เลขาธิการ กปปส. ขอมติจากผู้ชุมนุมว่าพรุ่งนี้จะเป็นผู้นำกล่าวถวายพระพรฯ ในฐานะตัวแทนประชาชนทั้งประเทศ ลั่น 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร'ไม่สมควรเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร โดยขอพักรบ 2 วัน หลัง 5 ธ.ค. แล้ว จะประกาศเผด็จศึกระบอบทักษิณ
เมื่อเวลา 19.30 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้กล่าวปราศรัยที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ โดยเริ่มแรกกล่าวถึงการใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 โดยอธิบายว่า "ขออนุญาตใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อที่จะทำความเข้าใจ เรื่องแนวทางขั้นตอน การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนที่ได้รวมกันเป็น กปปส.ประการที่หนึ่ง รัฐธรรมนูญ ฝ่ายระบอบทักษิณเป็นกบฎต่อรัฐธรรมนูญไม่ปฏิบัติต่อกฎหมายสูงสุด เป็นหน้าที่ของเราเจ้าของประเทศทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญในขณะนี้"
"ประการที่สอง ทวงคืนอำนาจอธิปไตย ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ ที่เรามอบอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยให้รัฐบาลและรัฐสภา แต่รัฐบาลและรัฐสภาที่ได้รับมอบอำนาจได้ทรยศต่อเจ้าของอำนาจ แทนที่จะใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนไปบิดเบือน ไม่เคารพกฎหมาย ใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ต่อพี่ชายตนเอง ครอบครัวตอนเอง"
"คนที่ได้รับมอบอำนาจแต่ไปทรยศ เราจึงมีความชอบธรรมที่จะดึงอำนาจนั้นกลับมา เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศชาติในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ถามว่าในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ กฎหมายรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติไว้อย่างไร พี่น้องทั้งหลายครับ กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ระบุว่า ในกรณีที่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเอาไว้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ให้วินิจฉัยตามประเพณีการปกครองบ้านเมืองตามวิธีระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"
เรื่องที่รัฐบาลทรยศต่อประชาชน รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเอาไว้ เพราะรัฐธรรมนูญคาดไม่ถึงว่าจะมีคนเลว คนชั่ว ทรยศประชาชนได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นต้องไปใช้บทบัญญัติมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญ พอเราพูดอย่างนี้ ก็มีคนคัดค้าน ด้วยความไม่รู้ด้วยความเข้าใจผิด ไปคิดเอาเองว่ามาตรา 7 คือการไปรบกวนเบื้องพระยุคคลบาท ไปคิดเอาเองสิว่าการใช้มาตรา 7 คือไปขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ขอพระราชทานรัฐสภา ไม่ใช่เลย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐพระองค์ไม่เคยลงมาแทรกแซงก้าวก่ายการเมือง พระองค์อยู่เหนือการเมือง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นตัวอย่างการใช้บทบัญญัติมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญที่ใช้แล้วในประเทศไทย วันนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ ปรากฏว่ามีนิสิตนักศึกษาลุกขึ้นเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร เกิดเรื่องใหญ่โตเกิดเหตุรุนแรงมีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บ เป็นวันมหาวิปโยค จอมพลถนอม กิตติขจร ลาออก รองนายกรัฐมนตรี จอมพลประภาส จารุเสถียรก็ลาออก เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อให้เหตุการณ์สงบลง ไม่มีคนเป็นนายกรัฐมนตรี
รองประธานวุฒิสภาขณะนั้นซึ่งยังมีตำแหน่งจึงไปกราบบังคมทูลให้ทรงแต่งตั้งสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลถนอม พูดอย่างนี้เพื่อเอาความจริงมากราบเรียนพี่น้องว่า ไม่ใช่อยู่ๆ พระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานลงมา แต่ผู้รับผิดชอบบ้านเมืองขณะนั้นคือรองประธานวุฒิสภาเห็นว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าได้ต้องมีนายกรัฐมนตรี จึงได้นำความกราบบังคมทูลและพระองค์ท่านจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสัญญา ธรรมศักดิ์
กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่เรามาเทียบเคียงได้ ว่าถ้าหากวันข้างหน้าคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ลาออกจากรักษาการณ์ ประเทศไม่มีนายกรัฐมนตรี คนที่มีอำนาจหน้าที่ที่เหลืออยู่สามารถนำความกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่าสมควรแต่งตั้งคนนั้นคนนี้เป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์นี้
นี่คือสิ่งที่เรากำลังทำคือการถอนความชอบธรรมของอำนาจที่เขาใช้ เขาก็ต้องไป เรื่องนี้ยังต้องพูดกัน อธิบายกัน ชี้แจงกัน เพราะทันทีที่เราบอกว่าเราจะปฏิบัติการตามรัฐธรรมนูญ เพราะเราเป็นพลเมืองดี พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เขาบอกว่าไม่มีข้อกฎหมายรองรับ แบบที่นายกรัฐมนตรี และสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลพูด ไม่รู้ว่าแกล้งโง่ หรือไม่รู้ความจริง เอาไว้แค่นี้ก่อน เพราะยังมีเวลาที่ต้องพูดและกระทำด้วยกัน
เรื่องต่อมาที่สุเทพกล่าว เป็นเรื่องที่ผู้ชุมนุมจะจัดงานถวายพระพรชัยมงคล ระบุว่า "วันพรุ่งนี้เป็นวันมิ่งมหามงคลของชาติไทย เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัว เราซึ่งเป็นพสกนิกรของพระองค์จะร่วมกันจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่มวลมหาประชาชนผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน มีต่อพระองค์ท่าน ปีนี้เราต้องจัดกันพิเศษ เพราะปีนี้ไม่ใช่ปีปกติธรรมดา"
"จะมีนายกรัฐมนตรี ประธานสภา ประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้นำในการใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสามด้านเป็นผู้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แต่ปีนี้เกิดมีปัญหา มีความรู้สึกของมวลมหาประชาชนทั่วประเทศว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สมควรเป็นผู้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่ลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบทักษิณรู้สึกแบบนี้ แต่มีคนหลายสาขาอาชีพรู้สึกอย่างนี้"
ทั้งนี้สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้อ่านเอกสารคัดค้านไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวถวายพระพรชัยมงคล โดยได้อ่าน คำแถลงของสภาทนายความ ซึ่งในแถลงการณ์สภาทนายความให้ความเห็นว่า นายกรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา มิบังควรเข้าเฝ้าถวายพระพร 5 ธันวา เพราะ "ปฏิเสธพระราชอำนาจทางตุลาการ"เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ที่จะต้องออกมาพร้อมกันทุกผู้ทุกคน ต้องประกาศแสดงออกให้ชัดเจนให้โลกรู้เห็น ว่ามวลมหาประชาชน ปวงชนชาวไทย เจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ลุกขึ้นแสดงตนแล้ว ว่าเป็นผู้ขอกราบถวายพระพรโดยตรงต่อองค์พระมหากษัตริย์ เพราะว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังถือดี ยังถือว่าตัวเองมีอำนาจมีสิทธิ์ ไปทำหน้าที่ตัวแทนคนไทย กราบถวายพระพรชัยมงคล ผมต้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนว่า ถ้าพี่น้องมีความเห็น มีความรู้สึก สำเหนียกในความเป็นจริงตามแถลงการณ์สภาทนายความ เราต้องลุกขึ้นมาแสดงตนที่เวทีมวลมหาประชาชน กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคลด้วยตัวเอง พี่น้องทั้งหลาย ผมขอถือโอกาสนี้ในฐานะที่เป็นเลขาธิการ กปปส. กราบเรียนเชิญพี่น้องที่เคารพ ต้องถือเป็นวันพิเศษสุดในชีวิตเรา ต้องออกมาทุกคน ที่ราชดำเนิน และที่นี่ จะเริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้า เราจะมีการทำบุญ ตักบาตรพระสงฆ์ 99 รูป รับบิณฑบาตถวายภัตตาหารเพล ตอนเย็นมาพร้อมกัน ห้าโมงเย็นต้องมาที่ราชดำเนิน กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการ ให้มืดฟ้ามัวดิน มาให้หมด มาให้ครบ
ตอนมา สุเทพ ได้ขอมติจากผู้ชุมนุม ว่าจะเป็นผู้นำกล่าวถวายพระพรในฐานะตัวแทนประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นผู้กล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นพลเมืองดีในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยสุเทพขอให้ประชาชนออกมาร่วมกันเป็นล้านคนในวันพรุ่งนี้
"ถ้าพี่น้องมีความเห็นเหมือนสภาทนายความว่ายิ่งลักษณ์ ไม่สมควรเข้าเฝ้าถวายพระพรต้องมาที่เวทีราชดำเนิน กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการ ให้โลกเห็นว่าคนในแผ่นดินนี้ไม่ต้องการให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกล่าวถวายพระพร แต่ต้องการให้สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวถวายพระพรแทนประชาชนทั้งหลาย"
"พรุ่งนี้เราจะได้เห็นกัน"สุเทพกล่าว สุเทพย้ำด้วยว่าวันที่ 5 ธ.ค. จะไม่พูด 1 วัน และหลังวันที่ 5 ธ.ค. จะเริ่มเคลื่อนไหวต่อเพื่อขจัดระบอบทักษิณ และจะประกาศเผด็จศึกในวันที่ 6 ธ.ค. นี้
สุเทพกล่าวในช่วงท้ายด้วยว่าหยุดปราศรัยด่ารัฐบาล 2 วัน พักรบให้ 2 วัน วันที่ 6 ลั่นกลองรบด้วยกัน เป็นการรบขั้นเผด็จศึก คนที่เตรียมมาสู้ยกสุดท้ายขอให้เตรียมตัวได้ และจะประกาศวิธีในคืนวันที่ 6 ธ.ค. จะประกาศวิธีเผด็จศึก และวิธีเดินทางเข้าไปรับชัยชนะ
ทั้งนี้หลังการปราศรัยในเวลา 20.12 น. บนเวทีมีการเปิดเพลงตื่นเถิดชาวไทย ซึ่งต่างจากวันก่อนที่เปิดเพลงตื่นเถิดไทย ที่ใช้หลังการปราศรัยตามปกติของเลขาธิการ กปปส.