก็ใช่ได้เพียง 3 ปี ก็รัฐประหารตัวเอง ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองปี 2515 จนประชาชนทนไม่ไหวต้องออกมาเรียกร้องเกิดเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นการปฏิวัติที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต 77 คน บาดเจ็บ 800 คน และเพียง 3 ปีก็เกิดการปฏิรูป เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีการเสียชีวิต 46 คน มีคนเข้าป่าและรบกับรัฐบาลกว่า 3,000 คน ทั้งมีการเสียชีวิตในราวป่าด้วย นี่คือตัวอย่างของการปฏิรูปและปฏิวัติอย่างไม่ขบคิดถึงความถูกต้อง
สิ่งที่เกิดขึ้นที่เราเห็นจากฮิตเลอร์ การสร้างสภาวะยกเว้นเพื่อให้ใครบางคนมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือภาวะที่น่ากลัวที่สุด อันตรายที่สุดสำหรับระบอบประชาธิปไตย การสร้าง stage of exception หรือสภาวะยกเว้น ก็คือการรัฐประหาร ในกรณีของฮิตเลอร์คือการรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ ในกรณีของจอมพลสฤษดิ์คือการรัฐประหารโดยอำนาจปากกระบอกปืน
“วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในทางรัฐศาสตร์เราเรียกว่า สงครามกลางเมืองโดยกฎหมาย คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างยิ่งยวดกับฝ่ายหนึ่ง และละเว้นกฎหมายอย่างยิ่งยวดต่อฝ่ายหนึ่ง สภาวะอย่างนี้จะทำให้เกิดความสูญเสียซึ่งดุลทางอำนาจและพื้นที่ทางอำนาจของประชาชน การก้าวล่วงมาสู่การตัดสิน Over rule ให้อำนาจกว่า 20 ล้านเสียงที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งกลายเป็นศูนย์ ผมคิดว่านี่คือภาวะอันตรายอย่างยิ่งยวด” บัณฑิตกล่าว
คนหนุน ‘แช่แข็งประชาธิปไตย’ ไม่ยอมรับว่าคนเท่ากับคน
สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวว่า เมื่อพูดถึงการแช่แข็งในสมัยวัยรุ่นจะนึกถึงคำว่า “หนาวแน่” ที่มีคนพยายามข่มขู่อะไรบางอย่าง บอกให้ระวังตัว แต่เมื่อเข้าสู่การเรียนหนังสือจะนึกถึงยุคน้ำแข็ง ที่มีผลทำให้สิ่งมีชีวิตบางส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ต้องตายลงไป พอมาพูดถึงคำว่า “แช่แข็งประเทศไทย” ในบริบทของสังคมไทยคิดถึงการปิดประเทศ คิดถึงการปิดไฟ และล่าสุดมีการเคลื่อนไหวที่ใช้คำว่า “Shutdown Bangkok” เพื่อหยุดฝ่ายตรงข้าม ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่ง เพราะหากฝ่ายตรงข้ามยังเคลื่อนไหวอยู่ก็จะนำไปสู่บรรยากาศการต่อสู้ที่ต่อสู้กันได้ จึงต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวไม่ได้ เช่น การไปปิดน้ำ ปิดไฟ และล่าสุดมีการซ้อมคนแล้วจับเอามือไขว้หลังแล้วถ่วงน้ำ
ทำไมคนเหล่านี้ต้องการแช่แข็งประชาธิปไตย เหตุผลเพราะในระบอบประชาธิปไตยคนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคือประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากของคนกลุ่มเล็กๆ ที่เคยมีอำนาจอยู่เดิม ต้องเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ประชาชนไม่ได้ตื่นตัว ความเชื่อที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนพอๆ กับสมัยกาลิเลโอที่บอกว่าโลกกลมขณะที่คนส่วนใหญ่ในโลกเชื่อว่าโลกแบน เพราะในสังคมไทยช่วงเวลาหนึ่งคนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อว่าอำนาจสูงสุดไม่ใช่ของประชาชน และนี่เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง เหมือนการเปลี่ยนความเชื่อจากโลกแบบเป็นโลกกลม ทำให้ถูกต่อต้าน เพราะมันขัดต่อระบบความเชื่อและคุณค่าที่ถูกบ่มเพาะมาทั้งชีวิต
ในทางการเมือง คนที่คิดว่าอำนาจสูงสุดควรเป็นของประชาชน ในอดีตคนพวกนี้อาจเป็นขบถ แต่ในปัจจุบันคนที่เชื่อว่าอำนาจสูงสุดควรเป็นของประชาชน มีมากเท่ากับคนบนโลกนี้ที่เชื่อว่าโลกนั้นกลม ดังนั้นคุณไม่ใช่กาลิเลโอ
“เมื่อ 80 ปีที่แล้วมีกาลิเลโออยู่ในประเทศไทยและบอกว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน คนกลุ่มนั้นเป็นพวกกาลิเลโอ แต่ในวันเราแค่ยืนยันว่าโลกกลม และยืนยันว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แต่เราอยู่ในรอยต่อ ปัญหาก็คือว่าเราเดินทางมาไม่ไกล ดังนั้นจึงมีคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าโลกแบน” สมบัติกล่าว
สมบัติ บอกด้วยว่า คนกลุ่มดังกล่าวพยายามที่จะบอกว่าการปกครองไม่ควรปล่อยให้ประชาชนที่ไร้เดียงสา ไม่มีความรู้ ยากจน ห่างไกลความเจริญ และไร้สติปัญญาเพราะไม่มีการศึกษาสูง ถูกชักจูงง่าย และถูกหลอกล่อโดยทุนนิยมมามีอำนาจในการตัดสินใจเทียบเท่ากับคนที่มีการศึกษา เสียสละเพื่อชาติมาโดยตลอด รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองทั้งหลาย พวกเขาไม่ยอมรับว่าคนเท่ากับคน ไม่ยอมรับว่าคนธรรมดาเท่ากับคนที่มีการศึกษา มีความรู้
“ไม่น่าเชื่อว่าใน พ.ศ.นี้ เราจะต้องมาอธิบายกันว่าคนเรานั้นมันเท่ากัน ไอ้คนเชื่อว่าคนไม่เท่ากันนี่ไม่น่าอายนะ ผมเชื่อว่าโดยลึกๆ ความเป็นมนุษย์ของเรา ความเห็นแก่ตัว สัญชาตญาณดิบของเรายังมีอยู่ ยังขัดเกลาได้ไม่หมด แต่มันไม่น่าเชื่อว่ามันยังมีคนจำนวนหนึ่ง เป็นนักวิชาการ เป็นชนชั้นนำในสังคมกล้าพูดประโยคนี้ในทางสาธารณะ และต่อสู้ว่าจะปล่อยให้คนเท่ากันนั้นมิได้” สมบัติกล่าว
แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวด้วยว่า การอธิบายคนในชนบทของคนในเมืองสะท้อนถึงการไม่มีความเชื่อมโยงกัน และไม่เข้าใจถึงพลวัตรที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในสังคมชนบท ดังนั้น คนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าอำนาจสูงสุดไม่ควรตกอยู่ในมือประชาชนนั้นเรียนรู้ทำความเข้าใจคนชนบทว่า มีวิธีชีวิต มีระบบคุณค่า และมีคุณภาพในระดับเดียวกับตัวแสดงในละครหลังข่าว เรื่องนี้ไม่ต่างจากคนในประเทศตะวันตกที่รู้จักประเทศไทยเพียงเฉพาะในสารคดี แล้วตั้งคำถามว่าเรายังใช้ช้างในการเดินทางอยู่หรือไม่ ดังนั้น เรื่องชนบทศึกษาจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญ
สมบัติกล่าวต่อมาถึงข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงซึ่งเขายอมรับ แต่ชวนตั้งข้อสังเกตว่า “การซื้อสิทธิ์ขายเสียงอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างประชาธิปไตย” โดยยกตัวอย่างว่า เมื่อก่อนการเมืองไม่เกี่ยวกับชาวบ้านเลย แต่มาเกี่ยวเมื่อมีคนเอาโรงเท้าข้างหนึ่งมาให้แล้วบอกว่าถ้าเลือกฉันแล้วจะได้อีกข้างหนึ่ง ต่อมาเริ่มเปลี่ยนเป็นนำปลา กะปิ และกลายเป็นเงิน จากนั้นชาวบ้านเริ่มเรียนรู้ แทนที่จะได้เงินเป็นปัจเจกแต่รวมกลุ่มคุยกันทั้งหมู่บ้านว่าถ้าเลือกท่านแล้วท่านจะมาทำโครงการพัฒนาหมู่บ้านได้ไหม รับเป็นชุมชน ถึงตอนนี้มีการต่อรองไปถึงเรื่องนโยบาย
แม้ว่าการซื้อสิทธิ์ขายเสียงดูเหมือนเป็นเรื่องทุจริต แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้การเมืองเกี่ยวข้องกับประชาชนได้ และในวันนี้วิวัฒนาเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียงได้กระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ภาพจำในอดีตของคนจำนวนหนึ่งที่ว่าคนซื้อสิทธิ์ขายเสียง นายทุนเข้ามาเป็นนักการเมืองได้ เขาจะไม่สามารถยอมรับได้ว่ามันมีวิวัฒนาการไปถึงเรื่องการทำให้คนตื่นตัวและต่อรองไปสู่เรื่องนโยบายแล้ว
ส่วนตัวไม่อยากบอกว่าใครถูกใครผิด แต่เห็นว่าเกมแบ่งเป็น 2 ชั้น เกมชั้นบนคนที่มีอำนาจสู้กันว่าใครจะอยู่ในอำนาจ สำหรับคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องต่อสู้แย่งชิงไม่ว่าจะในระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบใดก็แล้วแต่ มีมันมีคนในระดับล่างที่ไม่ได้ชิงอำนาจคือประชาชนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองกำลังสู้กัน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีคุณค่าเพียงแต่มันถูกโยงไปเป็นกลไกของชนชั้นนำในการแย่งชิงอำนาจกัน และหวังว่ามันจะไม่นำไปสู่การปิดประเทศ หรือแช่แข็งประเทศ
“มองในอีกด้านดี ผมมีความหวังว่าประเทศเราถึงแม้ว่าวันนี้จะมีวิกฤตการณ์ แต่ผมมองวิกฤติการณ์นี้ว่า มันเหมือนกับแม่ที่กำลังจะคลอดลูก มันจะเจ็บเหมือนคุณจะตาย แต่คุณภาพใหม่จะเกิดขึ้นในสภาวะที่คุณเจ็บเหมือนคุณจะสิ้นใจตาย ถ้าไม่แท้งเสียก่อนนะครับเราจะไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ในประเทศนี้ แค่อย่าฆ่ากัน อย่านำไปสู่ความรุนแรง ผมเชื่อว่าประเทศเรามีความหวังและเราจะกระโดดไปได้ไกลมาก” สมบัติกล่าว
ตอบคำถาม และการแสดงความเห็นช่วงท้าย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai