พนักงาน-ลูกจ้างสวนสัตว์เชียงใหม่ปล่อยโปสเตอร์ค้านโอนย้าย เดินหน้ารับสมาชิกสหภาพ-ชมรม
การรวมตัวของพนักงาน และลูกจ้างของสวนสัตว์เชียงใหม่ที่โบราณสถานวัดกู่ดินขาว ในวันนี้ (10 ก.ย.) ยังคงเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีการแจกจ่ายโปสเตอร์สำหรับนำไปติดตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเผยแพร่เรื่องราวการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปอยู่ในสังกัดสำนักงาน พัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ขณะเดียวกัน ยังได้เชิญนักวิชาการจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ มาให้ความรู้แก่พนักงาน และลูกจ้างเกี่ยวกับประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานองค์การสวนสัตว์อีกด้วย
โดยกลุ่มพนักงาน และลูกจ้างของสวนสัตว์เชียงใหม่ต่างทยอยรับรับโปสเตอร์ที่มีการพิมพ์และนำมา แจกจ่าย เพื่อเตรียมจะนำไปติดเผยแพร่ข่าวสารตามพื้นที่ต่างๆ ต่อไป พร้อมทั้งร่วมกันทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคำปฏิญาณ และร่วมกันรับประทานอาหารเช่นเดียวกับการรวมตัวกันในหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ส่วนการเปิดรับสมาชิกสมาชิกของสหภาพแรงงานองค์การสวนสัตว์ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่การรวมตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีการดำเนินการต่อในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกัน ยังมีการเปิดรับสมัครสมาชิกชมรมพนักงาน และลูกจ้างสวนสัตว์เชียงใหม่เพิ่มขึ้นอีกกลุ่มหนึ่งด้วย โดยกลุ่มดังกล่าวจะรับสมาชิกที่เป็นพนักงาน และลูกจ้างของสวนสัตว์เชียงใหม่ทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาการสมัครสมาชิกสหภาพแรงงานที่ตามกฎรับเฉพาะพนักงานตั้งแต่ ระดับ 1-6 เท่านั้น
นายวิมุติ ชมพานนท์ นักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ 3 ตัวแทนกลุ่มพนักงานและลูกจ้างสวนสัตว์เชียงใหม่ที่เคลื่อนไหวคัดค้านการโอน ย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดตั้งชมรมนั้นมีขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานที่ไม่สามารถเป็นสมาชิก สหภาพได้ รวมถึงลูกจ้างสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่ม พนักงาน และลูกจ้างได้ ขณะที่การเชิญนักวิชาการจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์นั้น เป็นไปเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของสหภาพ ซึ่งจะทำให้พนักงานมีความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นสมาชิกมากยิ่งขึ้น
ด้านความคืบหน้าของการพิจารณาโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปอยู่ในสังกัด สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) นั้น นายวิมุติ กล่าวว่า หลังจากที่นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางตรวจเยี่ยมสวนสัตว์เชียงใหม่ และประชุมร่วมผู้บริหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่าทางรัฐบาลมีท่าทีค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการจะดำเนินการโอนย้ายสวนสัตว์ เชียงใหม่ให้ได้
นายวิมุติ กล่าวต่อไปว่า แม้นายธงทอง จะระบุในที่ประชุมว่าพร้อมที่จะทำการแก้กฎหมายทั้งในส่วนขององค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ตนเห็นว่ากระบวนการแก้ไขกฎหมาย หรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ ต้องมีการตรวจสอบว่าหากแก้ไขแล้วจะมีผลกระทบ หรือคาบเกี่ยวต่อกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อหรือไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติหากเร่งดำเนินการอาจจะเกิดความผิดพลาด และกลายเป็นปัญหาในภายหลังได้ ดังนั้น การแก้ไขกฎหมายจึงเป็นเรื่องที่น่าจะใช้เวลามากพอสมควร อีกทั้งยังไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าจะสามารถดำเนินได้
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มพนักงาน และลูกจ้างก็ต้องขอขอบคุณที่ทางผู้บริหารที่ได้นำข้อท้วงติงต่างๆ ที่พนักงาน และลูกจ้างได้เคยนำเสนอไปชี้แจงให้แก่ตัวแทนจากรัฐบาลได้รับทราบ ส่วนการจะเคลื่อนไหวใดๆ ในลำดับต่อไปนั้น คงต้องรอให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการโอนย้ายเกิดขึ้นเสียก่อน ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีผู้แนะนำให้ถวายฎีกา แต่เห็นว่าทั้งการถวายฎีกาและฟ้องศาลปกครองนั้นจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียด เสียก่อน ว่า กรณีของสวนสัตว์เชียงใหม่นั้นเข้าข่าย และมีความเหมาะสมหรือไม่
ส่วนโปสเตอร์ที่มีการแจกจ่ายกันในวันนี้นั้น นายวิมุติ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีแผ่นป้าย และใบปลิวถูกเผยแพร่ตามจุดต่างๆ ในเขตตำบลสุเทพ ตำบลช้างเผือก และตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจากการสอบถามทราบว่า น่าจะเป็นฝีมือของน้องๆ นักศึกษาที่มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของสวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งทางกลุ่มพนักงาน และลูกจ้างรู้สึกยินดี และขอขอบคุณทุกคนที่มีความห่วงใยต่อสวนสัตว์เชียงใหม่ ขณะที่โปสเตอร์ที่ได้จัดทำขึ้นนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารเรื่องราวของ สวนสัตว์เชียงใหม่ให้สังคมได้ทราบ ซึ่งหากมีผู้ใดที่มีความสนใจ หรือต้องการนำโปสเตอร์ไปเผยแพร่ก็ยินดีอย่างยิ่ง
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 10-9-2556)
ครม.เห็นชอบขยายคุ้มครองประกันสังคมแรงงานนอกระบบ
10 ก.ย.56 ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์แห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ ประกันตน (ฉบับที่...) พ.ศ.... ซึ่งเป็นการขยายความคุ้มครองการประกันสังคมและการออมให้แก่แรงงานนอกระบบ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง รวมทั้งผู้เกษียณอายุ ที่เคยประกอบอาชีพและมีนายจ้างก็สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ได้
(แนวหน้า, 10-9-2556)
นักวิชาการ เผย พบเด็กไทย 60% เข้าตลาดแรงงานวุฒิต่ำกว่า ม.6 ชี้ จบม.3 กว่า 50% ไม่เรียนต่อ
เมื่อวันที่ 11 ก.ย. นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวว่า สถานการณ์ การพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทยในภาพรวม พบว่า เด็กและเยาวชนไทยมีความสามารถในการแข่งขันต่ำ จากผลการศึกษาเส้นทางชีวิตเด็กไทย โดยสสค.พบว่า ปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนไทยที่เกิดในรุ่นเดียวกันเฉลี่ยปีละ 900,000 คน/ปี ซึ่งหากเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วน 1 ต่อ 90,000 คน จะพบว่าเด็กส่วนใหญ่ 6 ใน 10 คน หรือ 60% จบไม่เกินวุฒิม.6หรือปวช. ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็ก1 คน ที่ไม่จบการศึกษาภาคบังคับ อีก 2.5 คน จบด้วยวุฒิม.3 แล้วไม่เรียนต่อ และอีก 2.5 คน จบด้วยวุฒิม.6หรือปวช.แล้วไม่เรียนต่อ ขณะที่เด็กอีก 4 คนที่เหลือแม้จะเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษา แต่พบว่า มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่จบมาแล้วได้งานทำใน 1 ปีแรก
ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า การผลิตกำลังคนในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งปริมาณ และคุณภาพ โดยตลาดแรงงานต้องการกำลังคนสายอาชีพ แต่มีการผลิตสายสามัญมากกว่า นอกจากนี้สายอาชีพยังมีสมรรถนะไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ขณะที่แนวโน้มสากลในการพัฒนาคน ทักษะชีวิตและการมีงานทำถือเป็นสิ่งสำคัญของการพัฒนาการศึกษายุคใหม่ที่หลาย ประเทศให้ความสำคัญ เช่น ทักษะในศตวรรษที่ 21 ซึ่งพบว่าองค์กรภาคเอกชนต่างสะท้อนว่าการผลิตเด็กไทยยังขาดทักษะที่สำคัญ ด้านการสื่อสารโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม และวินัยในการทำงาน
ที่ปรึกษาด้านวิชาการสสค. กล่าวว่า การสร้างทักษะชีวิตและการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้อง สร้างตั้งแต่ระดับประถมและมัธยมต้น ก่อนที่เด็กจะเลือกเส้นทางชีวิตไปสู่สายสามัญหรือสายวิชาชีพ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในโรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งพบว่ากว่า 50% จบม. 3 แล้วไม่เรียนต่อ สสค.จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อพัฒนา ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ โครงการละ 50,000-100,000 บาท โดยเปิดโอกาสให้โรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งเปิดสอนในระดับประถมและมัธยมต้น ที่มีอยู่กว่า 7,000 แห่ง เสนอโครงการมายังสสค. ตั้งแต่วันนี้- 31 ตุลาคมนี้ ดูรายละเอียดโครงการที่ www.QLF.or.th
ด้าน นาย สมพงษ์ จิตระดับ ผู้ทรงคุณวุฒิสสค. กล่าวว่า ในกลุ่มของเด็กด้อยโอกาสและโรงเรียนขยายโอกาส ทักษะชีวิตและการมีงานทำเป็นคำตอบและอยู่ในบริบทของโรงเรียนขยายโอกาส เพราะคุณภาพการเรียนรู้ไม่สามารถสู้โรงเรียนมัธยมต้นในตัวเมืองได้ เด็กกลุ่มนี้จึงต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษในเรื่องการศึกษาเพื่ออาชีพ โดยโรงเรียนควรทำงานในรูปแบบทวิภาคีที่เชื่อมโยงกับภาคเอกชน เช่น 7-11 หรือ เอสแอนด์พี เพื่อให้เห็นว่าเด็กเรียนจบแล้วมีงานทำ ดังนั้นหลักสูตรโรงเรียนขยายโอกาสต้องเป็นทวิภาคี โดยเรียนรู้วิชาสามัญ วิชาชีพ และทักษะชีวิต ทั้งในโรงเรียนควบคู่กับตลาดแรงงานจริง
"การส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดทักษะชีวิตและอาชีพตั้งแต่ประถมและมัธยม ต้น โดยเฉพาะในโรงเรียนขยายโอกาสยังช่วยให้สัดส่วนการเรียนสายอาชีวะเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการส่งเสริมค่านิยมในการเรียนรู้เรื่องอาชีพ สิ่งสำคัญคือ การประเมินผลครูและผู้บริหารสถานศึกษาไม่ควรโยงผลคะแนนโอเน็ตเพียงอย่าง เดียว เพราะจะทำให้โรงเรียนหันไปใส่ใจกับคะแนนโอเน็ต ทำให้เด็กมีทักษะที่จำเป็นลดลง และขวัญกำลังใจของครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่ทำเรื่องเหล่านี้ก็น้อยลง"ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. กล่าว
(เดลินิวส์, 11-9-2556)
สปส.ให้ธนชาตซื้อประกันวงเงิน 300 ล้าน
นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน(รง.)ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดสปส.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมบอร์ดสปส.ได้หารือเกี่ยวกับเตรียมทำสัญญาเพื่อว่า จ้างให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด ซึ่งได้รับคัดเลือกจากบอร์ดสปส.ให้เป็นผู้แทนสำนักงานประกันสังคม(สปส.) นำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนต่างประเทศจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,000 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปีเพื่อนำผลกำไรจากการลงทุนมาใส่กองทุนทำให้มีเงินเพิ่มขึ้น โดยได้กำหนดเงื่อนไขการทำสัญญาให้บลจ.ธนชาต จำกัด จะต้องไปซื้อประกันการลงทุนจากบริษัทประกันเพื่อค้ำประกันเงินกองทุนประกัน สังคมที่จะนำไปลงทุน หากเกิดความเสียหายจากการลงทุนขึ้นโดยต้องซื้อประกันการลงทุนในวงเงิน 300 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของเงินกองทุนประกันสังคมที่จะนำไปลงทุนทั้งหมด
นพ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า เมื่อบลจ.ธนชาต จำกัดได้ซื้อประกันการลงทุนกับบริษัทประกันแล้วก็ให้เขียนระบุในสัญญาการ ซื้อขายประกันการลงทุนโดยกำหนดให้หากมีการนำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุน แล้วเกิดความเสียหายขึ้น ก็ให้บริษัทประกันจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายดังกล่าวก้อนแรกในวงเงิน 50 ล้านบาทให้จ่ายแก่สปส.โดยตรง และบลจ.ธนชาต จำกัดจะต้องนำสัญญาการซื้อขายประกันการลงทุนซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขข้างต้นมา แสดงต่อสปส.ก่อน ทางสปส.จึงจะเซ็นสัญญาว่าจ้างบลจ. ธนชาต จำกัด ให้เป็นผู้แทนสปส.นำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนต่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้แทนบลจ. ธนชาต จำกัดได้รับที่จะไปดำเนินการตามความเห็นของบอร์ดสปส. และจะรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมบอร์ดสปส.ซึ่งคาดว่าจะประชุมกันในช่วง ปลายเดือนกันยายนนี้
(เนชั่นทันข่าว, 11-9-2556)
ผู้นำแรงงานต้านคนนอกนั่งปลัดแรงงาน
นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานสภาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวถึง ข่าวที่ประชุมครม.วันอังคารที่ 18 ก.ย.รัฐบาลเตรียมตั้ง นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน ว่า เป็นการทำลายขวัญข้าราชการอย่างร้ายแรง และถือว่าเป็นการดูถูกข้าราชการระดับ 10 กระทรวงแรงงาน รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญภาพรวมของเรื่องแรงงานในประเทศเลย จะตั้งใครมาก็ได้
ทั้งนี้ เห็นใจข้าราชการกระทรวงแรงงานที่ตั้งใจทำงาน ข้าราชการซี 10 ของกระทรวงแรงงานหลายคน มีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสม และรู้ซึ้งเข้าใจปัญหานายจ้างและลูกจ้างอย่างดี หากได้รับการแต่งตั้งก็สามารถทำงานได้ทันที ไม่ต้องเรียนรู้อะไร แต่หากนำคนนอกมาเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน ก็เหมือนเด็กฝึกงาน ต้องมาเรียนรู้งานใหม่ กว่าจะเรียนรู้กว่าเข้าใจและทำงานได้อาจใช้เวลาอีกหลายปี เสียเวลา
ด้านนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หาก ครม.มีมติแต่งตั้งคนนอกมาเป็นปลัดกระทรวงแรงงานจริง ถือว่าเป็นการลุแก่อำนาจ เป็นการทำลายขวัญข้าราชการกระทรวงแรงงานอย่างแรง แสดงให้เห็นว่าการเมืองเลวร้ายมาก ไม่มีความยุติธรรมต่อข้าราชการกระทรวงแรงงาน
ขณะที่ นายสุธรรม นทีทอง อดีตโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หากมีการแต่งตั้งข้าราชการระดับ 10 และระดับ 11 ที่เป็นคนในกระทรวงแรงงานเอง ก็จะทำให้ข้าราชการระดับ 6 – 7 – 8 -9 ได้เลื่อนไปตามตำแหน่งโดยลำดับ แต่หากมาจากต่างกระทรวง ก็จะทำให้ขวัญและกำลงใจการทำงานของในกระทรวงแรงงาน หวั่นไหวท้อแท้ หลายครั้งมีการแต่งตั้งคนที่ไม่มีความรู้ ประสบการณ์ ก็จะทำให้เกิดการต้องมาเรียนรู้งาน ทำให้เกิดกระบวนการ คนหน้าห้อง นายลักไก่ทำงานแทน พวกประจบสอพลอ ฉวยโอกาสทำงาน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาคนดีในกระทรวงเกิดความท้อแท้
(โพสต์ทูเดย์, 15-9-2556)
แพทยสภาผุดไอเดียดึงหมอต่างด้าวดูแลคนกันเอง จ่อถกแก้เกณฑ์เอ็มอาร์เอแพทย์ปีหน้า
นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภาเปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเตรียมหารือที่ประชุมแพทยสภาและรัฐบาลเรื่องการนำเข้าแพทย์จาก ประเทศเพื่อนบ้านมาทำงานในสถานพยาบาลสังกัดของรัฐตามพื้นที่ชายแดน หรือจังหวัดที่มีแพทย์จำนวนมาก เพื่อให้แพทย์เหล่านั้นเข้ามาดูแลรักษาคนชาติเดียวกันเอง
"ทุกวันนี้แพทย์ไทยไม่ค่อยมีเวลาดูแลคนไทยด้วยกันเอง เพราะมีคนต่างด้าวเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยจำนวนมาก แม้จะประมาณการว่าปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวทำงานในไทย 3 ล้านคน แต่จากที่คุยกับคนพม่า เขาบอกว่ามีชาวพม่าอยู่ในบ้านเราถึง 5 ล้านคน"นพ.สมศักดิ์ กล่าว
แนวทางเบื้องต้นจะกำหนดให้แพทย์กลุ่มดังกล่าวทำงานโดยถือใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพเวชกรรมชั่วคราว และต้องต่ออายุทุก 1 ปี เนื่องจากเป็นแนวทางที่กฎหมายอนุญาตอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอข้อตกลงยอมรับร่วมในคุณสมบัตินักวิชาชีพ (เอ็มอาร์เอ) มีผลบังคับใช้ในช่วงปลายปี 2558
สำหรับการทำงานจะอนุญาตให้ดูแลเฉพาะกลุ่มคนต่างด้าวเท่านั้น เพื่อให้แพทย์ไทยมีเวลารักษาคนไทยด้วยกันเองมากขึ้น นอกจากนี้ ไม่อนุญาตให้เปิดคลินิกหรือรับงานเข้าเวรของโรงพยาบาลเอกชน
ทั้งนี้ เชื่อว่าการนำเข้าดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งโรงพยาบาลรัฐและแพทย์ต่าง ชาติเอง เนื่องจากปัจจุบันประเทศในอาเซียน เช่น พม่าและเวียดนาม ผลิตแพทย์ในแต่ละปีได้มากกว่าไทย ขณะที่รายได้แพทย์ของไทยสูงกว่ามาก การเข้ามาทำงานในไทยจึงเป็นโอกาสที่แพทย์ประเทศเพื่อนบ้านต้องการอยู่แล้ว โรงพยาบาลรัฐก็จะมีบุคลากรเพิ่มมากขึ้น
นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปีหน้าอาเซียนจะเปิดโอกาสให้พิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์ในเอ็มอาร์เอของวิชาชีพ แพทย์อีกครั้ง ทางสภาจะหารือว่าต้องการแก้ไขรายละเอียดใดเพิ่มเติม และต้องการให้ภาพรวมการเคลื่อนย้ายแพทย์ในอาเซียนเป็นอย่างไรเบื้องต้น คาดว่าจะเสนอให้ลดเกณฑ์ประสบการณ์ของแพทย์ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปมา เพราะเกณฑ์เดิมที่ระบุไว้ 5 ปีถือว่านานเกินไป ในความเป็นจริงแต่ละประเทศอาจต้องการคนเก่งที่มีประสบการณ์เพียงปีเดียวก็ ได้
(โพสต์ทูเดย์, 16-9-2556)