13 ก.ย.56 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.3434/2555 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องนายยุทธภูมิ (สงวนนามสกุล) ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
สำหรับนายยุทธภูมินั้นถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 หลังจากอัยการสั่งฟ้องคดี โดยศาลไม่ให้ประกันตัวเนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีร้ายแรง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี แม้จะมีการยื่นขอประกันต่อมาอีกหลายครั้ง คดีนี้เริ่มต้นจากพี่ชายแท้ๆ ของยุทธภูมิเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจว่า ยุทธภูมิกล่าวถ้อยคำและเขียนข้อความไม่เหมาะสมต่อหน้าพี่ชายในบ้านพักเมื่อราวเดือนสิงหาคม 2552
(อ่านรายละเอียดคดีได้ที่ เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ)
ศาลให้เหตุผลในการพิพากษาว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 จนถึงปัจจุบัน กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกฉบับมีบทบัญญัติคุ้มครองพระมหากษัตริย์ว่า ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้อง ในทางใดๆ ไม่ได้ รวมทั้งยังมีมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเขียนคุ้มครองไว้เช่นเดียวกับนานอารยประเทศและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยทั่วไปในกฎหมายหมิ่นประมาท
ในประเด็นตามฟ้อง หากมีบุคคลดูภาพข่าวที่ปรากฏพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็น แล้วกล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม ทั้งที่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร การกล่าวถ้อยคำดังกล่าว ผู้พูดย่อมเจตนาเหมือนเป็นการสาปแช่งให้สวรรคตเร็วๆ ซึ่งเป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อประชาชนที่มีความเคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ คำพูดดังกล่าวยังแสดงออกถึงเจตนาผู้พูดได้ว่าเป็นการจาบจ้วงและแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ส่วนการเขียนถ้อยคำด้วยปากกาเมจิกในวงเล็บส่อแสดงถึงอวัยวะเพศชายบนซีดีซึ่งมีถ้อยคำว่า “หยุดก้าวล่วงพระเจ้าอยู่หัว” ผู้เขียนจงใจให้มีการอ่านต่อเนื่องกัน ในทางวัฒนธรรมหรือการรับรู้ของประชาชนชาวไทยถือว่าเป็นของต่ำ และเป็นถ้อยคำหยาบคาย เป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นและเหยียดหยาม ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นความผิดตามมาตรา 112 เช่นกัน
แต่สำหรับคดีนี้ โจทก์มีพี่ชายเพียงปากเดียวที่เบิกความยืนยัน แต่ก่อนหน้านั้นทั้งคู่ทะเลาะเบาะแว้งกันรุนแรงหลายครั้งแทบจะใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายกัน จึงถือว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างรุนแรงการรับฟังประจักษ์พยานปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งในชั้นสอบสวนพยานปากนี้ให้การว่า ขณะที่พยานนั่งดูโทรทัศน์ช่องเสื้อแดงทางเคเบิลกับจำเลย จำเลยเอาเมจิกมาเขียนแผ่นซีดีขณะเดียวกับที่มีข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถเข็นจำเลยก็ได้กล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม เมื่อจำเลยเผลอจึงเก็บซีดีซ่อนไว้ แต่เมื่อพยานมาเบิกความในศาลกลับระบุว่า จำเลยเขียนข้อความไม่สมควรภายหลังจากที่กล่าวถ้อยคำไม่สมควรแล้วเป็นเวลา 5 วัน อีกเดือนเศษภรรยาพยานเอาแผ่นมาให้จึงเก็บไว้ โดยฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้นำภรรยาพยานมาเบิกความยืนยัน คำเบิกความพยานคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ถือเป็นข้อพิรุธและไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งก็เป็นได้
ในส่วนของการตรวจพิสูจน์ลายมือ แม้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าเป็นลายมือคนคนเดียวกัน และความคิดเห็นตามหลักวิชาการของพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้ แต่มิใช่ว่าศาลจะต้องเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญนั้นเสมอไป จะมีน้ำหนักหรือไม่ต้องพิจารณาตามรูปเรื่องและอาศัยพยานหลักฐานอื่นประกอบ คดีนี้ตัวอักษรเขียนด้วยปากกาเคมีเส้นใหญ่ ยากที่จะพิสูจน์ทราบได้ และอักษร “ห” ที่ปรากฏในซีดีก็มีลักษณะในทำนองเดียวกับลายมือของประจักษ์พยานโจทก์ด้วย ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญจึงยังไม่อาจรับฟังได้โดยสนิทใจ ประกอบกับจำเลยและมารดาจำเลยเบิกความยืนยันว่ามีความเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องแต่ให้ริบแผ่นซีดีของกลางไปทำลายเสีย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากถูกคุมขังมาเกือบ 1 ปีเต็ม คาดว่ายุทธภูมิจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายในเย็นวันนี้