เสียงหนึ่งจากผู้ต้องขังในเรือนจำกวนตานาโมของสหรัฐฯ เรื่องของซามีร์ ชาวเยเมนผู้เดินทางไปแสวงโชคในอัฟกานิสถาน แต่ถูกจับกุมโดยไม่มีการไต่สวนตั้งแต่ปี 2002 และเมื่อเขาร่วมประท้วงอดอาหาร เขาก็ถูกจับสอดท่อ 'บังคับป้อนอาหาร'และถูกมัดเอาไว้
ซามีร์ นาจี อัล ฮะซัน มอกเบล ผู้ต้องขังในเรือนจำกวนตานาโมตั้งแต่ปี 2002 ได้เล่าเรื่องราวของตนผ่านล่ามภาษาอาหรับ ให้กับทนายความของเขาผ่านทางโทรศัพท์ ข้อความดังกล่าวถูกนำเสนอในหน้าบทความของเว็บไซต์นิวยอร์กไทม์เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ในหัวข้อชื่อ "เรือนจำกวนตานาโมกำลังจะฆ่าผม"เนื้อความกล่าวถึงการที่เขาถูกจับเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำโดยที่ไม่ได้มีการไต่สวนหรือถูกตั้งข้อหาใดๆ มาจนถึงเหตุการณ์การประท้วงอดอาหารของนักโทษในเรือนจำครั้งล่าสุด
ซามีร์ กล่าวว่าเขาเริ่มอดอาหารประท้วงเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ทำให้น้ำหนักลดลงไปจากเดิม 30 ปอนด์ (ราว 13 กก.) "ผมจะไม่ยอมกินจนกว่าผมจะเรียกร้องศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้"ซามีร์กล่าว
ซามีร์ เปิดเผยว่าเขาถูกขังในเรือนจำกวนตานาโมมาเป็นเวลา 11 ปี 3 เดือนแล้วโดยไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาใดๆ และไม่มีการไต่สวนตามกระบวนการ
"ผมควรจะได้กลับบ้านเมื่อหลายปีที่แล้ว ไม่มีใครคิดว่าผมเป็นภัย แต่ตอนนี้ผมยังอยู่ที่นี่"ซามีร์กล่าว "เมื่อหลายปีที่แล้ว ทหารบอกว่าผมเป็นผู้อารักขาโอซามา บิน ลาเดน แต่นี่เป็นเรื่องไร้สาระ เหมือนมาจากภาพยนตร์อเมริกันที่ผมเคยดู เหมือนว่าพวกเขาไม่เชื่อมันอีกแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สนใจว่าผมจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่เหมือนกัน"
ซามีร์เล่าว่า เมื่อปี 2000 ตอนที่เขายังอยู่ในประเทศเยเมน เพื่อนของเขาบอกว่าเขาควรไปทำงานที่อัฟกานิสถานเพราะรายได้ดีกว่างานที่เขาทำในโรงงานซึ่งได้ค่าจ้างเดือนละ 50 ดอลลาร์ (ราว 1,500 บาท) และสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ตัวเขาเองไม่เคยเดินทางและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอัฟกานิสถานมาก่อน แต่เขาก็ลองทำตามที่เพื่อนเสนอแนะ แต่เมื่อไปถึงที่หมายเขากลับไม่มีงานทำที่นั่น แต่ก็ไม่มีเงินพอจะบินกลับบ้าน
จากคำบอกเล่าในบทความ หลังจากการบุกอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกาในปี 2001 ซามีร์ก็หนีไปยังปากีสถานเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกจับกุมตัว เขาพยายามเรียกร้องให้มีคนจากสถานทูตเยเมนมาพบเขา หลังจากนั้นเขาถูกส่งไปที่เมืองกันดาฮาร์ของอัฟกานิสถาน ก่อนจะถูกส่งขึ้นเครื่องบินไปที่เรือนจำกวนตานาโม
ซามีรืเล่าถึงสภาพย้ำแย่ที่เกิดขึ้นในกวนตานาโม เมื่อวันที่ 15 มี.ค. เขาป่วยอยู่ในศูนย์พยาบาลของเรือนจำและปฏิเสธจะรับอาหาร ทำให้ 'หน่วยโต้ตอบระดับรุนแรง' (Extreme Reaction Force) ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 8 นายในชุดปราบจลาจลเข้ามามัดมือและเท้าเขาไว้กับเตียง บังคับต่อท่อของเหลวเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรงผ่านมือของซามีร์ เขาถูกผูกติดกับเตียงและถูกบังคับให้อยู่ในสภาพนั้นราว 26 ชั่วโมง เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำเขาถูกบังคับให้ต่อท่อดึงของเหลวออกจากร่างกาย (catheter) ซึ่งสร้างความเจ็บปวด สร้างความอับอาย ให้กับเขาโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังถูกสั่งห้ามไม่ให้ละหมาด
"ผมจะไม่ลืมครั้งแรกที่เขาเอาสายยางป้อนอาหารสอดใส่จมูกผมเลย การถูกบังคับให้รับอาหารแบบนี้มันเจ็บปวดจนผมไม่อาจบรรยายได้ ตอนที่มันแทงเข้าไป ผมรู้สึกอยากจะอาเจียน แต่ก็อาเจียนไม่ได้ มีความรู้สึกเจ็บทรมานที่หน้าอก ที่คอ และที่ท้อง ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดในแบบนี้มาก่อน ผมหวังว่าจะไม่มีใครถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้"ซามีร์กล่าว
ซามีร์เล่าว่าเขายังถูกบังคับป้อนอาหารอยู่ ในวันหนึ่งเขาจะถูกจับมัดไว้กับเก้าอี้ในห้องขังของตัวเอง เขาถูกมัดแขน ขา และหัว โดยไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาเวลาไหน บางครั้งพวกเชาก็มาในเวลา 5 ทุ่มเมื่อซามีร์หลับไปแล้ว ในเรือนจำตอนนี้มีนักโทษจำนวนมากกำลังอดอาหารประท้วง มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไม่มากพอจะทำการบังคับป้อนอาหารได้ทั้งหมด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงพัก พวกเขาแค่ป้อนอาหารนักโทษอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำให้พวกเขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
"มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงบังคับป้อนอาหาร พยาบาลสอดท่อราว 18 นิ้วเข้าไปที่ถึงกระเพาะ มันเจ็บมากกว่าปกติ เพราะเธอรีบทำมาก ผมเรียกให้ล่ามช่วยถามว่าเธอทำถูกต้องตามกระบวนการไหม"ซามีร์กล่าว
"มันเจ็บมากกระทั่งผมขอร้องให้พวกเขาหยุดป้อนผม นางพยาบาลไม่ยอมให้หยุด พอเขาป้อนเสร็จมีสิ่งที่เรียกว่า 'อาหาร'บางส่วนหกเลอะเสื้อผม ผมขอให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ผู้คุมก็ไม่อนุญาตให้ผมรักษาศักดิ์ศรีส่วนสุดท้ายนี้เอาไว้"ซามีร์กล่าว
จากคำบอกเล่าของซามีร์ เขาเคยปฏิเสธไม่ยอมถูกมัดแต่ก็โดนเรียกตัว 'หน่วยโต้ตอบระดับรุนแรง'มาจัดการ เขามีทางเลือกอยู่สองทาง คือการรักษาสิทธิในการประท้วงการที่เขาถูกขังและกับการถูกทุบตี หรือยอมให้มีการบังคับป้อนอาหารอย่างเจ็บปวด
"สาเหตุเดียวที่ผมยังคงอยู่ที่นี่เพราะประธานาธิบดีโอบาม่าปฏิเสธจะส่งตัวผู้ต้องขังกลับประเทศเยเมน มันไม่มีเหตุผลเลย ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่พาสปอร์ท และผมก็ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง"ซามีร์กล่าว "ผมไม่อยากตายที่นี่ แต่จนกว่าประธานาธิบดีโอบาม่าและประธานาธิบดีเยเมนจะทำอะไรสักอย่าง ผมก็ต้องเสี่ยงอยู่อย่างนี้ทุกวัน"
ซามีร์บอกว่า เขายอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างเพื่อแลกกับการปล่อยตัวเขา รวมถึงยอมรับ 'มาตรการความมั่นคง'เพื่อให้ส่งตัวเขากลับบ้าน "ผมอายุ 35 แล้ว สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือกลับไปเห็นหน้าครอบครัวอีกครั้ง และเพื่อสร้างครอบครัวของตนเอง"ซามีร์กล่าว
ซามีร์เล่าถึงสภาพการประท้วงอดอาหารในเรือนจำว่า ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายมาก นักโทษทุกคนรู้สึกทุกข์ทรมาน มีอย่างน้อย 40 คนที่ยังคงอดอาหารประท้วง มีคนหมดสติเพราะความเหนื่อยล้าทุกวัน ตัวเขาเองก็เคยอาเจียนออกมาเป็นเลือด
ขณะเดียวกันซามีร์ก็คิดว่าพวกเขายังไม่เห็นหนทางว่าจะได้รับการปล่อยตัวใดๆ การปฏิเสธอาหารและการเสี่ยงตายทุกวันๆ จึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่
"ผมหวังว่า จากความเจ็บปวดทรมานที่พวกเราได้รับในตอนนี้ โลกจะหันมามองเราอีกครั้ง และเล็งเห็นปัญหาของคุกกวนตานาโมจนกว่าจะสายเกินไป"ซามีร์กล่าว
เรียบเรียงจาก
Gitmo Is Killing Me, The New York Times, 14-04-2013